Jump to content
Sign in to follow this  
B★RS

เศษเสี้ยวหายนะศึกมนต์ตราสงครามมหาเวทย์

Recommended Posts

หงุดหงิด ดูเหมือนพระเอกมันจะเก่งเวอร์ไปหน่อยนะนั่น แบบนี้ไม่ต้องเข้าโรงเรียนเวทย์ก็ได้มั้งเนี้ย

Share this post


Link to post
Share on other sites

หงุดหงิด ดูเหมือนพระเอกมันจะเก่งเวอร์ไปหน่อยนะนั่น แบบนี้ไม่ต้องเข้าโรงเรียนเวทย์ก็ได้มั้งเนี้ย

เดี๋ยวมีที่มาครับว่ามันเก่งได้ไง :idz_emo10:

แถมเนื้อเรื่องยังเดินไปได้ยังไม่เต็มทีเลยน่ะครับ คือยังมีสาเหตุอีกหลายๆอย่าง การเดินเรื่องที่มีอยุ่นั้นยังแรกเริ่ม ความซํบซ้อนคือสิ่งที่ขาดไม่ได้ครับ ถ้าว่าแค่นั้นเก่งแล้วยังมีมากกว่านี้อีกนะคราบ~ :emo (35):

วันนี้ลงรูปตัวละคร2ตัวนะครับผม :emo (02):

Edited by B★RS

Share this post


Link to post
Share on other sites

ภาพตัวละครช่างไม่ได้เข้ากับเนื้อเรื่องเท่าไหร่เลยแฮะ -*-.. อืมมม ไม่ค่อยได้อารมณ์ แถมหลังๆ บุคลิกตัวละครเปลี่ยนอีก งืมๆ...

Share this post


Link to post
Share on other sites

ภาพตัวละครช่างไม่ได้เข้ากับเนื้อเรื่องเท่าไหร่เลยแฮะ -*-.. อืมมม ไม่ค่อยได้อารมณ์ แถมหลังๆ บุคลิกตัวละครเปลี่ยนอีก งืมๆ...

:idz_emo08:

ขออภัยอย่างสูงครับ ด้านบุคลิกตัวละครเปลี่ยนนั้นเผอิญว่าตั้งใจจะให้เป็นแบบว่าขึ้นๆลงๆอยู่แล้ว

ส่วนภาพตัวละครนั้นเราไดความกรุณามาครับถ้าไม่พอใจก็ต้องขออภัยด้วยครับ ทางนี้จะไปตรวจดูดีๆไม่ก็อาจใช้ภาพอื่นแทนคระบ :emo (35):

Share this post


Link to post
Share on other sites

สุดยอดมากครับอ่านแล้วได้อารมณ์ตามไปด้วย

ไว้จะติดตามผลงานต่อไปนะครับ

:emo (43):

Share this post


Link to post
Share on other sites

"สิ่งที่ทำขึ้นมาด้วยความตั้งใจนั้นล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่สุดยอด" นี่เป็น fiction ที่สุดยอดไปเลยครับแม้กระทั่งเกริ่นนำก็ทำได้สุดยอดมากครับ (ถึงแม้ผมจะยังไม่อ่านก็ตาม แต่ก็ทำให้สามารถรับรู้ได้ถึงจิดวิญญาณที่กลั่นออกมาจากความตั้งของผู้เขียนอย่างหาที่สุดไม่ได้ทันทีครับ) :emo (18): :emo (18): :emo (18): :emo (18): :emo (18):

Share this post


Link to post
Share on other sites

บทที่4 เสียงเพรียกแห่งฝันร้าย

ณ ใจกลางแห่งนครลอยฟ้าของมอลตี้ ภายใต้รูปลักษณ์ที่ดูสวยงามอลางตานั้น ยังมีส่วนที่ไม่มีใครรับรู้และล่วงเข้าไปถึง และในส่วนนั้นเองก็อยู่ภายในใจกลางเบื่องล่างแห่งมอลตี้ เงาดำทะมึนที่ผ่านห้วงเวลามานับร้อยปีกำลังคืบคลานออกมา โซ่ตรวนที่พูกมัดกำลังเสื่อมสภาพไป

“ใกล้แล้วสิน่ะ... แบบนี้คงทนได้อีกไม่นานนัก” อาเดเรียเอ่ยออกมาขณะที่ยืนมองผนึกที่กำลังแตกสลายไป เธอหลุบนัยน์ตาขอเธอลงก่อนที่ตะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

ท่ามกลางห้องอันกว้างใหญ่มีเพียงแท่งคริสตัลขนาดเล็กสีดำตั้งอยู่เพียงใจกลาง รายล้อมไปด้วยแท่งหินหลากสีที่ผุดขึ้นมาด้วยพลังเวทย์แต่มีเพียงแท่งคริสตัลสีดำนั่นเท่านั้นที่ถูกมัดด้วยโซ่ตรวนและขายเวทย์มนต์ไล่ตั้งแต่ใหญ่จนเล็ก

เสียงสั่นสะเทื่อนจากพื้นที่ๆอาเดเรียอยู่ พื้นที่ดูปกติกลับร้าวขึ้นมาและมีแท่งคริสตั้ลผุดขึ้นออกมาจากรอยแยกนั้นอย่างแปลกปลาด

“นี่มันอะไรกัน” อาเดเรียอุท่านอย่างสงสัยและเบิ่งตาโตมองไปยังคริสตั้งสีดำที่กำลังสันและเกิดรอยร้าวขึ้น ทันใดนั้นจาสีดำสนิดของมันกลับกลายเป็นสีแดงปนชมพูถึงแม่ว่าขายมนตราจะอยู่ดังเดิม ไม่นานนักแสงจากคริสตั้ลนั้นก็เปล่งออกมา “หรือว่า!...”

“ไงดาบข้างซ้ายแห่งจักรพรรดิไม่สิตอนนี้ต้องเรียกว่า อาเดเรีย ลอนดิอ้อน เซ็ตซาเลเทีย ผอ.ตัวจ้อยแห่งนครมอลตี้สิถึงจะถูก” เสียงดังขึ้นในหัวของอาเดเรียแต่จากที่อาเดรียได้ยินนั้นในใจก็คิดได้ทันที่ว่า ‘เสียงแบบนี้จะมีใครไม่ได้ต้องเป็นมันแน่นอน’

“นี่แกคลายผนึกออกมาได้ขนาดนี้แล้วเหรอ...” อาเดเรียยิงคำถามแต่ก็ไม่รอช้าเรียกอาวุธออกมาข้างกายที่มีรูปร่างลักษณะเหมือนคฑาเวทย์แต่มีปลายที่ใหญ่และแหลมเหมือนหอก

“อาเดเรียเอ๋ย~ เจ้าคงตกใจอยู่ละสิน่ะ แต่อีกไม่นานข้าก็จะกลายเป็นอิสระเมื่อนั้นเจ้าจะต้องเสียใจที่เจ้าไม่ทำลายข้าทิ้งไปตอนนั้น” เสียงของสิ่งที่ถูกผนึกพูดแทรกเข้าไปในจิตใต้สำนึกของอาเดเรียพร้อมส่งเสียงหัวเราะอย่างสะใจ

“อย่าได้ลำพองใจไปนักเลย ‘ห้วงคำนึงแห่งฝันร้าย’ ไม่สิเจ้าสแค๊ป ถึงผนึกเจ้าจะเสื่อมถอยไปสักแค่ไหนแต่ด้วยพลังของเจ้าก็ไม่อาจที่จะทำลายออกมาได้อีกนานนับปีอยู่ดี” เธอพูดเสร็จก็ส่งแววตาดุใส่

“ฮึ!... นับปีเหรอ” สแค๊ปส่วนกลับและหัวเราะดังขึ้นกว่าเดิม “ขนาดไม่ได้เจอกันมาสองร้อยแปดสิบห้าปีแล้วก็ตามก็ยังดูรอบคอบเหมือนเดิมน่ะแต่ข้าจะบอกอะไรให้อาเดเรีย ไม่นานขนาดนั้นหรอก... ตอนนี้ขอเพียงแต่มีเสียงตอบรับ พันธะสัญญาก็จะสำฤทธิ์แล้วตอนนั้นข้าจะไปเล่นสนุกกับเจ้าทีหลังอาเดเรีย” แสค๊ปตอบกลับไป ว่าแล้วแสงที่ส่องจากตัวแสค๊ปก็หายไปและกลายเป็นคริสตั้ลสีดำเหมือนเดิม

“ดะ...เดี๋ยวก่อนสิ!” เสียงของอาเดเรียเอ่ยขึ้นมาช้าไปที่จะได้ถาม “นี่มันหมายความว่ายังไงกันแน่... ไม่สิตอนนี้ไม่มีเวลาแล้ว” อาเดเรียยกนิ้วขึ้นมากัดแล้วชักสีหน้าเครียดอย่างบอกไม่ถูก

สองชั่วโมงให้หลัง ณ ห้อง ผอ.ในกลางศูนย์กลางแห่งการเรียนปราสาทมอลตี้

“จากที่ดูแล้วคิดว่ายังไงบ้างลูเซเซอร์” เสียงจากสาวน้อยที่นั่งอยู่หลังเก้าอี้ตัวใหญ่

“เรื่องแบบนี้ตามจริงแล้วไม่น่าจะต้องให้เด็กอายุ สิบห้าปีอย่างผมมาพูดเลยนะครับเนี่ย ผอ.” ลูพูดจบก็ยิ้มเจื๋อนๆแล้วหัวเราะ อย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว

“เลิกทำตัวเสแสร้งแบบนั้นได้แล้วลู นี่ชั้นพูดจริงๆนะ แล้วเวลาเข้าเรื่องงานไม่ต้องพูดเป็นทางการมากก็ได้” เสียงของเธอเริ่มแข็งกร้าวขึ้นเหมือนเป็นสัญญานของการเอาจริงๆเอาจัง

“...” ลูยืนนิ่งโดยไม่เอ่ยอะไรมีเพียงสีหน้าที่ยิ้มแจ้นของเค้าที่เปลี่ยนไป ในขณะที่ อาเดเรีย หันเกาอี้กลับมามอง

“ว่าตามตรงแล้วทั้งสองคนนั้นอยู่เหนือความคาดหมายของผมเยอะเลยครับ” เสียงของลูที่เหยาะแหยะกลับดูทุ้มและมาดเข้มขึ้น ดวงตาทั้งคู่ดูคมกริบมากขึ้นต่างจากที่เป็นมา “ถึงตอนแรกผมจะไม่เชื่อว่าเค้าทั้งสองสามารถเดินทางไปยังราเซนนุด้วยตัวเองก็เถอะ... แต่... ตอนนี้ได้เห็นกับตาตัวเองก็พอทราบเลยครับ” ลูเสยผมตัวเองขึ้นแล้วหันไปมอง ผอ.

“อย่างงั้นเหรอ...” อาเดเรียพูดด้วยเสียงแผ่วเบาแต่กลับหัวเราะเบาๆออกมา

“แต่ถึงแบบนั้นคนที่คุณเล็งไว้คนนี้สำคัญมากขนาดที่ต้องไปตรวจสอบด้วยตัวเองเลยเหรอครับ โดยเฉพาะการที่ใช้สิทธิ์ในการดึงตัวผู้สมัครเข้ามาเป็นของตัวเองด้วยแล้ว...” ลูถามอย่างสงสัยใบหน้าของเข้าแสดงออกถึงความไม่เข้าใจในการกระทำของอาเดเรีย

“พูดจริงๆนะตอนแรกชั้นก็ไม่เชื่อคำทำนายของปราชญ์เวทย์ แห่งซาลันเทียซักเท่าไรหรอก” อาเดเรียพูดพลางขยับมือและเขียนสัญลักษณ์บางอย่างออกมาด้วยพลังเวทย์

“ปราชญ์เวทย์แห่งซาลันเทีย... ไม่น่าเชื่อ! คนๆนั้นน่าจะตายไปนานแล้วไม่ใช่เหรอครับแถมเท่าที่ผมได้ยินมาเค้าคนนั้นไม่น่าใช่ปราชญ์เวทย์ที่แท้จริงนินา และจอมเวทย์ขนาดปราชญ์เวทย์ในโลกไม่น่าขะมีเหลือนอกจากท่านวิลล๊อตเต้ของสมาคมมหาเวทย์ไม่ใช่เหรอครับ” ลูเมื่อได้ฟังดวงตาก็เบิ่งกว้างขึ้นสีหน้าดูตกใจอย่างเห็นได้ชั้น เขารีบแย้งอาเดเรียอย่างรวดเร็วเมื่อได้ยินชื่อของปราชญ์เวทย์

“แต่ถึงอย่างงั้นก็หลีกเลี้ยงความจริงของการยังคงมีชีวิตของเค้าคนนั้นไม่ได้หรอกน่ะ” อาเดเรียกวาดสายตามายังลูอีกครั้งหลังวาดวงเวทย์เสร็จ “งั้นลองดูนี่สิ” เธอพูดแล้วชี้นิ้วไปที่วางแหวนเวทย์ก่อนแสงที่จะปรากฏสะท้อนภาพออกมาจากวงเวทย์อันนั้น

“นี่มัน...” ลูเอ่ยถามด้วยความสงสัย

“คำทำนายจากอดีตสู่ปัจจุบันและอนาคตไงละ...” อาเดเรียกล่าวตอนด้วยสีหน้าและแววตาที่จริงจังซะจนลูไม่กล้าที่จะเอ่ยถามต่อ ได้แค่ดูต่อไปจนจบ

“โว้ยนี่มันอะไรกันละเนี่ย!!” เสียงโวยวายจากคนที่ไม่สบอารมณ์สักเท่าไร

“ตรงนั้นแหกปากอะไรกัน” เสียงสูงแต่ดูแตกต่างออกไป หญิงสาวที่อายูดูราวๆสามสิบใส่เสื้อคลุมสีดำตัดด้วยชุดรัดรูปสีขาวดูน่าเย้ายวน กำลังนั่งบนอบู่บนเก้าอี้ที่ลอยเคว้งอยู่บนอากาศไม่ห่างจากเจ้าต้นเสียงนัก

‘เจ้าบ้าโจเซฟเอาอีกแล้วสินะ’ เคแอบคิดในใจขณะที่ก้มหน้าอ่านหนังสือเล่มโตอยู่ห่างๆ

“ก็พวกผมพึ่งออกไปซัดกับรุ่นพี่มาหยกๆเองนะครับอาจารย์ แล้วแบบนี้จะมีสมาธิไปทำข้อสอบนี่ได้ยังไง” โจเซฟได้ทีก็รีบพล่ามอย่างทันที

“ถึงจะเป็นแบบนั้นก็เถอะน่ะ แต่ตอนนี้เธอน่าจะรู้หน่อยนะ โจเซฟ ว่าเธอกำลังทำให้คนอื่นเค้าเสียสมาธิเหมือนกัน” เธอตอบโจเซฟกลับด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแต่กลับมีน้ำหนักและแรงพลักดันมากกว่าจนคนร้องต้องทำหน้าจ๋อยแล้วนั่งไปทำข้อสอบเล่มโตต่อ

“มาชิโระจัง ชั้นท่าจะแย่ซะแล้วสิ” เสียงอ่อนหวานที่ดู อิดโรยกำลังร้องเรียกหา

“เออ... ฟาร่าทำไมเธอดูหมดเรี้ยวหมดแรงซะแบบนั้นละ” เจ้าของชื่อขานตอบกลับด้วยสีหน้าดูวิตกกับสภาพเพื่อนเธอที่ตอนนี้นั่งทุรดลงไปข้างๆ

“ก็ชั้น... ชั้น... ชั้นทำผิดไปเยอะแน่ๆเลยทั้งๆที่ตั้งใจทำแล้ว” ฟาร่าเธอร้องไห้ออกมาเล็กน้อยทำเอาเป็นจุดสนใจกับคนรอบๆข้างจนมาชิโระทำตัวไม่ถูก

“ฟาร่าเธอเงียบๆก่อนน่า ถึงตอนนี้จะพลาดแต่ยังมีข้อสอบปฏิบัติอยู่น่ะ” เธอพยายามบ่ายเบียงให้เพื่อนเธอรู้สึกดีขึ้นและดูเหมือนว่าจะสำเร็จแต่ไม่นานนักก็มีเสียงตะโกนของคนๆนึงจนเธอต้องหันกลับไปมอง

