Jump to content

วีโดราและมิเนอร์วา

Members
  • Content Count

    29
  • Joined

  • Last visited

About วีโดราและมิเนอร์วา

  • Rank
    Member

Profile Information

  • Gender
    Not Telling
  1. บทที่ 2 เสร็จแล้วหรือ ขอเข้ามารับชมเลยละกัน ค่อยๆ แต่งไปเรื่อยๆ นะครับนะครับพยายามเข้า ทางผมเองก็งานยุ่งเหมือนกันน่ะแหละ
  2. คุณหนูชิโนะเริ่มหัดแต่งฟิคสินะ สู้ ๆ นะครับคุณหนูพยายามเข้า แต่งไปเรื่อย ๆ ไม่ต้องรีบก็ได้ครับ
  3. Black Remember Special Mission วิลเลียน ราเวนดอส (Villain Ravendos) 15 ธันวาคม 2052 บริเวณเทือกเขาแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ห่างไกลออกไปจากสายตาผู้คน เวลา 9.00 AM ซึ่งเป็นเวลาหลังมื้อเช้าสำหรับใครบางคนที่กำลังทำกิจกรรมบางอย่างอยู่ บน หน้าผาสูงชันของภูผาลูกหนึ่งซึ่งตั้งตระหง่านอยู่เหนือพื้นดินประมาณสี่ร้อย เมตร บุรุษลึกลับผู้หนึ่งกำลังใช้สมาธิทั้งหมดไปกับการปีนเขาอยู่ ดวงตาสีน้ำเงินเข้มที่ดูลึกล้ำของชายหนุ่มกำลังมองขึ้นไปยังยอดเขาที่อยู่ เบื้องบนอย่างไม่ละสายตาไปจากมัน ขณะที่กำลังเหวี่ยงแขนเอื้อมมือไปจับเนินเขาที่ยื่นออกมาเพื่อใช้มันเป็นที่ ยึดเหนี่ยว ก่อนจะออกแรงทั้งหมดใช้ขาถีบส่งตัวเองขึ้นไปเป็นจังหวะอย่างช้า ๆ ก่อนที่ชายหนุ่มจะค่อย ๆ ปีนขึ้นไปจนถึงยอดเขาแบบเนิบ ๆ เมื่อบุรุษลึกลับผู้มีผมสีเงินยาวปีนขึ้นมาถึงยอดเขาแล้ว สิ่งแรกที่ชายหนุ่มทำคือก้มลงไปมองมือตัวเองที่เป็นรอยถลอกเล็กน้อยจากการปีนเขาเมื่อสักครู่ ตามด้วยการทอดสายตามองไปยังเบื้องหน้าเพื่อเฝ้าดูทัศนียภาพอันแสนงดงามที่ปรากฏอยู่ ก่อนจะสูดอากาศบริสุทธิ์รับเอาออกซิเจนเข้าไปให้เต็มปอดเพื่อเป็นการผ่อนคลายความเหน็ดเหนื่อยจากการออกกำลังกายที่ผ่านมา ขณะที่ชายหนุ่มกำลังยืนพักอยู่นั้น เสียงบางอย่างดังขึ้นทำให้ชายหนุ่มล้วงมือหยิบของบางสิ่งออกมาจากกระเป๋ามันคือ โทรศัพท์มือถือผ่านดาวเทียมแบบพับได้ ขึ้นมาเพื่อเปิดอ่านข้อความสามมิติที่ถูกส่งเข้ามา “หวัดดี ราเวนดอส เริ่มงานได้เลย ทุกอย่างพร้อมแล้ว” หลังจากที่อ่านเสร็จแล้วชายหนุ่มลึกลับจึงเผยรอยยิ้มที่มุมปากให้เห็นเล็กน้อย แล้วปิดมือถือพร้อมกับเก็บมันใส่ไว้ในกระเป๋าทันที 16 ธันวาคม กรุงโรม ประเทศอิตาลี เวลา 8.00 PM กรุง โรม คือเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของอิตาลีที่ตั้งอยู่ทางตอนกลางของประเทศ กรุงโรมนั้นยังขึ้นชื่อว่าเป็นมหานครที่มีอดีตอันยิ่งใหญ่และเกรียงไกรมา ตั้งแต่ยุคสมัยที่จักรวรรดิโรมันยังเรืองอำนาจในอดีต จนกระทั่งมาจนถึงยุคปัจจุบันนี้ กรุงโรม นั้นก็ยังขึ้นชื่อว่าเป็นมหานครที่ยิ่งใหญ่และทรงอิทธิพลที่สุดเมืองหนึ่ง ของโลกที่เป็นศูนย์กลางความเจริญในด้านต่าง ๆ ของมนุษยชาติไม่ว่าจะเป็นทางด้านระบบการเมืองการปกครอง ด้านเศรษฐกิจ ด้านการค้าและการลงทุน การท่องเที่ยว แฟชั่นและการออกแบบ ศูนย์กลางของการสื่อสารและเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยที่สุดแห่งหนึ่งของโลกยุคนี้ และที่สำคัญกรุงโรมยังเป็นศูนย์รวมของศิลปะและวัฒนธรรมที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลก สมดั่งคำกล่าวเมื่อครั้นสมัยโบราณที่มีคนเคยพูดเอาไว้ว่า“ถนนทุกสายมุ่งสู่กรุงโรม” และสิ่งหนึ่งที่ทำให้ กรุงโรมเปี่ยมไปด้วยมนต์เสน่ห์ก็คืออาคารบ้านเรือนต่างๆ ที่มีให้เห็นทั่วทั้งเมืองนั้นยังคงไว้ซึ่งสถาปัตยกรรมแบบโบราณเอาไว้อย่างวิจิตรและงดงาม นอกจากนี้ในกรุงโรมนั้นยังมี “นครรัฐวาติกัน” ซึ่งเป็นดินแดนที่ประทับของ สมเด็จพระสันตะปาปา ประมุขแห่งศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกอีกด้วย กรุง โรมในยามราตรีนั้นดูงดงามตระการตาไปเสียยิ่งกว่ายามรุ่งอรุณด้วยแสงไฟสี เหลืองทองที่ส่องแสงสาดส่องลงมาจากอาคารบ้านเรือนที่มีอยู่ให้เห็นทั่วทั้ง เมืองนั้นทำให้เมืองดูสดใส บนถนนคนเดินนั้นยังเต็มไปด้วยผู้คนหลากหลายที่เดินทางมาจากทั่วทุกสารทิศส่ง เสริมให้บรรยากาศในยามค่ำคืนนั้นดูมีชีวิตชีวา ส่วนบนท้องถนนในตัวเมืองนั้นยังเต็มไปด้วย รถยนต์สุดไฮเทคที่มีรูปร่างประหลาดตาของเหล่าผู้คนที่สัญจรผ่านกันไป-มามาก