Jump to content
Sign in to follow this  
B★RS

เศษเสี้ยวหายนะศึกมนต์ตราสงครามมหาเวทย์

Recommended Posts

ไม่ได้ช่วยอะไรเลยเรา ช่างเถอะๆ สนุกดี เข้าใจง่าย ไงก็สู้ต่อไปน้า มีอะไรให้ช่วยก็ทักมาได้นะ(ช่วยไม่ช่วยนี้อีกเรื่อง อิอิ)

Share this post


Link to post
Share on other sites

:emo (47): ชะเออ ต้องขอโทษ ผู้ติดตามอ่านทุกคนด้วยรนะครับ ที่ตอนต่อเอามาลงได้ช้าไปหน่อย แต่ช่วยรอกันหน่อยนะครับ อันเนื่องมาจากช่วงนี้ ผู้แต่ง(ทั้งสองคน)ไม่ค่อยมีเวลาจากการติดเรียนติดงานติดสอบ แต่ไม่ต้องห่วงครับ เราไม่ทำให้ผิดหวังแน่ๆ ในเมื่อออกมาช้าเราก็จะเน้นคุณภาพให้คับแก้วจนล้นไปเลย(ไม่ใช่ไม่มีเนื้อนะ[เอ็งจะบอกว่ามีแต่นำ้ำเรอะ])

:emo (47): ก็อย่างที่ได้ร่ายยาวไปแล้ว ยังไงก็ขอให้อดใจรอกันไปกอ่นน้า เสร็จเรียบร้อยเมื่อไหล่ ลงไม่เหลือแน่นอนครับ

จากใจนักเขียน :emo (50):

:emo (54): ขอขอบคุณล่วงหน้าที่ยังคงรอและส่งกำลังใจให้เสมอ(และที่ส่งให้แค่บางช่วงด้วย)

Share this post


Link to post
Share on other sites

แวะมาอ่านนิยายหน่อยนึง -..- บรรยายดีครับ orz หันไปดูนิยายตัวเองดองยาว 555+ ทำซับต่อ :emo (07):

Share this post


Link to post
Share on other sites

เป็นนิยายที่ดีมากเลยอ่ะครับผม อ่านแล้วรู้สึกว่าตัวเองอยู่ในเหตุการณ์เลย

ต้องเอาไปปรับปรุงของตัวเองซะหน่อยน่ะครับ ^_^

ผมว่า บทนำมันยาวไปหน่อยน่ะครับ หรือว่ากะแต่งนิยายชุดเล่มหนาๆอ่ะ :emo (30):

แต่ก็ทำให้รู้เลยว่ามืออาชีพกับผมสมัครเล่น(ผมเอง) มันต่างกันยังไง 555

Share this post


Link to post
Share on other sites

:emo (41): ขอบคุณท่านผู้ที่เข้ามาอ่านมากครับเห็นแล้วชื่นใจขึ้นเยอะ ยังไงวันนี้จะลงส่วนบทที่1ให้เสร็จเลยน่ะครับอีกนิดเดียวเท่านั้น :emo (70): ในที่สุดก็มีเวลามาทำต่อซะที :emo (57): แต่ทุกท่านไม่ต้องห่วงว่าตอนต่อไปจะช้าหลังจากที่ลงบทต่อของบทที่1วันนี้ บทที่2ก็กำลังเดินหน้าอยู่ครับ :emo (22):

ยังไงพวกเราทั้งสองจำพยายามทำผลงานออกมาให้มีจุดบกพร่องน้อยที่สุด(จะให้ดีที่สุดก็กะไรอยูครับงานชิ้นแรก) :emo (71):

แต่จะให้ทุกท่านได้สนุกกับมันน่ะครับ :emo (49):

ปล.จ๊อดเอ้ยยยยยมีคนเข้ามาอ่านแล้วน่ะเราสู้กันขาดใจไปเลย :emo (55):

Share this post


Link to post
Share on other sites

:emo (03): กลับมาแล้วครับ

ขออภัยที่ปล่อยให้้ร้างไปซธนานในที่สุดก็กลับมาทำต่อได้แล้วครับ

ยังไงก็ขอโทษสำหรับผู้ที่ติดตามชมอยู่น่ะครับ

มันใจว่าเร็วๆนี้ตอนที่2จะสามารถเอามาลงต่อได้

ปล.จ๊อดดด ขอโทษน่ะที่ทำให้นายเหนื่อยอยู่คนเดียว

เรากลับมาช่วยนายแล้วน่ะ :emo (60):

Share this post


Link to post
Share on other sites

บทที่2

เรื่องวุ่นๆ และการพานพบ

เปรี๊ยะๆๆๆๆ เปรี้ยง! ประจุกระแสไฟฟ้าที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันพร้อมกับการบิดเบี้ยวของสภาพอากาศก่อเกิดระเบิดกัมปนาตสายหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางหมู่แมกไม้ป่าเขา สิ่งที่ปรากฏออกมาแก่สายตาคือห้วงอากาศที่เหมือนถูกฉีกออกจากกัน ชั่วครู่ต่อมาก็ได้มีร่างร่างหนึ่งกระเดนออกมาจากช่องนั้น และตามด้วยอีกหนึ่งกระเดนตามมาติดๆ ทุกสิ่งถูกปกคลุมด้วยกลุ่มควันจากแรงระเบิด

“อุ๊บ แค๊กๆ เกิดอะไรขึ้นกันเนี่ย แล้วที่นี่ที่ไหนกัน” เสียงใสที่ฟังดูนุ่มนวลอ่อนหวานเอ่ยขึ้นมาอย่างแผ่วเบา

ม่านควันที่ปกคลุมบริเวณเริ่มจางหายไปสิ่งที่ปรากฏเบื้องหน้ามีแต่ซากของเหล่าต้นไม้และเศษสิ่งก่อสร้างที่กระจัดกระจาย แต่ถึงกระนั้นบริเวณนั้นก็ยังถูกปกคลุมด้วยเหล่าต้นไม้ใหญ่จนทำให้มองเห็นได้ยาก มีเพียงแสงอ่อนๆที่ลอดผ่านใบไม้และกิ่งไม้ใหญ่มาเท่านั้น

“เอ๊ะ จริงสิ แล้วโจเซฟหายไปไหนแล้วละเนี่ย” เสียงใสเอ่ยขึ้นแล้วรีบกวาดสายตามองไปรอบๆ เเละสายตาก็ไปสะดุดบางอย่างคือร่างของชายหนุ่มที่ตอนนี้นอนสลบเหมือดอยู่ห่างจากเขาไปประมาณสามเมตรซึ่งดูเหมือนเค้าจะหลับอย่างสบายโดยไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลยแม้แต่น้อย “มานอนอยู่ตรงนี้นี่เองเล่นเอาซะตกใจไปหมด” ว่าแล้วก็เดินเข้าไปหาและเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้น

“ว๊าย! จะทำอะไรนะ” ร่างของเจ้าของเสียงตอนนี้ถูกร่างที่ใหญ่กว่าดึงกดลงไป แต่ไม่ได้กดลงเพียงอย่างเดียว ร่างสูงใหญ่แนบชิดกอดทับลงมาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัวและไม่เพียงแค่นั้นชายหนุ่มที่สะลึมสะลือยังเอาหัวซุกไปยังหน้าอกของเค้าทำเอาคนที่ถูกกอดถึงกับหน้าขึ้นสี

“เดี๋ยวสิ นี้ นาย ลุกออกไปเดี๋ยวนี้เลยนะ นี้ ลุกออกไปเดี๋ยวนี้นะ โจเซฟ” ร่างบางพยายามดันร่างสูงใหญ่ออกด้วยแขนอันเรียวบางแต่เหมือนโจเซฟนั้นจะไม่รู้สึกรู้สาแม้แต่น้อย

ปึ๊ด! เสียงอะไรบางอย่างในหัวร่างบางฉีกขาดพร้อมการปรากฏของขีดเส้นยั๊วะบนหัว “นี้นายอย่ามาหลับเอาตอนนี้สิเจ้าบ้าเอ๊ย” ผัวะ! “แอ๊ก!” ร่างบางนั้นรวมพลังเวทย์ไว้ที่ฝ่ามือจนสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าแล้วสับลงกลางหัวนายโจเซฟอย่างไม่ใยดีจนคนที่โดนซัดถึงกับร้องโอดครวญอย่างทันที

โจเซฟสะลึมสะลือตาปรือขึ้นมาทันใด “งืม....หอมจังเลย” ว่าแล้วก็เอาหน้าซุกหน้าอกแล้วสูดดมเข้าให้ฟอดใหญ่ ปึ๊ด! ปึ๊ด! ปึ๊ด! คราวนี้เส้นยั๊วะของร่างบางปรากฏขึ้นเต็มหัว “ไอ้...โจเซฟ ...ไอ้ยอดคนสัปดนเอ๊ย!” ตูม! ร่างบางที่คราวนี้รวมพลังเวทย์ไว้มากกว่าเดิมหลายเท่าจัดการซัดปลายคางของ ไอยอดคนสัปดนอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย โจเซฟที่โดนสอยอัพเปอร์คัตอย่างเต็มที่ถึงกับลอยละลิ่วปลิวชนต้นไม้เยี่ยงขยะไร้ค่าที่ถูกเควี้ยงลงถังยังไงหยั่งงั้น จากที่ปลุกให้ตื่นกลายเป็นหลับยาวไปแทน

ระหว่างที่เพื่อนของเค้าหลับลงไปเค้าก็รีบสังเกตุโดยรอบว่าที่นี่คือที่ไหน แต่ดูเหมือนจะไม่ได้อะไรขึ้นมาเลย เพราะมองไปทางไหนก็เห็นเพียงต้นไม้ใหญ่และซากของสิ่งก่อสร้างที่ถูกรากไม้ เถาวัลย์ พันจนแทบมองไม่ออก เสียงที่เงียบสงบกลับมาอีกครั้ง

แต่แล้วแสงแดดอ่อนๆก็ส่องทอดลงมาจากยอดไม้ที่อยู่เหนือหัวของเขา สีหน้าของเค้าจากที่ครุ่นคิดกลายเป็นรอยยิ้มที่พุดขึ้นมาแทน ว่าแล้วร่างบางก็พุ่งตัวเขาหาต้นไม่ใหญ่ที่อยู่ใกล้ตัวเค้า ราวกับว่าเป็นการแสดงร่างที่โดดสลับข้ามไปข้ามมาช่างดูพลิ้วไหวเหมือนกำลังเต้นรำอยู่ยังไงหยั่งงั้น และแล้วก็รวมพลังเวทย์ไว้ที่เท้าก่อนจะพุ่งถลาจากกิ่งไม้บริเวณยอดจนตัวลอยขึ้นไปบนฟ้า แสงแดดสะท้อนเข้าที่ดวงตาจนแสบ สภาพรอบๆที่ถูกปกคลุมไปด้วยป่า แต่มีเพียงสิ่งก่อสร้างบางอย่างที่อยู่ท่ามกลางป่านั้น จนได้แค่คิดไว้เพียงในใจว่า นั้นมันคือ...

“อูย~ เจ็บชะมัดเลย คนกำลังฝันดิบฝันดีอยู่ในแดนแสนสุขกับเหล่าสาวๆ แต่ไหงมีท่อนซุงลอยมาซัดซะงั้นเนี่ย” โจเซฟที่ล้มกลิ้งไปตามเศษซากของอดีตสิ่งที่เรียกว่า ต้นไม้ขนาดสี่คนโอบลุกขึ้นร้องโอดโอย ดูเหมือนจะตื่นขึ้นอย่างเต็มตาแล้ว

“ไงละตื่นได้ซะทีนะ ฝันหวานซะเอาชั้นขนลุกไปทั่วทั้งตัวเลยนะ” เสียงใสเอ่ยประชดขึ้นด้วนเสียงขุ่นเคืองไม่ใช่น้อย

“ฮะฮะฮะ ก็น่ะแต่ว่าไหงชั้นมานอนตรงนี้ได้ละเนี่ย” โจเซฟเอ่ยขึ้นมาซักอย่างงุนงง ก่อนที่สายตาเค้าจะไปสะดุดอยู่กับร่างที่อยู่เบื้องหน้าเค้า “เอ๊ะ! เธอเป็นใครกันเนี่ยแล้วเคหายไปไหน...ละ...เนี่ย...” ถูกแล้วคนที่ตอนแรกโจเซฟ นึกว่าเป็น เค เพื่อนของเขานั้นกลับไม่ใช่อย่างที่เขาคิด แต่ถึงกระนั้นภาพเบื้องหน้าทำเอาเค้า เอ่ยและละสายตาไปไม่ออก

ที่ยืนอยู่ต่อหน้าเขานั้นคือ หญิงสาวผมสีแดงปรกใบหน้าเล็กน้อยกับนัยตาสีแดงคมกริบใบหน้าที่ดูอ่อนช้อย อมชมพูเล็กน้อย เรียวปากอันแสนเรียวบางที่ดูเข้ากันอย่างลงตัวจนหาเคยพบเจอไม่ ที่ตอนนี้อยู่ในชุดกรุยกรายที่ดูคุ้นเคยกับผ้าปิดตาสีดำที่ปกปิดดวงตาข้างซ้าย แต่ถึงกระนั้นเธอก็ยังงดงามจนทำให้สายตานั้นที่จดจ้องราวกับต้องมนต์สะกด

บรรยากาศเข้าสู่ความสงบเงียบ ทั้งคู่ต่างฝ่ายต่างไม่เอ่ยพูดออกมาสักนิด แต่สายตาของทั้งสองต่างจับจ้องกัน ฝ่ายเคที่เห็นโจเซฟที่จ้องมองไปแบบนั้นก็เริ่มมีสีหน้าที่ร้อนผ่าวขึ้นมาและคิดได้เพียงแค่ว่าเจ้าหมอนี่ไม่รู้ว่าเราคือใครแน่ๆ เดี๋ยวสิทำไมเราต้องรู้สึกแปลกๆแบบนี้ด้วยเนี่ย เคเอ่ยขึ้นแล้วเอามือมาปิดใบหน้าของเขา

“เธอ...เป็นใครเหรอ ไม่สิ สวยจัง ผมไม่เคยเห็นใครสวยเท่าเธอเลยน่ะเนี่ย” โจเซฟเอ่ยขึ้นอย่างตรงๆด้วยใบหน้าที่ดูเขินอายจนต้องเบี่ยงหน้าหลบไป แต่ฝ่ายที่ถูกชมกลับหน้าซีดและตัวสั่นอย่างกับว่าเจออะไรที่สยดสยอง

ผม เจ้าหมอนั่นใช้คำแทนตัวว่าผมอย่างงั้นเหรอ หึหึ น่าสนุกแฮะ... เคได้แค่คิดอยู่ภายในใจ

“ใช่สิ! ไม่ใช่เวลาที่จะมามัวทำเรื่องแบบนี้นินา” โจเซฟพูดออกมาอย่างดังเหมือนคิดอะไรได้ก่อนที่จะดีดตัวขึ้นมาจากซากไม้และมาหยุดอยู่ตรงหน้าของสาวนิรนาม

“เออ...คือ” สาวนิรนามกำจังจะพูดบางอย่างแต่ยังไม่ทันที่จะได้พูดจบ เด็กหนุ่มก็โน้มหน้ามาใกล้จนทำให้คนที่จะพูดต้องชะงัก และโดนแย้งบทพูดไปในที่สุด

“เธอ...เห็นเพื่อนของชั้นไหม เค้าน่าจะมากับชั้นนะผู้ชายผมสีแดงตัวสูงพอพอกับชั้นนะ ใช่สิเค้ามีผ้าปิดตาเหมือนกับเธอเลยน่ะและสวมชุดรุ่มร่ามนิดหน่อยนะ” โจเซฟ รีบถามอย่างรวดเร็วพลางทำท่าทางประกอบไปด้วย แต่ก็ สะกิดใจนึกขึ้นอะไรบางอย่างได้ซะก่อน

ระหว่างที่โจเซฟกำลังอธิบายไปเคก็นึกและคิดบางอย่างขึ้นมา เพราะดูท่าทางความลับของเขาจะยังไม่ถูกเพื่อนของเขาล่วงรู้ รอยยิ้มที่ผุดขึ้นและนัยตาที่ดูเลศนัยผุดขึ้นจากใบหน้าของเขา ราวกับว่ามีแผนบางอย่าง

“เอ๊ะ! จริงสิ ชั้นยังไม่ได้แนะนำตัวเลยนิ ขอโทษด้วยนะที่ทำให้เธอต้องตกใจ ชั้น.. เรอาน่อน เครเทอร์ โจซาเฟีย กำลังทดสอบเป็นนักเรียนแห่งโรงเรียนการศึกษาเวทย์มนต์ แล้วเธอละ” โจเซฟรีบเอ่ยขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยวาจาที่สุภาพ แต่ด้วยน้ำเสียงของเขาทำให้คู่สนทนาสะดุ้งไปเล็กน้อย

“ชั้น...ชั้นชื่อ...” เคที่ไม่ทันที่จะคิดกลับโดนเพื่อตัวเองปั่นหัวจนตอบอะไรไม่ถูก ได้เพียงคิดว่าชั้นไม่เคยตั้ง ชื่อให้ตัวเองซะหน่อยเอาไงดีละเนี่ย ในระหว่าที่กำลังนึกคิดโจเซฟเหมือนกำลังรอฟังคำตอบอย่างใจจดใจจ่อจนทำ ให้เขา ยิ่งลนลานเข้าไปใหญ่และในที่สุดก็เอ่ยขึ้นมา “มะ...เมงุมิ ชั้นชื่อว่าเมงุมิค่ะ”

“เห...เป็นชื่อที่แปลกดีน่ะแต่ก็ฟังดูลื่นหูเหมือนกัน” โจเซฟกล่าวตอบกลับและยิ้มออกมาอย่างสบายใจ

“ถ้า....จำไม่ผิดน่ะค่ะ ช่วงที่คุณปรากฏตัวออกมา ชั้นได้ยินเสียงระเบิดดังขึ้นอีกที่ไม่ห่างจากตรงนี้ไปสักเท่าไรค่ะถ้ายังไงลองเดินไปทางนั้นดูแล้วกันนะค่ะ อีกอย่างรู้สึกว่าที่ๆพวกคุณจะต้องไปนั่นก็อยู่ทางนี้ด้วย..” เมงุมิพูดบอกพลาง ชี้นิ้วไปทางป่าทึบ ก่อนที่จะอมยิ้มออกมาเล็กน้อย

เหมือนเป็นสัญญาณบางอย่างทันทีที่โจเซฟหันไปมองทางที่เมงุมิชี้ ลมกรรโชกรุนแรงก็พัดพามา กิ่งไม้เสียดสี จนเป็นเสียง เอี๊ยดอ๊าด ดังไปทั่วใบไม้ที่ร่วงโรยต่างถูกพัดขึ้นมาบดบังไปจนหมด แต่เป็นเพียงครู่เดียวที่เกิดขึ้นเมื่อทุกอย่างสงบลงร่างสาวน้อยที่ชื่อเมงุมิกลับหายตัวไปอย่างน่าสงสัยทำให้โจเซฟงุนงงกับเหตุการณ์ดังกล่าวและพยายามมองหาตัวเธอยังไงก็ไม่พบเลย

……

“เจ้าบ้าเคมันหายไปไหนกันนะเนี่ย บ้าชิบ! อย่าให้เจอเชียวน่ะพ่อซัดไม่เลี้ยงแน่” โจเซฟบ่นพึ่มพำแล้วเดินต่อไปตามทางที่เด็กสาวเมงุมิบอกมาได้สักพัก “ว่าแต่คุณเมงุมิตะกี้น่ารักชิปเป้งเลยให้ตายสิ!! แล้วเธอหายตัวไปไหนได้ยังไงน่ะเนี่ย” โจเซฟพูดขึ้นอีกครั้งพลางนึกสถานะการณ์ตอนนั้นไปอย่างสงสัย