“โว้ย! ข้อสอบนี่มันบ้าอะไรเนี่ยสุดยอดยากแถมเอาซะปวดกระบาลไปซะหมดเลย” เสียงไม่พอใจของหนุ่มน้อยผมสีน้ำตาลคนนึงพร้อมทำท่าทางที่เดือดดาลไปด้วย

“ชั้นว่ามันก็แปลกอยู่น่ะ ข้อสอบมันดูยากไปนิดหน่อยจริงๆ ไม่นึกว่าโรงเรียนที่ชื่อเสียงตกต่ำไปขนาดนี้ยังมีความเอาจริงเอาจังกับข้อสอบมากขนาดนี้” เคบอกกลับไปที่โจเซฟพลางเอามือกุมปลายคางเดินคิดอย่างสงสัย

“เอ๊ะนั่น ฟาร่าดูสิ” มาชิโระรีบสะกิตฟาร่าให้หันไปมองก่อนที่จะรีบดึงตัวไปทักแต่แล้วก็มีคนเดินตัดหน้าไปซะก่อน

“นี่นาย” เสียงเรียบกล่าวเรียกคนๆนึงที่ยืนเดินไปอย่างไม่สนใจจนต้องดึงตัว

“เอ๊ะ อะไรเล่าโจ...” เสียงหยุดลงเมื่อหันไปมองว่าโจเซฟยืนอยู่ข้างๆแล้วคนที่ดึงเสื้อเค้าละ “เฮลดารุน อาบลาลาคัส อาโมเน่!” ด้วยความตะลึงเคเลยประกาศชื่อออกมาจนเต็ม

“ดูท่ายังจะจำชั้นได้นะ” เสียงเรียบดูหวานขึ้นเล็กน้อยก่อนเบ้หน้าหลบ ไม่ให้เห็นหน้าที่ตอนนี้แดงซะจนสบตาไม่ได้

“คุณหนูไฟแรงที่ร้านขายอาวุธนินา ไม่ทราบมีอะไรงั้นเหรอ” โจเซฟรีบโต้กลับทันทีที่มีช่องให้แทรก

“ก็ไม่มีอะไรมากหรอกชั้นแต่เห็นพวกนายเลยเข้ามาทักนะ จะว่าไปชั้นยังไม่ได้บอกเลยน่ะ ตอนต่อสู้ตะกี้พวกนายทำได้ไม่เลวเลยนะ” เธอพูดแล้วเบียงหน้าลบด้วยใบหน้าขึ้นสีเรือเล็กน้อย

“อะ...อืมขอบใจน่ะ” เคและโจเซฟพูดออกมาพร้อมกันและม้องหน้ากันอย่างสงสัยประมาณว่าว่า ‘มาแปลกจากที่เจอเมื่อคราวก่อน’

“ว่าแต่เป็นไงมั่งละทำข้อสอบได้ไหมละเนี่ย” เครีบเปลี่ยนเรื่องคุย

“นั่นคนที่เชียร์เคที่สนามแข่งตอนนั้นนิ” ฟาร่าพูดกระซิบบอกมาชิโระที่กำลังแอบมองอยู่ไม่ห่าง

“เธอคนนั้น ชั้นเคยเห็นที่ไหนมาก่อนน่ะ” มาชิโระพูดพลางชะโงกหน้าแอบมองขนะที่หูของเธอขยับไปมาเหมือนต้องการรับฟัง

“อึ๋ย~ อย่าพูดถึงได้ไหมเพราะตอนที่สู้กับนายที่ร้านตอนนั้นนั่นแหละทำเอาซะชั้นมึนไปหมดเลย” อาโมเน้เอามือกุมขมับแล้วเดินไปนั่งที่เก้าอี้ข้างทางก่อนถอนหายใจออกมา ด้วยอาการแบบนั้นเลยพอทำให้เคกับโจเซฟพอสรุปได้เลยว่าสงสัยจะแย่ “...ไหนจะคำพูดตอนนั้นอีก...”

“หืม... คำพูด...” เคทำโพลงออกมาอย่างสงสัย

“ก็หลังจากสู้เสร็จยังไงละ!” เธอชะโงกหน้าเข้าไปใกล้เคก่อนที่จะพูดเสียงแข็งใกล้

“อ้อ ตอนนั้นงันเหรอ...ที่ชั้นพูดไม่มีอะไรผิดหรอกน่ะชั้นแค่คิดว่าเธอมีบางอย่างที่คล้ายชั้น น่าจะเป็นส่วนในแรงพลักดันแล้วก็ความมุ่งมั่น แน่วแน่ ในตอนที่เธอลงดาบมาทำให้ชั้นรู้สึกได้เลย เพียงแค่ถ้าเธอไม่สู้ด้วยความสับสนตอนนั้นชั้นว่าต้องสนุกกว่านี้แน่” เคพูดเสร็จก็มีสีหน้าที่ดีใจว่าแล้วก็แอบยิ้มขึ้นเล็กน้อย คนที่มองอยู่ถึงเบิ่งตาโพล่งขึ้นอย่างตะลึง ก่อนที่จะขำออกมา

“นายนี่มันจริงๆเลยน่ะ” อาโมเน่กล่าวอย่างสั่นๆเพราะเธอขำไปด้วย

“บร่ะ! นี่นายก็พูดอะไรดีๆเป็นกับเค้าด้วยเหรอเนี่ย” โจเซฟที่ยืนฟังไม่ห่างรีบยิงคำพูดจี้แทง

“งั้นเหรอ แต่ชั้นพูดจริงน่ะ” เคตอบกลับอย่างเรียบง่าย” ว่าแล้วเคก็ยื่นมือไปหาอาโมเน่ “ยังไงก็ขอฝากตัวด้วยน่ะ”

หลังจากที่เคพูดจบอาโมเน่ก็จับมือตอบกลับแล้วยิ้มรับ แต่ด้วยรอยยิ้มนั้นทำเอาซะเคถึงกับใจเต้นด้วยใบหน้าที่ดูเปลี่ยนไปเป็นอ่อนหวาน

“ว่าแต่ คนที่จูบนายตอนนั้นน่ะ คนรักนายเหรอเห็นเค้าลือกันให้แซดเลย” คำถามที่ดูตรงๆซื้อๆแต่กลับส่งผลบาดร้าวไปถึงจิตใจ

“ห่ะ! ไม่ใช่ซะหน่อยชั้นนะไม่มีหรอกคนรักอะไรนั่นน่ะ แค่จำผิดเ้ท่านั้นเอง” เครีบโบกมือปัดปฏิเสธอย่างรวดเร็ว

“มาชิโระ...จะว่าไปชั้นก็สงสัยน่ะเด็กคนนั้นเหมือนเคยเจอที่ไหนมาก่อน” อาโมเนยืนคร่นคิดพิจารณาจนคิ้วขมวดก่อนที่จะนั่งทรุดลงไป

"มีข้อความค่ะ" เสียงฟาเรฟดังขึ้นมา

"เห~ มันมีแบบนี้ด้วยเหรอเนี่ย" โจเซฟโพลงอย่างสงสัย

"นายใช้มานานไม่รู้เรื่องเลยเหรอเนี่ย"

"ก็ชั้นใช้เป็นแค่เก็บของอย่างเดียวนินา แหะๆ แถมไม่ค่อยคุ้นกับมันสักเท่าไร" โจเซฟว่าแล้วเอามือเกาหัว

"ขอโทษน่ะทั้งสองคนพอดีมีธุระด่วยไว้เจอกันตอนงานเลี้ยงน่ะ" อาโมเน้ว่าแล้ววิ่งออกไป

"มาชิโระดูท่าเราจะโดนเรียกไปน่ะ" ฟาร่าพูดแล้วเขย่าตัวมาชิโระ

"ชิฟังไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไรแต่เอาเถอะงั้นเราก็ไปกันเถอะ"

ทางด้านเคกับโจเซฟหลังจากที่แยกตัวกับอาโมเน้ก็ได้เข้ามาสู่การแนะนำห้องเรียนของโรงเรียนเวทย์พร้อมกับเหล่านักเรียนใหม่ทุกคน

“เอาหละทุกคนฟังให้ดีนะ” เสียงเรียกของรุ่นพี่สาวสวยที่กำลังเรียกเหล่าพวกนักเรียนใหม่ ไปตามทางเดิน เธอชื่อว่าเพล่า เป็นตัวแทนของเหล่านักเรียนปี2ของมอลตี้และยังเป็นผู้ที่มีคะแนนเป็นอันดับ1ของชั้นเรียน

ในระหว่างทางก็มีการบรรยายของแต่ละชั้นเรียนและห้องเรียน ทั้งห้องที่มีแต่พืช ห้องที่มีขวกแก้วทดลองอยู่เต็มไปหมด ห้องที่มีลานกว้างขวาง ห้องที่ดูเหมือนห้องเรียนธรรมดา ห้องที่มีโบราณวัตถุอยู่เหลือคณานับ และอื่นๆอีกมากมายสร้างเสียงตกใจและตื่นเต้นของเหล่านักเรียนใหม่ไปตามๆกัน ตามทางก็มีเหล่พวกรุ่นพี่มาคอยสอดส่องนักเรียนใหม่

“นี่เค ไม่รู้ชั้นคิดไปเองหรือเปล่าแต่ชั้นว่านายเหมือนเปลี่ยนไปยังไงไม่รู้แฮะ เห็นก่อนลงแข่งนายยังทำท่าลุกลี้ลุกลนไม่มั่นใจแต่ระหว่างแข่งก็จู่ๆมีไฟขึ้นมาซะงั้น” โจเซฟจี้คำถามยิงใส่แคระหว่างที่เดินไปตามทางเดินของตึกเรียน ในระหว่างทางก็มีเสียงกระซิบและเสียงนินทาอยู่ระหว่างทางไม่ขาดสายและหนึ่งในเรื่องที่กล่าวก็ยังเป็นเรื่องของพวกโจเซฟอีกด้วย

“งั้นเหรอ...อาจจะใช้ก็ได้มั้ง ชั้นแค่นึกอะไรได้ระหว่างที่ต่อสู้ และคิดว่าการแสร้งทำมันไม่ช่วยให้เกิดประโยชน์อะไรได้เลยสู้ยอมๆแล้วปล่อยไปตามสบายดีกว่า ว่าแต่แทนที่นายจะห่วงเรื่องชั้นไม่ลองมองไปข้างหลังสักหน่อยเหรอ” เคกล่าวหน้านิ่งพลางยกนิ้วโป้ชี้ไปข้างหลังแล้วเหล่ตามองเล็กน้อย

เมื่อโจเซฟหันไปมองก็ถึงกับสะดุ้งร้องเสียงครางออกมาและหันควับกลับมาเดินตามปกติ ซึ่งไม่แปลกเลยสำหรับคนนับร้อยที่ต่างเพ่งสายตาพลางเดินทิ้งห่างจากเคและโจเซฟไปร่วมสี่ก้าวด้วยกัน

“ทำไมชั้นรู้สึกเหมือนจะโดนจ้องฆ่ายังไงไม่รู้” โจเซฟหันไปพูดกับเคด้วยหน้าตาซีดๆปนเหงื่อเล็กน้อย

“มันก็ไม่เห็นแปลกซักเท่าไร” เคพูดไปหันไปดูโจเซฟพลางก่อนที่จะตีหลังโจเซฟเข้าให้หนึ่งที “เงียบๆเข้าไว้แล้วเดินไปต่อดีกว่า รู้งี้ไม่น่าบอกนายเลยให้ตายสิ” พูดจบก็ถอนหายใจมาเฮือกใหญ่

“ชิ ว่าแต่ชั้นทีนายละชั้นก็อยากร้องออกมาเลยด้วยซ้ำไป” โจเซฟไม่ยอมโดนเป็นฝ่ายโดนว่าคนเดียวรีบฉวยโอกาศพูดสวนกลับไป

“พูดเรื่องอะไรของนาย” เคเหล่ตาไปมองหลังพูดจบ

“เค้าลือกันให้แซดเกี่ยวกับนักเรียนใหม่ผู้กล้าทำเรื่องอนาจารต่อหน้าคนอื่นนับพัน” โจเซฟแสยะยิ้มอย่างสะใจพลางเหล่ตาไปมอง

“หรือว่าที่เค้าลือคือตอนนั้นงั้นเหรอ ว่าแต่นายนี้ก็สู่รู้เหมือนกับอาโมเน้เลยน่ะ” เคบ่นพึมพำและนึกไปถึงตอนที่ตัวเองโดนจูบ

“แล้วนายกับคุณหนูน้อยมาชิโระคนนั้นเป็นยังไงกันงั้นเหรอ” โจเซฟทำแววตาเป็นประกายหวังรอคำตอบจากเพื่อนเค้า ขณะที่คนที่นักเรียนที่อยู่ข้างหลังก็หูพึ่งกันเป็นแถว “เอ... จะว่าไปนอกจากคุณหนูมาชิโระแล้วยังมีอาโมเน้ที่เจอที่ร้านขายอาวุธคนนั้นมาเชียร์นายด้วยน่ะ นายนี่มันร้ายไม่เบาเลยนะเนี่ย” พูดจบก็แอบหัวเราะด้วยน้ำเสียงที่ฟังแล้วชวนโมโห

“ไม่เกี่ยวกับนายซะหน่อย หุบปากไปซะ” เคขึ้นเสียงแข็งกลับไปแต่สีหน้านั้นขึ้นสีจนคนข้างๆแทบจะอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา

“ว่าแต่พวกเธอหายไปไหนหว่า” โจเซฟเอ่ยขึ้นอย่างสงสัย

“ระวังไว้เถอะว่าแต่ชั้นฟาร่าแห่งดิมลอสเองก็ชอบนายอยู่ไม่ใช่น้อย แถมสาวน้อยระเบิดเพลิงที่นายว่าก็คงไม่แคล้วตามๆกันเหมือนกันนั่นแหละ และเมื่อคิดดีๆแล้วทางชั้นได้เปรียบกว่าเห็นได้ชัด”

โจเซฟพอเอาคำพูดเคมาคิดก็หน้าถอดสี ในใจก็คิดได้ว่าเจอแม่สาวระเบิดนั่นอีกทีมีหวังไม่แคล้วโดนบอมอีกแหง

หลังจากที่การนำชมมอลตี้ได้ล่วงเวลาไปถึงเย็นรุ่นพี่เพล่าก็รีบพาเหล่านักเรียนลงไปที่โรงอาหารรวมของทางโรงเรียน ซึ่งก่อนไปนั้นเธอก็กล่าวขอโทษโน่นนี่ไปมาเพราะดูว่าเธอจะไม่สามารถทำหน้าที่ได้ลุล่วง และด้วยการที่เธอเข้ามาขอโทษขนาดที่ว่าแทบจะคุกเข่าเล่นเอาซะเหล่านักเรียนมาใหม่อึ้งไปตามๆกัน แต่ก็มีบางคนที่รู้ตัวเองว่าทำไมเวลาไม่พอที่จะพาไปได้หมดทุกที่

ทันทีที่นักเรียนใหม่เข้าไปในโรงอาหารนั้นต่างก็แปลกใจที่ว่าโรงอาหารที่น่าจะมีสภาพแวดล้อมที่ต้แงประดับไปด้วยโต๊ะอาหารและกลิ่นของเหล่าอาหารต่างๆกับโล่งโจ้งสนิดร้าวกลับเป็นห้องว่างเปล่าไม่มีอะไรเลย

เสียงของเหล่านักเรียนเริ่มส่งเสียงแซแซดขึ้นมาต่างคนต่างมองหน้าสนทนาคุยกัน บางคนก็ยืนนิ่งร่าวกลัวว่าไม่สนอะไรเลย และแล้วเสียงประตูก็ดังขึ้นกับภาพของรุ่นพี่ที่ยืนอยู่ข้างนอกโบกมือลา สร้างความมึนงงให้อีกเล็กน้อย ก่อนที่พื้นห้องจะเริ่มปรากฏแสงออกมาเป็นสัญลักษณ์เวทย์มนต์และเมื่อแสงนั้นหายไป ทุกคนก็กลับกลายเป็นว่ามานั่งอยู่ที่ใดที่หนึ่งพร้อมหน้ากัน ในห้องโถงกว้างประดับด้วยธงสัญลักษณ์มอลตี้และโคมไฟอันสวยงาม

“โอ้โห เวทย์มนต์เคลื่อนย้ายสถานที่ชั้นสูง นานแล้วน่ะที่ไม่ได้เห็น” เสียงของเคเปร่ยพึมพำพลางเอามือกุมคาง ท่ามกลางความตกใจและตื่นเต้นของเหล่านักเรียน