มายนับไม่ถ้วนทำให้กรุงโรมนั้นเป็นมหานครที่ยังความคึกคักไปทั่วทั้งคืน บนถนนคนเดินที่อยู่ในเขตตัวเมืองของย่านธุรกิจ วิลเลียน ราเวนดอส (22 ปี) หนุ่มอิตาเลียนผู้มีรูปร่างสูงสง่าในชุดสูทสีดำสนิท ผมสีเงินยาวสยาย ใบหน้าคมคายสไตล์นายแบบ ดวงตาคมสีน้ำเงินที่ถูกซ่อนไว้อยู่หลังแว่นดำคู่นั้นกำลังจ้องมองไปยังไนต์คลับแห่งหนึ่งที่มีชื่อเรียกว่า “Triple X” สักพัก ก่อนจะก้าวเท้าเดินตรงไปยังไนต์คลับแห่งนั้นทันที วิ ลเลียน ราเวนดอส คือนักธุรกิจอิสระผู้ลงทุนทำธุรกิจหลายอย่าง ที่มีเบื้องหลังเป็นนักค้าอาวุธอิสระผู้ลึกลับที่ไม่มีใครเคยเห็นโฉมหน้าที่ แท้จริงและยังไม่มีใครรู้ประวัติ แต่เขาก็มีชื่อเสียงโด่งดังในโลกอาชญากรรมมากพอสมควร และการที่นักค้าอาวุธอิสระผู้ลึกลับสุดโด่งดังมายังไนต์คลับแห่งนี้ ไม่ใช่มาเที่ยวเล่นแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะว่าเขามีธุระสำคัญบางอย่างที่จะต้องจัดการให้มันจบๆ ไป ราเวนดอส เดินเข้ามายังไนต์คลับ เขาก็สัมผัสได้ว่าบรรยากาศภายในนั้นเต็มไปด้วยบรรดานักท่องเที่ยวที่ต่างก็กำลังทานอาหารกันอยู่ บางคนกำลังดื่มเหล้าหรือจิบไวน์ที่พวกเขาสั่ง บางคนก็กำลังเฉลิมฉลองกันอยู่ แต่ชายหนุ่มกลับไม่สนใจคนเหล่านั้น เพราะ ตอนนี้เขากำลังมองบุคลผู้หนึ่งที่นัดเขาเอาไว้ให้มาคุยเรื่องสำคัญ “สวัสดีครับ คุณราเวนดอส นั่นใช่คุณหรือเปล่า” เสียงของชายคนหนึ่งดังขึ้นทำให้ ราเวนดอส นักค้าอาวุธลึกลับหันหลังกลับไปมอง “ใช่ครับ ผมเอง” ราเวนดอสตอบกลับไปด้วยเสียงเงียบขรึมราวกับเป็นถ้อยคำที่เปล่งออกมานั้นเป็นของมัจจุราช ดวงตาคมสีน้ำเงินที่ซ่อนอยู่หลังแว่นดำกำลังมองไปยังชายร่างสูงโปร่งอยู่ในชุดสูทสีเทา ผมสั้นสีน้ำตาล ดวงตาสีเหลืองทองฉายแววเจ้าเล่ห์ นามของเขาก็คือ อัลบิโอ้ ราซิลวา(28 ปี) เขาคือ นักค้าข้อมูลอิสระในโลกอาชญากรรมที่ได้นัดกับ วิลเลียน ราเวนดอส เอาไว้มาเพื่อพูดคุยเรื่องธุระสำคัญกัน “ต้องขอโทษคุณด้วยนะครับที่ผมมาช้า คุณราเวนดอส” อัลบิโอ้ กล่าวแสดงคำขอโทษที่ตนมาช้ากว่าเวลาที่นัดไว้ “ไม่เป็นไรครับ ผมรอได้” ราเวนดอสตอบกลับไปด้วยเสียงเงียบขรึม “เพื่อเป็นการขอโทษ ให้ผมเลี้ยงคุณซักแก้วก่อนก็แล้วกันนะครับ” เมื่อพูดกันเสร็จแล้ว วิลเลียน ราเวนดอส นักค้าอาวุธอิสระผู้โด่งดังและ อัลบิโอ้ ราซิลวา นักค้าข้อมูลแห่งโลกอาชญากรรม ก็เดินผ่านเหล่าผู้คนที่กำลังทำกิจกรรมของพวกเขากันอยู่ ตรงไปนั่งบริเวณเคาน์เตอร์ ราเวนดอส กับ ราซิลวา ก็สั่งให้บาร์เทนเดอร์ชงวอดก้าพร้อมกับเตกีล่ามาอย่างละแก้ว แล้วพวกเขาทั้งสองก็ค่อยๆ ดื่มมันจดหมดแก้ว ก่อนที่ทั้งคู่จะลุกขึ้นจากโต๊ะแล้วเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นสอง ตรงเข้าไปในห้องที่มีตัวหนังสือเขียนว่า “ห้องพิเศษสำหรับแขกวีไอพี” ก่อนที่ทั้งคู่จะนั่งลงบนโซฟาหนังสีดำด้วยท่าทีสบาย ๆ ใน ห้องพิเศษสำหรับแขกวีไอพี วิลเลียน ราเวนดอสนักค้าอาวุธอิสระผู้ลึกลับและ อัลบิโอ้ ราซิลวา นักค้าข้อมูลอิสระในโลกอาชาญกรรม ที่นั่งอยู่บนโซฟาหนังสีดำกำลังเปิดประเด็นคุยเรื่องธุระสำคัญที่พวกเขาทั้ง สองนัดกันเอาไว้ว่าจะมาคุยกันที่นี่ “ผมว่าเรามาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่าไหม” ราเวนดอสเอ่ยถามถึงเรื่องสำคัญด้วยเสียงเงียบขรึม “ดีเลยครับ ทางผมเองก็ไม่อยากจะเสียเวลาไปมากกว่านี้เหมือนกัน” อัลบิโอ้ตอบกลับแล้วเงียบไปสักพักหนึ่งก่อนเอ่ยขึ้น “คุณราเวนดอสครับ คุณเคยบอกกับผมว่าคุณต้องการข้อมูลของ โรเบอร์โต้ กุสตาฟ ใช่ไหมครับ” “ใช่ ผมต้องการ” “ถ้าคุณต้องการผมเองก็เตรียมข้อมูลไว้ให้คุณแล้ว แต่ทางคุณล่ะเตรียมไว้ให้ผมแล้วหรือยัง” “ผมเตรียมไว้แล้ว คุณต้องการเท่าไหร่” “คุณนี่ช่างรู้ใจผมดีจริงๆ เลยนะครับ คุณราเวนดอส ผมต้องการสักสิบใบนะครับ” “ผมจะให้คุณครึ่งหนึ่งก่อนแล้วขอเช็คข้อมูลดู” “ได้เลยครับ เชิญตามสบายเลย” ราเวนดอสพูดจบเขาก็หยิบคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กที่มีไว้สำหรับทำงานขึ้นมา เปิดเข้าไปในไซท์งานพิมพ์รหัสผ่านเข้าไปยังบัญชีสวิตซ์ของตนเอง แล้วจัดการโอนเงินจำนวนหนึ่งซึ่งเป็นจำนวนสูงถึง “ห้าล้านเหรียญอาเมโร” ผ่านเข้าไปยังธนาคารแห่งหนึ่งของอัลบิโอ้ ราซิลวา หลังจากที่โอนเงินกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ราเวนดอสก็หยิบซองเอกสารสีน้ำตาลที่อัลบิโอ้ส่งมาให้ เพื่อเปิดดูสิ่งที่บรรจุอยู่ภายในนั้นมันคือภาพถ่ายของบุคลผู้หนึ่งเขาคือ โรเบอร์โต้ กุสตาฟ (36 ปี) มหาเศรษฐีพันล้านชาวเสปนผู้เป็นเจ้าของธุรกิจด้านพลังงานและธนาคารในหลาย ๆ ประเทศทั่วโลก ที่ถูกแนบมาพร้อมกับภาพถ่ายอีกใบที่เป็นรูปโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าเก่า ๆ หลังหนึ่งซึ่งตั้งอยู่แห่งหนใดไม่ทราบได้ “เป็นยังไงบ้างครับ คุณต้องการอะไรเพิ่มเติมไหม” “โรงงาน” “ถ้าคุณอยากจะรู้เรื่องโรงงาน คุณคงต้องจ่ายผมเพิ่ม” “เท่าไหร่” “คุณนี่เป็นคนที่เข้าใจอะไรง่ายดีนะครับ คุณราเวนดอส ผมต้องการเพิ่มสักสิบใบครับ” “ผมจะให้คุณครึ่งหนึ่งแล้วขอดูข้อมูลก่อน” “ได้สิครับ ไม่มีปัญหา” ราเวนดอสพูดจบเขาก็หยิบคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กขึ้นมาเปิดอีกครั้งแล้วโอนเงินจำนวน “ห้าล้านเหรียญอาเมโร” ไปเข้าบัญชีธนาคารแห่งหนึ่งของอัลบิโอ้ ก่อนที่อัลบิโอ้จะส่งภาพถ่ายและเอกสารจำนวนหนึ่งไปมอบให้แก่ทางราเวนดอส รา เวนดอสหยิบภาพถ่ายที่เป็นรูปของชายคนหนึ่งขึ้นมาดูเขาคือ โรนัลโด้ รุสโซ่ (25 ปี) นักวิทยาศาสตร์ชาวเสปนแล้วเก็บภาพถ่ายใบนั้นเข้าไปในซองใส่เอกสารสีน้ำตาล ก่อนจะหยิบเอกสารอีกชุดขึ้นมาอ่าน ดวงตาคมสีน้ำเงินที่ซ่อนอยู่หลังแว่นดำคู่นั้น กำลังจ้องมองไปยังข้อความตอนหนึ่งที่ถูกเขียนเอาไว้บนแผ่นกระดาษอย่างสนอก สนใจเป็นอย่างยิ่ง “โรงงานผลิตกระแสไฟฟ้า กลุ่มบริษัทกุสตาฟคอร์เปอเรชั่น หมู่บ้านริคาร์โด้ ประเทศบราซิล” สิ่งที่ปรากฏอยู่ในสายตาของ ราเวนดอส ในขณะนี้มันก็คือสถานที่ตั้งของ โรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าแห่งหนึ่งซึ่งเป็นของบริษัทกุสตาฟคอร์เปอเรชั่น ที่มีนายโรเบอร์โต้ กุสตาฟ มหาเศรษฐีพันล้านชาวเสปนเป็นเจ้าของ “โรงงานนี่ไม่ผิดแน่” ราเวนดอสไตร่ตรองถึงเรื่องสำคัญบางอย่างที่ทำให้เขาต้องค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่ตั้งของ โรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าแห่งนี้ “ทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้วสินะครับ คุณราเวนดอส” อัลบิโอ้ถาม “ใช่ครับ ทุกอย่างเรียบร้อย” ราเวนดอสตอบกลับไปด้วยเสียงเงียบขรึม “ถ้าทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว ผมเองก็มีธุระสำคัญที่จะคุยกับคุณอยู่เรื่องหนึ่ง” “คุณว่ามาเลย” “คุณราเวนดอส ผมอยากให้คุณช่วยถอดแว่นกันแดดนั่นออกมาให้ผมดูหน่อย” “เรื่องนั้นคงทำไม่ได้ เพราะ แว่นนี่คือเครื่องหมายการค้าของผม” “คุณนี่เข้าใจล้อเล่นดีจังเลยนะครับ” “จริงๆแล้วสายตาของผมมีปัญหากับแสงไฟ” ราเวนดอสตอบด้วยท่าทางเคร่งขรึม น้ำเสียงของเขาฟังดูหนักแน่นและจริงมากจนเกินกว่าจะเป็นเรื่องล้อเล่น “อืม ผมเข้าใจแล้วล่ะครับ” “เอาล่ะ ในเมื่อเราหมดธุระที่จะคุยกันแล้ว ผมคงต้องขอตัวก่อนล่ะครับ” “ครับ ทางผมเองก็เช่นกัน” “ยินดีที่ได้เจรจาทางการค้ากับคุณนะครับ คุณราเวนดอส” หลัง จากที่การเจรจาต่อรองทางการค้าของทั้งคู่จบลง ราเวนดอส ก็เดินผ่านประตูเลื่อนอัตโนมัติลงบันไดไปยังชั้นล่างผ่านเหล่าผู้คนที่กำลัง ทำกิจกรรมของพวกเขากันอย่างสนุกสนานอยู่ในไนต์คลับ ตรงไปยังรถสปอร์ตสีดำคันโปรดก่อนที่จะเปิดประตูรถเพื่อนั่งลงตรงที่นั่งคน ขับ “ข้อมูลทุกอย่างที่ได้มาจากเจ้านี่ มันถูกต้องเลยทีเดียว” ราเวนดอสทบทวนถึงข้อมูลทุกอย่างที่เขารู้เกี่ยวกับ “โรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าของกลุ่มบริษัทกุสตาฟคอร์เปอเรชั่น” แล้วนำมันมาประมวลให้เข้ากับข้อมูลที่เขาพึ่งเจรจาต่อรองมาสักครู่อย่างใจเย็น “ทีนี้ก็เหลือแค่หาข้อมูลของเจ้าดอกเตอร์” ราเวนดอสหยิบภาพถ่ายของนักวิทยาศาสตร์ชาวเสปนที่ชื่อ โรนัลโด้ รุสโซ่ ขึ้นมาดูอีกครั้งพลางใช้ความคิดด้วยว่าจะไปหาข้อมูลของชายผู้นี้ได้นี่ไหน “แต่คืนนี้คงต้องหาที่พักซะก่อน” ราเวนดอสมองนาฬิกาข้อมือดิจิตอลของตนเองที่ตอนนี้บอกเวลา 10.00 PM