อีกด้านนึงเคที่ประกาศตัวเองในร่างของหญิงสาวที่ชื่อเมงุมิก็คอยตามโจเซฟอยู่อย่างเงียบๆ ท่ามกลางความมืด ของกิ่งไม้ที่ปกคลุมจนเป็นที่หลบซ่อนได้ดี

….เจ้าโจเซฟพอชั้นไม่อยู่ปากก็กวนส้นอวัยวะเบื้องล่างเอาซะจริงน่ะเจ้าบ้า.... เคได้แค่แอบคิดขณะที่เฝ้าจับตาดูโจเซฟอย่างระวัง โดยที่ยังไม่รู้ว่ามีบางสิงบางอย่างที่จับตาเขาอยู่

...ฉึก! กิ๊ส! “เฮ้อ~ ไม่ไหวๆ ดูท่างานนี้จะไม่เป็นไปตามที่คาดไว้สักเท่าไรแล้วแฮะ แบบนี้คงต้องเหนื่อยสักหน่อยแล้วสิ...” เมงุมิเอ่ยเสียงเรียบในขณะที่มือของเธอนั้น ใช้พลังเวทย์แทงสัตว์อสูรที่มีรูปร่างคล้ายแมลงเข้ากับต้นไม้ ซึ่งต่างกับโจเซฟที่ยังไม่รู้สึกตัวว่าตอนนี้เขากำลังตกอยู่ในอันตราย

ท่ามกลางป่าไม้เด็กหนุ่มเดินอยู่อย่างเดียวดาย เส้นทางที่กำลังเดินไปก็เริ่มที่จะมืดลงไปเรื่อยๆ และไม่มีวี่แววว่าจะพบทางออกเลย ดวงตะวันเริ่มเคลื่อนย้อยลงมาจนจากแสงแดดสีขาวกลายเป็นสีส้ม เสียงของเหล่าสรรพสัตว์เริ่มที่จะโห่ร้องบ่งบอกถึงสัญญาณแห่งการล่าที่จะถึงอีกไม่นาน

โจเซฟเหมือนรู้ตัวว่าตอนนี้ดูท่าจะไม่เป็นการดีแน่ที่จะเดินทางต่อไป แต่ทางเค้าเองก็ไม่สามารถที่จะหยุดเดินไปได้ต่อ เพราะรอบๆตัวเขาตอนนี้เต็มไปด้วยสายตาของเหล่าผู้ล่าทั้งหลายจับจ้องอยู่

“ดูเหมือนว่าคืนนี้คงจะไม่เงียบเหงาแล้วสินะเนี่ย หึหึหึ” โจเซฟเอ่ยขึ้นและฉีกยิ้มอย่างสยดสยองก่อนที่จะหายเข้าไปในป่ามืด

ตะวันเริ่มทอแสงรับเช้าวันใหม่ ฝืนป่าถูกยอมไปด้วยแสงสีส้ม เหล่าสัตว์ป่าต่างพากันร้องส่งเสียงเหมือนเป็นสัญญาณ ในขณะที่ร่างๆหนึ่งตอนนี้กำลังจับจ้องอยู่กับภาพฉากที่ดูเหมือนกับการฆ่าล้างบางของใครบางคน

“ดัลกัสก้า รีไรต์(อสุนิบาตล้างบาง)” ทันทีที่ประกาศออกไปร่างของอสูรก็ถูกสายฟ้าฉีกกระชาดร่างจนเละเป็น ชิ้นขนาดที่พูดได้ว่ากลายเป็นเศษเนื้อก็มิปาน

“สองร้อยสามสิบสี!! ในที่สุดก็หมดแล้วสิน่ะเนี่ย วู้~ เอ๋! เช้าแล้วเหรอเนี่ย!” เสียงที่ดูแผ่วเบาของเด็กหนุ่มที่ตอนนี้กำลังเอามือปาดเหงื่อพลางมองดูแส่งอรุณรุ่งท่ามกลางซากของเหล่าอสูรนับร้อยที่นอนตายเกลื่อนเป็นแนวทางยาวที่เขาเดินมา “ว่าแต่เหนียวตัวชะมัดเลยแฮะเลือดของพวกนี้ดันเปื้อนซะได้”

“หืม...ก็เก่งนินา นึกว่าจะต้องช่วยตลอดทางซะแล้วนะเนี่ย” ร่างบางเอ่ยขึ้นขณะที่แอบดูอยู่บนยอดกิ่งไม้ขณะที่เสียงของร่างนั้นเริ่มทุ้มและใหญ่ขึ้น...ใช้แล้วร่างเด็กสาวที่ชื่อเมงุมิกำลังเปลี่ยนกลับกลายเป็นร่างของเด็กหนุ่มอีกครั้งนึง

ณ ภายในราเซนนุ

“มีระเบิดเกิดขึ้นจากด้านนอก คาดว่าจะเป็นผู้ใช้เวทย์มนต์ รีบแจ้งไปทางกรรมการและเจ้าหน้าที่คุมสอบด่วน!” เสียงอันร้อนรนของเจ้าหน้าที่สังเกตการณ์ที่คอยควบคุมความปลอดภัยที่สั่งอีกคนนึงไป

“ไม่ต้องไปแจ้งให้ทางนั้นทราบหรอก” เสียงอันอ่อนหวานของคนบางคนเอ่ยขึ้นตรงประตูห้องสังเกตการณ์

“นี่..คุณคือ... แต่ถึงยังไงนี่เป็นเรื่องใหญ่นะครับ เราไม่รู้ด้วยว่าที่อยู่ข้างนอกนั้นเป็นอะไรกันแน่” เจ้าหน้าที่ตอบกลับอย่างสงสัย

“ที่อยู่ข้างนอกนั่นนะเป็น นักเรียนใหม่ของชั้นเองแหละดังนั้นไม่มีอะไรต้องแจ้งให้ทราบแล้วละนะ” เจ้าของเสียงนิรนามตอบกลับอย่างเรียบง่ายพร้อมส่งยิ้มให้กับเจ้าหน้าที่

“แต่ว่า!” เจ้าหน้าที่อีกคนเอ่ยขึ้นแต่ยังไม่ทันพูดจบก็โดนสวนกลับมา

“นี่แกกล้าขัดคำสังของชั้นคนนี้งั้นเหรอ! แกยังไม่รู้สิน่ะว่ากำลังพูดกับใครอยู่” จากเสียงอันอ่อนหวานกลับกลายเป็นเสียงที่ดุดันขึ้นพร้อมกับแรงกดดันของพลังเวทย์ทำเอาเจ้าหน้าที่ทั้งสองคนทรุดลงไปอย่างไม่ทันตั้งตัว นัยตาที่แสดงถึงความโมโหและขุ่นเคืองทำเอาทั้งสองคนถึงกับตัวสั่น

“ระ...รับทราบแล้วครับ!! ดะ...ดะ...ได้โปรดให้อภัยในการเสียมารยาทของเราทั้งสองคนด้วยครับ!!” เจ้าหน้าที่คนแรกเอ่ยตอบกลับทั้งน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว

“งั้นเหรอ เข้าใจแล้วสินะงั้นก็ทำหน้าที่ต่อไปก็แล้วกันนะ” เธอเอ่ยขึ้นอย่างอ่อนหวานเหมือนเดิมพร้อมกับสีหน้าที่ยิ้มแย้งอย่างถูกใจ “เอ๊ะ! จริงสิ ถ้ามีความคืบหน้าอะไรละก็มาบอกชั้นด้วยน่ะ” เธอเอ่ยทิ้งท้ายและส่งสายตาดุไปหาเจ้าหน้าที่ทั้งสองอีกครั้ง

......... กลับไปทางด้านตัวเอกของเรา

จู่ๆแสงตะวันก็เหมือนคล้อยดับลงไปเมื่อมีเงาทะมึนขนาดใหญ่วาดทับลงมาแทน ทำให้ผืนป่ากลับถูกย้อมด้วยสีดำของความมืดอีกครั้งหนึ่ง จนต้องหันไปมอง

ภายใต้ตะวันรุ่งที่ส่องนำทาง ในที่สุดราเซนนุก็ปรากฏอยู่เบื่อหน้า ปราสาทขนาดใหญ่ที่ถูกพันไปด้วยเถาวัลย์และดอกไม้ที่บานสะพรั่ง

“ว่าแต่ว่า นี่มันไม่ใหญ่ไปหน่อยเหรอเนี่ย” โจเซฟ เอ่ยขึ้นเมื่อมองไล่ความสูงของบานประตูที่อยู่เบื้องหน้าขึ้นไปจนคอเกือบตั้งบ่า “ช่างเถอะ หวังว่าเจ้าเคมันจะล่วงหน้ามาถึงก่อนแล้วนะ หึ คอยดูเถอะเจอหน้าหละพ่อจะจับใส่โจเซฟ ดริลแฮนด์สเปเชี่ยลซะเลย” ว่าแล้วก็เดินไปทางประตูใหญ่เบื้องหน้าพลางถูมือไปมาเป็นเชิง คันไม้คันมือเต็มทน

“เฮ้ พ่อหนุ่มตรงนั้นหนะ ชักช้าจังเลยนะต้องให้รออยู่นานสองนาน” เสียงเสียงหนึ่งเรียกขึ้นอย่างกวนๆส่งให้ โจเซฟตวัดสายตาไปยังที่มาต้นเสียงอย่างทันใด ก่อนที่จะตกใจเล็กๆ

“ไง ไม่ได้เจอะกันตั้งวันนึง โจเซฟ” ผู้นั้นคือเคที่ยืนพิงต้นไม้อยู่อย่างสบายอารมณ์นั้นเอง “เอาหละในเมื่อมาถึงแล้วก็ได้เวลาเข้าเมืองกันได้....ละ...เอ๋?” เด็กหนุ่มสะดุ้งอย่างแรงเมื่อเพื่อนเผ่าปีศาจของเขาพุ่งเข้าหาอย่างรวดเร็วดุจกระสุนปืนพร้อมส่งแรงกดดันมหาศาลจนแทบก้าวขาไม่ทัน เพียงชั่วครู่ก็พุ่งมาอยู่เบื้องหลังเค้าแล้ว

‘อะไรกัน หมอนี้ไม่นึกว่าจะไวได้ขนาดนี้’ ได้แต่คิดเพียงเท่านั้นเพราะขณะนี้กำปั้นทั้งสองข้างของโจเซฟก็ติดกับหัวเขาทั้งสองด้านของเขาแล้ว “โจเซฟ...” มือทั้งสองข้างที่แนบหัวเริ่มบีบเข้าหากันพร้อมหมุนเร็วขึ้น “ดริลแฮนด์สเปเชี่ยล แกตายซะเถอะไอคุณท่านเค”

“จ๊ากกกกกก ชั้นไปทำอะไรให้นายก๊านนนน.....” เคที่ถูกท่าปั่นขมับร้องขึ้นอย่างเจ็บปวด

........ ชั่วครู่ต่อมา

“ฮ้า สดชื่นดีจริงๆเลย ฮะๆๆ” โจเซฟยืนปาดเหงื่อพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างสบายอารมณ์

“สดชื่นกับผีสิครับเจ้าบ้าโจเซฟ” เคที่นั่งกุมหัวที่ปวดตึ๊บๆอยู่อดพูดขัดขึ้นมาไม่ได้

“ฮึ นี้เป็นบทลงโทษที่บังอาจปล่อยชั้นทิ้งไว้แล้วเดินนำมาก่อนเอง ไปได้แล้วไหนๆก็มาถึงแล้วรีบๆเข้าไปทดสอบให้มันจบๆซะที” โจเซฟพูดจบก็ออกเดินไปยังประตูโดยไม่สนเคที่ลุกขึ้นบ่นอุบอิบอะไรเลย

“ชิ! ซักวันเถอะจะเอาคืนให้สาสมเลย รอก่อนเถอะ” ได้แค่บ่นเล็กๆพลางเดินตามไปยังประตูใหญ่เบื้องหน้าทั้งสองคนถึงจะบอกว่าเป็นประตูก็เถอะมันก็สูงและใหญ่ซะจน เทียมกับสองคนที่ยืนอยู่เหมือนจะเป็นได้แค่ก้อนหินเล็กๆ

ทั้งคู่ยืนมองประตูอยู่ครู่หนึ่ง

“ถามเถอะไอ้เนี่ยมันให้คนเปิดแน่เหรอ ไม่น่าจะเรียกว่าประตูแล้วมั้งตั้งแต่เกิดมาพึ่งเคยเห็นประตูที่มันใหญ่ๆสุดๆก็วันนี้หละ โคตรประตูชัดๆ!!” โจเซฟบ่นเสียงดังจนคนข้างๆเองก็ไม่สามารถปฏิเสธ โต้เถียงกลับไปได้

“ช่างมันเถอะน่า ถ้าพร้อมแล้วก็ไปกันได้แล้ว” เคพูดจบทั้งคู่ก็อัดพลังเวทย์เข้าที่ฝ่ามือจนบรรยากาศรอบๆเต็มไปด้วยสายธารเวทย์มนต์และออกแรงดันประตูจนเกิดเสียงดัง ครืน คราน จนในที่สุดก็เปิดออกกว้างพอที่จะเดินเข้าไปได้ เมื่อทั้งคู่เข้ามาแล้วประตูก็เลื่อนปิดเองของมันแต่นั้นไม่ใช่สิ่งทั้งสองคนสนใจหากแต่ที่ทำทั้งคู่งงใน สถานการณ์คือสายตามากมายของผู้คนที่มุ่งมาทางพวกเขา

ร่างทั้งสองยืนนิ่งอยู่กับเหล่าสายตาของคนมาหน้าหลายตา ไม่ว่าจะเป็นคนที่อยู่ใกล้ๆหรือจะไกลออกไปก็ตาม

“นี่มันเรื่องอะไรละเนี่ย คนเยอะแยะไปหมดเลยแฮะ แถมมองเรายังกะว่าเป็นสัตว์ปะหลาดยังไงยังงั้นหละ” โจเซฟกระซิบเบาๆพอที่เคจะได้ยิน แต่ยังไม่ทันที่เคจะได้ตอบกลับ อณูพลังเวทย์ก็ลอยอยู่ท่ามกลางทั้งสองคนและเกิดระเบิด สร้างเสียงกรีดร้องของเหล่าผู้ที่มองทั้งสองคนไม่น้อย

“รู้สึกเหมือนว่าเราจะถูกต้อนรับอย่างเอิกเกริกดีจังแฮะ กระจุยเป็นชิ้นๆเลย” เคพูดขณะที่เอามือเกาะอยู่ที่บนประตู

“นี่เราไปทำอะไรที่มันน่าหมั่นไส้เปล่าเนี่ย ถึงโดนบอมซะตั้งแต่เข้ามาเลยแฮะ ฮะฮะฮะฮะ” โจเซฟตอบกลับหาเคอย่างกวนๆ แต่ดูคู่หูเขาจะไม่รับมุขแต่มองกลับด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียดแทน

ว่าแล้วก็มีคนในชุดเกราะสีดำทั้งชุดสองตน คนนึงถือดาปกับโล่ ส่วนอีกคนถือหอกกับโล่ขนาดใหญ่ พุ่งเข้าหาเคและโจเซฟอย่างไม่ทันตั้งตัว ด้วยความงุงงงโจเซฟโดนอัดด้วยโล่กระเด็นจากประตูสู่พื้นจนพื้นระเบิดแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ทางเคเองด้วยไหวพริบทำให้หลบหอกได้อย่างฉิวเฉียดแต่ก็ไม่สามารถหลบได้เต็มที่ คมหอกสร้างบาดแผลให้กับแขนของเคจนเลือดค่อยๆไหลออกมาจนแขนเสื้อถูกย้อมไปด้วยสีเลือด

“เฮ้ๆ ต้อนรับแบบนี้ชั้นคงต้องตอบแทนกลับบ้างสิน่ะ!!” ท่ามกลางฝุ่นที่คละคลุ้ง พื้นที่ที่โจเซฟร่วงลงไป โจเซฟระเบิดเสืยงออกมาแล้วพุ่งตัวอย่างรวดเร็วดุจสายฟ้าไปยังคนที่ซัดเค้าลงจมพื้น ด้วยความรวดเร็วจนไม่ทันตั้งตัวทหารเกราะดำโดนโจเซฟอัดด้วยกำปั้นข้างขวาที่อัดด้วยพลังเวทย์สายฟ้าจนทั้งตัวเกราะถูกห่อหุ้มด้วยสายฟ้า กระเด็นไประเบิดที่หอสูงใกล้ๆจนหินแตกละเอียด ทางเคเองก็โดนรุกเข้าใส่จนทำได้แค่หลบแต่ก็ใช้จังหวะที่คู่ต่อสู้หันไปมองพวกที่โดน โจเซฟซัด สวนกลับด้วยลูกเตะเข้าเต็มหน้าจนหมุนควงเข้ากำแพงจนแตกละเอียดเช่นเดียวกับพวกพ้องที่โดนไปก่อนหน้า

“วานเด้ฮารุเทมเพมล่า ดาปาเรียเรียสอีควั๊ตต้า ร้อยคมดาปวายุเวทย์!!” เคใช้จังหวะที่ซัดอัศวินเกราะดำ ร่ายเวทย์ยิงใส่อย่างรุนแรงจนเกิดเสียงระเบิดลั่นอย่างต่อเนื่องไปทั่วพื้นที่ พื้นดินและก้อนอิฐแตกกระจายจะเป็นฝุ่นผงละเอียดคละคลุ้งไปทั่ว

หลังจากเสียงที่ดังสนั่นกับการโจมตีต่อเนื่องของเค ทุกสิ่งที่อยู่ข้างหน้าถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นและเศษดินที่แตกกระจายจนไม่รู้ว่าอัศวินชุดดำนั้นเป็นยังไงบ้าง แม้ทางโจเซฟเองก็เช่นกัน

ตู้ม! เสียงระเบิดที่ดังขึ้นทั้งสองที่ กลุ่มควันที่ปกคลุมหายไปทันใด ร่างของอัศวินทั้งสองขณะที่คนนึงลอยอยู่ตรงหอสูงด้วยเวทย์ลอยตัว ส่วนอีกคนยืนอยู่ท่ามกลางซากหินที่ถูกแรงระเบิดของเวทย์มนต์ แต่กับไม่มีรอยขีดข่วนเลย

“ไม่มีรอยขีดข่วนเลยเหรอเนี่ย...แถมความรู้สึกตอนโจมตีนี่มัน...” เคบ่นออกมาอย่างสงสัยและตั้งท่าอย่างระมัดระวัง

“ว๊า~ โดนไปตั้งขนาดนั้นไม่เป็นไรเลยแฮะ สุดยอดเลย” โจเซฟพูดพลางเอามือข้างซ้ายมาจับแขนข้างขวาและส่งยิ้นแหย่ๆให้กับเค แต่สีหน้ากลับดูแย่ลงอย่างน่าสงสัย

“ช่วยไม่ได้แฮะ เห็นทีต้อง...” ว่าแล้วเคก็ลดมือลงไปต่ำลงและมีแสงสีฟ้าปรากฎออกมา “จง...ออกมา...” เคกำลังเรียกอะไรบางอย่างอยู่ จนเป็นที่สนใจในหมู่ของคนโดยรอบที่กำลังดูอยู่

“หยุดแค่นั้นแหละ! ทั้งหมดเลย” เสียงเจื้อยแจ้วจากเด็กสาวในชุดกรุยกรายสีชมพูตัดสีฟ้าที่ยืนอยู่บนระเบียงห่างจากพวกเคไปประมาณหนึ่งช่วงตึก หน้าเธอตาเกลี้ยงเกลาราวกลับว่าเป็นตุ๊กตาก็ไม่ปาน เธอมองลงมาด้วยดวงตาสีฟ้าใสด้วยสีหน้าที่แอบยิ้มอย่างน่าสงสัย แต่ที่แปลกคือทหารในชุดเกราะดำกลับหยุดตามที่เธอคนนั้นสั่ง ทำเอาผู้คนโดยรอบรวมทั้ง โจเซฟ กับ เค งงไปตามๆกันในขณะเดียวกันแสงจากมือของเคก็ค่อยๆหายไป

ซักครู่ต่อมาก็มีเหล่าคนที่อยู่ในชุดแบบเดียวกับกรรมการที่รับสมัครออกมาและพาตัวพวกโจเซฟไป ในขณะเดียวกันเด็กสาวปริศนาก็เดินเข้ามาใกล้และกระซิบพวกเคอย่างแผ่วเบาว่า ‘แล้วเจอกันใหม่น่ะ อีกไม่นาน...’