“อะไรเนี่ย ชั้นมานั่งตรงนี้ได้ไงเนี่ย เฮ้เคดูสิๆสุดยอดไปเลย” โจเซฟโวยวายราวกลับเด็กเอาซะจนเคที่ถูกเรียนชื่ออยากเอาหน้าไปมุดหลบ

และแล้วบานประตูก็ถูกเปิดออกพร้อมกับเหล่าฑูติมากมายโผบินเข้ามาหลากหลายชนิด สร้างเสียงโห่ร้องให้กับเด็กๆเหล่าฑูตินั้นสร้างแสงสีเหมือนยินดีกับนักเรียนใหม่ บางตัวก็เข้าไปแกล้งและแล้วบานประตูอีกบานก็เปิดออกมา กับชายผมสีเขียวในชุดขาวตัดแดงน้ำเงินตามด้วยเสียงปรบมือหนึ่งครั้งจนทุกคนหันมาสนใจเสี่ยงที่ดังออกมา

“สวัสดีน่ะทุกคน ผมผู้รับตำแหน่งรองประธานตัวแทนของกรรมการนักเรียน เรนอฟ ฟิลดิเร่ กันเดลซาเวส ชั้นปีสาม จะมากล่าวเปิดการต้อนรับนะครับแต่ในความเป็นจริงแล้วผู้ที่ต้องมากล่าวปราศัยในครั้งนี้ต้องเป็นท่านประธานแต่เนื่องจากเขามีปัญหาบางอย่างเลยไม่สามารถมาได้ยังไงก็ขออภัยด้วยนะครับ เอาหละในเนื่องมาจากที่ทุกคนได้เข้ามาเป็นนักเรียนแห่งโรงเรียนเวทย์มนต์มอลตี้นี้แล้ว ทางเราจึงได้มีการเตรียมการเพื่อที่จะแนะนำเหล่าคณาจารย์ที่ทุกท่านจะได้พบเจอกันและเหล่าผู้รับตำแหน่งคณะกรรมการต่างๆ” เรนอฟกล่าวเสร็จก็ดีดนิ้วหนึ่งครั้งทันใดนั้นประตูตรงที่เรนอฟเดินออกมาก็เกิดมิติบิดเบี้ยวก่อนที่จะปรากฏออกมาเป็นบุคลแปลกหน้าออกมาซึ่งในกลุ่มนั้นมีศาสตราจารย์ไลตริงและศาสตราจารย์โครนอสอยู่ด้วย

“ระ...รองประธาน! รุ่นพี่เรนอฟ ปะ..เป็นรองประธานเลยงั้นเหรอเนี่ย” โจเซฟตะโกนร้องออกมาอย่างอึ้งๆ ว่าแล้วเจ้าตัวก็รีบมาเขย่าตัวเคอย่างตื่นเต้น

“ชั้นรู้แล้วน่าโจเซฟ แต่เท่าที่ดูแล้วชั้นพอคาดการณ์ออกเลยว่าประธานจะเป็นใคร” เคพูดแล้วเพ่งสายตามองไปยังแรนอฟและเหมือนเรนอฟเองก็ส่งยิ้มเจื้อนๆให้เหมือนรู้กัน

“จริงเหรอ! นายรู้เหรอว่าประธานเป็นใคร” โจเซฟทำตาลุกวาวตั้งตารอคำตอบ

“เรื่องนั้นก็น่าจะรุ้แล้วนิ ว่าแต่ที่เห็นชัดตอนนี้เหล่าคนที่นั่งอยู่ตรงนั้นคงเป็นเหล่าศาสตราจารย์ที่นี่ไม่ผิดแน่” เคว่าแล้วเพ่งพิจารณาไปยังเหล่าบุคลพวกนั้นขณะที่โจเซฟเริ่มส่งสายตาและทำหน้าไม่พอใจแต่เมื่อจะเอ่ยถามเคก็ถูกบางคนขัดขึ้นมาซะก่อน

“เฮ้! พวกนายสองคน ใช่เรฟารัสกับเรอาน่อนหรือเปล่าครับ” เสียงจากชายปริศนาร่างสูงใหญ่ผมสีทองในชุดนักเรียนที่ดูแปลกตา ที่ว่าดูแปลกตาเพราะชุดที่เค้าใส่นั้นดูรัดรูปซะจนแทบเห็นสัดส่วนซะหมด แถมยังถือกล้องถ่ายรูปมา

“ถ้าใช่แล้วจะทำไมเหรอ” โจเซฟหันไปตอบด้วยหน้าตาที่ไม่ต้อนรับขณะที่เคได้แค่มองอย่างหน่ายใจ

“ชั่นชื่อคูไนล์ ว่าแต่พวกนายทั้งสองคนมีใครได้มาซักถามหรือพูดคุยบ้างหรือยังละ” คูไนล์พูดออกมาพลางส่งสายตาดุใส่จนทั้งสองสะดุ้งด้วยความตกใจพลางคิดว่า ต้องเป็นเรื่องสำคัญอย่างแน่นอน

“ก็ยังหรอก ไม่มีใครกล้าจะมาคุยมากกว่าน่ะ” เคตอบกลับพลางทำท่าทางเหนื่อยๆ

“เอ๊ะ!” คูไนล์ยืนทำหน้างงๆอย่างสงสัย

“เอาเป็นว่าเป็นเพราะการแข่งขันที่ผ่านมาตะกี้ ตอนนี้เลยมีแต่คนพยายามปลีกตัวห่างจากพวกเรามันก็แค่นั้น” โจเซฟพูดออกมาและทำหน้าตาเหมือนจะร้องไห้

“ฮะฮะ...ยังไงก็ตาม...เอาเป็นว่าโชคดีจริง” คูไนล์ยืนอึ้งชั่วครู่แล้วขำอย่างสบายใจ

“โชคดี..” เคกับโจเซฟพูดพร้อมกันอย่างสงสัยจนคนหัวเราะต้องหยุดและอธิบาย

“อย่างที่คิดจริงๆว่าคุณต้องเป็นนักข่าว” หลังจากที่อธิบายซะนานเคก็เป็นฝ่ายปริปากออกพูดก่อน

“พวกนายยังไม่รู้อย่างแน่ชัดหรอก” คูไนล์ส่งสายตาเฉียบคมหลังจากที่ได้พูดไปก่อนที่จะเริ่มพูดต่อ

“จากที่ได้กล่าวไปแล้วทางคณะกรรมการและคณาจารย์แห่งมอลตี้ขอให้ทุกคนได้ร่วมสนุกกับการสังสรรค์ในครั้งนี้ด้วย” เรนอฟพูดจบอาจารย์แห่งมอลตี้ที่ก็เริ่มแสดงเวทย์มนต์ จากห้องโถงที่ไม่มีอะไรเลยก็เริ่มทีเครื่องประดับประดาออกมาสีของห้องเริ่มเด่นชัดขึ้นโต๊ะที่นักเรียนนั่งก็มีอาหารมากมายปรากฏออกมา

“อืม...จะบอกว่าตอนนี้มีพวกเพ่งเล็งเราไว้เยอะงั้นสิน่ะ” เคเริ่มพูดแล้วก็ขยับมือไปคว้าเนื้อย่างชิ้นโตที่อยู่ไม่ห่างจากตัวมากินอย่างสบายใจ

“ถึงจะเป็นอย่างที่รุ่นพี่ว่ามาแต่ถึงยังไงพวกเราก็ไม่เป็นต้องสนอะไรจริงไหมละ” โจเซฟโพลงออกมาหลังจากที่นั่งนิ่งไปนานว่าแล้วเจ้าตัวก็คว้าขนมปังก้อนใหญ่มาเคี้ยวจนแก้มตุ่ยก่อนจะพูดออกมาอีกครั้งทั้งๆแบบนั้น “ก็ถ้ามีอย่างที่ว่าจริงๆก็แค่ซัดมันกลับไปซะก็จบ” ว่าแล้วก็กินขนมปังต่ออย่างสบายใจโดยไม่สนใจท่าทีทั้งสองคน

เป็นคำตอบที่เรียบง่ายแต่จากคนที่ฟังทั้งสองคนถึงกับชะงักไป ฝ่ายคนที่เคี้ยวเนื้อย่างเหล่สายตาส่งมาเป็นนัยๆแต่ทางคูไนล์ปากกาถึงกับร่วงไปอย่างบอกไม่ถูก แต่แล้วเสียงหัวเราะก็ออกมาจากคูไนท์ก่อนที่เค้าจะสอบถามอีกครั้งและเก็บภาพของทั้งสองคนแล้วจากไป

“พวกนายสองคนนี่มันเจ๋งจริงๆเลยน่ะครับ ไม่เหมือนผมเลย” เสียงน้อยๆที่สั่นเทากล่าวขึ้นสร้างความสนใจให้ทั้งสองคน

“นี่นาย...”

“ขอโทษน่ะครับผม เอวิเด้ อาร่อน คิริเด็น” เด็กหนุ่มกล่าวด้วยเสียงเรียบ

“มืดมนจังเลยนะนายเนี่ย” ยังไม่ทันไรเสียงแจ้วขอโจเซฟก็ดังขึ้น จนเด็กหนุ่มตรงหน้าถึงกับสะดุ้งโหย๋งไปเลย

“แหะๆ...ขอโทษด้วยนะครับ แต่ผมชื่นชมพวกนายมากเลยน่ะไม่น่าเชื่อเลยว่าเด็กที่เข้ามาใหม่สามารล้มรุ่นพี่ไปได้ พวกนายเนี่ยสุดยอดจริงๆ” เมื่อพูดจบเอวิเด้ก็หรี่ตาแล้วก้มลงอย่างสลด

“ไม่ขนาดนั้นหรอกเพียงแค่คันไม้คันมือกับเจ้าพวกนั้นเท่านั้นเอง อีกอย่างเจ้าพวกนั้นไม่เห็นเก่งอย่างปากว่าเลย” โจเซฟโต้กลับไปจนเอวิเด้ถึงกับตะลึง

“เกินไปมั้งโจเซฟ พวกรุ่นพี่เองก็เก่งไม่เบาเหมือนกันน่ะตอนนั้นนายก็น่าจะรู้ตัวนิ” เคค้านกลับใสโจเซฟแต่เจ้าตัวกลับไม่สนใจคว้าแก้วน้ำผลไม่มาดื่มย่างสบายใจ

“พวกนายไม่รู้หรอกคนที่ไร้พลังยังไงก็ไร้พลังอยู่ดีหละครับ ถ้าไม่มีพลังและความกล้าที่จะสู้มันก็ไม่ต่างอะไรกับผู้แพ้ไปหรอก!”

“มัวแต่พล่ามอยู่นั่นแหละ แล้วนายนะยอมแพ้ตรงนี้แล้วงั้นเหรอ นายที่ผ่านการทดสอบและมายืนอยู่ตรงนี้ได้แล้วไม่คิดว่ามันเยี่ยมไปเลยเหรอ” เคพูดพร้อมสีหน้าที่หงุดหงิด

“ผ่านการทดสอบงั้นเหรอ ผมน่ะได้แค่คอยหลบซ่อนแล้วรอเวลาให้หมดลงเท่านั้นเอง ผม...ผมน่ะไม่ได้ทำอะไรเลย” เด็กหนุ่มพูดแล้ววิ่งจากไป

“เฮ้! อะไรของเจ้าหมอนั่นเนี่ย” เสียงตะโกนทักของโจเซฟแต่ดูเหมือนจะส่งกลับไปไม่ถึง

“เอวิเด้ เจ้าหมอนั่น...แค่กำลังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไปนะสิ เหมือนที่เค้าบอกว่า ผู้ที่ไร้พลังย่อมที่จะอยู่ภายใต้อำนาจที่เหนือกว่า” เคมองแผ่นหลังของเอวิเด้แล้วพลางนึกถึงตัวเองในอดีตที่มีชะตากรรมเดียวกัน

“หึหึ ในที่สุดก็เจอวัตถุดิบชั้นดีซะแล้ว~ อาเดเรียทีนี้เจ้าจะทำอย่างไรละ”

ไม่นานนักหลังจากที่ทำการต้อนรับเหล่านักเรียนใหม่ทางรุ่นพี่และคณาจารย์ก็ได้นำนักเรียนที่เป็นแนวหน้าของปีนี้ด้วยการที่สามารถทำการสอบเข้าล่วงหน้าไปก่อนด้วยคะแนนเต็มทั้งหมด ทางพวกนักเรียนใหม่ที่ได้ยินก็ต่างโห่ร้องส่งเสียบแซแซดไปจนทั่ว บ้างก็ทำสีหน้าเคร่งเครียด ไม่ก็แผ่จิตสังหารออกมาอย่างไม่รู้ตัว แต่ก็มีบางกลุ่มที่มีท่าทีที่ไม่พอใจ

“หรือว่า...” เคบ่นพึมพำออกมา

“น่าสนุกละสิทีนี้” โจเซฟพูดและหัวเราะแล้วดื่มน้ำผลไม้อย่างสนุก

“อย่าคาดหวังแบบนั้นดีกว่าไหม ทางที่ดีชั้นว่าควรปลีกตัวลี้ตอนนี้จะดีกว่าน่ะ” เสียงคัดค้านจากเคทำให้โจเซฟต้องหยุด

“ไม่เอาน่านายทำหน้าจริงจังไปได้หรือว่านายรู้ว่าเป็นใคร” โจเซฟทำหน้ายิ้มเยอะหยอกล้อเค

“คนที่จะทำการสอบคัดเลือกได้ก่อนส่วนใหญ่จะเป็นพวกลูกของขุนนาง ไม่ก็ระดับลูกเจ้าเมืองหรือพูดง่ายๆก็จะเป็นการใช้เส้นเพื่อในกรณีรับจำนวนจำกัดแล้วอีกอย่างคือ โดยส่วนรวมแล้วการทำการสอบก่อนล่วงหน้าข้อสอบก็จะยากกว่าคนอื่นเป็นปกติซึ่งแน่นอนไม่มีใครที่จะบ้าไปทำแบบนั้น” เคพูดจบก็เหล่ตาไปมองเป็นนัยแต่ดูเหมือนว่าโจเซฟจะไม่มีท่าทีที่รับรู้อะไรเลย

“แบบนี้ยิ่งอยากเห็นเข้าไปใหญ่” เจ้าตัวไม่วายรีบลุกจากเก้าอี้ตามไปทางประตูเพื่อรอดูแต่เพื่อนตัวดีจับคว้าไปซะก่อน จนไม่สบอารมณ์ต้องหันไปพูด “มีอะไรของนายอีกเนี่ย”

“นายมันบื้อ งี่เง่าซะจริงน่ะ” เคบ่นใส่โจเซฟก่อนจะคว้าคอเสื้อลงมาแล้วพูดต่อ “ที่ชั้นจะบอกก็คือคนที่นายอยากเห็นนะคือพวกฟาร่าแล้วก็แม่สาวดินระเบิดนายแน่ๆยังไงละ” เท่านั้นเองที่เคพูดโจเซฟพอนึกภาพหลังจากที่ได้เจอ สีหน้าที่ยิ้มก็เปลี่ยนเป็นซีดลง

“ว่ายัง...อุฟ!” เสียงตะโกนที่ดังยังออกมาไม่สุดเสียงโดนมือจากฝ่ายตรงข้ามปิดสนิท ยังดีที่ว่าในห้องประชุมนั้นเต็มไปด้วยเสียงอึกทึกของคนอื่นๆเลยไม่ได้สังเกตุ แต่ดูท่าเคจะลืมดูเลยว่าตอนนี้โจเซฟเป็นยังไงบ้าง

ไม่นานนักเสียงประตูก็ดังขึ้นมา ทามกลางเสียงของเหล่านักเรียนคนอื่นๆที่ตื่นเต้นบางคนก็ยังคงนิ่งเฉย ทางเคกับโจเซฟเองก็ได้แค่พยายามหลบหลีกไปอยู่ตรงต้นเสาที่เรียงรายอยู่รอบๆ

“อุค!... ความรู้สึกนี้มัน...” เคเริ่มรู้สึกว่าร่างกายตัวเองมีอาการแปลกๆ

“ใช่ที่นายบอกจริงๆด้วยแฮะเค” เสียงสั่นตอบกลับไปยังเพื่อนว่าแล้วก็หันไปหา “อ่าวไหงเงียบ...เฮ้ย! หายไปไหนละเนี่ย!” โจเซฟที่หันมามองแล้วไม่เจอเพื่อนเองก็พลางคิดว่าเจ้านี่มันเอาตัวรอดคนเดียวเรอะ