แล้วชายหนุ่มก็สตาร์ทรถหันพวงมาลัยก่อนที่จะขับรถของตนให้พุ่งทะยานไปตามท้องถนนในยามราตรี เช้าวันต่อมาเวลา 8.00 AM ในห้องพักของโรงแรมแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ห่างออกไปจากย่านธุรกิจในกรุงโรมไปไม่ไกลนัก วิลเลียน ราเวนดอส นักธุรกิจอิสระกำลังใช้คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กในการตรวจสอบข้อมูลในไซท์งานดูว่า สิ่งที่เขาได้รับมาจากการเจรจาซื้อ-ขายจากเมื่อคืนวานที่ผ่านมามันตรงกับข้อมูลที่เขามีอยู่หรือเปล่า ขณะนี้ดวงตาคมสีน้ำเงินเข้มของชายหนุ่มกำลังมองไปยังภาพและข้อความที่ปรากฏขึ้นมาบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ “โร นัลโด้ รุสโซ่ นักวิทยาศาสตร์ชาวเสปนผู้เคยเป็นอาจารย์สอนวิทยาศาสตร์ในมหาวิทยาลัยแห่งที่ ประเทศอังกฤษ เขาเคยถูกทางหน่วยงานของรัฐบาลอังกฤษควบคุมตัวในโทษฐานลักลอบการผลิตอาวุธ ชีวภาพให้แก่องค์กรก่อการร้าย แต่ก็ถูกปล่อยตัวออกมาหลังจากนั้นไม่นานเพราะหลักฐานอ่อน และในปัจจุบันนี้ไม่มีใครรู้ว่าเขาอยู่ไหน แต่เมื่อเร็ว ๆ นี้มีข่าวออกมาว่าเขาได้รับการติดต่อจากมหาเศรษฐีพันล้านชาวเสปนว่าให้ไป เป็นหนึ่งในนักวิจัยที่คอยรับผิดชอบโครงการลับสุดยอดโครงการหนึ่งอยู่” “โรเบอร์โต้ กุสตาฟ มหาเศรษฐีพันล้านชาวเสปนผู้เป็นเจ้าของ กลุ่มบริษัทกุสตาฟคอร์เปอเรชั่น ที่คอยลงทุนธุรกิจสัมปทานด้านพลังงานและธนาคารหลายแห่งทั้งในเสปนและในอีกหลาย ๆ ประเทศทั่วโลก ที่เคยตกเป็นข่าวดังในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2051 ว่ามีโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าแห่งหนึ่งที่มีกลุ่มบริษัทของเขาเป็นเจ้าของได้ทำการลักลอบผลิตอาวุธชีวภาพอยู่ แต่เมื่อพวกเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบกลับไม่พบอะไรจึงทำให้เขาพ้นจากข้อกล่าวหา แต่ในปัจจุบันนี้มีข่าวออกมาว่าเขาได้ว่าจ้างทีมงานนักวิทยาศาสตร์จำนวนหนึ่งให้มาทำงานวิจัยในโครงการลับโครงการหนึ่ง” “โรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าของกลุ่มทุนกุสตาฟคอร์เปอเรชั่น คือโรงงานที่เร็ว ๆ นี้มีข่าวออกมาว่า โรเบอร์โต้ กุสตาฟ ใช้มันเป็นที่บังหน้าในการลักลอบผลิตอาวุธชีวภาพ” “เจ้าพวกนี้มันน่าสนใจ” ราเวนดอสวิเคราะห์ถึงสิ่งที่เป็นไปได้ “ขนาดพวก CIA และ MI6 ที่มีข้อมูลขนาดนั้นยังทำอะไรไม่ได้” “แสดงพวกมันต้องอาศัยช่องว่างของกฎหมายในการทำลายหลักฐานทิ้ง หรือ มีสายสนกลในกับพวกเจ้าหน้าที่ด้วยสินะ” ชายหนุ่มตั้งข้อสันนิฐานอย่างใจเย็น “เราคงต้องหาข้อมูลเพิ่ม” รา เวนดอสตัดสินใจค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อใช้ในจุดประสงค์บางอย่างซึ่งเป็น เรื่องที่สำคัญมากสำหรับเขา แล้วชายหนุ่มก็เปิดคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กเข้าไปในไซท์งานของเขา เพื่อค้นหารายชื่อของใครสักคนก็ตามที่มีข้อมูลมากเพียงพอต่อความต้องการของ เขาในขณะนี้ ชายหนุ่มค่อยๆ เปิดรายชื่อที่มีทั้งภาพและข้อความที่เกี่ยวข้องกับคนๆ นั้นไปอย่างช้าๆ แล้วหยุดอยู่ที่รายชื่อของหญิงสาวนางหนึ่งเธอก็คือ “แอนนา รอสซ่า (20 ปี) เธอคือนักข่าวอิสระที่คอยทำข่าวประเภทสงคราม อาชญากรรม และ การก่อการร้าย ที่มีเบื้องหลังเป็นนักค้าข้อมูลอิสระในโลกอาชญากรรม และที่สำคัญเธอคือนักข่าวที่กำลังตามข่าวของของนายโรเบอร์โต้ กุสต๊าฟ อยู่ในขณะนี้” “ถ้าเป็นเธอคนนี้คงจะรู้เรื่องของเจ้านั่น” ราเวนดอสยิ้มกริ่มขณะที่สายตาของเขามองไปยังภาพของหญิงสาวนางหนึ่ง แล้วชายหนุ่มก็จัดการปิดคอมพิวเตอร์ของเขา “เราคงต้องไปหามื้อเช้ากินก่อน” ราเวนดอสลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินไปหยิบเสื้อเชิ้ตสีดำออกจากตู้เก็บเสื้อผ้ามาสวมแล้วเดินออกจากห้องพักไป ก่อนที่จะตรงไปยังร้านอาหารแห่งหนึ่งในโรงแรม วันต่อมาที่เมืองเวนิส ประเทศอิตาลี เวลา 10.00 AM ในปัจจุบันนี้หากจะเอ่ยถึง เวนิส หรือ เวเนเซีย เมืองหลวงของแคว้นเวเนโต ประเทศอิตาลีกันแล้วล่ะก็ มันคือเมืองที่งดงามและยิ่งใหญ่ที่สุดเมืองหนึ่งของโลก มันเป็นเมืองที่สวยงามมากจนได้รับการขนานนามว่าเป็น ราชินีแห่งท้องทะเลอาเดรียตริก (Queen of the