ณ ห้องพักของราเซนนุ

“หลังจากที่สู้กับเจ้าเกราะดำไปแล้วก็โดนสอบสวนซะหนักเลย ดีน่ะเนี่ยที่ได้ใบสมัครช่วยไว้ได้ทัน” โจเซฟบ่นออกมาอย่างเหลืออดก่อนที่จะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

“ก็น่ะ แต่นึกแล้วก็แปลกเหมือนกัน ที่มีพวกเราเพียงกลุ่มเดียวที่เดินทางมายังราเซนนุ แถมพอเวลาเอาใบสมัครไปให้ดูท่าทางของเหล่ากรรมการสอบสวนก็มีท่าทีที่แปลกไปด้วย” เคแหงนหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้าแล้วเอ่ยออกมาให้คู่หูฟังเหมือนว่าต้องการฟังความเห็นจากโจเซฟว่าแล้วก็เหล่ตามองเป็นเชิงขอความเห็น

“นายไม่ต้องมาพูดให้ชั้นฟังดีกว่าน่า นายก็รู้ว่าชั้นมันพวกคิดง่ายๆไม่ชอบจริงจังอะไรมาก” โจเซฟตอบดักทางเคซะจนเจ้าตัวคนที่ถามเบือนหน้าหลบอย่างเซ็งๆ ก่อนจะทำเสียงไม่พอใจออกมาเล็กน้อย “แต่ก็ดีกว่าเดิมเยอะเลยน่ะที่เราได้มานั่งพักสบายโดยไม่ต้องไปสอบคัดเลือกให้ปวดหัว ยังไงตอนนี้ก็ได้อาบน้ำสบายตัวแถมมีของกินและที่พักด้วยเจ๋งเลยว่าไหมละ” โจเซฟย้อนกลับไปถามเคแต่สีหน้าของเคก็ยังอดสงสัยไม่ได้เหมือนเดิม

“นั่นสิน่ะคิดไปก็เท่านั้น ยังไงก็ต้องรอจนกว่าจะทำการคัดเลือกเสร็จอยู่ดี ว่าแต่โจเซฟชั้นว่าถ้าไม่ได้หนูน้อยคนนั้นช่วยไว้นายก็คงหืดขึ้นคอเลยสิน่ะ หึ!” ว่าแล้วเคก็ว่านน้ำออกไปปล่อยให้โจเซฟได้แต่ยืนเอ๋อไป

“หน๋อย~ นายว่าใครหืดขึ้นคอกัน!!”

ในห้องโถงของราเซนนุ

“โห! ที่นี่กว้างเอาเรื่องเหมือนกันน่ะเนี่ย แต่...ไหงกลับไม่มีคนซะงั้นเนี่ย” โจเซฟกล่าวออกมาและหันมาที่เคอย่างกับว่าเพื่อนเค้าต้องรู้อะไรแน่

“นายไม่ต้องหันมามองเลยโจเซฟ ชั้นไม่ใช่สารานุกรมที่จะรู้อะไรไปหมดน่ะ อีกอย่างที่ไม่มีคนนี่สิถึงไม่แปลกเพราะตอนนี้คงทำการทดสอบกันอยู่” เหมือนว่าเคจะรู้ดี ทำให้เจ้าคนที่ถามถึงกับหน้าหง๋อไปเลย

“เฮ้! พวกนายสองคนน่ะ” เสียงใครบางคนเอ่ยขึ้นเรียกให้เคและโจเซฟต้องหยุดหันไปมอง

“นายเป็นใครน่ะ...” เคพูดถามบุคคลแปลกหน้าในชุดสีขาวตัดด้วยลวดลายสีน้ำเงินกับแดง ตัวเค้าสูงกว่าเค เรือนผมเค้ามีสีน้ำตาลยาวระคอและปรกใบหน้า ใบหน้าสีไข่นวลไม่แพ้ผิวของผู้หญิง ที่น่าสังเกตคือมีตราสัญลักษ์สีเงินรูปนกอยู่ที่ปกคอเสื้อ และที่น่าสงสัยคือเค้าหลับตาไว้อยู่ตลอด

“เออ...ขอโทษทีผมต้องบอกชื่อก่อนสิน่ะถึงจะถูก ผมชื่อว่า เรนอฟ ฟิลดิเร่ กันเดลซาเวส ชั้นเป็นรุ่นพี่ของพวกเธอทั้งสอง ยังไงก็ยินดีที่ได้รู้จักน่ะครับ เรอาน่อน เครเทอร์ โจซาเฟีย กับ เรฟารัส คาลิว เคย์ ถ้าเป็นไปได้ขอเรียกว่า โจเซฟกับเคก็แล้วกันจะได้ไหมครับ” เรนอฟพูดตอบกลับพลางกวาดสายตามองพวกเคแล้วยิ้มออกมาเล็กน้อย

“เห~ รุ่นพี่เหรอเนี่ย...” โจเซฟอุทานอย่างสงสัยพลางเบ้ปากอย่างไม่สบอารมณ์

“เดี๋ยวก่อนน่ะคุณเรนอฟ ที่คุณว่าเป็นรุ่นพี่เราเนี่ยมันยังไงอยูน่ะ” เคชิงพูดก่อนที่เพื่อเค้าจะพาออกนอกเรื่องไปซะก่อน

“หมายความว่ายังไงเหรอครับเค” เรนอฟตอบกลับ

“ถ้าจำไม่ผิดตอนนี้เป็นการสอบคัดเลือกคนที่จะผ่านหรือไม่ผ่านการรับสมัครไม่ใช่เหรอครับ แล้วทำไมจู่ๆคุณเรนอฟถึงได้มาบอกว่าเป็นรุ่นพี่ของพวกผมทั้งๆที่ยังไม่ได้มีการกำหนดสถานที่เข้าเรียนเลยละ” เคตอบกลับและส่งสายตามองไปยังเรนอฟอย่างสงสัย

“หึ! เรื่องนั้นมันจะเป็นยังไงอีกเดี๋ยวพวกคุณคงทราบเองเร็วๆนี้” เรนอฟยิ้มแล้วตอบกลับเคอย่างเรียบง่ายและรวดเร็วจนเคเองก็อดสงสัยในตัวเรนอฟมากกว่าเดิมไม่ได้

“เล่นไม่บอกรายละเอียดแล้วให้รอลุ้นแบบนี้มันไม่ค่อยน่าสงสัยเลยน่ะครับ”

“แน่นอนครับ อีกอย่างตอนนี้ก็คงไม่สะดวกมากนัก” เรนอฟยิ้มตอบกลับแล้วหันหลังเดินจากไป “เราจะต้องเจอกันอีกแน่นอนครับ...อีกไม่นานนี้” เป็นเสียงที่เรียบง่ายซะจนพูดได้ว่าธรรมดามากเพียงแต่ดวงตาที่ปิดอยู่ตลอดนั้นกลับเปิดออกมา เป็นดวงตาที่ดำมืดสนิทซะจนเหมือนจะถูกกลืนกินเข้าไป ปล่อยให้ทั้งสองคนยืนมองจนกระทั้งลับสายตาไป

“ที่อยู่ตรงนั้นน่ะออกมาได้แล้วมั้ง” เคและโจเซฟพูดออกมาพลางมองขึ้นไปบนชั้นสองของห้องโถงที่ต้นเสาตรงระเบียง

“ก็ไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟังอะไร อีกอย่างชั้นอยู่ตรงนี้อยู่แล้วด้วย”

เจ้าของเสียงปริศนาปรากฎตัวออกมาภายใต้ผ้าคลุมกับเรือนผมสีดำสนิท แต่ถึงกระนั้นความงดงามของเธอไม่ว่าจะเป็นเรือนผมดวงหน้าและเรือนร่างที่ปกคลุมไปด้วยชุดสีดำสนิทก็ทำให้ทั้งคู่ยืนจ้องค้างจนพูดไม่ออกซักนิด

“ไม่น่าเชื่อเลยน่ะเด็กสาวที่ถือเคียวเล่มโตกับจอมเวทย์สาวนั่นน่ะ สามารถล้มคู่ต่อสู้ได้รวดเดียวเลย แถมยังชนะรวดอย่างเร็วจนคนที่สู้ด้วยยังไม่ได้ร่ายเวทย์เลยด้วยซ้ำ” เสียงซุบซิบของเหล่าผู้ที่ชมการคัดเลือก

“ไม่รู้หรอกเหรอเธอคนนั้นคือ โซเรียว ซาเรส มาชิโระแห่งซาคัส กับ ลาล่าลิน ไอริส ฟาเรเซีย แห่งปราการ ดิมลอสเชียวน่ะ!!” สิ้นคำกล่าวของคนในกลุ่มสร้างเสียงฮือฮาออกมาอย่างไม่น่าเชื่อ

“สมิงม่วงกับสายสัมพันธ์สีเขียวนะเหรอ!!”

“ดูท่านอกจากเจ้าบ้าสองคนที่เดินทางมาราเซนนุนี้แล้วยังมีคู่นี้อีกงั้นเหรอเนี่ย”

“มาชิโระ มายืนอะไรตรงนี้ละเค้าจะเริ่มทำการย้ายสถานที่แล้วน่ะ” หญิงสาวที่ท่าทางอ้อนแอ้นกับเรือนผมสีน้ำตาลที่คุ้นเคย ใช่แล้ว ฟาร่า เธอกำลังเรียกเพื่อนของเธอที่แหงนหน้าไปมองท้องฟ้าอยุ่ตอนนี้

“ในที่สุดก็จะได้พบแล้วสิน่ะ...” เจ้าของดวงตาสีม่วง มาชิโระใช่แล้วเธอมาตามหาเศษเสี้ยวแห่งความทรงจำเธอ ในขณะที่เคกับโจเซฟยังคงตะลึงกับสาวปริศนา

“จากการทดสอบทั้งหมดผู้ที่ผ่านการทดสอบทั้งหมดห้าพันคน!!” ใต้แสงแดดสีส้มที่ทอดผ่านเส้นขอบฟ้าบ่งบอกถึงเวลาจบสิ้นของชะตากรรมของผู้ที่เข้าสมัครและบางสิ่งบางอย่างที่จะขับเคลื่อนต่อไปจากนี้กำลังจะมาโดนที่ยังไม่มีใครรู้ตัว

“เอาแหละคราวนี้จะมีเรื่องอะไรน่าสนุกอีกละ” เด็กสาวกำลังจ้องมองยังกระจกบานนึงที่ในนั้นมีภาพพวกของเคปรากฏอยู่

:emo (40): เสร็จเลี้ยว บท2 นาน นานจริงๆเลย

ณ บัดนาวนี้เวลา 18 กุมภา 2554 ฮุฮุ :emo (47):

:emoother_06: ขอกราบขอประทานโทดผู้อ่านไว้ด้วยที่ตอนแรกลืมเว้นบรรทัดให้อ่านง่าย ใช้ไม่ได้เลยเรา

Edited by pikasaiya

Share this post


Link to post
Share on other sites

อ๊าคคค ลืมเอาลงซะนาน+กว่าจะแก้ไปแก้มาจนเสร็จ

เฮ้อ~ ทำไมงานมันเยอะแบบนี้หน๋อ จะว่าไปก็ขอโทษทุกคนที่ไม่ได้เอาลงน่ะครับ บทที่3คงเสร็จเร็วๆนี้

(มาเร็วๆนี้อีกละ)

ก็น่ะปิดเทิมแล้วทำต่อได้ซะทีเน้อ(ยังไม่ปิดเลยอ่ะกลางเดือนหน้าโน้น) :emoother_07:

ยังไงก็หวังว่าจะมีคนอ่านน่ะครับ :emo (02):

Share this post


Link to post
Share on other sites

บทที่ 2 เสร็จแล้วหรือ ขอเข้ามารับชมเลยละกัน

ค่อยๆ แต่งไปเรื่อยๆ นะครับนะครับพยายามเข้า ทางผมเองก็งานยุ่งเหมือนกันน่ะแหละ

Share this post


Link to post
Share on other sites

โพสก่อนค่อยกลับไปอ่าน :emoother_08:

บทที่3พยายามเข้านะครับไม่ต้องรีบ

Share this post


Link to post
Share on other sites

อ่านบทที่หนึ่งยังไม่จบ 2มาต่อและ

:emoother_04: ขอโทษ... เอร๊ยยย ไม่ใช่

ผมว่าผมดองไว้นานแล้วน่ะเนี่ย ตอนนี้บทที่3ต้องดองอีกพอตัวเลยครับ ติดงานวิจัย (ไม่ทำไม่จบจะบ้าตาย~~~) :emoother_07:

แต่้ในตัวบทที่3ได้มา70-80เปอร์เซ็นแล้วครับคงไม่นานแต่คาดหวังไว้ว่าจะสามารถทำให้ทุกคนที่อ่านไม่เบื่อนะครับ :emoother_01:

Share this post


Link to post
Share on other sites

สนุกดีนะครับมีต่อไหมเนี่ย

:emoother_08:

มีต่อแน่นอนครับ

ในบทที่3ที่ดองไว้ตอนนี้ผมกำลังพยายามเค้นเนื้อเรื่องให้ดูกระชับและสามารถจับต้นชนความได้ถูกมากขึ้น

เนื่องจากที่ได้อ่านทบทวนจากบทที่1และ2แล้ว

ทำให้ทราบได้ว่าในตัวเรื่องนั้นมีการบรรยายออกมามากเกินไปและในบางส่วนยังออกนอกเรื่องมากจนเกินไป ดังนั้นในส่วนบทที่3ผมจึงต้องปรับเปรี่ยนในตัวเรื่องและเสริมความซับซ้อนของตัวบทนิยายให้ดูมีความดึงดูดมากยิ่งขึ้น

:emo (04):

ยังไงก็ตามขอบคุณมากครับที่ชมว่าสนุก ผมจะยายามให้เสร็จทันวันเกิดผม :emo (35): (ในเดือนเมษานี้)

Share this post


Link to post
Share on other sites

บทที่3 เมืองแห่งนครลอยฟ้าสีคราม มอลตี้!!!

เสียงก้องกังวาลของระฆังจากหอสูงเสียดฟ้าดึงดูดความสนใจของเหล่าผู้ทดสอบทั้งหลาย ภาพที่ดูแล้วต้องเบิ่งตากว้างกับความสวยงามที่ยากจะเอื้อนเอ่ยออกมาเกาะที่ใหญ่จนเรียกได้ว่าเป็นประเทศหนึ่งๆได้อย่างสบายๆเลย แต่ที่ต้องตกใจมากกว่านั้นคือ มันลอยอยู่บนฟ้าเลยขอบหน้าผาเบื้องหน้านั้นออกไปนะสิ!

“โห! เค นายเห็นเหมือนที่ชั้นเห็นนั้นไหมฟะ เกาะนะเฟ้ย ใหญ่โคตรแถมยังลอยได้อีก หูย~ ไม่อยากจะนึกเลยต้องใช้พลังเวทย์มากมหาศาลแค่ไหนถึงจะทำให้มันลอยอยู่อย่างนั้นได้เนี้ย นายคิดงั้นไหม เค” เสียงของเจ้าตัวแสบที่ชโงกยื่นหน้าออกไปนอกหน้าต่าอย่างไม่เกรงกลัวต่อสายลมแรงที่พัดสวนทางมาเลยดังขึ้นอย่างไม่เกรงใจคู่หูที่นั่งมองฉากเดียวกันนั้นอยู่ข้างๆซักนิด

“นี้สินะ นครแห่งสายลมสีรุ้ง มอลตี้” เค เอ่ยขึ้นลอยๆเหมือนไม่สนใจคำถามของนายตัแสบข้างๆเลย

‘นี้ก็ผ่านมาวันนึงแล้วสิตั้งแต่จากราเซนนุมา อืม...จะว่าไปแล้วก็มีเรื่องน่าสงสัยตั้งมากมายที่ไม่เข้าใจเลยเหมือนกัน ทั้งเรื่องทดสอบ ทั้งเรื่องที่ถูกเลือกให้มาเรียนที่นี้ด้วย เฮ้อ~ ช่างมันก่อนเถอะตอนนี้’ เคนั้งคิดอย่างเหม่อลอยพลางเอามือล้วงไปยังกระเป๋ากางเกงเหมือนความเคยชิน ‘มันหายไปไหนกัน สร้อยเส้นนั้น หรือว่าจะลืมทิ้งไว้ที่ปราสาทนั้น ชิ โธ่ว้อย ต้อตามไปเอาคืนให้ได้เพราะของสิ่งนั้นหนะมัน.....’

“จะว่าไปแล้ว ไอรถจักรพลังงานเวทย์นี้ก็หรูใช่เล่นเลยนะเนี้ย มีขนม อาหาร เครื่องดื่มให้ด้วย” โจเซฟพูดขึ้นยังผลให้เคหันไปมอง พลางส่ายหน้าอย่างเหนื่อยอ่อนกับฉากเพื่อนเขาพูดไปมือหนึ่งถือแก้วใส่เครื่องดื่มสีแปลกๆพร้อมอีกมือถือขนมแท่งยี่ห้อดัง เคี้ยวอะไรเต็มปากตุ้ยๆ

“สงสัย ผ.อ. ของโรงเรียนเรานี้จะใหญ่พอตัวเหมือนกันนะ เพราะนี้เป็นรถจักรเฉพาะของโรงเรียนเลยแหละ”เคอธิบายเฉลยข้อสงสัยพลางแกะขนมขึ้นมาเคี้ยวบ้าง รถจักรพลังงานเวทย์ต่างจากรถจักรไอน้ำทั่วๆไปตรงที่มันวิ่งได้ด้วยพลังเวทย์ของผู้ขับและมันยังวิ่งได้ทุกสภาพพื้นผิวทั้งบนบก บนน้ำ และอากาศอีกด้วย!