“แย่ชะมัดมากลายเป็นร่างนี้ตอนที่คนพลุพล่านแบบนี้เนี่ยน่ะ” เมงุมิว่าแล้วก็เอามือกุมขมับ

อีกด้านนึงในห้องลึกไปในมอลตี้ แสงสีแดงก็สว่างจ้าจากแสค๊ปเงาดำทะมึนเริ่มคีบคลาน

“ในที่สุด...ก็มีตัวหมากที่เหมาะสมซะที ช่างน่าขอบใจเจ้าซะจริงอาเดเรีย...” เสียงของสแค๊ปดังก้องภายในห้องลับข้างล่างโซ่ตรวนที่ตึงเริ่มสะบั้นลงถึงจะยังไม่หมดแต่ก็สามารถปลดปล่อยพลังออกไปได้ พลังสีดำทะมึนค่อยๆซึมผ่านซอกหินผ่านช่องแคบจนในที่สุดก็ไปยังบุคลๆนึง

“เอวิเด้...” เสียงที่ดังก้องขึ้นในหัวของเอวิเด้

“ใครนะ...นายเป็นใคร”

“อะไรกันความรู้สึกแบบนี้” เมงุมิเอ่ยหลังจากจับความรู้สึกได้บางอย่างที่ไม่ปกติ

จู่ๆบรรยากาศในหอประชุมก็เปลี่ยนไปทุกสิ่งทุกอย่างกลับดูน่าอึดอัดและสอิดสเอียน ราวกลับว่ามีอะไรบางอย่างที่ทำให้เป็นแบบนั้น เหล่านักเรียนเกือบทั้งห้องต่างหมดสติเหลือเพียงไม่กี่คนเท่านั้น คณะอาจารย์แห่งมอลตี้เองก็ไม่พ้นถึงจะยังกุมสติเอาไว้ได้แตก็สายเกิดที่จะร่ายเวทย์ที่นั่งของอาจารย์ถูกเงาดำปกคลุมจนหมด รุ่นพี่ที่ดูแลสถานการณ์ก็หมดสภาพสิ้น

“นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย...บ้าชิบร่างกายชั้น...” เสียงของโจเซฟที่อ่อนระทวยค่อยๆเลือนลางจนหมดสติลง

“ผอ. แย่แล้วครับ” เสียงของลูเซเซอร์ตะโกนดังออกมาพร้อมเปิดประตูห้อง

“มีเรื่องอะไรนักหนา ไม่รู้จักจบจักสิ้นเลยน๊า~” อาเดเรียตอบอย่างหน่ายใจขนธที่นั่งอ่านหนังสือในห้อง

“เรื่องนี้มันเกี่ยวกับสแค๊ปนะสิ” สิ้นเสียงของลูเซเซอร์อาเดเรียรีบกระโจนออกจากเก้าอี้แล้วรีบออกไปอย่างทันที

เมื่อถึงหน้าห้องเลี้ยงตอนรับก็ต้องตกใจกับสิ่งเบื่อหน้าหมอกควันสีดำค่อยๆแผ่กระจายออกมา แต่มันไม่เหมือนควันธรรมดาเพราะเหล่านักเรียนเวทย์ใช้พลังเพื่อสลายมันไปแต่กลับถูกดึงตัวเข้าไปในกลุ่มควันจนไม่มีใครสามารถเข้าใกล้ได้ กลุ่มควันนี้ก็โจมตีใส่เหล่านักเรียนเวทย์เช่นกัน

“นี่มันหรือว่า ไม่สิไม่ผิดแน่ๆ” เมงุมิพูดพลางเอามือกุมตาข้างขวาที่มีผ้าปิดตาปิดอยู่และมีแสงส่องออกมา “เจ้าสิ่งที่ทำให้เกิดปฏิกิริยาได้ขนาดนี้ เศษเสี้ยวหายนะ!!”

“เจ้าจะทำอย่างไรละอาเดเรียเอ๋ย” เสียงคืบคลานจากภายในส่วนลึกของปราสาทขณะที่ผนึกเริ่มคลายลงเรื่อยๆ “ส่วนอาวิเด้เจ้าจะต้องมาเป็นร่างให้แก่ข้า” สแค๊ปกล่าวขนะที่ร่าของอาวิเดลอยอยู่ในกลุ่มควันเบื้อหน้าของสแค๊ป

Edited by B★RS

Share this post


Link to post
Share on other sites

น่าติดตามมากครับ เดี๋ยวนี้หานิยายแฟนตาซีที่แต่งจนจบยากจริงๆ หวังว่าเรื่องนี้จะแต่งต่อจนจบนะครับ :emo (43):

Share this post


Link to post
Share on other sites

สุดยอดเลยครับ...ขอบคุณที่แต่งให้อ่านนะครับ ผมไปอ่านต่อล่ะ :emo (59):

Share this post


Link to post
Share on other sites

บทที่5 การเริ่มต้นของฝันร้ายกับบทเรียนแรก

ครื่น! เสียงสั่นสะเทือนของพลังที่กำลังอัดแน่นอยู่ใต้พื้น มันกำลังโผยพุ่งออกมาอย่างไม่หยุด

ท่ามกลางความโกลาหลจากข้างนอกที่ได้แค่ยืนดู เหล่านักเรียนเวทย์ที่กำลังใช้ม่านพลังห่อหุ้มไม่ให้หมอกควันนี้ออกมา ถึงกับทำให้อาเดเรียกัดฟันกรอด ขณะที่ลูเซเซอร์ที่ยืนมองด้วยสายตาที่ดูหงุดหงิดรำคาญตา

“ในที่สุดจากเวลานับร้อยปีข้าก็จะหลุดพ้นซะที!” เสียงเอ่ยขึ้นจากร่างขออาวิเด้ก่อนหัวเราะออกมาด้วยท่าทีเหมือนคนที่เสียสติ บางส่วนของผิวกายที่ปรากฏของเค้ามีอัคขระสีดำผุดขึ้นไม่เว้นแม้กระทั่งใบหน้า “ทีนี้ก็แค่ทำลายกำแพงเวทย์งี่เง่านั่นแล้วก็นำร่างที่แท้จริงออกมาข้าก็จะเป็นอิสระ”

‘ถึงจะเป็นเศษเสี้ยวหายนะ แต่กลับดูมีพลังที่น้อยผิดคาด ไม่สิเมื่อตะกี้...ร่างที่แท้จริง... ว่าแต่ไอ้หมอกปะหลาดนี่มันอะไรกันแน่นะ ราวกลับว่ามันมีชีวิตยังไงยังงั้น’ เมงุมิเหล่สายตามองและบ่นในใจพลางใช้ความคิด

“แต่น่าเสียดายจริงๆที่เจ้าวงเวทย์น่ารังเกียจนี่ดันปกป้องเจ้าพวกนี้ไว้” แสค๊ปที่ครอบงำร่างอาวิเด้เอามือไปสัมผัสที่วงแหวนเวทย์แต่ก็ทะลุผ่านไปเหมือนกับว่าเป็นภาพที่ฉายขึ้นและเหมือนว่าจะไม่สบอารมณ์จึ่งส่งเสียง จิ๊จ๊ะ และกัดฟันอย่างโมโหก่อนที่จะเดินไปที่กำแพงแต่แล้วจู่ๆก็หยุดลงพร้อมหันมาทางเสาที่ตั้งไม่ห่าง “หึ สงสัยชั้นจะหาที่สำหรับลองร่างกายนี้เจอซะแล้วสิ” พูดจบก็มีของเหลวสีดำปรากฏขึ้นที่มือและไหลลงลบพื้นก่อนจะมีเสียงร่ายเวทย์ จากของเหลวที่ปรากฏกลายเป็นเหมือนแท่งน้ำเข้าพุ่งใส่เสากำแพงจนเป็นเสียงระเบิดหมอกควันโพยพุ่งไปทั่ว

“อันตรายไม่ใช่เล่นนะเนี่ย อย่ายิงเล่นแบบนี้จะดีกว่าน่ะ” ควันจางออกไปจนเห็นเป็นร่างของเธอปรากฏขึ้น แต่กลับไร้รอยขีดข่วนแต่อย่างใด

“น่าแปลกซะจริงทำไมแกถึงไม่ต้องมนต์สะกดของชั้นละแม่หนู”

“ดูจากหมอกควันนี้ดูท่านายจะ...” เสียงดังขึ้นอีกครั้งจากมุมห้องที่ถัดไปจากเสาที่ระเบิดไปไม่มาก

แต่ยังไม่ทันที่จะกล่าวจบกลุ่มหมอกที่ลอยอยู่ก็กลายเป็นคลื่นถาโถมไปยังมุมห้องนั้นจนแหลกละเอียดไป

“ใช้พลังเป็นสื่อกลางเพื่อให้เด็กที่ชื่ออาวิเด้ที่กำลังว้าวุ่นเกี่ยวกับตัวเองทำสัญญาแล้วก็ยึดครองร่างนั้นละสินะ” ทันใดที่พูดจบหมอกที่อัดแน่นตรงมุมห้องก็ฉีกขาดสะบั้น ภาพที่ปรากกฎต่อหน้าแสค๊ปที่ควบคุมอาวิเด้ กลายเป็นเด็กสาวผมสีแดงในชุดหลวมๆเก่าๆโดยมีผ้าปิดตาข้างขวาเป็นเหมือนเครื่องประดับเพียงชิ้นเดียวกับดาบเล่มบางสีดำในมือข้างซ้าย

“บ้าน่า แกน่าจะโดนพลังของชั้นทำให้ขยับไม่ได้แล้วสิ!” ใบหน้าของอาวิเด้อยู่ในสภาพที่ตกใจอย่างเห็นได้ชัดโดยเหงื่อที่ผุดขึ้นพร้อมกับสายตาที่วิตกกังวล ‘แล้วนี่มันอะไรกันความรู้สึกที่ไม่น่าพึงประสงค์และไอพลังเวทย์ที่แปลกประหลาดนี่...นี่หรือว่ามันคือ...’

ทางด้านสถานการณ์ภายนอก

“มีเวลาไม่มากแล้วทุกคนถอยออกไป” อาเดเรียใช้เวทย์เพิ่มพลังเสียงในการสั่งนักเรียนเวทย์ให้ถอยห่างก่อนที่จะมีวงแหวนเวทย์ปรากฏขึ้นทางมือข้างขวา “จงออกมา ‘คริฟโทเรีย’” สิ้นเสียงก็มีอาวุธที่มีรูปร่างลักษณะเหมือนคฑาเวทย์แต่มีปลายที่ใหญ่และแหลมเหมือนหอกปรากฏออกมาก่อนที่จะมีแสงส่องขึ้นจากตรงปลายแหลม

“จะทำอะไรนะ ผอ.” ลูเซเซอร์กล่าวขึ้นและวิ่งไปหาอาเดเรียใกล้ๆ

“ชั้นจะผ่าเข้าไปช่วยพวกนักเรียนข้างในเองถ้าใช้วงแหวนเวทย์ที่ปกป้องพวกนักเรียนและอาจารย์เป็นสือกลางก็น่าจะทำให้ใช้เวทย์เคลื่อนย้ายพวกเค้าได้ นายคอยเฝ้าเหตุการณ์และคอยคุมสถานการณ์ข้างนอกไว้ซะละ” อาเดเรียพูดอย่างร้อนรนและไม่รอฟังคำตอบจากลูเซเซอร์แม้แต่น้อยรีบพุ่งตัวเองไปยังหมอกควันก่อนที่จะเกิดแสงสว่างทะลวงเข้าไป

“บ้าจริง ทำอะไรไม่ยั้งคิดอีกแล้ว” ลูพูดกับตัวเองอย่างแผ่วเบาและกำหมัดอย่างเหลืออดก่อนที่จะหันหลังกลับไปสั่งพวกนักเรียนคนอื่นๆด้วยรอยยิ้มอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว

ทางภายในห้องโถงที่เมงุมิอยู่

“ไม่รู้สินะ แต่ดูเหมือนว่าพลังของแกจะทำอะไรชั้นไม่ได้ แต่ไม่ว่ายังไงชั้นคงจะให้นายที่มีพลังชั่วร้ายออกไปไม่ได้ละน่ะ และอีกอย่างชั้นคงต้องขอให้นายคืนร่างของอาวิเด้กลับมาซะด้วย เจ้าเศษเสี้ยวแห่งหายนะ” เสียงเปรยออกมาพร้อมกับนัยตาที่ดูมีเลห์นัยขณะที่มืออีกข้างยกป้องดวงตาที่มีผ้าปิดตาอยู่

“หึ! เจ้าเด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างแกจะทำอะไรข้าได้อีกอย่างอาวิเด้ได้ทำสัญญากับข้าแล้วถ้าหากข้าไม่เพิกถอนก็ไม่มีทางได้ตัวคืนหรอก” เมื่อกล่าวจบรอบกายอาวิเด้ก็มีหมอกควันสีดำมาปกคลุมจนมืดมิดและก็มีเสียงระเบิดตามมา และตามด้วยหมอกที่ซัดกระจายไปยังจุดที่เมงุมิยืนอยู่

เพียงชั่วครู่ร่างของเมงุมิก็หายไปและปรากฏอีกครั้งที่ข้างหน้าของอาวิเด้ กับดาบที่กำลังตวัดลงไปยังตัวของอาวิเด้อย่างไม่ลังเล แต่เพียงชั่วขณะหมอกสีดำก็เข้ามารวมตัวข้างหน้าของอาวิเด้เหมือนโลสีดำกระแทกเข้ากับคมดาบของเมงุมิจนเกิดเสียงแหวกอากาศ ทันใดนั้นตัวดาบก็เกิดเปลวเพลิงขึ้นและเกิดระเบิด แสค๊ปที่คุมร่างของอาวิเด้อยู่ก็รีบกระโดดขึ้นไปยังเพดาน แต่เมงุมิไม่รอช้าเก็บดาบเข้าฝักและรีบรายเวทย์ จนพื้นรอบๆก็เกิดเป็นวงแหวนเพลิงล้อมรอบร่าง

“คิดว่าจะเป็นอย่างที่แกคิดเหรอ” เมงุมิยิ้มมุมปากเล็กน้อยก่อนที่จะพุ่งตัวไปที่อาวิเด้อย่างรวดเร็วแล้วดึงดาบที่เก็บเข้าฝักไปชักออกมาแต่มันไม่ใช่ดาบเล่มสีดำธรรมดาแต่เป็นดาบเล่มสีดำที่ห่อหุ้มไปด้วยเพลิง แต่เป็นเพียงชั่วพริบตาเท่านั้นที่ได้เห็น เพราะเมื่อรู้อีกทีเมงุมิก็มาอยู่ข้างหลังของอาวิเด้พร้อมดาบที่เก็บเข้าฝักไปตอนไหนก็ไม่รู้ รู้เพียงแค่ว่าร่างของอาวิเด้ถูกห่อหุ้มไปด้วยเพลิงไปเพียงแว๊บเดียวควันดำโพยพุ่งออกจากร่างของอาเดวีก่อนที่จะพุ่งลงพื้นไปจนหมด “ท่าปลิดชีพในดาบเดียว ‘ดาบสังหาร’...หายไปซะ...”

“เป็นโชว์ที่สนุกไม่เบาเลยน่ะ” เสี่ยงที่คุ้นเคยดังขึ้นมาจากข้างหลังอย่างไม่ทันรู้ตัวพร้อมกับอาวุธที่ถืออยู่ไม่ห่าง

“อาเดเรีย ลอนดิอ้อน เซ็ตซาเลเทีย” เมงุมิหลับกลับไปแล้วเอ่ยชื่อของผู้ที่เป็นต้นเสียงออกมา

ท่ามกลางซากของอาคารที่ใกล้ถล่มลงมาเต็มที สายหมอกที่หนาทึบกำลังจางหายลงไป ทั่งสองยืนจ้องตากันอย่างไม่ละสายตา ราวกับว่าเป็นสัญญาณบางอย่างและแล้วผู้ที่นิ่งเงียบไปนานก็เปรยคำพูดออกมา

“ที่ต้นไม้ใหญ่ที่สุดหลังอาคารเรียน...ไปที่นั่นซะแม่สาวผมแดง” อาเดเรียพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูจริงจัง ว่าแล้วก็เก็บอาวุธของเธอเข้าไปแล้วเดินไปทางพวกคนที่อยู่รอบๆแล้วร่ายคาถาบางอย่างจนทุกคนที่นอนอยู่ลอยขึ้นมา เมงุมิเมื่อเห็นแล้วนั้นก็ได้แค่ผงกหัวแล้วก็วิ่งหายไปท่ามกลางควัน

ผ่านไปไม่นานนักเหล่าพวกนักเรียนและอาจารย์ทั้งหมดก็ถูกช่วยออกมาจากอาคารประชุม เปลวเพลิงและควันก็ถูกขจัดไปโดยสิ้นเชิง เหลือเพียงความเสียหายที่ชวนให้เห็นถึงความผิดพลาด

“อึก! นี่มันอะไรกันเนี่ย...โอย...หัวของชั้นมัน...” เสียงบ่นด้วยความทรมาณของโจเซฟ ที่ตอนนี้ลุกขึ้นมากุมขมับอย่างทนไม่ได้ “ว่าแต่ที่นี่มัน...ที่ไหนเนี่ย!!” โจเซฟตะโกนออกมาดังลั่นหลังจากที่ได้สติแล้วมองไปรอบๆที่มีแต่เตียงนอนอยู่นับร้อย

“หนวกหู!!!” เสียงตะโกนลั่นที่ชวนนึกถึงระเบิดไม่ไกลนักออกมาพร้อมกับหมอนหนุนลูกเบอเร้อลอยมาด้วยความเร็วสูงกระแทกเข้าที่หน้าของโจเซฟเต็มๆจนล้มลงไปหัวโขกปลายเตียงสลบไปอีกครั้ง “เอ๊ะ! อ่าวนี่นายอย่าพึ่ง...”

ทางด้านเมงุมิ เธอเดินมารอที่ต้นไม้ใหญ่ด้านหลังอาคารแห่งหนึ่งใกล้กับที่เกิดเหตุเดิม ซักพักก็มีเสียงทักขึ้นมา

“รอนานหรือเปล่า แม่สาวผมแดง” อยู่ๆ ออเดเรียก็โผล่ออกมาจากอากาศธาตุเหมือนหายตัวมาอย่างไรอย่างนั้น แต่ถึงอย่างงั้น เมงุมิเองก็ไม่ได้มีท่าทางตกใจอะไรมากมายนัก

‘ท่าทางจะเรื่องยาว หาทางกลบเกลื่อนแล้วลี้ภัยดีกว่า คนคนนี้ดูเหมือนจะรู้อะไรเยอะซะด้วย’ เมงุมิคิดในใจแล้วจึงเอ่ยทักออกไป “ที่เรียกให้มาตรงนี้มีธุระอะไรอย่างงั้นหรือค่ะ ถ้าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร หนูคงต้องขอตัวก่อนนะคะ” ‘หึ้ยดัจริตไปขนาดนี้ จั๊กจี้ปากตัวเองจังเลยเนี้ย’ แต่ก็ได้แค่คิด

“ก็ไม่ใช่เรื่องเล็กอะไรเท่าไรหรอกจ๊ะ แต่พอดีจากที่ชั้นกวาดตาดูมา รู้สึกจะมีนักเรียนของชั้นหายไปสองคนนะ คนนึง เอวิเด้ อาร่อน คิริเด็น เป็นเด็กผมสีออกเทาๆท่าทางมืดมน ส่วนอีกคนก็ เรฟารัส คาลิว เคย์ คนนี้ผมแดง มีผ้าปิดตาคล้ายๆเธอเลยหละ เธอพอจะเห็นทั้งสองคนนี้มั้งหรือเปล่าหละ” พูดจบพลางหลิ่วตามองเป็นเชิงถามด้วยท่าทางสบายๆ

‘เอาแล้วสิ จะบอกว่ายังไงดีหละทีเนี้ย... เอาฟะเป็นไงเป็นกัน’ เมงุมิ คิดไปคิดมา พอจะเอ่ยปากพูด จู่ๆร่างกายก็กะตุกวูบ ‘บ้าจริงทำไมต้องตอนนี้ด้วยเนี้ย’ ซักพักร่างกายเขาก็เริ่มสูงขึ้น ผมสั้นลง และกลับมาเป็น เค ในร่างผู้ชายเช่นเดิม

ส่วนทางด้านอาเดเรียที่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าก็มีท่าทางตกใจเล็กน้อย สุดท้ายก็พูดขึ้นมาเมื่อคนตรงหน้าเธอกลายร่างกลับมาเป็นคนที่เธอรู้จัก “นี่เป็นเธอเองอย่างนั้นรึ” ฝ่าย เค เองก็จนคำพูดด้วยสิ่งที่เกิดขึ้นจึงหันกลับมาหัวเราะแห้งๆให้

กลับมาที่พระเอกของเราอีกคน

“อุ..อูย~ ให้ตายสิเมื้อกี้เหมือนมีบางอย่างสีขาวๆบินมาแล้วทุกอย่างก็มืดไป” โจเซฟ บ่นเล็กๆพลางค่อยๆลุกขึ้นเอามือกุมหัวเล็กน้อย “อุ! ปวดหลังหัวแปล๊บๆเลยวุ้ย สงสัยจะนอนผิดท่าเลยคอเคล็ด” พูดเสร็จก็ดัดคอตัวเองเล็กน้อย

“ไม่เป็นอะไรแล้วสินะนายโรคจิต” เสียงหวานๆทักขึ้นด้วยน้ำเสียงปนสำนึกผิดเล็กๆ ทำให้ตัวเขาหันไปมองผู้ที่พูดคุยด้วย

“เธอ ที่เจอ..... นี่เธอ! ที่จู่ๆระเบิดชั้นทิ้งอย่างไม่ฟังเหตุผลกันก่อนตอนสายๆนั้นนี่” พูดพลางชี้นิ้วใส่หญิงสาวผมสีเขียวมรกตที่นั่งอยู่ข้างๆ พอเห็นหน้ากันก็พลันนึกถึงเหตุการณ์ที่เป็นต้นเหตุให้กลายเป็นมนุษย์นกชั่วคราวในครานั้น จนหน้าขึ้นสีเล็กๆ

“นี่! นายโรคจิต นึกทะเล้นอะไรของนายอีกหนะ คงไม่ใช่.....ลืมไปซะ! ลืมไปให้หมดเลยนะ นายโรคจิต” สาวเจ้าเองเมื่อเห็นหน้าของโจเซฟก็นึกไปถึงเรื่องที่ทำให้เป็นอย่างนั้นก็พลางหน้าขึ้นสีไปอีกคน ด้วยความอายปนโกรธ เธอจึงยกมือขึ้นและ

ผลัก! ฟิ้ว~ ตู้ม! ทำการทารุณกรรมทางร่างกายเล็กๆน้อยๆ ด้วยการรวมพลังที่มืออย่างแน่นหนาแล้วจึงออกหมัดไปสะกิดหน้าของนายโรคจิตเบื้องหน้าจนลอยละลิ่วเช่นเครื่องบินกระดาษทะลุออกไปทางประตูหน้าอาคารอย่างไม่สนใจสภาพของผู้ถูกสะกิดซักเล็กน้อย

“ตายแล้ว เผลอปล่อยแรงมากเกินไป เออ.. คือ ขอโทษทุกคนด้วยนะค่ะ เดี๋ยวหนู ออกไปดูเองค่ะ ขอโทษด้วยนะค่ะ ขอโทษคะ” อุทานเล็กๆด้วยความตกใจเล็กน้อย พลางก้มหัวขอโทษคนอื่นๆที่หันมามองกันทั้งห้องด้วยใบหน้าซีดเผือด อาจเป็นเพราะไม่เคยพบเจอมาก่อนก็เป็นได้ ส่วนทางคนลงมือเองก็ขอโทษไปพลางเดินออกจากห้องไป

เธอเดินออกแล้วก็มองผ่านไปทางด้านหน้าเห็น โจเซฟ นอนดูดาวปลอมๆเล่นอยู่บนพื้นจึงเดินเข้าไปหาพลางนึกในใจ ‘ตายละ ไม่ได้แล้วทำไปขนาดนี้ ถึงจะน่าโมโหแต่ยังไงเราก็ต้องขอโทษแล้วหละ’ คิดพลางเดินเข้าไปหาชายหนุ่มที่ลุกมานั่งส่ายหัวไปมาอยู่ข้างหน้า

“อูย ให้ตายสิ ทำกันขนาดนี้มันน่าโมโหนักเชียวนะ อุ๊ ซี๊ด ทำอะไรของเธอหนะ” โจเซฟบ่ออุบอิบ พลางส่ายหน้าให้หายมึน แล้วก็รู้สึกถึงแสงอบอุ่นเล็กๆที่ทาบมาบนรอยแสบรูปกำมือบนหน้า

“นิ่งๆสิ จะรักษาให้ แทนคำขอโทษก็แล้วกันที่ชั้นลงไม้ลงมือแรงเกินไปหน่อย” สาวเจ้านั่งลงข้างๆพลางยื่นมือที่หุ้มด้วยแสงสีเหลืองนวลตามาจับบริเวณที่เป็นรอยช้ำจากฝีมือของตัวเองด้วยใบหน้าสำนึกผิดเล็กๆ

“ฮึ นึกว่าเป็นสาวห้าวไม่สนใจอะไรแล้วซะอีกนะ คุณหญิงปืนใหญ่” โจเซฟ เมื่อหายเจ็บไปบ้างแล้ว ด้วยอารมณ์คุกรุ่นเล็กๆ แล้วด้วยความที่ปากไวกว่าหัวเลยเหน็บแนมไปบ้างเล็กน้อย

“ใครกันหนะ คุณหญิงปืนใหญ่ฮะ นายโรคจิต คนอุตสาห์สำนึกผิด ชั้นเองก็มีชื่อนะ ซารีเซีย คลิฟตั่น รีโซเน่ คนนี้ไม่ยอมให้ใครมาล้อเล่นด้วยหรอกนะ นายโรคจิต” ฝ่ายหญิงสาวเมื่อได้ยินคำกล่าวกลับมาจึงชักมือกลับ

“คำก็โรคจิต สองคำก็โรคจิต เหอะ แล้วจะไม่ให้เรียกเธออย่างงั้นได้ยังไง เจอกันแต่ละครั้ง ส่งชั้นบินเล่นตลอดเลยเนี้ยนะ ว่าไง คุณหญิงปืนใหญ่ ตัวชั้นเองชื่อเสียงเรียงนามออกจะยิ่งใหญ่อย่าง เรอาน่อน เครเทอร์ โจซาเฟีย จำไว้ให้แน่นๆละกัน” หลังจากหายเจ็บความซ่าและระดับความปากไวของนายโจเซฟจึงเพิ่มขึ้น พูดไปพลางจ้องหน้ากลับด้วยสายตายียวน

ฝ่ายคุณหญิงเราเองเมื่อเห็นอย่างนี้ จากที่สำนึกผิดก็เริ่มโมโหเล็กๆขึ้นมา “นี่นายโรคจิตนี่ นอกจากโรคจิตแล้วยังปากเสียอีกนะ ดีแค่ไหนแล้วที่ท่านลีเซียคนนี้ยอมลดตัวมาพูดด้วยเนี้ย” พูดจบก็จ้องหน้าอีกฝ่ายเขม็ง

ฝ่ายพระเอกเราเองก็ไม่หวั่นเช่นกัน “หึ ต้องขอบคุณ ความใจกว้างและความเป็นสุภาพบุรุษของท่านโจเซฟผู้นี้ต่างหากหละที่ไม่เอาเรื่องเธอที่อัดชั้นไปตั้งเยอะ หรือว่าไม่ใช่หละ” ตอบกลับเสร็จก็ยื่นหน้าไปประจันกะเจ้าหล่อน ใบหน้าของทั้งคู่อยู่ห่างกันแค่เพียงฝ่ามือกั้นเท่านั้น แต่ดูเหมือนทั้งคู่จะมัวแต่โมโหจนไม่ได้สนใจอะไรเท่าไรนัก

ทั้งคู่เถียงกันไปเถียงกันมาอย่างไม่ยอมลดละกันอยู่ตรงนั้น ห่างออกไปเล็กน้อย มีสองร่างเดินเข้ามาหาทั้งคู่

“อ๊ะ! เจอแล้ว อยู่นี่เอง โจเซฟ เห็นว่าโดนเวทย์สลบไปตอนที่เกิดเรื่อง ตอนนี้ก็คง เออ ไม่ได้เป็นอะไรแล้วหละมั้ง เท่าที่ดู” เสียงใสๆของมาชิโระ ที่เดินมากับ ฟาร่า ทักขึ้นมา แต่ทั้งคู่ที่ยืนเถียงกันอยู่ตรงนั้นก็ดูไม่สนใจทั้งคู่เลย แบบนั้นเองฟาร่าก็รู้สึกขุ่นเคืองเล็กๆเลยเดินเข้าไปหา

“นี่ๆ โจเซฟ เรียกแล้วไม่สนใจกันมั้งเลยนะ อ๊าย!” แต่แล้ว เท้าดันไปเผลอสดุดซากม้านั่งที่กระจายอยู่ใกล้ๆนั้นจนล้มลงไปแต่ยังดีที่พื้นตรงนั้นเป็นหญ้าหนาๆอยู่เลยไม่เจ็บอะไรมาก แต่ว่ามือเจ้ากรรมของหล่อนดันเผลอไปดันใส่หลัง โจเซฟเข้าพอดิบพอดี

“เหวอ! อะไรหนะ อุ๊บ...” จากเดิมที่ทั้งคู่ยืนเถียงกันจนหน้าจะชนกันก็เลยกลายเป็นหน้าเข้าไปชนกันจริงๆแถมโจเซฟเองก็เสียหลังจนโถมใส่เข้าไปทั้งตัวยังดีที่พื้นเป็นพื้นหญ้า มือเจ้าเวรก็ทำกรรมไปยันโดนหน้าอกเจ้าหลอนอีก

ทั้งคู่นิ่งอึ้งไปชั่วแว๊บนึง โจเซฟที่รู้สึกตัวว่าทำอะไรลงไปจึงรีบโดดออกมาด้วยหน้าตาตื่นๆเล็กน้อย ฝ่ายลีเซียก็ลุกขึ้นนั่งด้วยใบหน้างงงันเหมือนเรียบเรียงเหตุการณ์ยังไม่ถูกนัก

ฟาร่าเองก็ลุกขึ้นนั่งร้องครวญครางเล็กน้อย มาชิโระที่ยืนอึ้งกับเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลนั้นด้วยอีกหนึ่ง

ทุกสรรพสิ่งเงียบสงัดจนได้ยินเสียงลมพัดผ่านไป จนโจเซฟเอ่ยทำลานความเงียบขึ้น

“เออ... ขอโทษนะ เมื่อกี้ เป็นอะไรรึเปล่า” ปากว่าไปงั้นแต่ขากลับค่อยถอยออกห่างเมื่อรับรู้ถึงบรรญากาศเบื้องหน้าที่ปล่อยออกมาจากหญิงสาวผมเขียวที่เขาเพิ่งขโมยจูบไปเมื่อ

กี้

“นะ หนะ หนะ นายเมื่อกี้นี้ ..... บังอาจทำอะไรกับชั้นกัน หา!” เจ้าหล่อนค่อยๆลุกขึ้นยืน หากแต่น้ำเสียงที่เปล่งออกมา และไอพลังสีแดงที่กระจายออกจากมือทั้งสองข้างนั้น ช่างไม่น่าพิสมัยให้อยู่ใกล้ๆนัก “บังอาจมาทำเรื่องบัดสีอย่างนี้กับชั้นได้ นายโรคจิต วันนี้ถ้านายไม่ได้นอนหยอดน้ำข้าวต้มก็อย่าหวังจะได้ไปไหนเลย ตาย!” พูดจบก็ยิงพลังเป็นเส้นสีแดงใส่โจเซฟจากมือทั้งสองข้างอย่างไม่ปราณี

ตู้ม! ตู้ม! บรึ้ม!