Adriatic), เมืองแห่งสายน้ำ (City of Water) หรือ เมืองแห่งสะพาน (City of Bridges), และ เมืองแห่งแสงสว่าง (The City of Light) เมืองเวนิสนั้นถูกสร้างขึ้นโดยการนำเอาเกาะเล็กๆ จำนวนมากมาเชื่อมเข้าไว้ด้วยกัน มันถูกสร้างขึ้นในบริเวณทะเลสาบเวนิเทีย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทะเลทะเลอาเดรียตริกทางตอนเหนือของประเทศอิตาลี มหา วิหารและจัตุรัสซานมาร์โก้ คือมหาวิหารที่โด่งดังไปทั่วโลก มันเป็นอาคารทรงยุโรปโบราณที่ถูกสร้างขึ้นด้วยการนำเอาศิลปะและสถาปัตยกรรม แบบคริสเตียนโบราณในยุคไบแซนไทน์ โรมาเนสก์ อาหรับ และเรเนอซองก์ เข้าไว้ด้วยกัน เชื่อกันว่าวิหารแห่งนี้เป็นสถานที่บรรจุพระศพของเซนต์มาร์ก ส่วนอาคารที่อยู่เคียงข้างมหาวิหารนั้นมีชื่อเรียกว่าพาลัซโซคูดาแล ท่าม กลางเหล่าผู้คนและนักท่องเที่ยวจำนวนมาก ราเวนดอส นักธุรกิจอิสระที่อยู่ในชุดสูทสีดำสวมแว่นกันแดดและใส่หมวกทรงสูงสีเดียวกัน กำลังเดินผ่านเหล่าฝูงชนจำนวนมหาศาลขึ้นไปยังทางเดินมุมหนึ่งที่อยู่บนมหา วิหารซึ่งไม่ค่อยมีคนอยู่มากนัก แล้วล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อหยิบ “โทรศัพท์มือถือผ่านดาวเทียมรุ่นพิเศษ”ออกมาแล้วกดโทรไปยังหมายเลขหนึ่งเพื่อติดต่อใครสักคน ใน ห้องทำงานของสำนักงานข่าวแห่งหนึ่ง แอนนา รอสซ่า สาวสวยวัย 20 ปีเธอเป็นสตรีที่มีรูปร่างสูงหุ่นเพรียวบาง เรือนผมสีทองยาวถึงกลางหลังรับกับใบหน้าเรียวได้รูปและเธอก็มีดวงตาสีฟ้าใส เหมือนน้ำทะเล ในขณะนี้นักข่าวสาวกำลังยุ่งอยู่กับการจัดกองเอกสารจำนวนหนึ่งที่วางไว้อยู่ บนโต๊ะ แต่แล้วเสียงบางอย่างก็ดังขึ้นเป็นจังหวะเพลงคลาสสิกแล้วเธอก็ล้วงมือเข้าไป หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋าขึ้นมา ด้วยความรู้สึกสงสัยว่าทำไมถึงไม่ปรากฏเลขหมายของอีกฝ่ายหนึ่ง “สวัสดีครับ” น้ำเสียงนุ่มนวลของบุรุษผู้หนึ่งที่ดังขึ้นจากปลายสายทำให้นักข่าวสาวตอบเขากลับไป “สวัสดีค่ะ” แล้วหญิงสาวก็ถามขึ้นด้วยความสงสัยว่าอีกฝ่ายหนึ่งเป็นใคร จากหมายเลขที่ไม่ปรากฏเบอร์ “ไม่ทราบว่าคุณเป็นหรือใครคะ” “ผมคือ ราเวนดอส” บุรุษลึกลับผู้อยู่ปลายสายกล่าวแสดงคำแนะนำตนเองให้แก่นักข่าวสาวได้รับรู้ “วิลเลียน ราเวนดอส” บุรุษลึกลับเอื้อนเอ่ยนามของเขาอีกครั้ง และด้วยคำพูดนี้เองก็ทำให้ แอนนา รอสซา นักข่าวสาวซึ่งเป็นผู้ได้ยินถึงกับตื่นตะลึงไปเลยทีเดียว แล้วหญิงสาวก็คิดในใจไปว่า “ใช่ตัวจริงหรือเปล่าแล้วทำไมถึงต้องมาติดต่อกับเราโดยตรงแบบนี้” “ต้องขอโทษคุณด้วยนะครับที่จู่ๆ ผมก็โทรมาหาคุณแบบนี้” บุรุษลึกลับผู้กล่าวอ้างว่าตนเองคือ วิลเลียน ราเวนดอส นักค้าอาวุธลึกลับผู้โด่งดังในโลกอาชญากรรม ได้กล่าวแสดงคำขอโทษด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลชวนฟัง “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ คุณราเวนดอส” นักข่าวสาวอิสระ แอนนา รอสซา ตอบบุรุษลึกลับที่อยู่ปลายสายกลับไป “คุณคงมีเรื่องสำคัญมากถึงได้ติดต่อกับดิฉันโดยตรงเลยสินะคะ” แล้วนักข่าวสาวก็ตั้งคำถามให้แก่บุรุษลึกลับผู้มีนาม วิลเลียน ราเวนดอส ทันที “ใช่ครับผมมีเรื่องสำคัญจะคุยกับคุณ” “ไม่ทราบว่าคุณมีธุระสำคัญอะไรจะคุยกับดิฉันหรือคะ” “ผมต้องการคุยกับคุณเรื่องคดีกุสตาฟ” “เรื่องนั้นหรือคะ ตอนนี้ดิฉันยังไม่สะดวกคุยเลยค่ะ” “ถ้าอย่างนั้น ผมว่าเรามาพบกันดีกว่าไหม” “เราจะพบกันที่ไหนหรือคะ” “ผมอยากให้คุณมาที่กรุงปรากในวันพรุ่งนี้” “กรุงปรากสินะคะ ดิฉันเข้าใจแล้วค่ะ” “แล้วเจอกันนะครับ” “ค่ะ แล้วพบกันที่กรุงปรากนะคะ” หลังจากที่คุยธุระสำคัญกันเสร็จแล้ว แอนนาก็ปิดโทรศัพท์มือของเธอทันทีแล้วจัดการเก็บกองเอกสารจำนวนหนึ่งที่วางไว้อยู่บนโต๊ะให้เป็นระเบียบเรียบร้อย พลางคิดในใจไปด้วยความรู้สึกกังวลจากบทสนทนาที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ไปว่า “หมอนั่นจะใช่ราเวนดอสตัวจริงหรือเปล่าแล้วเขาต้องการคุยกับเราเรื่องคดีกุสตาฟไปทำไม” แต่แล้วในจังหวะนั้นเองเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น ทำให้นักข่าวสาวเปิดโทรศัพท์ขึ้นมาอ่านข้อความที่นักธุรกิจหนุ่มนาม ราเวนดอสส่งมาให้จนจบ ก่อนจะตัดสินใจเดินออกจากห้องทำงานไป ที่บริเวณหน้ามหาวิหารและจัตุรัสซานมาร์โก้ ราเวนดอส ที่พึ่งคุยโทรศัพท์และส่งข้อความเสร็จแล้วเขาได้ปิด “โทรศัพท์มือถือผ่านดาวเทียมรุ่นพิเศษที่มีระบบป้องกันการดักฟัง”ทันที “ทีนี้ก็เหลือเพียงแค่เงื่อนไขสุดท้าย” ชาย หนุ่มพิจารณาถึงเงื่อนไขทั้งหมดที่ผ่านมาแล้ววิเคราะห์ถึงเงื่อนข้อไขสุด ท้าย ในขณะที่กำลังเดินผ่านเหล่าผู้คนแล้วมาหยุดชมความงดงามของประตูทางเข้า ของมหาวิหารที่ถูกสร้างขึ้นจากงานโมเสกซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมแบบโบราณสักพัก หนึ่ง ใน นาทีนั้นเองเสียงระฆังจากโบสถ์ส่งเสียงประสายก้องกังวานดังขึ้นมาทำให้จิตใจ ที่แข็งกระด้างของนักธุรกิจลึกลับนาม ราเวนดอสที่กำลังพริ้มตาหลับอย่างสงบอยู่นั้นเกิดความรู้สึกสงบขึ้นมาอีก ครั้ง แล้วชายหนุ่มก็ลืมตาตื่นขึ้นมาดวงตาสีน้ำเงินเข้มที่ถูกซ่อนอยู่หลังแว่นดำ คู่นั้นจ้องมองเข้าไปในโบสถ์อีกสักพักหนึ่ง ก่อนที่บุรุษลึกลับจะก้าวเท้าเดินผ่านเหล่าผู้คนและนักท่องเที่ยวเข้าไปเชย ชมความงดงามของสถาปัตยกรรมงดงามที่อยู่ภายในมหาวิหารอันศักดิ์สิทธิ์ วันต่อมาที่กรุงปราก ประเทศสาธารณะรัฐเช็ก กรุง ปรากเมืองหลวงของประเทศสาธารณะรัฐเช็กแห่งนี้มีชื่อเรียกเป็นภาษาท้องถิ่น ว่าปราฮา กรุงปรากนั้นถือได้ว่าเป็นอัญมณีเม็ดงามแห่งยุโรป ด้วยความงามอันล้ำเลิศที่ได้รับการกล่าวขานเลื่องลือมาอย่างเนิ่นนาน นับตั้งแต่ครั้นอดีตกาลจวบจนกาลเวลาล่วงเลยผ่านมาถึงยุคปัจจุบันนี้ กรุงปรากยังคงเป็นนครที่งดงามที่สุดเมืองหนึ่งในยุโรป และที่สำคัญยังเป็นเมืองที่ได้รับการคัดเลือกจากองค์กรยูเนสโกให้เป็น เมืองมรดกโลกในศตวรรษที่ยี่สิบหรือในยุคที่พึ่งผ่านพ้นไปเมื่อไม่นานนี้นั่น เอง ทั่วทั้งเมืองนั้นถูกรายล้อมไปด้วยอาคารบ้านเรือนทรงยุโรปโบราณที่ถูกสร้างขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมอันหลากหลายเช่น โรมาเนสก์ โกธิค เรเนอซองก์ และ บารอค ประกอบกับสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆ มากมายที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกให้มาเชยชมความงดงามของนครนี้ ในห้องอาหารส่วนตัวของภัตตาคารริมระเบียงแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ใจกลางกรุงปราก วิลเลียน ราเวนดอส นักธุรกิจหนุ่มผู้อยู่ในชุดสูทสีดำสนิทและสวมแว่นตาสีเดียวกัน กำลังนั่งทานขนมปังและจิบกาแฟดำร้อนๆ ไปพลางๆ ระหว่างรอหญิงสาวนางหนึ่งที่เขานัดไว้ให้มาเจอกันที่นี่เพื่อพูดคุยเรื่องธุระสำคัญกัน ขณะที่ชายหนุ่มกำลังนั่งรออยู่ในห้องอาหารส่วนตัว สุภาพสตรีนางหนึ่งได้เดินผ่านประตูเลื่อนอัตโนมัติของภัตตาคารเข้ามาเธอคือ แอนนา รอสซา นักข่าวสาวอิสระที่ปรากฏตัวในชุดราตรีสีแดงที่ดูร้อนแรง ผมสีทองยาวสลวยถูกรวบไว้เป็นทรงอย่างดี หญิง สาวกวาดสายตามองไปรอบๆ ภัตตาคารที่มีทั้งนักท่องเที่ยวและนักธุรกิจกำลังทานอาหารกันอยู่เพื่อค้นหา ชายคนหนึ่งที่นัดเธอไว้ให้มาคุยเรื่องธุระสำคัญ ดวงตาสีฟ้าคู่สวยของเธอจ้องมองไปที่บุรุษท่าทางลึกลับผู้หนึ่งซึ่งกำลังนั่ง ทานอาหารอยู่ที่มุมด้านในสุดของภัตตาคาร “วิลเลียน ราเวนดอส” หญิงสาวสังเกตเห็นได้ว่าบุรุษลึกลับที่กำลังนั่งทานอาหารอยู่นั้น เป็นชายหนุ่มผู้มีรูปร่างสูงสง่า ผมสีเงินยาวลงมาถึงเอวสวมหมวกทรงสูงสีดำ และหากมองดีๆ แล้วล่ะก็จะเห็นว่าเขาใส่แว่นตากันแดดสีดำราวกับว่ากำลังปิดบังอำพรางโฉมหน้าแท้จริงของตัวเองเอาไว้อยู่ “ไม่ผิดคนแน่นอน” หญิงสาวมั่นใจในข้อสันนิฐานของตนแล้วก็เดินผ่านเหล่าผู้คนในร้านตรงเข้าไปหาบุรุษลึกลับที่นั่งอยู่ด้านในสุด “สวัสดีค่ะไม่ทราบว่าคุณคือ ราเวนดอส ที่นัดดิฉันไว้หรือเปล่าคะ” หญิงสาวถามชายหนุ่มท่าทางลึกลับที่นั่งอยู่ “ใช่” บุรุษลึกลับผู้นั้นตอบหญิงสาวกลับไปด้วยเสียงเงียบขรึม “ดิฉันแอนนา รอสซาที่คุณนัดไว้ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ” “เช่นกันครับ” “คุณราเวนดอส ดิฉันขอเวลาสักครู่” “ตามสบาย” ราเวนดอสอนุญาตแอนนา รอสซาจึงใช้มือเรียวเล็กของเธอกดปุ่มสั่งอาหารบนจอเมนูสามมิติที่ปรากฏอยู่บนโต๊ะ ผ่านไปสักพักหลังจากที่แอนนาทานอาหารเสร็จแล้ว