ติ๊งหน่อง! “ขอให้ผู้โดยสารทุกท่านตรวจสัมถาระต่างๆให้พร้อม เราจะเข้าเทียบท่า ณ สถานีมอลตี้ ในอีก 3 นาที ย้ำอีกครั้ง กรุณาตรวจสอบสัมภาระ.....” เสียงใสๆของโเปอเรเตอร์ประกาศผ่านลำโพงบ่งบอกถึงการสิ้นสุดของการเดินทางของเหล่านักเรียนใหม่กันแล้ว

“อึ๊บ! เอาหละ ถึงแล้วสินะ ท้องก็อิ่มแล้ว ของทุกอย่างพร้อมแล้วก็ไปกันเถอะ” ว่าแล้วเจ้าตัวแสบก็ลุกออกจากห้องโดยสารนั้นแทบจะทันที ตามด้วยคู่หูของเขาภายหลังลงจากรถจักรมาพวกเขาก็พบผู้คนมากหน้าหลายตาที่ลงมาก่อนหน้าพวกเขานั้นเดินเรียงไปตามทางที่มีทหารเกราะยืนบอกทางไว้พวกเขาจึงเดินตามๆไปเรื่อยๆ

“นี้เค เมื่อไรจะถึงซะทีชั้นชักเบื่อแล้วนะเนี่ย” เป็นเสียงของเจ้าตัวแสบที่เริ่มจะบ่นขึ้นมา

“เอาน่า ทนไปหน่อย เกือบถึงแล้วหละ นั้นยังไงหละ โรงเรียนพวกเรา มอลตี้” เคชี้ไปยังเบื้องหน้า ตัวเมืองถูกประดับประดาไปด้วยธงรูปสัญลักษ์เหมือนนกสีฟ้าของมอลตีมีการจุดพลุเฉลิมฉลองราวกับว่าเป็นงานสำคัญ เป็นเมืองที่อุดมไปด้วยธรรมชาดบ้านเรืองแทบทุกหลังแต่งแต้มไปด้วยสีฟ้าขาว มีเพียงปราสาทขนาดใหญ่ที่ตัวอยู่ในศูนย์กลางของเมืองนี้ นั้นคือโรงเรียนแห่งมอลตี้

‘มอลตี้เมืองที่เราเคยได้ยินมาจากอาเตมิสสวยงามสมกับที่เธอบอกจริงๆน่ะ...แต่ว่า...’ เคนึกแล้วกวาดตามองไปรอบๆทิวทัศน์ที่มองอยู่ก็เริ่มมืดลงไปภาพในอดีตก็ผุดขึ้นมา

‘แกไอ้สารเลวชั้นขอสาปแช่งแก แกจะไม่มีวันที่จะได้อยู่อย่างมีความสุข แกต้องทนทุกข์ทรมาณและสูญเสียทุกๆสิ่งไป ไม่มีวัน...ไม่มีวันที่แกจะสามารถไปสู่โลกที่แกใฝ่ฝันได้หรอก...เพราะแกมันคือ...อ...’ ขณะที่นึกอยุ่เสียงของโจเซฟก็ดังขึ้นมา

“เห~ คนพลุพล่านน่าดูเลยแฮะน่าว่าไหมเค” ว่าแล้วก็ดึงแขนเสื้อของเค

“ก็...มันไม่เห็นแปลกนิ นี่เป็นการต้อนรับนักเรียนที่เข้ามาใหม่นี่นา เห็นไหมละไม่ว่าจะเดินไปทางไหนก็มีแต่ร้านค้าไปทั่ว” ว่าแล้วเคที่ดึงสติมาได้ก็กวาดมือไปพลางชี้ไปแล้วก็ไปสะดุดที่ร้านๆนึงที่คู่หูเค้าเดินไปตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ ร้านอาวุธเมกาเลแซม ร้านขนาดเล็กเมื่อเทียบกับร้านอื่น

“โอ้โห อาวุธเพียบเลยแฮะแถมราคาก็ไม่สูงมากด้วยสิ” เจ้าตัวดีหันไปหาเคแล้วพูดจ้อซะคนหันไปมองจนเป็นจุดสนใจจนคนที่เป็นเป้าสังเกตุอีกคนต้องจำใจรีบเดินไปที่ร้านนั้นอย่างเลี่ยงไม่ได้

เมื่อเปิดประตู้เข้าไปก็มีชายชราต้อนรับอยู่ภายในร้านสมกับที่เป็นร้านอาวุธไม่ว่าจะมองไปที่ใดก็มีแต่อาวุธประดับประดาไปทั่วจนทางเดินนั้นแทบสวนกันไม่ได้เลยด้วยซ้ำแต่ก็ไปสะดุดอยู่กับคนๆนึง

“โจเซฟนั่นมันผู้หญิงที่เราเจอที่ห้องสมุดใช่หรือเปล่า” เคกะตุกโจเซฟแล้วชี้ไปที่เธอคนนั้น

“ไม่รู้สิเอาเป็นว่าอยากรู้นายลองไปถามดูละกัน หึหึ แอบชอบเค้าแล้วสิน่ะ” โจเซฟไม่หันไปมองแม้แต่น้อยแต่กลับส่งเสียงเยาะเย้ยเพื่อนเขาทำเอาเคถึงกับแอบโกรธในใจและส่งสายตาดุใส่ “เอ๊ะ คุณลุงผมเอาเจ้านี่ละกัน...”

เคหันไปมองก็พบว่าเธอหายไปแล้ว ก็ได้คิดแค่ว่า ‘ช่างเถอะ’ แล้วเดินดูภายในร้านจนไปหยุดอยู่มุมๆนึงที่เต็มไปด้วยดาบแต่เมื่อเคกำลังเอื้อมมือไปหยิบดาบเล่มนึงก็มีมืออีกข้างนึงเอื้อมมาหยิบเล่มเดียวกัน ราวกับว่าเป็นเรื่องบังเอิญเจ้าของมือนั้นคือสาวปริศนาที่เคเคยเจอในห้องสมุดนั่นเอง ‘ยังอยู่งั้นเหรอเนี่ย...’

“เจ้าเซ่อหัวแดงเอามือสกปรกของแกออกไปซะ” เสียงดูดอ่อนหวานแต่วาจากับตรงกันข้ามอย่างสินเชิงจนผู้ได้ยินถึงกับโดนเสียดแทงด้วยวาจานั้น ใช่แล้วไม่เคยมีใครเรียกเค้าแบบนั้นมาก่อน

“ขอโทษด้วยนะครับ” เคได้ยินก็รีบเอามือออกไปแต่เมื่อเธอกำลังจะไปหยิบเคก็เอ่ยเบาๆขึ้นอีกครั้ง “อะไรเนี่ยจู่ๆก็มาว่ากันแบบนี้เลยเรอะยัยปากจัดเอ้ย”

สิ้นเสียงเธอก็หันไปมองเคด้วยแววตาที่ดุดัน แต่ทางเคเองก็ยังทำหน้านิ่งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแต่ที่แน่ชัดคือบรรยากาศเริ่มตึงเครียดมากขึ้น

“แกเรียกชั้นว่าอะไรน่ะเจ้าหัวแดงอย่าคิดว่าชั้นไม่ได้ยินน่ะ” เธอขึ้นเสียง

“ฮ่าๆ ได้ยินด้วยเหรอครับดูท่าคุณต้องไปเช๊คหูหน่อยซะแล้วน่ะครับผมก็พูดตามที่คิดเอง” เคยิ้มแล้วพูดออกมาอย่างสบายใจ เพียงแต่เธอคนนั้นตอนนี้แผ่รังสีฆ่าพันออกมาจนอาวุธแถวนั้นตอบรับจนเกิดแสงสว่างไปทั่ว

“ดะ...เดี๋ยวก่อนครับคุณลูกค้าอย่าทะเลาะกันในนี้นะครับ” พนักงานที่ผ่านมาเห็นทันเลยรีบพูดดักไว้ดูเหมือนสาวปริศนาก็ค่อยๆคลายรังสีฆ่าฟันนั้นลงแต่แววตาเธอกลับม่เป็นเช่นนั้นตาม

“งั้นมาเจอกันหน่อยเป็นยังไงละ ชั้นจะได้ดัดสันดานปากเน่าๆของนายสักหน่อย” เธอพูดแล้วพลางชี้ไปที่ประตู้ร้านที่ติดป้ายว่า ห้องทดสอบ “ว่าไงละกล้าหรือเปล่าเจ้าหัวแดงโสโครก”

“เฮ้ เคนายทำอะไรอยู่เนี่ย เอ๊ะ!” โจเซฟที่โผล่เข้ามาพอดีเห็นทั้งสองบรรยากาศไม่ดีจนต้องหยุดเพียงแค่นั้น

“ชั้นไม่ใช่คนที่ชอบใช้กำลังซะด้วยสิ เอาเป็นว่าชั้นขอผ่านก็แล้วกัน” เคคิดได้ทันเลยพูดเอ่ยตัดบทไปเพื่อจะได้ไม่เสียเวลาไปมีเรื่องซะก่อน

“หึ ชั้นว่าแล้วพวกผู้ชายมันก็ดีแต่ปาก เหมือนกับนายสิน่ะ ไอ้ที่ต้องเอาผมมาปิดหน้านั่นนะเพื่อไม่ให้คนเห็นหน้าตัวเมียของนายสิน่ะ เอาเถอะชั้นก็ไม่ได้อยากสงเคราะคนอย่างนายสักเท่าไร” เธอพูดแล้วเชิดหน้าหันหลังกลับไปแต่เดินช้าลงดูเหมือนว่ากำลังรออะไรบางอย่าง

“โอ้ แย่แล้วสิ แต่เจ้าเคคงจะไม่...” โจเซฟพูดขึ้นมาแต่เมื่อคิดดูดีๆแล้วคนอย่างเคคงไม่โกรธเคืองด้วยเรื่องแค่นี้แต่ดูท่าเค้าจะคิดผิด “อึก! แย่จริงๆแล้วเอาจริงดิเค” โจเซฟมองหน้าเคก็รู้ทันทีว่างานนี้คงไม่จบง่ายๆ พลางกลืนน้ำลายไปอึกใหญ่

“รู้สึกว่าชั้นคงต้องดันสันดานเธอซะแล้วยัยคนปากมากจุ้นจ้านน่ารำคาญ เอาเถอะดีแต่ปากว่ากับหน้าตาและหน้าอกบวมๆเท่านั้นสิน่ะ คอยดูชั้นเถอะจะทำให้เธอหุบปากกวนๆ นั้นไปแบบไม่ต้องได้เปิดอีกเลย” เคร่ายยาวเป็นชุดแต่ก็ไม่ยั้งเสียงที่เปล่งออกมาเสียงนั้นดังลั่นไปทั่วร้ายนั้นซึงอย่างที่ว่าร้านเองก็มีขนาดไม่ใหญ่มาก แน่นอนว่าทุกคนในร้านต้องได้ยินอย่างชัดเจน

“อุบ...ฮะฮะฮะฮะฮะ สุดยอดเลยนายคิดได้ยังไงละเนี่ย ฮะฮะฮะฮะ” โจเซฟขำกร๊ากออกมาในขณะที่คนอื่นๆตอนนี้หน้าซีดกันเป็นแถบในขณะที่เธอคนนั้นโกรธจนหน้าแดงเหมือนจะระเบิดออกมาเต็มทน ‘ดูท่าทั้งสองคนนี้จะคล้ายๆกันแฮะตรงที่ไม่ยอมแพ้ใครได้เวลาดูโชว์สนุกแล้วสิ หึหึ’ โจเซฟแอบคิดในใจพลางยิ้มไปพลาง

“เห~ อย่างงั้นเหรอครับผมเองก็พึ่งรู้น่ะเนี่ย” เสียงเรียบแต่ดูคุ้นเคยดังขึ้นมาจากข้างหลังของโจเซฟ แต่สักครู่เดียวร่างนั้นก็ค่อยปรากฏขึ้นมาจนโจเซฟเองตาค้างและจะตะโกนออกมาแต่ก็ถูกนิ้วเรียวยาวของคนอีกคนในชุดเดียวกันปิดเข้าที่ปากซะก่อนที่จะเอ่ย “ไม่ได้น่ะครับตอนนี้เงียบๆแล้วรอดูดีกว่า” เจ้าของนิ้วปริศนาอีกคนพูดแล้วพลางขยิบตาส่งให้โจเซฟ

“รุ่นพี่เรนอฟกับ...เอิ่ม...ใครละนั่น ว่าแต่รุ่นพี่มาทำอะไรที่นี่ละเนี่ย” โจเซฟพูดขึ้นแต่ตัวกับเริ่มถอยห่างอย่างไม่รู้ตัว

“เอาเป็นว่าเค้าคือรุ่นพี่นายชื่อ ลู เซเซอร์ เอสคอร์ริน เจ้าหมอนี่มันเป็นอะไรช่างหัวมันเอาเป็นว่าเรามาดูพวกนั้นดีกว่า” เรนอฟชี้ไปที่เคกับสาวปริศนาที่เดินเข้าห้องๆนึงไป โจเซฟและรุ่นพี่ต่างตามไปพบว่าห้องนั้นเป้นมิติอีกมิตินึงที่ถูกสร้างไว้เป็นที่โล่งกว่าซะจนมองไม่เห็นที่สิ้นสุด

“ไม่มีเรื่องต้องคุยกันแล้วเหรอ ชั้นไม่อยากจะสู้กับผู้หญิงเลยให้ตายสิ” เคพูดแล้วเอามือกุมขมับตัวเองอย่างเสียอารมณ์ และเดินไปรักษาระยะห่างเพื่อเตรียมที่จะปะลอง

“ไม่มีอะไรต้องพูดแล้ว!!” เธอพูดแล้วก็ระเปิดพลังออกมาอย่างรุนแรงกายของเธอห้อมล้อมไปด้วยพลังเวทย์สีดำกับสีแดงบรรยากาศถูกกดดันด้วยพลังเวทย์นั้น “แต่ถ้ายังไงชั้นจะบองชื่อเอาไว้สักหน่อยก็แล้วกัน ชั้นชื่ออาโมเน้ จำเอาไว้ซะละชื่อคนที่จะชนะนายในวันนี้ แต่ถึงยังไงก็คงไม่เกินห้านาทีก็คงจบละน่ะ” เธอพูกแล้วเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย

“หึอาโมเน้งั้นเรอะชื่อเหมาะกับเธอเหมือนกันนินา” คำพูดที่เปลี่ยนไปของเคจากที่พูดเสียดแทงแต่กลับกลายเป็นชมเชยทำกับอาโมเน่ต้องอุทานออกมาอย่างสงสัย “งั้นชั้นชื่อ...”

“หยุดแค่นั้นแหละชั้นไม่ต้องการได้ยินชื่อของคนที่จะแพ้ชั้นหรอกน่ะ” อาโมเน้กล่าวพร้อมยกมือขึ้นมาเป็นสัญญาณให้หยุด

“อย่างงั้นเหรอ ช่างไม่ให้เกียรติกันเอาซะเลยน่ะ” เคบ่นพึมพำเบาๆ แต่ใบหน้าแสดงความไม่พึ่งพอใจเอามาก

“เสียงของข้าคือคำประกาศที่นำชัยชนะ...” อาโมเน้กำลังร่ายเวทย์บางอย่างอยู่ขณะที่เคกำลังจับต้นชนความไม่ถูก

“เฮ้ย! จู่ๆก็ร่ายเวทย์แบบไม่ทันตั้งตัวเลยงั้นเหรอ ถ้างั้นจงมาวายุ...” เคเองเริ่มร่ายเวทย์และวพุ่งตัวเข้าไปหาอาโมเน้

“[วาสเซว่าอิควิดต้อม]‘เขตอาคมสีเลือด’ หึช้าไปหน่อยน่ะ” ยังไม่ทันที่เคจะไปถึงตัวอาโมเน้ก็ประกาศชื่อเวทย์มนต์ออกมาทุกพื้นที่ในมิติกลายเป็นสีดำและสีแดงไปหมด รอบๆราวกับว่าถูกล้อมไปหมดเหลือเพียงพวกเค้าทั้งสอง เคเองที่พุ่งตัวเขาไปหาอาโมเน้ก็ต้องกระเด็นออกมาด้วยกระแสเวทย์มนต์ที่แผ่กระจายออกมาอย่างรุนแรง

“อ่าวเฮ้!! นั่นอะไรละเนี่ยแบบนี้ก็มองไม่เห็นสิ” โจเซฟที่แอบตามเข้ามาพูดออกมาด้วยความขุ่นเคืองใจ

“เขตอาคมเวทย์เฉพาะตัวงั้นเหรอ ดูท่าศึกนี้จะรู้ผลแล้วสิ” เรนอฟพูดออกมาเบาๆและทำหน้าเสียดายบางอย่าง

“เรนอฟคุง~ พูดแบบนั้นก็ไม่ถูกน่ะอาจจะไม่จบง่ายๆอย่างที่คิดก็ได้นะครับ” ลูพูดดักขึ้นมาและยิ้มอย่างมีเลห์นัย

ในขณะเดียวกัน

“รับไป! [เทมเพ็มล่าดาปาวานเด้] ร้อยคมดาบวายุเวทย์!” เคเอ่ยชื่อเวทย์มนต์ขณะที่ตัวเองกระเด็นสิ้นคำเอ่ยสายลมก็รวมตัวกันเป็นเหมือนคมดาบแล้วพุ่งไปหาอาโมเน้อย่างรวดเร็ว

“เวทย์กระจอกแบบนั้นอย่าได้คิดว่ามันจะมาถึงตัวชั้นได้เลย [กิลกาดุสอิควิด] โล่สีเลือด” อาโมเน้เอ่ยชื่อเวทย์มนต์บางอย่างทันใดนั้นพื้นที่ราบเรียบกลับยืดออกมาหุ้มตัวเองเอาไว้ วายุเวทย์ที่พุ่งเข้าหาอาโมเน้พุ่งเจ้าใส่พื้นที่หุ่มตัวอาโมเน้เข้าจนเป็นเสียงระเบิดต่อเนื่องดังไปทั่ว

สิ้นเสียงสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าคือกำแพงสีแดงขนาดใหญ่ที่ไร้ซึ่งรอยขีดข่วนจนเคที่เห็นถึงกับชะงักไปชั่วครู่ แต่ร้อยยิ้มกับปรากฎขึ้นมาอย่างหน้าแปลกทั้งๆที่เวทย์ตัวเองไม่ได้ผล กำแพงต่อยๆลดลงมาจนจมหายกลายเป็นพื้นเรียบอีกครั้งอาโมเน้ยังคงสีหน้านิ่ง

“เป็นเขตอาคมที่ไม่เลว” เคเปรียบเปรยขึ้นมาและกวาดตามองไปรอบๆ “เพียงแต่...”