“โว้วๆ เหวอ เฮ้ยๆๆ เมื่อกี้มันเหตุสุดวิสัย ชั้นไม่ได้ตั้งใจนะ เดี๋ยวๆ เหวอ หยุดๆ ฟังกันก่อนเซ่” ฝ่ายโจเซฟเองก็โดดหลบไปมาเป็นพัลวัลพลางตะโกนเถียงไปด้วย ‘ยัยนี่ ถึงขนาดยิงเวทย์ได้โดนไม่ต้องท่องบทเลยอย่างนั้นเชียวรึ สงสัยเป็นเพราะความโกรธสินะแบบนี้’ และก็กระโดดหลบออกมาห่างๆอีกรอบ

“ไม่ต้องมาแก้ตัวอะไรทั้งนั้น ถึงจะไม่ตั้งใจ แต่ก็ไม่น่าให้อภัยอย่างยิ่ง เพราะงั้น เละไปซะ!” พูดจบก็ยิงแสงใส่ต่ออย่างไม่สนใจอย่างอื่นต่อไป

“บ๊ะ! พูดไม่เข้าใจอย่างนี้ สงสัยอยู่ตรงนี้ไม่ได้ซะแล้ว” บ่นจบก็เอียงหัวหลบลำแสงจนมันพุ่งไประเบิดด้านหลัง

“ในเมื่อพูดกันไม่รู้เรื่อง ก็ได้”พูดจบก็จ้องกลับมาใส่ลีเซียด้วยสายตากดดันอย่างรุนแรงจนเธอหยุดยิงและนิ่งค้างไป “เพราะงั้น ..... ไปก่อนหละ” แล้วก็กระโดดหลบออกไปอย่างรวดเร็วทิ้งให้ลีเซียยืนอึ้งอยู่กับที่

“อ๊ะ! อย่าหนีนะ อีตาโรคจิตนี่” ลีเซีย ที่เมื่อรู้สึกตัวเมื่ออีกฝ่ายหายลับไปกับมุมตึกก็รีบกระโจนตามไปทันที ทิ้งให้อีกสองสาวที่เห็นเหตุการณ์ยืนนิ่งอึ้งอยู่ข้างหลังตั้งแต่แรก

“เออ... มาโระจัง คือเมื่อกี้พวกเค้ามีปัญหาอะไรกันอย่างนั้นเหรอ” ฟาร่าที่นั่งหน้าเอ๋ออยู่หันหน้าไปถามเพื่อนสนิทของเธอด้านข้าง เธอไม่รู้เลยว่าเธอเป็นสาเหตุที่ทำให้สองคนที่วิ่งไปก่อนนั้นตีกัน

“ชะ ชั้นก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงดีเหมือนกันนั้นแหละ” เธอตอบไปอย่างนั้นแล้วก็ได้แต่หัวเราะแห้งๆ ‘จะให้ฉันบอกว่าเธอล้มไปชนโจเซฟจนเค้าเซไปจูบกันอย่างนั้นรึ ไม่เอาดีกว่า บอกไปเดี๋ยวเธอจะเอ๋อหนักกว่าเก่าไปอีก’ คิดได้แค่นั้นก็ดึงมือเพื่อนเธอให้ลุกขึ้นมาแล้วก็พูดชวนพากันกลับไปยังอาคารหอพักของพวกตน โดยปล่อยให้ฟาร่ายังคงมึนงงต่อไป

และเราก็ย้ายไปทางพระเอกผมแดงของเราที่ตอนนี้เผชิญสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่กับ ผ.อ. อาเดเรีย

“เค นี่เธอเองอย่างงั้นรึ ว่าแต่ ทำไมถึงกลายเป็นผู้หญิงได้หละนั้น” อาเดเรียถามเดินเข้ามาลูบๆคลำๆตัวเคอย่างสงสัยใคร่รู้

‘ตายละหว่า ดันมาเห็นตอนกลายร่างเข้า แล้วเราจะอธิบายยังไงดีเนี้ย เราเองก็ไม่ได้เตรียมตัวสำหรับสถานการณ์แบบนี้ไว้ซะด้วยสิ ยิ่งกับคนอย่างผ.อ. ยิ่งแล้วใหญ่’ และก็ได้แต่ยืนอ้ำๆอึ้งๆอยู่อย่างนั้น

“นี่เธอ หรือว่าจะโดนคำสาปสลับเพศเข้าไปตอนช่วงชุลมุนนั้นอย่างงั้นสินะ” สิ่งที่เธอพูดออกมานั้นทำให้เคมึนงงเป็นอย่างยิ่ง แต่ดูจากสีหน้าแล้วดูเหมือนเธอจะเชื่อว่าเป็นอย่างนั้นอย่างจริงจัง

“ไม่ต้องห่วง ถ้าแค่นี้ชั้นจัดการล้างคำสาปให้ได้ง่ายๆอยู่แล้ว นิ่งๆนะ” แล้วคุณเธอก็จัดแจงร่ายเวทย์อย่างรวดเร็ว จนเคไม่มีโอกาสจะอ้าปากเถียงไปซักคำ แสงสว่างลายเป็นก้อนจากฝ่ามืออาเคเรียเข้าสู่ตัวเค แล้วก็ดับไป

“นี่มันยังไงกันแน่เนี้ย ไม่ใช่คำสาปอย่างงั้นหรือ” อาเดเรียเอ่ยขึ้นด้วยความตกใจเล็กน้อย เค ที่ได้โอกาศจึงรีบแย้งขึ้นทันที

“ก็ผมจะบอกอยู่แล้วแต่ ผ.อ. ไม่ฟังผมเลย จัดแจงทำไม่บอกไม่กล่าวเลยนะครับ” เค เอ่ยพลางยิ้มแห้งๆกลับไป

“เจ้าเนี้ย จะ อธิบายยังไงดีเนี้ย เอาเป็นว่า มันเป็นสภาพร่างกายเฉพาะของผมมาตั้งแต่ผมจำความได้แล้วหละครับ มันก็แค่ร่างของผมจะเปลี่ยนไปไปมามาอย่างนี้ ประมาณสามวันครั้ง ได้มั้งครับ ไม่ใช่คำสาปที่ไหนหรอกครับ ถึงผมจะไม่แน่ใจว่ามันเป็นอะไรกันแน่ก็เถอะครับ” พออธิบายจบ อาเดเรียก็มีสายตาที่เคร่งเครียดขึ้นมาเล็กน้อย

“ถ้าอย่างนั้น ขอตรวจซักหน่อยก็แล้วกันนะ” พูดจบก็เดินเข้ามา ยกมือทาบไปบนตัว เค พร้อมกับแสงสีแปร่งๆชั่วครู่หนึ่งก็ดึงออกพร้อมสีหน้าที่ตกใจขึ้นยิ่งกว่าเมื่อกี้

‘นี่มัน อย่างงี้นี่เอง ถึงได้เกิดอาการอย่างนี้ เด็กคนนี้สินะ’ ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก็เงยหน้าขึ้นจะพูดอะไรแต่แล้วก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นไกลๆ

บรึ้ม!

ทั้งสองหันหน้าไปยังทิศทางที่เสียงเกิดขึ้นก็เห็นควันสีขุ่นที่เกิดจากแรงระเบิดพร้อมกับมีบางสิ่งลอยออกมาจากกลุ่มควันนั้นไปตกยังอาคารใกล้ๆนั้นด้วย

“ทางนั้นมัน หอสบายกาย สบายรมณ์นี่นา” อาเดเรียที่มองตามสิ่งที่พุ่งไปที่อาคารพูดขึ้น

‘ใครมันเป็นคนคิดชื่อเนี้ย สงสัยไม่มีชื่อจะตั้งแล้วมั้งเนี้ย สิ้นคิดจริงๆเลย แล้ววันนี้มันอะไรกันเนี้ย เกิดแต่เรื่องขึ้น แล้วเมื่อไรชีวิตสงบๆของชั้นจะกลับมากันเนี้ย เฮ้อ~’ เค คิด และก็ต้องสะดุ้งเมื่ออาเดเรียยื่นมือมาสะกิดแขนเข้า

“ตามชั้นมา เราต้องไปดูจุดเกิดระเบิดนั้นก่อน เดี๋ยวตรงอาคารนั้นชั้นจะให้อาจารย์ท่านอื่นไปดูให้” พูดเสร็จก็ออกตัววิ่งนำไป เค เองเมื่อถูกลากไปด้วยก็จำยอมวิ่งตามไปอย่างช่วยไม่ได้ ระหว่างนั้น อาเดเรียก็ร่ายเวทย์ใส่กระจกที่เอาออกมาจากไหนก็ไม่รู้อยู่ๆกระจกนั้นปรากฏภาพคุณลุงร่างท้วมหน้าตาใจดีคนหนึ่งขึ้นมา

“ไลต์ริง ฝากไปตรวจเช็กที่อาคารสบายกาย สบายรมณ์หน่อยสิ ตอนนี่ชั้นจะไปตรวจตรงที่เกิดระเบิดขึ้น” อาเดเรียเอ่ยใส่กระจกที่ถืออยู่นั้น ที่จริงแล้วเมื่อกี้คือเวทย์สื่อสารหรอกรึ เค ที่วิ่งตามมาได้แต่คิด

“โฮะ รอประเดี๋ยวนะ” แล้วภาพก็เบลอๆไป ครู่ต่อมาภาพก็ชัดขึ้นอีกรอบ ศาสตราจารย์ไลต์ริงก็เอ่ยกลับมา “ที่นี้มีแต่หลังคาห้องอาบน้ำหญิงเสียหายเป็นรูเบอเริ่มเลยหละ โฮะๆ แล้วก็พบนักเรียนคนนึง หัวปักพื้นอยู่ตรงนี่ ท่าทางจะเพิ่งบินมานะเนี้ย โฮ่ๆ เดี๋ยวชั้นจัดการที่นี่เอง ไปดูที่เกิดระเบิดเถอะ ผ.อ.อาเดเรีย” แล้วภาพก็หายไปกลับมาเป็นกระจกธรรมดาอีกครั้ง

“ถึงแล้วหละที่นี่แหละ” แล้วทั้งคู่ก็วิ่งมาถึงจุดหมาย แต่ก็ต้องชงักเมื่อเห็นกลุ่มคนเบื้องหน้า

“พวกนายเป็นใครกัน” อาเดเรียชิงถามพลางชักคทาประจำตัวของเธออกมาถือไว้ ทางเคเองเมื่อเห็น ผ.อ. เตรียมอาวุธ จึงได้ตั้งท่าเตรียมเอาไว้ แต่ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นบุคคลที่โดนจับพาดบ่าไว้กับบรุษในชุดคลุมตัวใหญ่

‘นั้นมัน เอวิเด้ไม่ใช่เหรอพวกนั้นทำไม’ แล้วก็ต้องกัดฟันแน่น ร่ายเวทย์เตรียมตัวเอาไว้เช่นกัน

……………………….

ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ไม่นานตรงจุดที่เกิดระเบืดขึ้น ได้เกิดวงเวทย์สว่างขึ้นบนพื้นสองวงและก็มีเงาคู่หนึ่งโผล่ออกมาจากวงเวทย์นั้น ทางฝั่งหนึ่งเอ่ยขึ้น

“ได้ร่างที่ทำพันธะสัญญากับสแค๊ปมาหรือยัง 00 (ศูนย์ศูนย์)” เงาร่างเล็กพูดจบก็หันไปหาเงาร่างใหญ่โตด้านข้าง “ได้มาแล้ว 01 (ศูนย์หนึ่ง) แล้วทางนายหละ ได้คริสตัลผนึกสแค๊ปมาแล้วสินะ” พลางตอบกลับไป

ตู้ม! เกิดระเบิดเล็กๆขึ้นไม่ห่างจากทั้งคู่มากนัก แล้วก็มีร่างหนึ่งกระโจนออกมาจากกลุ่มควันที่มาจากระเบิดนั้น

“แฮกๆ ให้ตายสิ อะไรจะไล่ล่ากันขนาดนี้เนี้ย คุณเธอเป็นญาติกับเจ้าแรดบ้านั้นรึไงกันเนี้ย หืม? นั้นพวกนายเป็นใครกันหนะ” โจเซฟ ที่หนีลีเซียมานั้นเอง เค้าหันมาทักกับบุคคลใส่ผ้าคลุมสองคนเบื้องหน้า

“แล้วนั้นมัน ไอเด็กจิตตกตอนนั้นนี่นา เฮ้ย! พวกนายจะทำอะไรกับหมอนั้นหนะ อ๊ะ!” พูดจบก็ต้องสะดุ้ง กระโดดหลบออกมาเมื่อเงาร่างยักษ์ตรงหน้ากระโดดเงื้อมือเข้ามาชกใส่

ตึง! พื้นที่ยุบลงไปเป็นหลุมบ่งบอกถึงความรุนแรงของหมัดได้อย่างดี

“โจมตีกันไม่บอกกล่าวกันอย่างนี้ คงไม่ต้องบอกแล้วสินะว่าเป็ฯมิตรหรือไม่หนะ” โจเซฟที่หลบออกมาก็ตั้งท่าเตรียมสู้ทันที

“นี่อีตาโรคจิตหยุดอย่าหนีนะ อ๊ะ!” ลีเซียที่วิ่งมาถึงต้องตกใจเมื่อชายหนุ่มที่เธอวิ่งตามมายื่นมือมาขวางไว้พลางปล่อยแรงกดดันออกมา “นี่นายจะทำอะไรหนะ แล้วพวกนั้นมันใครกัน” ดูเหมือนเธอจะตั้งสติได้ดีอยู่

“ถอยไปก่อน เจ้าพวกนี้มันมาร้ายอย่างแรงเลยหละ ไปตามพวกอาจารย์มาซะตรงนี้ชั้นจะดึงไว้ก่อน” พูดจบก็ที่มืออีกข้างก็มีกระแสไฟฟ้าลั่นเปรี๊ยะๆเกิดขึ้น สายตาจับจ้องไปยังสองคนในเสื้อคลุมมีน้ากากสีขาวที่มีแต่ช่องเจาะไว้ตรงดวงตา เบื้องหน้า

แต่ก็ต้องชะงักไปเมื่อร่างของ เอวิเด้ ที่นอนอยู่เกิดการกระตุกอย่างแรงขึ้นพร้อมกับมีควันสีดำจำนวนมากกระจายออกมาอย่างรวดเร็ว “อุ๊ อ้ากกกกกกกกกก”

กลุ่มควันพุ่งไล่เข้ามาผ่านตัวพวกโจเซฟไปอย่างรวดเร็ว “อุ๊ นี้มันอะไรกันเนี้ย เหมือนโดนดึงความฮึกเหิมไปหมด เฮ้ ยัยปืนใหญ่ไม่เป็นไรนะ” โจเซฟพยายามยืนต้านแรงลมไว้พลางหันกลับไปหาหญิงสาวข้างหลัง แต่เธอกลับค่อยๆล้มตัวลงมาจนเค้าต้องรีบรับเอาไว้

“แรงมัน...เหมือนหายไปเรื่อยๆ...แบบนี้ไม่ดีแน่ๆ...ต้องรีบ..” แล้วเธอก็สลบไปทั้งคาอ้อมแขนของโจเซฟ

แต่โจเซฟกลับนิ่งไปเลย ภาพตรงหน้าที่ได้เห็นมันกับไปซ้อนทับกับภาพหนึ่งที่จู่ๆมันก็ผุดขึ้นมาในหัวเค้า ภาพที่หญิงสาวหน้าตาที่คล้ายคลึงกันยิ่งสลบไปกับอ้อมแขนเค้าหากแต่ภาพนั้นเต็มไปด้วยสีของเลือด “...เฟ...อึก ไม่ใช่สิ บ้าจริงทำไมกันนะถึงมานึกเรื่องนั้นได้ตอนนี้กัน” หลังจากสะบัดหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไป เมื่อตรวจดูจนแน่ใจแล้วว่า ลีเซีย ไม่ได้เป็นอะไรมาก จึงได้โดดอุ้มเธอออกมาจากตรงนั้นไปหลบที่ห่างจากที่ตรงนั้นเล็กน้อย

“อยู่นี่ไปก่อนนะ ยัยปืนใหญ่ เดี๋ยวมารับ” พูดลอยๆไว้ก่อนจะกระโดดกลับไปเผชิญหน้ากับสองบุคคลลึกลับต่อ

“บ้าจริงดันคลั่งขึ้นมาซะได้ 00 จัดการทีเซ่ ส่วนไอหมดนั้นเดี๋ยวชั้นจัดการเอง” ชายชุดคลุมร่างเล็กกระโจนเข้ามาขวางทางโจเซฟเอาไว้ก่อนที่เจ้าตัวจะเข้ามาใกล้ ฝ่ายร่างใหญ่เมื่อได้รับคำสั่งจึงกระโดดพุ่งหมัดใส่ร่างของเอวิเด้ไปทีหนึ่งจึงกลับไปแน่นิ่งอย่างเดิม

เปรี๊ยง! ลูกศรสายฟ้าวิ่งตรงใส่ชายร่างเล็กอย่างรุนแรง

“ชิ ดันกันไว้ได้ซะอีก ไอพวกนี่มันอะไรกันเนี้ย” ดจเซฟสบถขึ้นทันทีแล้วจึงรวมพลังเตรียมยิงศรสายฟ้าไปอีกครั้ง แต่ก็ต้องดึงกลังกลับมาใช้ในการป้องกันสายฟ้าเส้นใหญ่อีกเส้นหนึ่งที่พุ่งกลับมาจากชายตัวเล็ก

“จุ๊ๆ ทำอย่างนี้ไม่ดีเลยนะครับ โจมตีทีเผลอแบบนี้ใช้ไม่ได้จริงๆครับ และก็นะ ยิงเวทย์สายฟ้าหนะ จะให้ดีมันต้องประมาณนี้ครับ” ชาบร่างเล็กพูดเสร็จก็สะบัดไม้ยาวๆคล้าคทาทีหนึ่ง เกิดสายฟ้าสีส้มเส้นใหญ่พุ่งมายังโจเซฟอย่างรวดเร็ว

“อุ๊บ! บ้าจริง แทนนันดอริ่ง ชิว่า (โล่สายฟ้าพิทักษ์)” เกิดสายฟ้ามากๆมายทักทอจนเป็นโล่ขนาดใหญ่บังอยู่เบื้องหน้าโจเซฟขึ้น

บรึ้ม! จากการปะทะของสายฟ้าสองสี จึงเกิดระเบิดรุนแรงขึ้น

“ว้ากกกกกกกก!!!!!” และพระเอกเราก็ลอย(อีกแล้ว)ไปยังอาคารเบื้องหลัง ทะลุหลังคาหายไปอย่างนั้น

......................