เธอก็กล่าวเปิดประเด็นสำคัญที่ชายหนุ่มชวนเธอมาคุยธุระสำคัญกันที่นี่ทันที “คุณต้องการคุยกับดิฉันเรื่องธุรกิจของคุณกุสตาฟสินะคะ” “ใช่ครับ ผมอยากรู้ว่าพวกเขากำลังลงทุนอะไรกันอยู่” “คุณราเวนดอส คุณมีข้อแลกเปลี่ยนอะไรหรือเปล่าคะ” “ข้อแลกเปลี่ยนผมมีอยู่แล้วครับ” “ดีเลยค่ะ ถ้าอย่างนั้นเรามาดูข้อแลกเปลี่ยนกันเลย” หลังจากที่ทั้งคู่พูดจบนักธุรกิจหนุ่มนาม วิลเลียน ราเวนดอสก็หยิบเอาซองเอกสารสีน้ำตาลขึ้นมาพร้อมกับคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กที่มีไว้ใช้สำหรับทำงาน ส่วนทางด้านนักข่าวสาวอิสระนาม แอนนา รอสซา เองก็หยิบซองใส่เอกสารขึ้นมาพร้อมกับคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กของเธอเช่นกัน “คุณราเวนดอสคะ คุณมีอะไรมาแลกเปลี่ยนกับดิฉันหรือ” “โรงงานกับนักวิจัยครับ” “คุณมีข้อมูลเรื่องพวกนั้นหรือคะ” “ใช่ครับ แล้วทางคุณล่ะ” “ดิฉันมีเรื่องธุรกิจที่เจ้าพวกนั้นมันกำลังทำอยู่ บางทีคุณอาจจะสนใจ” “ผมสนแน่” “ถ้าอย่างนั้นเรามาเจรจากันเลยดีกว่าไหมคะ” “ดี” “คุณราเวนดอสดิฉันขอดูข้องมูลของคุณหน่อยได้ไหมคะ” “ผมเองก็ขอดูข้อมูลของคุณเช่นกัน” (70%) 70 % ครับ ยังแต่งไม่จบเดี๋ยวมาแต่งต่อนะครับ ขอเวลาสักระยะหนึ่ง
  4. ตัดสินใจกลับมาแต่งใหม่แล้วครับ คราวนี้ว่าจะแต่งไปเรื่อย ๆ ไม่รีบร้อนอะไร และตอนนี้กำลังคิดเทคโนโลยีใหม่ ๆที่จะนำมาใช้ในฟิคตอนต่อ ๆ ไป
  5. Black remember Mission 4 วันที่สันติภาพถูกทำลาย 7 มกราคม 2052 นครรัฐนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา เวลา 9.00 PM ในยุคปัจจุบันนี้เมื่อพูดถึงประเทศสหรัฐอเมริกากันแล้วล่ะก็ มันคือประเทศมหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเพียงหนึ่งเดียวในโลกที่เป็นทั้งต้นแบบและศูนย์กลางแห่งความเจริญในด้านต่างๆ ของมวลมนุษยชาติที่มีอยู่มากมายไม่ว่าจะเป็นทางด้านระบอบการเมืองการปกครอง ด้านสิทธิเสรีภาพ ด้านความมั่นคง ด้านแสนยานุภาพและกองกำลังทางทหาร ด้านเศรษฐกิจ การค้าและการลงทุน ด้านการท่องเที่ยว ทางด้านการสื่อสารและเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย รวมไปถึงความเป็นผู้นำทางด้านการสำรวจอวกาศ นครรัฐ นิวยอร์ก คือมหานครที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ที่เป็นศูนย์กลางความเจริญในโลกธุรกิจและการเงิน สิ่งที่รายล้อมไปทั่วทั้งเมืองนั้นก็คืออาคารสูงเสียดฟ้าที่มีรูปทรงอันทัน สมัยของบริษัทเอกชนต่างๆ มากมายหลายพันแห่ง ที่ทำให้เมืองแห่งนี้ได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์แห่งความมั่งคั่งของโลกทุนนิยม ส่วนบนท้องถนนนั้นยังคงเต็มไปด้วยผู้คน และรถยนต์สุดไฮเทคที่มีรูปร่างแปลกตาจำนวนมากกำลังสัญจรผ่านไป-มาแม้จะอยู่ ในยามราตรีเช่นนี้ ท่ามกลางตึกสูงเสียดฟ้าที่มีให้เห็นอยู่ทั่วทั้งเมืองมีอาคารสูงเสียดฟ้าอยู่หลังหนึ่งซึ่งชื่อของมันก็คือ อาคารเวิลด์เอมไพร์เซนเตอร์ มันเป็นอาคารสูงเสียดฟ้าที่มีความสูงถึงสี่ร้อยเมตรยี่สิบเมตรและมีจำนวนแปดสิบสองชั้น และมันได้ตั้งตระหง่านอยู่ที่มุมหนึ่งของย่านธุรกิจแห่งหนึ่งของมหานครแห่งนี้ บนท้องถนนเบื้องล่างท่ามกลางฝูงชนจำนวนมหาศาลที่กำลังสัญจรผ่านไป-มากันอยู่ สาววัยรุ่นผมทองคนหนึ่งเธอมีผิวสีขาวซีดใบหน้าซีดเซียว ดวงตาสีฟ้าดูขุ่นมัวไร้ชีวิตชีวาของเธอคู่นั้นกำลังมองขึ้นไปยังฟ้าเบื้องบนสักพักราวกับมองมันเป็นครั้งสุดท้าย แล้วเลื่อนสายตาลงมามองอาคารสูงเสียดฟ้าที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้าอีกสักครู่หนึ่ง ก่อนที่อุปกรณ์บางอย่างที่ถูกฝังไว้ในสมองของหญิงสาวจะเริ่มทำงาน แล้วมันก็บังคับให้หญิงสาวคนนั้นค่อย ๆ ก้าวเท้าเหยียบย่ำไปบนพื้นถนนอย่างช้า ๆ แล้วเดินตรงไปยังประตูทางเข้า-ออกของตัวอาคารหลังดังกล่าวโดยที่ไม่มีใครสนใจ เมื่อ เข้ามาถึงภายในตัวอาคารแล้วหญิงสาวผมทองคนนั้นได้กวาดสายตามองไปรอบๆ ที่มีเหล่าผู้คนและพนักงานกำลังทำงานของพวกเขากันอยู่ แล้วหญิงสาวก็เดินไปยังเสาต้นหนึ่งที่อยู่มุมหนึ่งของตัวอาคารโดยที่ไม่มี ผู้ใดสังเกตเห็น ก่อนที่จะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วพิมพ์รหัสลงไป