“ขอบใจก็แล้วกันแต่นายคงได้เห็นแค่ครั้งนี้เพียงครั้งแรกและสุดท้าย” เสียงตอบกลับของอาโมเน่เรียกให้เคหันกับมาอย่างทันทีทันใด

“ชั้นยังพูดไม่จบเลยนะ แต่ที่ชั้นจะพูดต่อก็ไม่มีอะไรมาก ก็แค่จะบอกเธอว่าหยุดเพียงเท่านี้นั่นแหละ” สิ้นคำกล่าวเสียงดีดนิ้วของเคก็ดังขึ้นมาพร้อมกับแสงสว่างวาปไปทั่วจนมองไม่เห็นอะไรขณะหนึ่ง จู่ๆเขตอาคมก็เกิดการสั่นสะเทือนจนเกิดรอยร้าวแยกไปทั่วจนอาคมแตกกระจาย

“อะไรกันเนี่ย! เขตอาคมมัน...” เรนอฟตะลึงกับเขตอาคมที่เกิดรอยร้าวขึ้น

“เห็นไหมละเรนอฟคุง~ อะไรก็เชื่อถือไม่ได้หรอก” ลพูดออกมาด้วยสีหน้าที่ไม่มีความสงสัยแม้แต่น้อย

“โอ้ว! เจ้าหมอนี่สุดยอดไปเลยแฮะ แต่ก็ดีน่ะจะได้เห็นซะที” โจเซฟดูท่าจะไม่สนใจรุ่นพี่ทั้งสองแต่กลับดีใจว่าจะได้ดูการต่อสู้ทั้งสองคนนั้นแทน

“บะ...บ้าน่านี่มันอะไรกัน” อาโมเน้กำลังอึ้งอยู่กับอาคมที่ตัวเองร่ายถูกพังทลายในชั่วพริบตา

“แสงสว่างที่ส่องผ่านทามกลางเมฆหมอกที่บดบังพื้นแผ่นดิน เหมือนดังแสงศักดิ์สิทธิ์ชี้นำให้แก่เหล่าชีวิตทั้งมวล [ราฮีลเอรคเครสเควสราเด้] แสงชี้นำจากฟากฟ้า” สิ้นเสียงกล่าวเวทย์มนต์เขตอาคมของอาโมเน้ก็ถูกทำลายสิ้น ทุกอย่างกลับถูกปกคลุมด้วยแสงสว่างก่อนที่จะมารวมกันที่มือของเคและสลายไป

บรรยากาศที่กดดันหายไปเป็นปลิดทิ้งเหลือเพียงห้องโล่งกว้างดังเดิมกับแสงที่ยังสองสว่างอยู่ที่มือของเค อาโมเน้มีสีหน้าที่ดูตึงเครียดกว่าแต่ก่อนที่จะสู้อย่างเห็นได้ชัด แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นตามมาอาโมเน่พุ่งตัวเข้าไปซัดใส่เคแสงสีดำที่เปล่งประกายจากมือเธอแสดงถึงพลังที่อัดแน่นอย่างรุนแรงกับเสียงอากาศที่เสียดสีกับชุดและเวทย์มนต์

“เธอนะ...กำลังเจ็บปวดอยู่สิน่ะ” สิ้นเสียงพูดอาโมเน้ถึงกับหยุดหมัด

“นายว่าอะไรน่ะ!” เธอเอ่ยถามเคอีกครั้งด้วยแววตาที่วาวโรจน์ด้วยความเครียดและสงสัย

“เธอนะจริงๆแล้วไม่ได้มีความต้องการที่จะสู้กับชั้นสักนิดเดียว เพียงแค่ต้องการที่จะระบายบางสิ่งที่อัดแน่นอยู่ภายในใจเธอเท่านั้น” เคตอบกลับด้วยสีหน้าและแววตาที่จริงจังตาของเค้าจ้องมองไปยังดวงตาของอาโมเน้อย่างแน่วแน่

ดวงตาของเธอเบิ่งกว้างขึ้นราวกับว่าสิ่งที่คพูดไปนั้นได้สือไปถึง “นะ...นายพูดอะไร มีอะไรมายืนยันว่าชั้นไม่มีความตั้งใจที่จะสู้กัน” อาโมเน้เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ดูสั่นภาพในใจก็เริ่มพุดขึ้นมาเหมือนดังในอดีตคำพูดนั้นมาซ้อนทับกัน

“ดาบยังไงละ...”

“ดาบ...นายจะบอกว่าอะไรกันแน่” อาโมเน้เริ่มออกท่าที่โวยวาย

“เธอน่ะไม่ได้ใช้ดาบเลยไม่ใช่เหรอ” เคพูดพร้อมก้าวไปข้างหน้าและเดินไปจนหยุดอยู่ตรงหน้าเธอ อาโมเน้ได้แค่ก้อมหน้าลงไปแต่แล้วเธอก็พูดออกมา “นะ...หนวกหูน่า! นายแอบเข้ามาดูจิตใจของชั้นงั้นเหรอ!” เธอตะโกนออกมาอย่างดังจนพวกรุ่นพี่และโจเซฟได้ยินว่าแล้วเธอก็ซัดหมัดเข้าไปที่ท้องเคจนเคกระเดนออกไป

“เฮ้ย! เจ้าบ้าแกทำอะไรละนั่นปล่อยให้โดนชกซะงั้น” โจเซฟที่นั่งมองตะโกนออกไปด้วยความสงสัยแต่ก็ไม่มีอะไรตอบกลับมา

“เธอกับชั้นมีอะไรที่คล้ายคลึงกันตางหาก” เสียงเรียบตอบกลับ “หึ...เอาเป็นว่าพอแค่นี้ก่อนก็แล้วกันถ้ามีโอกาศเราคงได้พบกันอีก และอีกอย่างคือชั้นไม่มีกระจิตกระใจสู้กับคนที่ไม่มีความตั้งใจที่จะสู้หรอกน่ะ” เคพูดจบก็เดินออกไปปล่อยเธอยืนคิดคำพูดของเค้าที่เอ่ยออกไป

หลังจากทั้งหมดมาถึงยังมอลตี้แล้ว ทุกผู้คนก็ต้องเข้าไปยังห้องประชุมใหญ่เพื่อผังรายละเอียดต่างๆของการเป็นนักเรียนที่นี่

ภายในห้องประชุม

เก้าอี้ถูกจัดเรียงไว้เป็นขั้นบันใดอย่างเป็นระเบียบล้วนถูกจับจองไว้สิ้น และคู่หูตัวเอกเราก็ยังคงเหมือนเดิม มีหรือที่พ่อตัวแสบเราจะชอบงานเป็นพิธีอย่างนี้เลยเลือกที่จะนั่งแถวหลังๆมาพอสมควรเพื่อการสัปหงกที่แนบเนียน(?) และเมื่อประตูห้องประชุมได้ปิดลงอันเป็นสัญญาณว่าเหล่านักเรียนใหม่มากันครบแล้วนั้น ชายร่างท้วมท่าทางใจดีคนหนึ่งก็ก้าวขึ้นบนเวทีพร้อมตบมือเสียงดังก้องเป็นการเชื้อเชิญให้สนใจสิ่งที่จะกล่าวขึ้น

“อะแฮ่ม เอาหละนักเรียนทั้งหลายเงียบก่อนเงียบก่อน ชั้นคงต้องพูดสวัสดีพวกเธอทั้งหลายกันก่อนสินะ เอาหละ ขอแสดงความยินดีกับเหล่าผู้มีความสามารถทุกคนที่ผ่านการทดสอบแสนหฤหรรหรือเปล่านะ ช่างมันเถอะ และก็ยินดีต้อนรับสู่รั้วโรงเรียนมอลตี้แห่งนี้ ชั้นศาสตราจารย์ ไลต์ริง แบลคบาซิเลส ถ้าพวกเธอโชคดีอาจจะได้เจอชั้นเป็นอาจารย์สอนนะ และขอบอกว่าชั้นโหดมากนะ ฮ่าๆๆ เอาหละ นอกเรื่องมากไปแล้ว ขอเข้าเรื่องเลยละกัน” เขากล่าวด้วยเสียงดังก้องทั่วห้องทั้งที่ไม่ได้ใช้เครื่องขยายเสียงใดใดช่วยเลย และด้วยน้ำเสียงเป็นกันเองของเขาและบรรยากาศสบายๆที่ปล่อยออกมายังช่วยหใความตึงเครียดเล็กในห้องนี้หายไปอีกด้วย

“พวกเธอตอนนี้เป็นนักเรียนชั้นปีที่หนึ่งของที่นี้และแน่นอนที่นี่เป็นโรงเรียนประจำเพราะงั้นพวกเธอก็นอนที่หอพักของโรงเรียนนี้เองเลย และขอบอกไว้ก่อนเลยว่าที่นี้เป็นหอพักรวมเพราะฉะนั้นก็ทำความรู้จักกันไว้หละ ไงไงพวกเธอก็จะเจ๊อะหน้ากันไปอีกนาน โฮ่ๆๆ และขอแสดงความยินดีกับบางคนเพราะที่นี่เป็นห้องพักคู่ ฮะฮะฮะ และเป็นห้องส่วนตัวอีกด้วย” เสียงของเหล่าเด็กเริ่มดังเซ็งแซ่ไปทั่วจน ศาสตราจารย์ร่างใหญ่ต้องตบมือเรียกอีกรอบ

“ฮ่าๆๆ ชั้นรู้ว่าทุกคนตื่นเต้นแต่เก็บไว้ก่อนเพราะกว่าจะเริ่มเรียนจริงๆก็อีก3วันนู้นพวกเธอมีเวลาอีกเยอะ เอาหละกลับเข้าเรื่องอีกรอบ พรุ้งนี้เราจะมีการทดสอบเพื่อแยกสายการเรียนตามระดับฝีมือของแต่ละคนด้วย แบ่งเป็นห้อง A B C D E F และแน่นอนห้องพิเศษ S และไม่ต้องอธิบายเพิ่มหลายคนคงรู้ว่าระดับไหนอยู่ห้องอะไรสินะ โฮ่ๆๆ เอ...ใช่สิสำหรับนักเรียกที่อยู่ระดับAและระดับSจะมีห้องพักเศษให้อีกต่างหากแต่ก็มีกฏไว้ด้วยน่ะว่าใครที่อยู่ห้องสองห้องนั้นจะต้องรับคำประกาศศึกจากห้องที่อยู่ต่ำกว่าด้วยน่ะ โฮ่ๆๆๆ ตื่นเต้นใช่ไหมละ เอาหละสำหรับเรื่องหอพัก โรงเรียนมีหอพักทั้งหมดเจ็ดหลังแต่ไม่ได้มีอยู่กันคนละทิศหรอกนะ ฮะฮะ เพราะทั้งหมดอยู่ติดกันทางทิศเหนือของอาคารโรงอาหารด้านหลังนี้เอง ส่วนห้องพักจะแจ้งในใบประกาศซึ่ง....”

เป๊าะ! ศาสตราจารยไลต์ริงดีดนิ้วขึ้นครั้งหนึ่งก็ปรากฏกระดาษหล่นมายังเบื้องหน้าของเหล่านักเรียนในทันที

‘อธิบายซะยาวยืดเลยแฮะแต่ก็ดูแล้วก็น่าสนใจไม่เลวขอเพียงแค่อย่าไปตกอยู่กับห้องสองห้องนั้นก็เป็นพอสิน่ะ แต่ยังไงก็ช่างเถอะพวกนักเรียกพึ่งสมัครคงไม่มีทางไปประจำห้องนั้นได้อยู่แล้ว’ เคนึกคิดในใจพลางพยักหน้าเป็นเหมือนตอบตัวเองไป

“ทั้งหมดแจ้งไว้ในใบนั้นหมดแล้ว และก็ขอบอกไว้เลยว่า ห้องนี้พวกเธอใช้ยันเรียนจบเลยแหละ โฮ่ๆๆ บอกแล้วพวกเธอจะได้เจ๊อะหน้ากันไปอีกนานเอาหละ สำหรับหน้าที่ของชั้นก็คงหมดแค่นี้ มีอะไรจะกล่าวกับนักเรียนใหม่ทั้งห้าร้อยคนไหมหละครับท่าน ผ.อ.” ศาสตราจารย์กล่าวยิ้มๆพลางหันหลังกลับไปยังเหล่าคณาจารย์ทั้งหลายที่นั่งๆยืนๆอยู่ข้างเวที

“ขอบคุณที่เหนื่อยนะ ไลต์ริง” เสียงใสๆเอ่ยขึ้นพร้อมการปรากฏตัวของสาวน้อยในชุดกรุยกรายแบบโกธิคที่เดินขึ้นมา “สำหรับชั้นคงไม่มีอะไรจะพูดแล้วหละนะ ยังไงก็ของแสดงความยินดีแก่ทุกผู้ที่อยู่ที่นี้ และ ยินดีต้อนรับสู่รั้วมอลตี้แห่งนี้ ขอให้สนุกกับชีวิตการเรียนนะชั่นชื่อว่า อาเดเรีย ลอนดิอ้อน เซ็ตซาเลเทีย อย่าที่ได้ยินชั้นเป็นอาจารย์ใหญ่ของที่นี่และเป็น ผ.อ. ที่นี่ ยังไงก็หวังไว้ว่าทุกคนจะพบสิ่งที่ตัวเองต้องการในรั้วมอลตี้นี้” ว่าจบก็เดินลงจากเวลทีไป

“โอ๊ะ! นั้นเด็กผู้หญิงที่สั่งให้พวกทหารเกราะดำที่เราฟัดกับมันที่ราเซนนุหยุดวุ่นวายกับพวกเรานี้นา ใช่ไหมฟะ เค” โจเซฟที่ใกล้จะสัปหงกลุกขึ้นมองพลางกระซิบบอก เค ที่นั่งอยู่ข้างๆ “อืม มิน่าหละถึงสามารถสั่งพวกทหารนั้นได้ เป็นถึง ผ.อ. ของที่นี่เองหรือเนี้ย” ‘คิดไปเองรึเปล่านะที่เค้าหันมาส่งสายตามาทางพวกเรา’ แต่ก็คงได้แต่คิดค้างไว้เพราะ ผ.อ. ที่ว่าเดินหายไปหลังเวทีแล้ว

“เอาหละ ในเมื่อได้ใบประกาศกันครบแล้ว ในนั้นจะบอกทุกอย่างที่ต้องรู้และควรรู้ไว้หมดแล้วหละนะ พวกเธอเดินทางมาเหนื่อยๆคงได้เวลาไปเข้าห้องพักได้แล้วหละ ทางด้านหลังของอาคารนี้เป็นโรงอาหาร สำหรับนักเรียนของเรากินฟรีไม่ต้องมีตังจ่าย ฮะฮะฮะ โรงอาหารจะเปิดตอน หกโมงเช้า และจะปิดตอนห้าทุ่มตรงนะ เลยจากที่นั้นไปก็จะเป็นหอพักเรียงตามเบอร์เลยนะ ส่วนห้องของแต่ละคนดูจากหมายเลขห้องนะตัวแรกจะเป็นหมายเลขตึก ต่อด้วยชั้น และปิดด้วยลำดับห้อง สำหรับการทดสอบในวันพรุ้งนี้จะมีขึ้นตอนสิบโมงให้นักเรียนทุกคนมารวมกันที่สนามใหญ่ของโรงเรียนแล้วตอนนั้นจะมีประกาศอีกรอบนึง เอาหละในเมื่อไม่มีอะไรแล้วก็เชิญตามสบายเลย ถ้ามีปัญหาอะไร อาคารห้องพักของอาจารย์อยู่ที่ตึกสีส้ม มองจากตรงนี้ก็เห็นแล้ว ขอปิดปฐมนิเทศไว้แค่นี้แหละ โฮ่ๆๆ” สิ้นเสียงของศาสตราจารย์เขาก็หายตัวไปอย่างรวดเร็วสร้างความฉงนให้เหล่านักเรียนบ้างบางส่วน

“นายได้ห้องไหนฟะ เค” นายตัวแสบของเราเอ่ยขึ้นกับเพื่อนของเขาหลังจากเดินออกมาจากห้องประชุม

“4413 ตัวเลขอย่างแจ๋วทั้งนั้นเลย เฮ้อ ของนายหละ เอามานี้ชั้นดูให้ ให้นายถือหนะไม่รอดหรอก อืม...ห้องเดียวกันนี้นาซวยชะมัด แต่ก็ดีแล้วหละที่ไม่ต้องไปอยู่กับคนที่ไม่รู้จัก” เคพูดจบก็ออกเดินนำไปยังหอพักของพวกเขาทันที

หอพักที่ 4 อยู่ทางซ้ายมือสุดของหมู่หอพัก เป็นอาคารสีเขียวสูง 5 ชั้นด้านหน้าตึกเป็นสวนสำหรับผู้ต้องการพักผ่อนและมีร้านขายขนมเครื่องดื่มอยู่ประปรายตามรายทาง

“ชั้นที่สี่ ห้องที่สิบสาม ห้องนี้สินะ” เค เอ่ยพร้อมกันนั้นก็ผลักประตูเข้าไปยังห้องพักของพวกเขา

ห้องขนาดพอเหมาะ เตียงตั้งอยู่สองฝั่งของห้องด้านข้างมีตู้เสื้อผ้าให้ฝั่งละตู้พร้อมโต๊ะหนังสือสองตัวตั้งอยู่ข้างประตูที่เปิดไปยังระเบียงห้อง มีประตูห้องน้ำอยู่ใกล้ๆกับประตูทางเข้าที่พวกเขาเข้ามา

“อืม หอพักโรงเรียนได้ขนาดนี้ก็หรูแล้วหละ ชั้นจองฝั่งขวา นายเอาซ้ายไปละกัน” ว่าแล้วโจเซฟก็เดินขึ้นไปนอนบนเตียงฝั่งที่ว่าอย่างไม่รอคำตอบจากเพื่อนร่วมห้องของเขาเลย

“นายนี้น้า จะสบายเกินไปแล้ว ช่างเถอะ รู้สึกในใบจะเขียนว่าอุปกรณ์การเรียนทั้งหมดเตรียมไว้ให้แล้วสินะ”ว่าจบก็เปิดตู้เสื้อผ้าดูภายในมีเสื้อยูนิฟอร์มของนักเรียนชั้นปีที่หนึ่งอยู่ห้าตัว “รู้สึกในใบจะแจ้งว่าจะมีเสื้อคลุมประจำเฉพาะของแต่ละห้องด้วย คงจะแจกตอนที่ทดสอบเสร็จหละมั้ง ส่วนหนังสือเรียนก็คง....” ว่าพลางหันไปดูที่โต๊ะหนังสือซึ่งมีหนังสือกองอยู่ชุดหนึ่งบนนั้น “อืม ครบถ้วน ที่เหลือก็มีแต่ของใช้ส่วนตัว และอื่นๆที่เอามาเองสินะ ของนายครบไหมโจเซฟ”ว่าจบก็หันไปหาคู่หูของเขา

ครอกกกก ฟี้~~ แต่มีเพียงเสียงกรนเบาๆตอบกลับมาเท่านั้น แทนที่จะโมโห เค กลับถอนหายใจอย่างปลงๆ “เฮ้อ อยากเป็นนายจริงๆเล้ย ทำตัวเรื่อยเปื่อยไปเรื่อยๆได้อย่างนี้” ว่าจบก็หันไปหิดไฟพร้อมกับขึ้นนอนบนเตียงอย่างเหนื่อยอ่อนจากอาการเหนื่อยล้าสะสมมาหลายวัน “แล้วพรุ้งนี้ปลุกแล้วต้องตื่นนะเฟ้ย”เคเอ่ยเหมือนจะพูดกับอีกฝ่ายที่หลับเป็นตายไปแล้ว

“ตัวชั้นหนะ ไม่ได้เรื่อยเปื่อยไปเรื่อยๆหรอกนะ เพียงแต่ชั้นก็มีเหตุผลของชั้นเองเหมือนกันที่จะทำอะไรต่อมิอะไร” โจเซฟเอ่ยขึ้นเบาๆ แต่แล้วก็กลับไปนอนต่ออย่างรวดเร็ว ซึ่ง เค เองก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก

แสงตะวันเริ่มสาดส่อง เสียงนกเริ่มร่ำร้องออกหากิน เป็นสัญญาณของเช้าวันใหม่แสงส่องเข้ามาทางหน้าต่างแยงตา ปลุกให้ เค ตื่นขึ้นจากนิทรารมณ์

“ฮ้าว~ เช้าแล้วสินะ เฮ้อ อาบน้ำแล้วมาหาวิธีปลุกนายโจไปกินข้าวดีกว่า” ว่าแล้วก็ลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป ซักประเดี๋ยวต่อมาเขาก็ออกมาด้วยชุดรุ่มร่ามเหมือนเดิมแต่ดูสะอาดกว่าชุดเก่า