“อุ๊บ เมื่อกี้มันอะไรกันนะ ควันดำๆบ้าๆนั้น สูบแรงเราซะหมาเลย ตรงนี้มัน ที่ไหนหนะ” เสียงใสๆเอ่ยขึ้นหลังจากที่เพิ่มสลบไป

บรึ้ม! เกิดเสียงระเบิดขึ้นไม่ไกลจากที่เธออยู่มากนัก “ว้ากกกกกกกก!!!!!” และก็มีบางสิ่งลอยผ่านเหนือหัวเธอไปตกที่อาคารเบื้องหน้า

“นั้นมัน นายโรคจิตนี่ อ๊ะ! ใช่สิเมื่อกี้มัน” ลีเซียที่เพิ่งตั้งสตินึกถึงเหตุการณ์ที่เจอมาได้จึงรีบลุกขึ้นแล้วมองไปมารอบๆอย่างลนลาน

“พวกนายเป็นใครกัน” เสียงเล็กๆของผู้หญิงคนหนึ่งร้องทักขึ้นเธอจึงรีบวิ่งไปยงทางที่ได้ยินทันทีจึงได้เห็น ผ.อ. กับเด็กหนุ่มผมแดงอีกคนยืนประจันหน้าอยู่กับ บุรษในชุดคลุมต่างขนาดกันเบื้องหน้า

“แย่จริงๆเลยวันนี้ พวกเราแค่กะเข้ามาพาเจ้านี่กับสแค๊ปไปก็เท่านั้นเองนะครับ ไม่นึกว่าเจ้าของสถานที่จะโผล่ออกมาทักทายกันก่อนจากลาด้วย” ชายร่างเล็กเอ่ยขึ้นเรียบๆอย่างไม่ทุกข์ร้อนใดใด

“ว่ายังไงนะ! นี่พวกแกนำมันออกมาได้อย่างนั้นรึ” อาเดเรียพูดขึ้นอย่างเคร่งเครียด “พวกเจ้าก็รู้ว่าเจ้านั้นมันคืออะไร แล้วมันจะให้ผลอะไรกับพวกเจ้า ส่งมันคืนมา พร้อมกับนักเรียนของโรงเรียนชั้นที่อยู่ตรงนั้นด้วย ถ้าไม่อย่างนั้นหละก็” เธอพูดเสียงเฉียบขาดพร้อมกันนั้นที่หัวคทาที่เธออยู่ก็เปล่งแสงสีเขียวเข้มขึ้นมาเป็นเชิงข่มขู่

“โอ๊ะๆๆ ท่าทางแบบนี้จะไม่ดีซะแล้วสิ แบบนี้ พวกผมคงต้องขอตัวไปก่อนหละครับ ขอพาสแค๊ป กับ เด็กผู้ทำพันธะนี่ไปด้วยเลยละกันนะครับ” ชายร่างเล็กยังคงพูดเรื่อยๆอย่างไม่ทุกข์ร้อนเช่นเดิม

เปรี้ยง! กระแสลมแรงสายหนึ่งพัดเข้าใส่อย่างไร้ปราณี หากแต่ก็ถูกชายร่างใหญ่ปัดทิ้งอย่างกับปัดฝุ่น

“ขอบอกทิ้งท้ายไว้ก็แล้วกันครับ เพราะท่าทางพวกเราคงจะได้เจอกันอีกแน่” และร่างของกลุ่มคนปริศนาก็เริ่มจางหายไปไล่ตั้งแต่ขาขึ้นมา

“บ้าจริง เวทย์เคลื่อนเงาฉับพลัน” เค พูดขึ้นอย่างร้อนลน พร้อมกันนั้นก็ซัดสายลมเข้าใส่อีกรอบหนึ่ง แต่ก็ทะลุผ่านพวกนั้นไปอย่างราวกับพวกนั้นไม่มีตัวตนตรงนั้น

“หึหึหึ ใจร้อนจังเลยนะครับ เอาเป็นว่า พวกผมก็คือ มาเวลล์ เป้าหมายของพวกเราคือรวบรวมสแค๊ปทั้งหลายที่ยังเหลืออยู่ แล้วคงได้เจอกันอีกนะครับ” แล้วเสียงก็หายไปพร้อมกับร่างที่เลือนหายไปจากที่ตรงนั้นสิ้น

อาเดเรียที่เห็นอย่างนั้นก็สบถขึ้นอย่างหัวเสีย “บ้าจริง พวกมันจะเอา คริสตัลฝันร้ายไปทำไมกัน ฮึ้ย คิดไปก็ปวดหัว สงสัยต้องแจ้งทางกองกลางซะแล้ว” บ่นๆจบก็หันกลับมามอง เค กับ ลีเซียที่ยืนไม่เข้าใจอยู่ข้างหลังเธอ เห็นอย่างนั้นเธอจึงปั้นยิ้มข้นมา

“เอาหละ เรื่องตรงนี้คงต้องขอให้พวกเธออุ๊บเงียบไว้ก่อนก็แล้วกันนะ แล้วเดี๋ยวตอนวันเรียนวันแรก เลิกเรียนแล้วไปหาชั้นที่ห้อง ผ.อ. นะ เราคงต้องเคลียกันหลายเรื่องหน่อย เอาหละที่นี้ก็ไม่มีแล้ว พวกเธอกลับเข้าหอไปพักเถอะ เดี๋ยวพรุ้งนี้ลุกมาเรียนไม่ไหวนะ” ร่ายยาวจบก็ออกเดินไปทิ้งให้ทั้งสองคนทียืนทำความเข้าใจกับประโยคเมื่อกี้อยู่ไป

“อ้อ แล้วก็เพื่อนเธออีกคนตอนนี้ ไลต์ริง พาไปที่ห้องแล้วนะ เพราะงั้นไม่ต้องเป็นห่วง” หันมาพูดประโยคหนึ่ง แล้วก็หายวับไปจากตรงนั้นทันที

เค ที่ฟังเสร็จก็พยักหน้าเข้าใจ แล้วก็หันมาหาลีเซีย “เออ เรากลับหอกันเถอะ เอาเป็นว่า ถ้าสงสัยมากนักตอนนี้ก็คงได้แต่รอหละนะ ” กล่าวเสร็จก็ออกเดินไป

“เดี๋ยวสิๆ เมื่อกี้ นายโรคจิต เออ มีผู้ชายตนนึงลอยไปที่อาคารนั้นหนะ เราไม่ไปดูหน่อยเหรอ” ลีเซีย ชี้ไปทางอาคารที่เธอว่า

“อืม หมอนั้นไม่เป็นไรหรอกน่า ตอนชั้นวิ่งมา ผ.อ. ติดต่อให้คนอื่นไปดูแล้วหละ ชั้น เค แล้วเธอหละ” ตอบไปเสร็จก็ออกเดินต่อเรื่อยๆ ฝ่าย ลีเซีย เองที่เมื่อได้ยินคำตอบแล้วก็พยักหน้าเดินตามไป

“เรียกชั้น ลีเซีย ละกัน ว่าแต่ ทำไมเธอถึงอยู่กับ ผ.อ. ได้หละ” พลางเดินตามไปพูดคุยกันบ้างเล็กน้อย และก็รู้อีกว่าเธออยู่ตึกหอพักที่เดียวกัน แถมยังห้องตรงข้ามกันด้วย

“เออ คือว่า” เธอทักขึ้นก่อนที่ เค จะเดินเข้าห้องของเขา “นายรู้จักนายโรคจิต เอ๊ย คนที่ลอยไปนั้นใช่ไหม” เค พยักหน้าให้เป็นคำตอบ “ฝากบอกเขาด้วยแล้วกันว่า ชั้นขอโทษเรื่องที่ต่อยเค้าไป แต่อีกเรื่องนึงไงก็ไม่ยกโทษให้แน่ แค่นี้หละ” แล้วเธอก็หันหลังกลับเข้าห้องของเธอที่อยู่ฝั่งตรงข้ามไป เค เองก็ไม่ได้สนใจอะไรอีกก็เดินกลับเข้าห้องตัวเองไปบ้าง

เค จ้องไปยังร่างที่นอนอยู่บนเตียงฝั่งขวา บนหัวมีพลาสเตอร์ปิดแผลอยู่สองสามที่ เจ้าตัวดูท่าจะหลับสนิทสบายอารมณ์อยู่อย่างนั้น เห็นอย่างนั้น เค ก็ถอดหายใจเฮือกใหญ่ออกมา

“เฮ้อ ท่าทางชีวิตชั้นคงจะไม่สงบสุขไปอีกนาน ถ้าต้องข้องเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ โดยเฉพาะนายนะโจเซฟ” พูดยิ้มๆแล้วก็คลานขึ้นเตียงตัวเองไปนอนด้วยความล้าจากหลายๆเรื่องที่เจอมาวันนี้ “หวังว่าพรุ้งนี้หลายๆเรื่องที่เจอมาคงจะได้คลีคลายปัญหาไปนะ” แล้วก็หลับไป

เช้าแล้ว เวลามาไวไปไวเช่นนิยายทั่วๆไป

“เอาหละปัญหาตอนนี้ก็คือ จะจัดการปลุกไอ้หมอนี่ยังไงดี” เค ที่ตอนนี้สวมเครื่องแบบของทางโรงเรียน ที่เป็นกางเกงขายาวสีดำที่สามารถปรับขนาดได้เอง และ เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาว ที่ปรับขนาดให้เข้ากับผู้สวมได้เองเช่นกัน พร้อมรองเท้าผ้าใบสีดำตัดเทา เขากำลังยืนเกาหัวอย่างเซ็งๆ พลางจ้องไปยังเพื่อนเขาที่นอนเกาพุงอย่างน่ารักน่าถีบเสียนี้กะไร

“เฮ้อ สงสัยต้องใช้วิธีเดิม” พูดเสร็จก็ควงนิ้วเล็กน้อยก่อนจะชี้ไปยังเตียงเพื่อนของเขา กระแสลมแรงพัดออกมา จนโจเซฟลอยตกเตียงโครมใหญ่

“แอ๊ก! ฮะ! อะไร แผ่นดินถล่มโลกกลับด้านอย่างงั้นเรอะ” และก็เป็นเช่นเดิม “ตื่นแล้วสินะ ไปอาบน้ำ ใส่เครื่องแบบซะ ชั้นให้เวลานาย สิบนาที ไม่งั้นไม่รอ ชั้นไปรอที่ล๊อบบี้โถงตึกนะ จำไว้นะ สิบนาที” พูดเสร็จก็เดินออกจากห้องไปอย่างไม่สนใจคำตอบจากคนที่ยังนอนหัวทิ่มอยู่เลย

“บ๊ะ! จะรีบไปไหนของมันกันนะ เอาฟะ วันนี้ท่าทางจะมีอะไรมันส์ๆให้ทำแก้คันมือ หน่อยเมื่อคืนไอ้หมอนั้นทำกันได้ ถ้าได้เจออีกจะอัดให้ยับยู่ยี่เลย” ลุกขึ้นบ่นไปพลางเดินเข้าห้องน้ำจัดการตัวเองอย่างรวดเร็ว หลังจากใส่เครื่องแบบเสร็จแล้วก็เดินออกจากห้องมาทันที

“อ๊ะ! ตาโรคจิต” “โอ๊ะ! ยัยปืนใหญ่” โจเซฟที่ออกจากห้องมาพอดีก็เจอะกับลีเซียที่เพิ่มออกจากห้องเธอมาเหมือนกัน หากแต่เธอก็ไม่สนใจ ปิดห้อง แล้วก็ออกเดินไปทันที เธออยู่ในชุดเครื่องแบบที่ไม่ต่างกันมากเพียงแต่เป็นกระโปรงสั้น ยาวเกือบเข่าสีดำ ถุงเท้ายาวพร้อมรองเท้าแบบเดียวกัน

“เฮ้ เดี๋ยวสิ เดี๋ยวสิ” โจเซฟ เห็นเธอเดินนำไปเลยรีบเดินตามทันที

“มีอะไรเล่า นายโรคจิต” เธอพูดขึ้นพลางเดินต่ออย่างไม่สนใจนัก

“เมื่อคืนหนะ ไม่เป็นอะไรแล้วใช่ไหม” โจเซฟเอ่ยถามขึ้น เขานึกไปถึงเมื่อคืนที่เจ้าหล่อนสลบไป

“ไม่เป็นอะไรแล้วหละน่า ไม่ต้องให้คนอย่างนายมาเป็นห่วงหรอก” พูดจบก็ออกเดินต่อ โจเซฟเองก็ไม่ได้สนใจอะไรเลยเดินตามไปเงียบ จึงไม่ทันเห็นรอยยิ้มเล็กๆของเจ้าหล่อน

“เฮ้ เค มาแล้ว โอ๊ะ หวัดดี ฟาร่า เออ มาชิโระ สินะ” โจเซฟเอ่ยทักขึ้นเมื่อเห็นเพื่อนของเขากำลังคุยอยู่กับสองสาว ทั้งสองได้ยินเขาทักก็หันมาทักทายบ้าง

“เอ๋~ มาพร้อมกับลีเซียด้วยไม่เลวเลยน่ะเนี่ย” เคเอ่ยขึ้นแล้วขำไปพลาง โดยไม่รู้เลยว่าตอนนี้ฟาร่ายืนมองอย่างคิ้วขมวดโดยมีมือของมาชิโระตบไหล่อย่างเบาๆ

“เออ สวัสดีค่ะ โจเซฟ เมื่อวาน เออเป็นยังไงบ้างหรือเปล่าค่ะ เห็นวิ่งไปแล้วก็หายไปเลย” ฟาร่าเอ่ยถามทันที

‘เอาแล้วไงชั้น...จะบอกยังไงละทีนี้ยังไงก็ต้องแถๆไปซะแล้วสิ’ ว่าแล้วเจ้าตัวก็ปาดเหงื่อแล้วตัดช่องว่างแต่พอตัวด้วยเรื่องที่ตัวเองไปสู้กับคนที่ลักพาตัวอาวิเด้อย่างรวดเร็ว จนถึงเรื่องที่ตัวเองโดนซัดซะกระเด็นจนบาดเจ็บว่าแล้วก็ชี้ที่ผ้าพันแผล เท่านั้นฟาร่าก็ถึงกับลืมเลือนไปแล้วแสดงท่าทางเป็นห่วง

“ว่าแต่ยังไงก็เถอะตอนนี้ชั้นต้องขอตัวก่อนก็แล้วกันน่ะ” เคเอ่ยอย่างเรียบๆ

“แล้วนั่นนายจะไปไหนละ” โจเซฟไม่รีรอรีบเข้ามาพูดด้วยอย่างตัดบทฟาร่า

“พอดีว่า ผอ. เรียกตัวอ่าน่ะ เห็นว่าตอนแรกจะเรียกตอนเย็นแต่พอดีว่ามีเรื่องสำคัญนะ” เคพูดแล้วหันหลังพลางยกมือลาก่อนที่จะสะดุ้งแล้วหันมาตะโกนบอกโจเซฟ “ยังไงนายก็ช่วยดูห้องระดับให้ชั้นด้วยก็แล้วกัน” พูดจบก็วิ่งออกไป

“เจ้าหมอนี่ไปสนิทกับ ผอ. ตั้งแต่ตอนไหนละนั่น” โจเซฟเปรยออกมาอย่างอดไม่ได้แล้วก็หันไปมองหามาชิโระ ฟาร่าและลีเซียแต่ในขนะเดียวกันฟาร่าและมาชิโระก็หันไปมองที่ลีเซียอย่างสงสัย

“เออลืมไปเลยนี่ ซารีเซีย คลิฟตั่น รีโซเน่ หรือยัยปืนใหญ่” ขณะที่ลีเซียก้มหน้าแสดงความยินดีก็หมุนตัวเตะ โจเซฟปลิวไปก่อนจะควงลงพื้นหน้าทิ่มไปไกลซะห้าเมตรเศษ

“ยินดีที่ได้รู้จักน่ะเรียกชั้นว่าลีเซียก็ได้ ยังไงก็ตามเราไปดูลำดับห้องด้วยกันเถอะ” ลีเซียไม่รอช้าคว้ามือทั้งสองคนแล้วเดินไปโดยปล่อยให้โจเซฟที่นอนร้องโอดครวญจมอยู่กับพื้นต่อไปอย่างไม่ใยดี

ณ ห้องของ ผอ.