“เฮ้ย! ตื่นได้แล้วนายตัวแสบแล้วไปกินข้าวกันชั้นหิวแล้วนะเฟ้ย” ว่าแล้วก็ออกแรงสะบัดผ้าห่มอย่างแรงพร้อมกันนั้นก็ใส่เวทย์ลมอ่อนๆไปด้วย ผลคือนายโจเซฟของเราโดยลมพัดลอยตกเตียงไปเลย

ตุ๊บ! “อ้าก! ไมพี่สาวคนสวยพาเดินมาตกเหวได้ฟะเนี้ย หืม? ”

“ไง สวัสดียามเช้านะ ฝันหวานจบได้แล้ว ไปทำธุระส่วนตัวซะ ชั้นให้เวลาสิบนาที ตอนนี้ แปดโมงกว่าๆ เสร็จแล้วจะได้ไปกินข้าวกันชั้นหิวแล้วนะเฟ้ย” เคพูดพลางใช้เวทย์ลมพับผ้าห่มให้วางกลับลงบนเตียง

“ไรฟะ ปลุกกันอย่างนี้ แล้วยังมาสั่งอยู่ได้” ได้แต่บ่นอุบอิบแต่ก็ยังทำตามที่เค้าบอก ชั่วครู่ต่อมาทั้งคู่ก็มานั่งอยู่ที่โรงอาหารแล้ว

“โอ้ ใช้ได้นี้หว่า อาหารอร่อยมากเลยนะเนี้ย” “กินเงียบๆไปไม่ได้เหรอไง นายหนะ”เคอดไม่ได้ที่จะแขวะขึ้นมา

หลังจากกินเสร็จแล้วทั้งคู่ก็ออกเดินมายังสนามหญ้าใหญ่ที่หลายๆคนก็เริ่มมานั่งรอการทดสอบกันแล้ว

“ยังเหลืออีกกี่นาทีกว่าเค้าจะเริ่มกันหืม? เค” โจเซฟเอ่ยด้วยท่าทางหน่ายๆ “ตอนนี้เก้าโมงสามสิบกว่าๆ อีกราวยี่สิบนาที ใกล้ๆเค้าคงประกาศบอกแหละ แล้วนั้นนายจะไปไหนหนะโจเซฟ” เค ดูนาฬิกาเรือนใหญที่ติดอยู่ข้างตึกเรียนด้านหน้า พร้อมกันนั้นก็หันมาถามเพื่อนเขาที่เดินออกไปยังอาคารตรงหน้า

“สำรวจสถานที่ซะหน่อย นายรออยู่แถวๆนี้แหละ เดี๋ยวชั้นกลับมา” โจเซฟ พูดจบก็เดินก้าวฉับๆไปอย่างรวกเร็ว

“กลับมาให้ทันก็แล้วกัน”เค ตะโกนไล่หลังไป ‘สังหรณ์ไม่ดีแปลกๆ เหมือนจะเจอเรื่องซวยๆแฮะวันี้ และ ตัวนำพาก็คงเป็นอย่างเดิม เฮ้อ แล้วชีวิตแสนสงบสุขของชั้นมันอยู่ที่ไหนกันนะ’ คิดพลางเดินไปนั่งรอใต้ต้นไม้แถวๆนั้น

ไปยังอีกคนของเราที่ตอนนี้.......

“อืม ที่นี้มัน......ที่ไหนกันฟะ” โจเซฟเดินอยู่ในอาคารหลังหนึ่งมีประตูห้องเป็นระยะๆไปจนสุดทางเดินที่ไกลลิบๆ “ที่นี้มันกว้างจริงๆเลยนะเนี้ย แล้วมันห้องอะไรมากมายนักนะ” พูดพลางเปิดห้องแต่ละห้องเป็นพักๆด้วยความเบื่อหน่าย

“เฮ้อ ห้องอะไรก็ไม่รู้เยอะแยะไปหมดเลยนะเนี้ย หืม? ห้องนี้ไม่มีป้ายชื่อห้องแฮะ ว่าแล้วก็เปิดซะหน่อย”

แกร๊ก! “หืม?” “เอ๊ะ!” เจ้าตัวแสบเปิดประตูไปแต่ก็ต้องตะลึงเมื่อสิ่งที่เค้าพบก็คือ หญิงสาวผิวสีไข่นวลสวยกับใบหน้าสวยได้รูป ริมฝีปากสีชมพูอ่อนๆเข้ากับหน้าเผยอขึ้นเล็กๆ ผมสีเขียวมรกตดูสดใสยาวถึงกลางหลัง เข้ากับดวงตาสีทองนวลอ่อนๆที่มีแววตกใจอยู่เล็กๆ โจเซฟที่เห็นอย่างนั้นก็ถึงกับจ้องมองอ้าปากค้างไปเลยแต่ที่ค้างไปนั้นไม่ใช่อะไรเพราะ คุณเธออยู่ในชุดผ้าเช็ดตัวพาดอกอยู่นั้นเอง ทำให้เห็นทรวดทรงเพรียวบางอย่างชัดเจน

“เออ....เอาหละผมขอโทษที่เปิดมาโดยไม่ตั้งใจ เพราะฉะนั้นอย่าได้.....” โจเซฟเอ่ยขึ้นพลางหลับตาหันหลังอย่างรวดเร็ว แต่ยังไม่ทันที่จะพูดจบ

“กรี๊ดดดดดดดดด! พวกโรคจิต ตายซะเถอะ!” หากแต่หญิงสาวนางนั้นกลับร้องขึ้นมาพร้อมกันนั้น เธอก็ชี้นิ้วที่มีประกายของพลังเวทย์สีแดงเข้มปรากฏอยู่ “อย่าอยู่เลย อิกนิค โลดิเอจ รีเวนเจอร์(เส้นแสงระเบิดเพลิงส่องฟ้า)”

วิ้งงงง ตูม! “ว้ากกกกก! ” ลำแสงสีแดงเข้มพุ่งออกจากปลายนิ้วเรียวของเธอใส่จุดที่ โจเซฟ ยืนอยู่ไม่ทันไรก็เกิดระเบิดขึ้นอย่างรุนแรงส่งผลให้นายโจเซฟของเราปลิวลอยละลิ่วออกมาจากอาคารนั้นทันใด

กลับมาทางด้าน เค ของเรา

“สังหรณ์แบบนี้มัน จะเป็นลางซวยๆที่ชั้นต้องเจอรึเปล่านะ” เคบ่นพึมพำที่ใต้ต้นไม้นั้นอยู่ ชั่วครู่ต่อมา

ตูม! เกิดการระเบิดอย่างแรงที่ด้านหลังอาคารเบื้องหน้าของเขา

“หืม? ระเบิดนั้นมัน หลังอาคารนั้น เอ๊ะ หวังว่านั้นคงไม่ใช้ฝีมือของ....” ไม่ทันที่จะว่าจบก็มีเสียงหนึ่งลอยเข้ามาในโสตประสาตจนต้องแหงนขึ้นไปมอง

“ว้ากกกกกก! เค หลบไป” เสียงนั้นร้องบอกเขา

“เอ๊ะ เสียงนี้มันคุ้นๆนะ เฮ้ย!” เค ที่กำลังพยายามแปลงรูปแบบสารที่ได้รับอยู่นั้นก็ต้องตกใจสะดุ้งตัวอย่างแรงเมื่อมีบางสิ่งลอยมาตกข้างๆเขาพอดีนั้น

ตุ๊บ! “แอ๊ก!” เสียงดังขึ้นพร้อมกับการปรากฏของสิ่งที่ตกลงมา มันคือร่างของเพื่อนเขาที่ตอนนี้ส่วนหัวจมอยู่ในดินข้างๆเขาในสภาพที่จะตายมิตายแหล่

“เฮ้ย โจ เฮ้ย ไปทำบ้าอะไรมานี้ เจ้าบ้าอย่าเพิ่งตายตอนนี้นะเฟ้ย อึ๊บ!” เคที่เห็นเพื่อเป็นอย่างนี้ก็ลุกลี้ลุกลนรีบดึงเพื่อนออกมาจากดินเป็นการใหญ่

..... ครู่ต่อมา......

“โอเค นายเกิดคึกไปทำบ้าอะไรเข้าหนะหา อธิบายมาซะดีดี” เค ที่ตอนนี้นั่งมองเพื่อนเขาที่นั่งปัดฝุ่นออกจากตัวด้วยท่าทางเอาเรื่องเอ่ยด้วยเสียงขุ่นๆ

“ก็แค่ไปเห็นของดี เอ๊ย! ก็แค่ไปเจอกับยัยผู้หญิงระเบิดเพลิงคนนึงเข้าเท่าเองแหละน่า ไม่ต้องไปสนใจหรอก หน๋อย ยิ่งคิดยิ่งคันมือ ยิงมาได้ไม่ฟังเหตุผลกันก่อนเลย คอยดูนะเจอตัวพ่อจะเล่นให้จั๋งหนับเลย” พูดพลางกำมือแน่นเป็นเชิง ชั้นจะแก้แค้นคอยดู

“ไงไอหนู หน่อมแน้ม ทำท่าอย่างกับจะไปฟัดกับใครเค้าได้อย่างนั้นแหละ ลูกเจี๊ยบจริงๆนะไอหนู ฮะฮะฮะ” เสียงกวนๆเอ่ยขึ้นทำให้โจเซฟต้องชักสายตากลับไปมองว่าผู้ใดกันที่มาดูหมิ่นเขา

รุ่นพี่ร่างใหญ่สี่คนกำลังเดินกร่างผ่านพวกเขาไป “ฮึ มองอะไรไอลูกเจี๊ยบ มองงี้หาเรื่องกันรึไง หืม? ว่าไง ฮะฮะฮะฮะ” ชายหน้าลิงคนแรกเอ่ยขึ้นพร้อมกันนั้นก็หันไปหัวเราะกับสหายหน้าลิงอีกสามตัวด้านหลัง

“อะไรกัน แค่ลิงหิวกล้วยปากสุนัขเองเหรอ เอาเถอะ ถ้าหิวนักเดี๋ยวซื้อกล้วยแจกเอาไหมหละ” โจเซฟยืนขึ้นเอ่ยกลับไปท่าทางเอาเรื่องไม่แพ้กัน ขณะเดียวกัน เค ก็เริ่มย่องหนีอย่างแนบเนียน ‘กะแล้ว ชั้นสังหรณ์ไม่ดีมาตั้งแต่แรกแล้ว ของลี้ภัยก่อนหละงานนี้นายทำ นายก็จบเรื่องเองละกันนะ’

“อ้าวไอหนู ปากหรือนั้น พูดงี้อย่างมีเรื่องเหรอไงกัน ห๊า” หน้าลิงเบอร์หนึ่ง ยื่นหน้าเข้ามาทำท่าข่มขู่ ซึ่งหากเป็ฯคนอื่นคงจะกลัว แต่ไม่ใช่โจเซฟเราซะหรอก เขาแค่นหัวเราะ นิดๆ จนเริ่มทนไม่ไหว ปล่อยก๊ากออกมาคำโต

“ก๊ากๆๆๆ ทำหน้าอะไรของนายหนะ หน้าลิงแล้วยังจะมาทำท่าแบบนั้นโคตรฮาเลย ผมว่าพี่เหมาะจะไปเป็นดาวตลกนะ ท่าจะรุ่งมากเลยแหละ ฮะฮะฮะ” พูดพลางกุมท้องแน่น หัวเรอะอย่างไม่อายใคร จนเลห่าเด็กปีหนึ่งใกล้เองก็หัวเราะเล็กๆตามเหมือนกัน

เหล้าสหายลิงทั้งสี่เริ่มโกรธจัด สังเกตุได้จากหน้าที่เริ่มแดงปลั่งเป็นลูกมะเขือ “พูดงี้ก็สวยสิ ไอลูกเจี๊ยบ”

“ไม่เอาอะ ผมผูชายทั้งแท่งเพราะงั้นผมก็ต้องหล่อสิ สวยไม่ได้นะ ฮะฮะฮะ เข้าใจใช่ไหมพ่อลิงหัวปลาหมึกต้ม ฮ่าๆๆๆๆ” ว่าจบก็หัวเราะออกมาอีกละรอก พวกนักเรียนโดยรอบก็หัวเราะตามกันใหญ่

“หน๋อย ไอเด็กนี้ ได้ ในเมื่อนายวอนเองนะ”หน้าลิงเบอร์หนึ่งพูดจบก็ชักสนับมืออันโตออกมาใส่

“ไอ้คนวอนนะพี่เองนี้ ผมอยู่ของผมดีๆพี่มาเริ่มเองนะ” ‘แต่ก็ดี จะได้หาอะไรระบายรมณ์ซะหน่อย’คิดเสร็จก็ตั้งท่าเตรียมตอบโต้ทันใด

“อ่าว! นี้พวกเธอถ้าจะก่อเรื่องกันก็ไปทำกันนอกโรงเรียนสิจ๊ะ” เสียงใสๆเอ่ยขึ้นทำให้ทั้งหนึ่งคนและสี่ตัว(?)หันไปมองผู้ที่มาขัดจังหวะตน

“เอ๊ะ! ผ.อ. ใช่ไหมหว่า” โจเซฟ เมื่อหันไปเห็นเด็กสาวในชุดกรุยกรายแบบโกธิคก็นึกขึ้นได้ว่าคุ้นๆใคร

“อ้อ เธอ นั้นเองที่ฟัดกับทหารที่ราเซนนุ ใช่ไหม หึหึหึ เลือดร้อนจังนะ ถ้าอยากจะฟัดกันนักหละก็.....” เธอพูดพลางเอานิ้วจิ้มแก้มยิ้มอย่างมีเลศนัย

........... ครู่ต่อมา.............

“ขอประกาศการทดสอบเลือกสายเรียก คู่แรก เรอาน่อน เครเทอร์ โจซาเฟีย กับ เรฟารัส คาลิว เคย์ ทดสอบด้วยการ....” เสียงรัวกลองดังเพื่อเสริมความตื่นเต้น ซึ่งนักเรียนหลายๆคนก็คิดว่า ทำไปทำไม

“ประลองฝีมือกับรุ่นพี่จ้า” ปุ้ง! พลุกระดาษแตกเหมือนแสดงความยินดีเหมือนถูกรางวัล พลางผายมือไปบนเวทีที่ตอนนี้มีหกชีวิตยืนอยู่ ฝั่งหนึ่งของพระเอกหน้ามนของเราเรา และแกฝั่ง ตัวประกอบหน้าลิงทั้งสี่นั้นเอง

“ฮึฮึ แล้วไปหน้าลิงพวกนั้นจะได้อับอายต่อหน้าฝูงชนทั้งหมด” เหล่ารุ่นพี่หน้าลิงต่างแสยะยิ้มเหี้ยมเกรียมดุดัน พลางบีบนิ้วตัวเองจนเกิดเสียง

“นี่ ..ถามหน่อยเถอะนี้มันเรื่องของนายแล้วทำไมชั้นถึงต้องมาซวยด้วยละเนี่ย”เค เอ่ย ขึ้นอย่างหน่ายๆพลางส่งสายตาเป็นเชิงถามไปหาคู่หูเขาที่ยืนดัดข้อมืออยู่ข้างๆเป็นเชิง พร้อมลุย

“จะไปรู้เรอะ ชั้นก็กะจะซัดมันให้หมดเองอยู่แล้ว แต่ ผ.อ. เค้าเรียกนายมาเองนี่ ชั้นจะไปรู้เรื่องอะไร” โจเซฟเอ่ยตอบแบบไม่หันมามอง

“ว่าแต่ชุดที่ให้มาเนี่ยมันดูดีอยู่หรอกแต่ตัวเลขที่อยู่บนเจ้ากลมๆเนี่ยมันอะไรหว่า” เค บ่นออกมาให้คู่หูตัวเองได้ยินอย่างชัดเจนจนเจ้าตัวดีเองก็หยิบขึ้นมาดูอย่างสงสัยเองเช่นกัน

“อ้อ! ชั้นนึกออกแล้ว เห็นว่ามันเป็นค่าพลังอะไรสักอย่างเนี่ยหละ” คนที่พึ่งนึกออกรีบโพลงขึ้นมาและเอามือมาทุปกันเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าพึ่งนึกออก

“นายนี่มัน...” เคส่งสายตาใส่แทนคำพูดแต่ดูท่าจะได้ผลดีกว่าเพราะเจ้าตัวดีเริ่มออกอาการ

“เฮ้อ~ แต่ยังไงก็น่าเบื่ออยู่ดีแหละ ชั้นไม่ชอบทำอะไรแบบนี้เลยให้ตายสิ”

“ถ้าไม่อยากยุ่งก็ยืนนิ่งๆไปเดี๋ยวชั้นจัดการเอง แต่ขอบอกอะไรไว้หน่อยน่ะ นายนะเคยบอกว่าจะไม่ยอแพ้ง่ายๆแต่ดูนายตอนนี้สิอ่อนปวกเปียกราวกับว่าไม่เหลืออะไรแล้วอย่างงั้นแหละ ชั้นก็ไม่อยากพูดน่ะแต่ชั้นเริ่มเสียใจกับการที่ต้องมาจับคู่กับนายซะแล้วสิ นายนี่มันปากพูดแต่ตัวนั้นกลับทำตรงกีนข้ามเลย ” ว่าจบก็เตรียมพร้อมเพราะกรรมการเริ่มให้สัญญาณเตรียมพร้อมแล้ว

ในขณะที่เคกำลังเดินซึมออกไปก็มีเสียงจากภายในตัวดังขึ้น เสียงที่ชวนคิดถึงภาพที่คุ้นเคย เด็กหนุ่มในชุดสีดำที่พูดออกมา ‘ถ้านายละทิ้งไปแล้วก็ไม่มีทางที่จะก้าวเดินต่อไปได้ นายต้องการสิ่งนั้นจริงๆเหรอ…’ เคได้แค่นึกถึงและกุมหน้าอกแล้วเดินออกไป

“การทดสอบรอบที่หนึ่ง เริ่มได้ โฮ่ๆๆๆๆ” สิ้นเสียงประกาศของศาสตราจารย์ไลต์ริง เหล่ารุ่นพี่หน้าลิงทั้งสี่ก็พุ่งเขาใส่ฝั่งพระเอกเราแทบจะทันที หนึ่งโดดเข้าใส่โจเซฟ และอีกสามโดดหาเค

“เฮ้อ นี้เราต้องมาเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้อีกแล้วสินะ เอาชีวิตที่สงบสุขของชั้นคืนมานะเฟ้ย เจ้าพวกบ้าเอ๊ย!” เค พูดจบก็ตั้งท่าเตรียมโต้ตอบทันทีแต่หากว่าพร้อมกันนั้นก็เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น

ฟิ้ว~ ตูม! แกรกๆๆๆ แสงสีฟ้าพุ่งลงมา ณ จุดที่รุ่นพี่หน้าลิงทั้งสามยืนอยู่เกิดการระเบิดพร้อมอุณหภูมิที่ลดลงอย่างรวดเร็วทันใด ภายหลังจากฝุ่นควันที่คละคลุ้งอยู่เริ่มลดน้อยลง สิ่งที่ประจักแก่สายตาผู้คนคือภูเขาน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่ภายในบรรจุด้วยร่างของเหล่ารุ่นพี่หน้าลิงทั้งสามในอิริยาบทที่กล่าวได้ว่าตื่นตกใจซะไม่มี

“นี้มัน เวทย์น้ำแข็ง! เวทย์แบบนี้คนที่ใช้ได้ที่เรารู้จักก็...คง....ไม่ไม่ เป็นไปไม่ได้ มันไม่มีทางก็.....” เค ที่กำลังยืนบ่นกับสถานการณ์เบื้องหน้าอยู่คนเดียว แต่ก็คงได้แต่บ่นอยู๋เพียงเท่านั้นเมื่อเสียงหวานๆที่แสดงน้ำเสียงขุ่นเคืองร้องขึ้นยังผลให้เขาหันไปทางต้นเสียง

“เค ในที่สุดก็หาเจอ” หญิงสาวเรือนผมสีน้ำตาลเข้มพร้อมใบหูสุนัขจิ้งจอกบนหัวยืนอยู่ข้างเวทีพร้อมใบหน้าที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อบ่งบอกถึงความเร่งรีบที่ก่อนหน้านี้วิ่งออกตามหาเจ้าของชื่อที่เอ่ยออกมานั้น

“มาชิโระจัง รอกันด้วยสิรีบร้อนไปไหนกัน ไม่ยอมบอกยอมกล่าวกันบ้างเลย จู่ๆก็ออกวิ่งมาเนี้ย อ๊ะ!”เสียงใสๆของหญิงสาวนางหนึ่งที่วิ่งตามมาร้องขึ้นด้วยความตกใจ

“นั้นเธอ...”โจเซฟที่ยืนมองเหตุการณ์อยู่บนเวทีอีกฝั่งก็อดตกใจเล็กๆไม่ได้ เมื่อเหลือบมองไปเห็นหญิงสาวเรือนผมน้ำตาลอ่อน พร้อมนัยน์ตาสีเขียวน่าหลงใหลนั้น ใช่แล้วนั้นคือหญิงสาวที่พวกเขาเพิ่งจะหลบหน้าออกมาเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้ “ฟาร่า มาได้ยังไงกันหนะ แล้วอีกคนหนึ่งนั้นใครกันนะ ถ้าทางจะรู้จักกับเจ้าเคแฮะ”

กลับมาทางด้านเคกันมั้ง “มา...ชิ...โระ...เธอ มาได้ยังไงกันเนี้ย” ฟิ้ว~ ตุ๊บ! “อุ๊บ!” พูดได้เพียงแค่นั้นเมื่อหญิงสาวคนที่พูดถึงหรือในนาม มาชิโระ นั้นได้กระโจนขึ้นมาฟาดกบาลเข้าอย่างแรงในทันใด พร้อมกันนั้นก็ส่งสายตาดุดุมายังเจ้าตัวพลางกระชากคอเสื้อเขาขึ้นมา ตอนนี้ระยะห่างหน้าทั้งคู่อยู่ห่างกันไม่กี่เซนเท่านั้น

“มาชิโระ นี่เธอจะ อุ๊บ!” เค เอ่ยปากได้พียงเท่านั้นเมื่อปากของเขาโดยปิดสนิทแนบแน่นด้วยเรียวปากของร่างบางที่ดึงเขาเอาไว้อยู่นั้นเอง

บรรยากาศกลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี้ทำให้ใครหลายๆคนได้แต่ตะลึงงันอยู่อย่างนั้น โจเซฟเป็นคนแรกที่ได้สติและออกตัวเดินไปยังหญิงสาวนัยน์ตาสีเขียวที่ยืนหน้าแดงอยู่ข้างเวที

“พออธิบายได้ไหมนี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย” โจเซฟเดินไปถามฟาร่าที่ตอนนี้เธอดูลนลานเอามากๆและสาเหตุนั้นจะน่าเป็นใครไม่ได้ คือทั้งสองคนที่จูบกันอยู่ตรงนั้น

“อะ...เออ คือ” ฟาร่าเอ่ยขึ้นมาเหมือนตั้งท่าว่าจะตอบแต่เจ้าตัวก็ยังลนลานไม่หายทำให้คนที่ถาม ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนที่จะส่งสัญญาณมือด้วยการเอานิ้วมือเค้าไปปิดที่ปากของเจ้าหล่อนว่าไม่ต้องพูดแล้ว

พลัก! “โอ๊ย ทำอะไรน่ะ” นัยตาสีม่วงส่อแววโกรธที่ถูกพลักออกมา

“เธอนั่นแหละทำอะไรกันจู่ๆก็เข้ามาจูบกันแบบนี้” เคส่งสายตาดุๆใส่เจ้าหล่อนที่ทำหน้างงอยู่

บรรยากาศโดยรอบสนามปะลองยังคงสับสนวุ่นวาย ในเมื่อภาพบรรยากาศอันแสนหวานถูกขั้นขึ้นมาแทนการต่อสู้ที่น่าจะเกิดขึ้น ขณะที่ทุกคนกำลังคุยกันในสนามปะลองนั้นก็มีแสงบางอย่างสาดเขามาที่เคยืนอยู่

“ระวังมาชิโระ!” ตู้ม! แกรกๆๆ พื้นที่เคกับมาชิโระยืนอยู่แตกออกเป็นเสี่ยงๆและถูกปกคลุมไปด้วยควัน แต่แล้วร่างๆนึงก็พุ่งออกมา นั่นคือเคที่กำลังอุ้มมาชิโระในท่าอุ้มเจ้าหญิง ดูเหมือนตัวหล่อนเองเคลิ้มจนหน้าแดงไปเลย

“ไอ้เจ้าหนูนี่แกเมินชั้นไปแล้วงั้นเหรอ” เสียงผู้ชายคนนึงดังออกมาจากผลึกน้ำแข็ง แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ ชายในร่างผอมเพรียวเดินออกมาจากข้างหลังน้ำแข็ง

“เจ้ารุ่นพี่หน้าลิงนั่นนินา” เสียงโจเซฟตะโกนดังลั้นเอาซะคนที่อยู่รอบๆได้ยินเป็นต้องฮา แต่มันก็ทำให้ไปสะกิตต่อมความโกรธจนรุ่นพี่ถึงกับหน้าแดงไปไม่น้อย

“แก… อย่าคิดเลยว่าจะได้ออกไปครบสามสิบสองส่วน” ว่าแล้วรุ่นพี่ก็เรียกดาบเล่มบางออกมาในมือ

ตุบ เคร่อนลงมาด้วยเวทย์ลมอย่างนิ่มนวลก่อนเอ่ยขึ้น “ฟาร่าฝากดูเธอหน่อยนะ” เคพูดแล้วพลักมาชิโระไปทางฟาร่า มาชิโระเองก็ทำหน้าสงสัยแต่เคก็เบือนหน้าหลบแล้วเดินตรงไปที่สนาม

อีกด้านนึงทางแท่นที่นั่งชมของเหล่าศาสตราจารย์

“โฮ่ๆๆ ถึงจะมีอะไรที่ไม่คาดคิดซักหน่อย แต่การแข่งขันช่างดูน่าตื่นเต้นอะไรเช่นนี้เนอะ โฮ่ๆๆ” เสียงชายร่างท้วมที่ดูเหมือนจะชื่นชอบการกระทำที่ดูน่าตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นในสนาม

“ศาสตราจารย์แบลคบาซิเลสท่านก็พูดเกินไปน่ะครับ แบบนี้เราจะจัดการยังไงต่อดีละเนี่ยดูท่าทางจะวุ่ยวายกันน่าดู” เสียงของชายหนุ่มที่ดูอ่อนเยาว์กว่าเอ่ยทักขึ้นจากที่นั่งข้างๆ พยายามพูดขัดกับสิ่งที่ศาสตราจารย์แบล๊กบาซิเลสเอ่ยขึ้นจนถึงกับทำตาขวางกลับมาใส่

“ศาตราจารย์โครนอสท่านช่างไม่รู้อะไรซะจริงเลยน่ะ ถึงมันจะผิดยังไงก็ตามแต่ก็น่าชื่นชมแถมถ้าหากรุ่นพี่ปีสามพวกนั้นเสียท่าเพียงเท่านี้ก็ดูจะไม่สมควรซะกระมั้ง” แบลคบาซิเลสสวนกลับคำพูดของโครนอสอย่างมีหลักการแต่ทางโครนอสเองก็ดูเหมือนมีท่าทีที่ไม่คัดค้าน

“ชั้นก็เห็นด้วยกับที่ทั้งสองท่านพูดออกมาน่ะค่ะ” ทันทีที่ศาสตราจารย์ทั้งสองหยุดพูดก็มีเสียงเล็กๆลอดออกมาจากประตูข้างหลังของห้อง เด็กหญิงในชุดที่เต็มไปด้วยลูกไม้กรุยกรายโผล่ขึ้นมา

“อาจารย์ใหญ่!/ผ.อ.” ทั้งแบลคบาซิเลสกับโครนอสเอ่ยขึ้นอย่างตกใจพร้อมกันจากที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ต้องมานั่งคุกเข่าในท่าเคารพอย่างรวดเร็ว

“เอาน่าตามสบายเถอะชั้นว่าแทนที่จะถกเถียงกันไปสู้มาดูการต่อสู้ต่อจากนี้ดีกว่า” อาเดเรียพูดจบก็เดินไปที่ระเบียงดูที่สนาม

เสียงเซงแซดของเหล่าผู้ชมที่หันกลับมาสนใจ ในขณะที่ในตอนนี้มีเพียงรุ่นพี่ที่เหลืออยุ่เพียงคนเดียวกับพวกเคที่อยู่ภายในสนาม แต่ยังไม่ทันไรผลึกน้ำแข็งที่กังขังรุ่นพี่นั้นก็แตกออก สร้างความน่าตื่นเต้นตกใจให้กับเหล่าผู้ชมได้ไม่น้อยแต่ในเวลาเดียวกันก็สร้างความรู้สึกแย่ให้กับเคได้ไม่น้อย

“รีฮาต การัว เชส พวกนายเป็นยังไงกันบ้าง” ผู้เป็นเพื่อถามทั้งสองคนที่พึ่งรอดออกมาจากผลึกน้ำแข็งอย่างเป็นห่วง

“เออ ก็พอไหวละนะเอดิม แต่ดีน่ะการโจมตีจากภายนอกไม่นับรวมเป็นค่าพลังไม่งั้นแย่แน่” รีฮาตกล่าวพลางเอามือปัดก้อนน้ำแข็งที่ติดกับตัวเค้า

“ชิ ถ้าใช้กำแพงเวทย์ไม่ทันละก็ป่านนี้ได้นอนยาวแน่ละเฟร้ยว่าไหมละเชส” การัวทำสีหน้าหงุดหงิด เหมือนจะไม่สบอารมณ์ซักเท่าไร

“ไอ้บ้าที่มันแช่แข็งข้ามันอยู่ไหนว่ะ แกต้องตายย!!” เชสตะโกนอย่างดังด้วยความโกรธ พลางชักสีหน้าไปทางพวกเค “พวกแกงั้นสิน่ะ เตรียมตัวตายได้เลย!” เชสตะโกนใส่พวกเคจนทั้งสองงงไปตามๆกันสร้างเสียงหัวเราะให้ไม่น้อยรวมทั้งตัวการที่นั่งขำอยู่ข้างสนาม สร้างความอายให้กับพวกเพื่อนเชสเองไม่น้อย

“ชิบเป๋งแล้วว่ะมันนึกได้ยังไงฟระว่าพวกเราจับมันแช่แข็ง” โจเซฟรีบหันกลับไปพูดกับเค ด้วยสีหน้าที่ดูอึ้งๆ

“นี่ โจเซฟ” คนโดนถามทักกลับอย่างเรียบๆทำเอาคนถูกถามชักสีหน้าเครียด

“อะไรเรอะ ถ้าจะบ่นกันละก็ขอบอกเลยไว้จัดการบอกบ้านั่นก่อน” คนโดนทักพูดปัดก่อนขณะที่คิดว่าตัวเองจะถูกคู่หูตัวเองบ่นใส่อีกตามเคย

“พวกแกจะคุยอะไรกันชั้นไม่รู้หรอกนะเฟร้ย แต่ชั้นคงไม่รอพวกแกพูดกันจนจบหรอกน่ะเฟร้ย” เชสพูดออกมาแล้วก็พยักหน้าเป็นสัญญาณให้กับอีกสามคนที่เหลือ

พวกรุ่นพี่เองก็ไม่รอช้าหลังจากที่ปรับความเข้าใจจากเชสได้ก็ไม่รีรอรีบกระจายตัวกันออกไปรอบๆ จนล้อมรอบทั้งคู่พวกเคที่ยังคุยกันยังไม่จบรีบหันไปดูรอบๆตัวเองอย่างกระสับกระส่าย

“ไอ้บ้าเคเพราะแกคนเดียวคราวนี้งามเข้าเต็มๆแน่เลยเพื่อนเอ๋ย” โจเซฟพูดออกมาขณะที่ตอนนี้เค้าเหงื่อชุ่มตัวอย่างอนใจไม่ไหว ‘บ้าชะมัดหัวใจเต้นรัวจนแทบจะระเบิดออกมาแล้วแฮะ รังสีฆ่าฟันพวกนี้มันไม่ธรรมดาเลยสมกับเป็นรุ่นพี่ซะจริง’ โจเซฟบ่นในใจอย่างอดไม่อยู่ก่อนที่จะหายไปเพราะคำพูดตอบกลับของเค

“ชั้นไม่ใช่เพื่อนแกซะหน่อย” เคตอบกลับอย่างเรียบๆนิ่งๆ คนที่อ้างตนเป็นเพื่อนถึงกับช๊อคไปชั่วครู่

“ไอ้เด็กหัวแดงรับไปซะแล้วหายไปเจ้ากระจอก” เชสเป็นฝ่ายรุกก่อนคนแรกเค้าตะโกนออกมาซะจนคนในสนามต้องหันไปตามเสียงแต่เค้ากลับหายตัวไปจากจุดที่มีเสียง “ฮะฮะฮะ เร๊กเกียฮิลดาเรีย เอลโรเวนริส[เพลิงรังสรรค์แห่งผู้กำเนิด]” เชสโผล่ขึ้นจากข้างหลังของเคพร้อมกับลูกไฟยักษ์สีขาวขุ่นที่อยู่บนมือเค้าก่อนที่จะขว้างไปใส่เค

“บ้าชิบหลบไม่ทันแน่” เคพูดออกมาขณะที่ดวงตาเบิงกว้างจ้องไปยังลูกไฟนั้น ก่อนหันกลับมาแล้วรีบแตะโจเซฟด้วยพลังเวทย์สายลมอย่างรวดเร็วจนกระเด็นไปไกลแสงสว่างประกายวาบอย่างไม่มีมาก่อน

ตู้ม! เสียงระเบิดของพลังเวทย์มหาศาลที่แผ่กระจายออกมา เพลิงสีขาวจับตัวรวมเป็นกลุ่มก่อนไม่ขยับไปไหน พื่นที่อยู่โดยรอบถูกแรงดับพลังนั้นบดขยี้ไปเรี่อยๆจนแหลกละเอียด สายตาโจเซฟจับจ้องไปยังแสงนั้นแล้วเบิ่งตากว้าง พลันคิดถึงเพื่อนของเค้า เสียงโห่ร้องของเหล่าคนที่เข้ามาชมกับเหล่านักเรียนที่ดูราวกับยินดีกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า

“เค!” โจเซฟตะโกนลั่น

“มะ มาชิโระจังเค้าคนนั้น...” ฟาร่าหันไปเขย่าตัวมาชิโระแล้วพูดออกมาอย่างสั่นเทา แต่เมื่อมองไปที่ใบหน้าของมาชิโระแล้วก็ถึงกับหยุด สายตาของมาชิโระนั้นดูมั่นคงและแน่วแน่ เธอมองไปยังที่ดวงไฟนั้น

“เคหนะไม่มาเสียท่าง่ายๆให้กับเรื่องแค่นี้หรอก อีกอย่างผู้ชายที่ชั้นเลือกจะไม่มาจบลงด้วยเรื่องแค่นี้ละก็สมควรที่จะหายไปแล้วแหละ!” ถ้อยคำจากที่พูดออกมาอย่างแผ่วเบาก่อนที่จะดังขึ้นมา

“เจ้าบ้า นายชนะชั้นมาแล้วจะมาแพ้พวกนี้ง่ายๆแบบนี้โดยยังไม่ตอบโต้เลยงั้นเหรอชั้นๆม่ยอมรับหรอกน่ะ เจ้าบ้า!!” เด็กสาวผมสีดำที่ดูอยู่อีกซีกสนามตะโกนออกมาเช่นกัน จนมาชิโระและคนอื่นๆหันไปมอง

‘เค จำเอาไว้น่ะสิ่งที่ตัวเองตัดสินใจไปแล้วจะต้องทำให้ถึงที่สุด แม้ว่าสิ่งนั้นจะเป็นสิ่งที่คนอื่นมองว่าไม่ถูกต้องก็ตาม’ เสียงที่หวนให้คิดถึง ‘อย่าได้ท้อถอย อย่าได้ยอมแพ้แล้วหันหลังกลับไปทั้งที่ยังไม่ได้ทำอะไรสิ ถ้าเป็นเคละก็ชั้นคิดว่าจะต้องเปลี่ยนแปลงมันได้แน่ๆ ชั้นอยากให้เธอพบกับอนาคตที่ดีน่ะ’ ภาพในอดีตให้หวนให้คิดถึง ‘สิ่งที่นายกำลังเป็นอยุ่ในตอนนี้ไม่ต่างจากการปฏิเสธตัวตนที่เป็นอยุ่ พยายามหลบเลี่ยง พยายามที่จะหลีกหนี แล้วแบบนี้นายจะได้พบงั้นเหรอ สิ่งที่นายสละไปคือสิ่งนี้อย่างงั้นเหรอ’ “อ่าเข้าใจแล้ว ชิ ชั้นนี่ลืมได้ยังไงนะทั้งที่ตัวเองก็เคยสอนคนอื่นมาเยอะแล้วแท้ๆชั้นนี่มันงี่เงาซะจริงน่ะ อีกอย่างตอนนี้มีคนสามคนกำลังส่งเสียงเรียกอยู่ด้วยจะให้มาหลับง่ายๆแบบนี้ก็” เคพูดออกมาและยิ้มเยาะตัวเองที่เป็นแบบนั้น ก่อนที่จะยิบบางสิ่งออกมา

“ฮะฮะฮะ กระจอกชะมัดเลยแฮะว่าไหมทุกคน” เชสหัวเราะแล้วหันไปถามเพื่อนๆอย่างสนุก

“พวกแก!” เสียงของคนที่ยืนอยุ่ไม่ไกลจากสนาม น้ำเสียงที่ดูเข้มขึ้น แรงดันพลังเวทย์ที่อันแน่นแผ่กระจายซะจนพื้นที่อยู่รอบๆแตกกระจาย

“เฮ้ยนั้นมันอะไรกันวะ พลังเวทย์มหาศาลนี่มัน” การัวพูดออกมาพลางปาดเหงื่อออกไป

ครื่น เสียงของพื้นที่สั่นสะเทือนจนเกิดรอยร้าว จู่ๆบอลเพลิงของเชสก็มีเส้นแสงสีดำปรากฏขึ้นเป็นรอบๆ และพุ่งออกมาจากพื้นสร้างความวิตกให้กับพวกรุ่นพี่ไม่น้อยรวมทั้งโจเซฟเองด้วย

“โอ๊ะ โอ ว่าแล้วว่าเธอต้องไม่ธรรมดา...” เสียงของอาเดเรีย(ผ.อ.)ที่ตอนนี้นั่งมองอย่างสบายใจ

“ก็...ไม่สนุกสิ!” เสียงของคนที่ไม่น่าจะดังขึ้นมาดังออกมาจากเปลวเพลิงสีขาวที่ถูกห้อมล้อมด้วยเส้นแสงสีดำ

“บ้าน่า” พวกรุ่นพี่หัวไปมองอย่างตำลึงและแล้วเพลิงนั้นก็ได้สลายไปกับตาเหลือเพียงเด็กหนุ่ม