“บะ...บ้าน่า!” เสียงของเคดังขึ้นมา

“แต่ข้อเสนอชั้นก็น่าสนใจไม่ใช่เหรอ” อาเดเรียเอามือเสยผมแล้วยิ้มเยาะออกมา

“แต่ว่ามันจะไม่เกินไปเหรอ อีกอย่างมันมีอะไรที่ขัดข้องหลายๆอย่างนะครับ” เคเอามือกุมคางแล้วทำสีหน้าครุ่นคิดอย่างหนัก

“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงหรอกเพราะว่าวันนี้เป็นวันที่จะมีการประกาศของพวกนักเรียนใหม่แล้วว่าจะประจำห้องอะไรด้วย” อาเดเรียพูดขึ้นแล้วเหล่สายตาอย่างมีเลห์นัยไปที่เค

“ว่าแต่นั่นมันจะเกี่ยวอะไรด้วยละ” เครีบพูดย้อนกลับไป

“เกี่ยวแน่นอนสิ อีกอย่างวิธีนี้จะช่วยทำให้เกิดผลดีกับนายด้วยนะ ทั้งเคนายแล้วก็เมงุมิอีกอย่างถือว่านี่เป็นบทเรียนทดสอบที่ชั้นมอบให้ก็แล้วกัน” อาเดเรียพูดจบก็ยืนของบางอย่างให้กับเคก่อนกล่าวอีกครั้งนึง “เอาเป็นว่าสนุกในรั้วโรงเรียนนี้ไปก็แล้วกันน่ะ ยินดีต้อนรับสู่มอลตี้คุณนักเรียนทั้งสองคน” พูดจบเคก็เดินออกมาตามด้วยเสียหัวเราะของ อาเดเรียไล่ตามหลังมา

ณ ลานกว้างหน้าทางเข้าเรียน

“นี่มันอะไรกันละเนี่ย” เสียงของฟาร่าดังขึ้นด้วยความตะลึงกับภาพเบื้องหน้าไม่เว้นแม้แต่ลีเซียกับมาชิโระที่ตะลึงกับภาพเบื้องหน้าที่มีแต่วงเวทย์นับร้อยนับพันอยู่เต็มเหมือนเป็นกำแพงก็มิปาน โดยมีเหล่าพวกรุ่นพี่ที่ยืมมองเหล่านักเรียนใหม่อย่างขบขันอยู่รอบๆ

“โอ้โหนี่มัน ‘เรเซฟเฟีย’ นิ” เสียงของคนบางคนดังขึ้นมาจากข้างหลังจนทั้งสามคนต้องหันไปมอง

“เอ๋ นี่เธอคือคนในตอนนั้นนินา” มาชิโระพูดแล้วเอานิ้วชี้ ชี้ไปที่คนตรงหน้าเค้า

“เธอนี่ไม่รู้จักมารยาทเลยน่ะ ชั้นคือ คิวเรย์ ไฮนะ อาโมเน่ตางหาก” อาโมเน่พูดแล้วทำท่าทางวางก้าม

“เรื่องนั้นยังไงก็ช่างว่าแต่เธอเรียกเจ้านี่ว่า ‘เรเซฟเฟีย’ มันคืออะไรกันแน่” ลีเซียถามอาโมเน่อย่างรีบร้อนฟาร่าเองก็พยักหน้าตาม

“นี่คือวงเวทย์ที่ใช้ในการสร้างวงจรข้อมูล รู้สึกว่าจากเหตุการณ์วุ่นวายทำให้ไม่มีเวลาที่จะคัดเลือกเหล่านักเรียนก็เลยต้องทำเป็นวงจรเวทย์ในการคัดเลือกมาเลย แต่ไม่นึกเลยน่ะว่าจะเล่นแบบนี้” อาโมเน่เอ่ยพลางเอามือขึ้นมาจับศรีษะตัวเอง

“แต่ว่าก็มีการทดสอบด้านทฤษฎีไปแล้วนิ” ฟาร่าเอ่ยขึ้น

“ทฤษฎีนะมีไปแล้วก็จริงแต่ว่าอย่างลืมสิเหล่านักเวทย์เองก็มีพลังเวทย์ของตัวเองเป็นขีดจำกัดเหมือนกัน ถ้าวงจรเวทย์นี้สร้างขึ้นเพื่อวัดระดับพลังเวทย์ละก็จากข้อมูลก็ต้องมีผลของคะแนนรวมจากที่ทฤษฎีที่เคยผ่านไปแล้วแน่ๆ” อาโมเน่ตอบกลับพร้อมเพ่งสายตาไปยังวงเวทย์ข้างหน้า

ไม่นานนักเสียงระฆังก็ดังขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของ ผอ. แห่งมอลตี้อาเดเรียขึ้นจากยอดตึกของอาคารเรียน ในสภาพชุดสีขาวตัดลายสีฟ้ามีคฑาขนาดโตที่มีสัญลักษณ์มอลตี้อยู่ตรงปลายคฑาโดยเธอนั่งอยู่บนเก้าอี้ขนาดใหญ่

“สวัสดียามเช้านะ นักเรียนทุกคน ชั้น ผ.อ. เอง คงไม่ต้องแนะนำตัวอะไรเพิ่มเติมแล้วสินะ หลังจากนี้จะประกาศรายชื่อนักเรียนแต่ละคน ให้เดินไปสัมผัสวงเวทย์แล้วระดับห้องจะขึ้นมาเอง โดยเวทย์นี้จะตรวจวัดระดับของพลังในตัวของผู้สัมผัส ไม่ต้องห่วงเรื่องคะแนนทฤษฎีกันหรอกนะ เราได้ใส่เพิ่มเข้าไปในการคำนวนของระบบเวทย์เรียบร้อยแล้ว”

เหล่านักเรียนบางส่วนที่ได้ยินก็เริ่มคุยซุบซิบกันเซ็งแซ่แต่ก็ต้องเงียบลงเมื่อ อาเดเรีย ตบมือเรียก

“เอาเป็นว่า เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาเรามาเริ่มกันเลยดีกว่านะ ไรต์ลิง ฝากจัดการที่เหลือด้วยหละ เดี๋ยวชั้นต้องไปคงสภาพพลังเวทย์ให้วงเวทย์ก่อนหละ” พูดจบก็หายวับไป ชั่วครู่ต่อมา ศาสตราจารย์ไรต์ลิงก็โผล่ออกมาจากอากาศธาตุมายืนข้างๆวงเวทย์

“โฮ่ๆๆ วันนี้จะยังไม่มีเรียนนะ เราจะไปเข้าห้องเรียนเพื่อพบปะครูประจำชั้นกันหลังพักเที่ยงกันเรียบร้อยแล้วที่ห้องประจำระดับของแต่ละคน งั้นเรามาเริ่มกันที่ชื่อแรกเลยก็แล้วกัน” ว่าแล้วก็ประกาศชื่อนักเรียนไล่มาเรื่อยๆ จนมาถึงชื่อของพวกโจเซฟ

“ลาล่าลิน ไอริส ฟาเรเซีย” เมื่อประกาศชื่อขึ้น ฟาร่าจึงลุกเดินไปสัมผัสกับวงเวทย์ มันเรืองแสงอยู่ชั่วครู่ ตัวอักษร ' S 'ก็ปรากฏออกมาพร้อมเสื้อกั๊กแขนกุดที่ปักลายประจำห้องไว้

เสื้อเป็นเสื้อสีน้ำตาลมีตราประจำโรงเรียนปักไว้ที่กระเป๋าเสื้อด้านซ้าย และที่อกเสื้อด้านขวาเป็นสัญลักษณ์ประจำห้องซึ่งของห้อง s เป็นตัวอักษรสีทอง หลังจากนั้นพวกโจเซฟก็ต่อกันมาเรื่อยๆ แน่นอนด้วยความสามารถระดับไหนแล้วทั้งหมดจึงได้อยู่ห้อง s เหมือนกัน

“ฮึ ไม่นึกว่านายจะอยู่ห้องนี้ด้วยเหมือนกันนะนายโรคจิต” ลีเซียหันมาแขวะกับชายหนุ่มที่เพิ่งเดินกลับมารวมกลุ่ม

“เฮอะ อย่างชั้นเนี้ยระดับไหนแล้ว การทดสอบแค่นั้นมันเด็กๆน่า” พูดไปก็ยักคิ้วหลิ่วตาเป็นเชิงล้อเลียนใส่

ฟาร่าที่เห็นทั้งคู่คุยกันสนิทสนม(ในสายตาของเธอ)ก็พลางดูหม่นหมองเล็กน้อย มาชิโระที่เห็นอย่างนั้นก็เลยปลอบใจไปบ้าง “น่าๆ เธอก็ลองรุกตานั้นมั้งสิ มัวแต่นั่งหน้าหงอยแล้วจะได้อะไรหละ”

“อื้ม นั้นสินะ ชั้นต้องสู้สิจะมัวมานั่งหงอยอย่างนี้ไม่ได้” พร้อมกับทำท่าส็ตายประจำตัวเธอ

“โอ้ ทุกคนอยู่ห้องเดียวกันหมดเลยสินะ แหม่พวกนายนี่ท่าทางจะหลุดจากกันยากจริงๆนะ” เสียงของเคทักขึ้นมาไกลๆ เมื่อทุกคนหันไปก็เห็นเคเดินเอาเสื้อกั๊กพาดไหล่กำลังเดินเข้ามานั่งร่วมกลุ่มด้วย

“เค้าว่าให้ไปเข้าห้องอีกทีตอนบ่าย งั้นเราไปเดินสำรวจกันหน่อยดีกว่าไหม อีกตั้งนานแหนะ” แน่นอนเรื่องแบบนี้มีแต่เจ้าตัวแสบที่นั่งติดที่ได้ไม่เกินชั่วโมงโพล่งขึ้น

“ไม่เอาอะ ชั้นว่าจะกลับไปหอพัก เชิญนายตามสบายก็แล้วกัน แต่อย่าไปก่อเรื่องที่ไหนนักหละ ชั้นขี้เกียจตามเก็บ” เคตอบกลับอย่างไม่สนใจอะไร

“อืม เอาเป็นว่าเดี๋ยวชั้นค่อยกลับไปหาที่ห้องแล้วกัน ไม่น่าเดินเที่ยงอยู่แล้วเพราะกองทักต้องเดินด้วยท้อง ฮ่าๆๆ งั้นลาหละ” ว่าแล้วก็ลุกขึ้นเตรียมเดินออกไป

“อะ เออ คือ่า ขอชั้นไปด้วยได้ไหมค่ะ โจเซฟ” ฟาร่านั้นเองที่ทักขึ้นมา

“โอ๊ะ ตามสบายเลยองค์หญิง กระผมไม่ขัดอยู่แล้ว ฮะฮะ” พูดเสร็จก็ยืนรอฟาร่าที่เดินหน้ามุ่ยน้อยๆตามมา

“ก็บอกแล้วว่าไม่ต้องเรียกอย่างงั้นไง ฮึ” แล้วก็เดินออกไปพร้อมๆกันโดยไม่ทันเห็นมาชิโระแอบนั่งอมยิ้มอยู่ ‘นั้นหละ สู้ๆนะเพื่อนรัก’

“งั้นชั้นก็ขอกลับหอพักก็แล้วกัน แล้วพวกเธอมีอยากไปที่ไหนกันไหมหละ” เค เอ่ยทักขึ้นเมื่อสองคนนั้นเดินห่างออกไปแล้ว

“ตามใจเคก็แล้วกัน ชั้นขออยู่กับเคนี้หละ” มาชิโระพูดยิ้มๆ และไม่ทันสังเกตุว่าอาโมเน่ที่นั่งอยู่ห่างๆหันมามองชั่วแวบนึง

“ชั้นเองก็คงกลับห้องไปอ่านหนังสือทีอ่านค้างไว้อยุ่หละนะ” ลีเซียพูดขึ้นจบก็ลุกขึ้นเดินออกไปพร้อมกับพวกเค

‘เฮ้อ ท่าทางวันนี้จะยังไม่มีอะไร หวังว่านะ’ เค คิดแล้วก็ออกเดินต่อไป โดยไม่รู้เลยว่าพวกตนจะได้เข้าไปเจอะเจอเรื่องวุ่นวายระดับใหญ่ขนาดไหนต่อไป

จบแล้ววววววววววว นาน ช่างนานจริงๆเลยจัดหนักไปหน่อย ฮะฮะ ยาวไปนิดแต่คงแก้อยากผู้อ่านทั้งหลายได้มั้งหละนะไม่มากก็น้อยหละ(คิดในแง่ดีไว้ไอจ๊อดเอ๊ย :emo (28): ) และด้วยความที่ไม่ได้จัดมานานอาจจะมีบางคำบางประโยคที่มันแย่นิดผิดหน่อยก็อย่าว่ากันนะครับ ไม่พอใจอะไรบอกมาได้เต็มที่เสมอเพราะมันเป็น "บทเรียน" ของพวกผมเพื่อให้มัน"ดียิ่งขึ้น" นั้นเองครับ :emo (14):

:emo (47): สำหรับคนที่รอตอนต่อของตอนพิเศษของโจเซฟลูกชายผม เอาเป็นว่าไม่น่าเกินเดือนนี่แน่นอนครับ จะทำให้ได้ก่อนสอบ gat pat ก็แล้วกันนะครับ :emo (21): ทำไมมันมาสอบเอาตอนนี้ กุไม่มีคำแนนไปยื่นรับตรงหลายที่แล้วนะ

Edited by pikasaiya

Share this post


Link to post
Share on other sites

เคคุง มาดูแล้วทักเอ็มกลับด้วยเด้อ

ผมจะขาดใจตายแต่จะลงให้เสร็จก่อนวันที่5ครับจ๊อดดด

Share this post


Link to post
Share on other sites

:emo (35): จากผู้เขียนน่ะครับ คือช่วงนี้ผู้เขียนไปฝึกงานและติดโปรเจคเลยไม่มีเวลามาลงต่อ + ต้องแก้ไขแต่ไม่ใช่ทิ้งร้างน่ะครับ ขออภัย

Share this post


Link to post
Share on other sites

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

Guest
Reply to this topic...

×   Pasted as rich text.   Paste as plain text instead

  Only 75 emoji are allowed.

×   Your link has been automatically embedded.   Display as a link instead

×   Your previous content has been restored.   Clear editor

×   You cannot paste images directly. Upload or insert images from URL.

Loading...
Sign in to follow this  

×
×
  • Create New...