“ฮู้ว~ ค่าพลังเกือบเป็นศูนย์เลยแฮะ” เคพูดก่อนพลางปัดตัวเองที่เลอะเทอะและหันไปมองรุ่นพี่ด้วยสายตาที่น่ากลับเพียงแต่ถูกบังด้วยผมที่ปรกหน้าอยู่แต่รังสีและแรงดันเวทย์ทำให้รุ่นพี่ถึงกับต้องถอยออกไป “เอาหล่ะ คราวนี้ขอเอาคืนบ้างซะแล้วจะทบต้นทบดอกให้สาสมเลย” เคพูดเสร็จตั้งท่าเตรียมพร้อม

เสียงเฮที่ดังขึ้นจากที่นั่งคนดูดังลั่นขึ้นอย่างตะลึง เด็กสาวทั้งสองต่างยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว ทางพวกคณะอาจารย์เองก็ยังเปลี่ยสีหน้ากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มีเพียงคนนึงที่ยืนตัวสั่นอยุ่ที่สนาม

“ฮะฮะฮะ ชั้นว่าแล้วว่านายต้องไม่เป็นอะไร” โจเซฟเอ่ยขึ้นก่อนที่จะเบือนหน้าหลบจนคนที่ถูกบอกว่าไม่เป็นอะไรมองเหมือนรู้ทัน

“อย่ามามั่วชักช้าชั้นจะลุยละน่ะถ้านายมัวถ่วงชั้นระวังจะไม่ทันได้จัดการซะละเพื่อน...” เคพูดออกมาอย่างแผ่วเบาแต้คนหูดีที่ได้ยินถึงกับชะงักกับสิ่งที่เคยถูกปัดออกไป

“ชิ อย่าฝันไปเลย” โจเซฟยิ้มกว้างก่อนที่จะระเบิดพลังสายฟ้าออกมา

เสียงอื้ออึงดังขึ้นอีกครั้งกับสนามต่อสู้ที่ตอนนี้ระเบิดสัน่นออกมาอย่างต่อเนื่อง พวกรุ่นพี่ทั้งสี่คนต่างใช้พลั่งที่แตกต่างกันออกไปรุกรับได้อย่างต่อเนื่องซะจนพวกเคโต้ตอบกลับได้อย่างลำบาก

“จะใช้เวทย์โจมตีใส่ก็โดนเวทย์ศิลาดักอย่างงั้นเหรอ ลำบากซะจริง” เคบ่นอุบอิบแล้วก็เคลื่อนตัวหลบพลังเวทย์ไปพลาง

“อย่าว่าแต่นายเลยสายฟ้าของชั้นที่ซัดเข้าใส่มันเองก็ไม่สะเทือนสักนิด แถมยังไม่ปล่อยให้ร่ายเวทย์ซะด้วยสิแบบนี้ไม่มีทางที่จะซัดมันด้วยเวทย์ที่รุนแรงได้แน่” โจเซฟพูดไปกัดฟันกรอดแล้วกระโดดหลบไปอย่างต่อเนื่อง “ฮึ้ย บิจิกกาทาทารัสแม๊กโวลด์ (บอลแสงสายฟ้า)” โจเซฟใช้ช่วงโอกาศที่กระโดดลายตัวขึ้นไปบนฟ้าร่ายเวทย์ด้วยพลังเวทย์ที่ระเบิดออกมาจนเป็นบอลสายฟ้าหลายสิบลูกพุ่งไปยังรุ่นที่ทั้งสี่คนจนเกิดเสียงระเบิดต่อเนื่อง

‘เยี่ยมไปเลย โอกาศนี้แหละ’ เคพูดในใจก่อนที่จะกระโดดหลบออกมาห่างๆจากพวกรุ่นพี่

‘โจเซฟนายช่วยถ่วงเวลารุ่นพี่สักหน่อยน่ะ’ เคส่งโทรจิตไปยังโจเซฟ

“หา! นี่มันอะไรเนี่ยเสียงเมื่อกี้มัน” โจเซฟยังงงกับข้อความที่ดังอยู่ในหัว

‘โทรจิตเฟร้ยไม่ต้องคิดมาตอนนี้ชั้นหลบไปอยุ่ตรงวงนอกขอเวลาให้ชั้นสักหน่อยก็แล้วกันแล้วก็...’ เคโทรจิตกลับไปดังกว่าเดิมจนคนที่ได้รับต้องปิดหูไปพลางแต่ช่วงประโยคสุดท้ายที่ขาดช่วงไปนั้นสร้างเสียงหัวเราะจากโจเซฟได้ไม่น้อย

“ใช้งานหนักชะมัดเลยน่ะเจ้าบ้าเอ้ย แต่แบบนี้ก็สนุกดีเหมือนกัน ว่าแต่นายเปลี่ยนไปหน่อยนะชั้นคงต้องถอนคำพูดตอนที่พูดก่อนออกมาที่สนามแล้วสิ” โจเซฟยิ้มเยาะอย่างสะใจ ในขณะที่ตัวเองยังคงปล่อยบอลสายฟ้าออกไป

“หน่อยแนะแก ออกมาเอเควี้ยมไรกาโด้” เสียงรุ่นพี่ที่ดังออกมาจากกลุ่มควันที่เกิดจากการระเบิดของโจเซฟว่าแล้วก็มีแสงพุ่งออกมาเหมือนคมมีดพุ่งไปยังโจเซฟจนระเบิด

ฟุ่บ “บ้าชิบโดนล้อมซะแล้ว” โจเซฟพูดแล้วปาดเหงื่อตัวเองร่างของเค้ามีบอดแผลเล็กน้อยแต่ชุดขาดไปหมด ขณะที่โจเซฟยืนขึ้นก็บ่นพึมพำบางอย่างพร้อมกับพลังเวทย์ที่ปรากฏออกมาเป็นสายฟ้าแล้วหายไป

“คงจบเท่านี้สิน่ะถึงจะรวบรวมพลังเวทย์ไว้ยังไงก็ตามก็ไม่มีทางรอดไปได้หรอก” เสียงเอดิมดังขึ้นมาจากกลุ่มควัน

ว่าแล้วก็มีอะไรบางอย่างพุ่งออกมาจากกลุ่มควันนั้นเข้าหาโจเซฟ แต่โจเซฟเองก็หลบได้อย่างหวุดหวิด แต่แล้วเมื่อสำรวจดูอีกทีเลือดก็ไหลย้อยออกมาจากตรงแก้มแล้วก็ขา

“อุบ! อึก! เฮ้ๆถึงจะไม่ถึงตายแต่แบบนี้มันก็เจ็บเหมือนกันนะเนี่ย” โจเซฟทรุดตัวลงไปจับแผลที่ขา ตอนนี้ค่าพลังเค้าอยู่เกือบจะเป็นศูนย์เลยทีเดียว

“กัสต้าก้อนเด้อ โฮโฮออรค์(คลื่นพสุธา)” เสียงจากรีฮาตที่ดังมาจากข้างพร้อมกับพื้นที่แปรสภาพเหมือนกับคลื่น

“ไฟริส อาดั๊กกรอว์ (วงล้อมพฤกษา)” เสียงของการัวที่ใช้พลังเวทย์อัดไปยังพื้นจาก

“ชิบแล้วไงละเนี่ย” โจเซฟเอ่ยขึ้นก่อนที่จะกระโดดขึ้นไปแต่แล้วก็มีกิ่งไม้โผล่ขึ้นมาจากพื้นมาพันเข้าที่ขา “อะไรวะเนี่ย” โจเซฟร้องออกมาอย่างตกใจร่างของเค้าถูกพันด้วยกิ่งไม้ขณะที่ค่าพลังก็ลดลงไปจากการบีบรัดของกิ่งไม้

“จบแค่นี้แหละ” เสียงเอดิมเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้ม

“มันก็แค่เด็กไม่สินกลิ่นน้ำนมเท่านั้นแหละ” เชสยิ้มแล้วหัวเราะอย่างสะใจ

“ใครกันแน่ที่จบ เจ้าบ้าเคโผล่มาได้แล้ว!” โจเซฟตะโกนออกไปดังลั่นจนรุ่นพี่ทั้งหมดนึกเอะใจกับคนอีกคนที่หายไปในช่วงการแข่ง

“เอลราจรีกิดัส ฮีลรีสโอรุนด้า (ลำแสงแห่งปาฏิหารย์)” สิ้นคำกล่าวแสงสีขาวก็พุ่งมายังโจเซฟรากไม้รวมทังพื้นดินที่กำลังจะโหมทับโจเซฟก็สลายหายไป โจเซฟอาศัยจังหวะนั้นรีบพุ่งตัวไปยังเค

“บ้าเอ้ย ลืมเจ้าหัวแดงนั่นไปเลยแฮะ” เอดินพูดออกมาขณะที่เอามือป้องตา

“พร้อมแล้วใช่ไหมโจเซฟ”

“ไม่พร้อมก็ต้องพร้อมละฟระ ครั้งนี้จะยอมให้นายไปก่อนแต่คราวหน้าชั้นไม่ยอมแน่” โจเซฟฉีกยิ้มออกมาก่อนที่จะส่งมือให้เค

“เอ๋” เคมองอย่างงงๆ

“เปลี่ยนตัวไงเล่าเจ้าบ้า” โจเซฟพูดพร้อมถอนหายใจออกไป

“หึ งั้นชั้นลุยหละน่ะนายเองก็เตรียมไว้ด้วยละ” เคบอกเป็นสัญญาณก่อนพุ่งตัวออกไป ก่อนยิ้มออกมาเพราะเสียงตอบรับของโจเซฟ

“เจ้าเด็กบ้าคิดเหรือว่าจะยอมง่ายๆเชสใช้เจ้านั้นซะสิ ออกมาเรฟิส” เอดินพูดออกมาจากนั้นดาบเล่มบางก็ปรากฏขึ้นมา

“ต้องเอามาใช้กับเด็กพวกนี้ไม่ชอบเลยแฮะ ออกมาเรเควี้ยมไรกาโด้” เชสพูดจบก็มีขวานสีเงินออกมา

“ทางนั้นใช้อาวุธละก็ทางนี้ก็ขอบ้างก็แล้วกัน ออกมากริมเดล” สิ้นเสียงดาบเล่มสีดำปรากฏขึ้นตามเสียงเรียก ดาปยาวสีดำสนิทมีเพียงลวดลายสีแดงปรากฏเท่านั้น

ไม่นานนักเสียงเหล็กกระทบกันก็ดังขึ้นตามด้วยเสียงระเบิดอีกหลายครั้งติดต่อกัน พวกรุ่นพี่ทั้งสี่คนทยอยโจมตีกันอย่างต่อเนื่อง เสียงโห่ร้องของผู้คนที่ดูการต่อสู้อยุ่เฮดังลั่นซะจบแทบจะกลบเสีนงภายในสนาม

“แสงพุ่งทะลวง/คลื่นพลังระเบิดภพ” เอดินและเชสพูดออกมาพร้อมกันทันใดนั้นดาปของเอดินและขวานของเชสก็ฉายแสงออกมา

“พลังพสานอาวุธเรอะ” เคกระโดดตัวถอยห่าง “แต่ก็เป็นตามที่คำนวนละน่ะ! แต่คิดเหรอว่าจะยอมให้ใช้ง่ายๆ” เคใช้ช่วงโอกาศนั้นยิงเวทย์ขึ้นไปบนฟ้าราวกับเป็นสัญญาณบางอย่าง จากนั้นก็มีหมู่มวลสายลมเข้ามารวมตัวกันอย่างรุนแรงซะจนรุ่นพี่ทั้งสีเสียงการทรงตัว “ปลดปล่อยพลังเวทย์ขั้นหนึ่ง เอมเทวิส วานเดโฮริ ไดกัสเซน (ระเบิดพายุหสะท้านปฐพี)” ตามเสียงเรียกของบทเวทย์ สายลมก่อตัวเป็นพายุล้อมรอบรุ่นพี่ทั้งสีก่อนที่จะซัดทั้งสี่ลอยขึ้นไป “โจเซฟเอาเลย!”

‘ฟังนะโจเซฟช่วงที่เข้าไปลุยนายช่วยถ่วงเวลาและรวบรวมพลังเวทย์ไปในตัวด้วย ส่วนจากนั้นชั้นจะปิดฉากเอง และตอนที่ชั้นออกไปลุยแทนนาย นายจะต้องใช้พลังเวทย์ที่มีอยู่สร้างเวทย์ที่มีพลังทำลายสูงพอชั้นให้สัญญาณก็ยิงมาที่ชั้นเลย!’ เสียงที่ดังก้อนในหัวของโจเซฟที่เคเอ่ยในตอนนั้น

“รอจนเมื่อยแล้วเฟร้ย! รับไปซะละ เจ้าบ้า” โจเซฟตะโกนกลับไปหาเคแล้วจู่ๆก็เกิดแสงประกายออกมารอบๆแล้วรวมไปยังที่โจเซฟจนเกิดประกายไฟฟ้าไปทั่วเป็นเวลาที่รวดเร็วมาก “เร๊กกาเรีย โฮได ดัลกัลก้าอี๊กเอกวิน่อม! (อัสสุนีบาสผลาญเทวราช)” สิ้นคำพูดโจเซฟปล่อยหมัดออกมาพร้อมกับสายฟ้าสีแดง เสียงดังลั่นสะทานไปทั่วสนามแดงสีแดงพุ่งไปยังเคอย่างรวดเร็ว

“บ้าน่ายิ่งพลังไปที่เคเนี่ยน่ะ” มาชิโระโพลงออกมาอย่างไม่รู้ตัว

“โฮ่! น่าสนใจจริงๆ โฮ๊ะๆๆๆ” ผอ.เบิ่งตากว้างจ้องวินาทีนั้นอย่างไม่ลดละ

“ยังหรอก! เรลรีส อาดินเน้บิรอส (ปลดปล่อยราชันย์สายลม)” เคพูดจบก็มีพายุเกิดขึ้นที่ตัวดาบ จากนั้นก็ยืนออกไปรับสายฟ้าจากโจเซฟ

“อะไรกัน!” พวกรุ่นพี่กล่าวออกมาพร้อมกันขณะที่ตัวเองโดนพายุซัดลอยขึ้นไปอยู่

เปรี๊ยะๆๆ เสียงสายฟ้าเข้ากระทบแต่กลับไม่ระเบิด

“ฮ๊าค! ซาบับ! (หลอมรวม) รีส! ราจูอิเอ๊กซ์ (และปลดปล่อย)” สายลมที่รวมอยุ่ที่ดาบดูดกลืนสายฟ้าเข้าไปจนสายลมแปรเปลี่ยนไปเป็นสีแดงและเกิดประกายไฟออกมาจนทั่ว “รับไปพวกรุ่นพี่ แบบเต็มสตรีม “รับไปพวกรุ่นพี่ แบบเต็มสตรีม เบร๊ก กราดัลติรัส วาดิเทพเพสเซอร์ อิควอทั่ม! (ดาบราชันย์พายุหอัสุนีย์บาททลายฟ้า)” สิ้นคำกล่าวเวทย์เคตวัดดาบออกไป พื้นที่อยู่โดยรอบระเบิดออกด้วยพลังเวทย์มหาศาลที่อัดแน่นพายุสายฟ้าสีแดงพุ่งไปราวกับว่ามันจะกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่าง

“ไม่มีทาง! ย๊ากกกกกกก” พวกรุ่นพี่ปล่อยพลังเวทย์เข้าชนกับพายุสีแดงจนเกิดสียงระเบิดดังลั่น

“ที่ไม่มีทางนะ คือพวกนายตางหาก” เคยกดาบขึ้นมาแล้วตวัดไปอีกรอบพลังเวทย์ที่ตามมาระลอกหลังเข้ารวมตัวกับครั้งแรกจนเกิดเป็นพายุขนาดใหญ่คราวนี้พวกรุ่นพี่ต่างถูกพายุสีแดงนั้นกลืนกินเข้าไปจนหมดจนกระทั่งเข้าไปกระแทกยังกำแพงเวทย์ที่อยู่รอบสนามจนระเบิดพวกรุ่นพี่ถูกทีมพยาบาลเข้าไปช่วยเนื่องจากทั้งหมดนั้นหมดสภาพที่จะสู้ได้ต่อและค่าพลังก็กลายเป็นศูนย์จนเกลี้ยง

เสียงโห่ร้องที่ดังก้องสนามกลับกลายเป้นเงียบสงัด แม้กระทั่งพวกรุ่นพี่และคณะอาจารย์ต้องตะลึงกับสิ่งที่เปิดขึ้น แต่แล้วก็มีเสียงปรบมือจากคนๆนึงดังขึ้นมา

“ยอดเยี่ยมมากเลย ทั้งสองคนยอดเยี่ยมมาก” เสียงพูดจากผอ.ตัวน้อยที่ประกาศออกมา เสียงปรบมือก็ตามมาเรื่องๆและเสียงของเหล่าผู้ชมทั้งหลาย

“ยอดไปเลยน่ะคู่หู” โจเซฟพูดบอกพลางตบไหลอย่างหมั่นไส้

“คู่หูเหรอเพื่อนเอ๋ย” เคพูดย้อนแล้วยิ้มตอบ

“การแข่งขันในรอบนี้ ผู้ชนะคือ นักเรียนใหม่ค่า!” สิ้นเสียงกล่าวทั่วทั้งสนามดังลั้นไปด้วยเสียงเชียร์ทั้งหมด

“นายแบบนี้นายไม่ค่อยชอบไม่ใช่เหรอ” โจเซฟพูดกัด

“มันก็ไม่เลวซักเท่าไรน่า” ว่าแล้วเจ้าตัวก็เดินไปยังประตูทางเข้าที่มีเพื่อนๆรอเค้าอยู่ โดยที่ทั้งสองยังไม่รู้ว่าเรื่องวุ่นวายและเส้นทางที่กำลังเดินไปนั้นเป็นเส้นทางที่ยากลำบากซักเท่าไร

:emoother_07:ดองไว้ซะนานเลย จ๊อดนายหายไปไหนไม่มีคนแก้ให้มันลำบากน๊า~~~ :emoother_04:

Edited by B★RS

Share this post


Link to post
Share on other sites

เย้อยาวจังกำลังอ่านอยู่ ลงต่เลื่อยๆนะคับ

:emo (28):

ผมว่ายังสั้นไปนิดด้วยซ้ำ แต่จะพยายามทำให้ดีที่สุดคับ :emo (25):

มีอะไรแก้ไขก็ติได้เลยน่ะครับ :emoother_01:

Edited by B★RS

Share this post


Link to post
Share on other sites

คอยติดตาม(อ่านไปได้นีสเดียวเอง :emoother_08: )

Share this post


Link to post
Share on other sites

คอยติดตาม(อ่านไปได้นีสเดียวเอง :emoother_08: )

:emoother_04:

ดีใจจังยังมีคนอ่าน ยังไงมาคอมเม้นให้ทีน่ะครับ ตอนนี้อับเพิ่มเติมแล้ว

Share this post


Link to post
Share on other sites

เว้นวรรคหน่อยก็ดี อ่านยากพอสมควรเลย เซ็ง

:emo (30):

รับทราบครับขออภัยด้วยที่ไม่ตรวจสอบครับจะแก้ไขในเร็วๆวันนะครับ :emo (22):

Share this post


Link to post
Share on other sites

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

Guest
Reply to this topic...

×   Pasted as rich text.   Paste as plain text instead

  Only 75 emoji are allowed.

×   Your link has been automatically embedded.   Display as a link instead

×   Your previous content has been restored.   Clear editor

×   You cannot paste images directly. Upload or insert images from URL.

Loading...
Sign in to follow this  

×
×
  • Create New...