เพื่อให้กลไกบางอย่างที่ถูกฝังเอาไว้ภายในร่างกายตรงบริเวณหัวใจของเธอทำงาน ในทันที บึ้ม !!! บึ้ม !!! บึ้ม !!! ในชั่วพริบตานั้นเองการระเบิดได้เกิดขึ้น แรงระเบิดของมันทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งตัวอาคาร ก่อนที่จะตามมาด้วยการระเบิดอีกหลายสิบครั้ง ส่งผลให้ทั่วทั้งตัวอาคารต้องสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงก่อนที่ตัวอาคารจะเริ่มพังทลาย เสียงของเศษซากคอนกรีตขนาดใหญ่ของตัวอาคารที่พังถล่มทับถมกันลงดังกึกก้องสะท้อนสะท้านจนได้ยินไปทั่วทั้งเมือง เปลวเพลิงของปีศาจร้ายได้พวยพุ่งทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้า เพลิงไฟบนท้องนภาได้ก่อตัวกันเป็นรูปสัญลักษณ์หนึ่งซึ่งมันก็คือ พญามังกรกำลังพ่นไฟออกมาจากปากก่อนที่เปลวเพลิงเหล่านั้นจะรวมตัวกันเป็นรูปดาบเพลิงทมิฬ กลุ่มควันสีดำทมิฬได้แผ่กระจายเข้าปกคลุมทั้งสี่ทิศของมุมเมือง เสียงไซเรนของรถพยาบาลและเสียงร้องขอความช่วยเหลือดังระงม บรรดาฝูงชนที่อยู่ตามสถานที่ต่าง ๆ ทั่วทั้งเมืองต่างตกตะลึงและประหวั่นพรั่นพรึงถึงเหตุการณ์อันน่าสะพรึงกลัว ที่เกิดขึ้น ทว่าเหตุการณ์ที่จะสะเทือนขวัญคนทั้งโลกนี้ไม่ได้เกิด ขึ้นที่นิวยอร์กเพียงแค่ที่เดียวเท่านั้น แต่มันเกิดขึ้นพร้อมกันทั้งหกมหานครทางเศรษฐกิจของโลก บึ้ม !!! บึ้ม !!! บึ้ม !!! ที่ กรุงลอนดอนอาคารสูงเสียดฟ้าอีกแห่งหนึ่งที่มีนามว่า ลอนดอนเอมเพอเรอร์ทาวเวอร์ อาคารสูงสี่ร้อยเมตรจำนวนเจ็ดสิบสี่ชั้นและแต่เดิมนั้นมันเป็นเหมือน สัญลักษณ์ของโลกการเงินในประเทศอังกฤษ ต้องพังถล่มลงมาจากการระเบิดที่เกิดขึ้นหลายครั้ง กลุ่มควันสีดำทมิฬได้แผ่ขยายเข้าปกคลุมทั้งสี่ทิศของเมือง เพลิงมรณะที่พวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าได้ก่อตัวปรากฏเป็นภาพสัญลักษณ์ พญามังกรไฟกำลังคาบดาบพระเพลิงอยู่ ส่วนบนท้องถนนเต็มไปด้วยเศษซากคอนกรีตขนาดยักษ์ที่ถล่มทับถมกันลงมาจนกลาย เป็นกองซากภูเขาแห่งความวินาศ บรรดาผู้คนต่างก็หนีตายจากการระเบิดครั้งนี้ เสียงไซเรนของรถพยาบาลดังกันทั่วทั้งเมือง ทำให้มหานครลอนดอนในเวลานี้ต้องตกอยู่ในสภาพที่เลวร้ายอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ที่กรุงปารีสในตอนนี้นั้นได้เกิดการระเบิดขึ้นที่โรงแรมหรูระดับโลกนามรอยัลคริสตัลโฮเตล ซึ่งเดิมทีนั้นมันเป็นโรงแรมหรูระดับโลกที่ถูกตกแต่งด้วยคริสตัลทั่วทั้งตัวอาคาร และมีความสูงสามร้อยแปดสิบเมตรจำนวนเจ็ดสิบสองชั้น แต่ทว่าตอนนี้มันได้ถล่มลงมาจากแรงระเบิด เหลือไว้เพียงแค่เศษซากปรักหักพังของตัวอาคารและเศษคอนกรีตที่เกิดจากแรง ระเบิด ซึ่งมันก็ทำให้คนทั่วทั้งเมืองต้องตกตะลึงกับสิ่งที่เห็น และต้องหวาดหวั่นต่อสิ่งเปลวเพลิงอันชั่วร้ายที่ปรากฏอยู่บนท้องฟ้า ก่อนที่เพลิงมฤตยูเหล่านั้นจะรวมตัวกันเป็นรูป พญามังกรคาบดาบอยู่บนท้องนภา ในย่านธุรกิจแห่งหนึ่งที่อยู่ในกรุงเบอร์ลินเมืองหลวงของประเทศเยอรมัน ได้เกิดการระเบิดขึ้นที่หอคอยสูงเสียดฟ้าแห่งหนึ่งนามของมันคือ เบอร์ลินสกายทาวเวอร์ แต่เดิมนั้นมันเป็นหอคอยลอยฟ้าที่มีความสูงสามร้อยหกสิบเมตร แต่ทว่าในตอนนี้มันเหลือเพียงแค่เศษซากคอนกรีตขนาดใหญ่ของตัวอาคาร ที่ถล่มทับถมกันลงมาจากการระเบิดที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่ กลุ่มควันสีดำทมิฬและเถ้าถ่านจากแรงระเบิดได้แผ่ขยายเข้าปกคลุมไปทั่วทั้ง เมือง ตามท้องถนนหนทางทุกสายนั้นบรรดาเจ้าหน้าที่กำลังอพยพผู้คนที่กำลังตื่น ตระหนกจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยความเคร่งเครียด เหนือท้องฟ้าขึ้นไปนั้น เพลิงมรณะได้ก่อตัวขึ้นแล้วรวมตัวกันเป็นรูป พญามังกรกำลังคาบดาบไว้ในปาก .เวลาเดียวกันที่ย่านธุรกิจแห่งหนึ่งภายในกรุงโรมเมืองหลวงของอิตาลี การะเบิดได้เกิดขึ้นอีกครั้งที่ พอคอยสูงเสียดฟ้าอีกแห่งหนึ่งนามของมันคือ จูเลียสสกายไลน์ แต่เดิมนั้นมันเป็นหอคอยที่มีความสูงถึงสามร้อยห้าสิบเมตรและยังเป็นจุดชม วิวที่สำคัญแห่งหนึ่งของประเทศ แต่ตอนนี้มันเหลือเพียงซากปรักหักพังของตัวอาคารที่โดนถล่มลงมาจากแรงระเบิด เมื่อสักครู่ กลุ่มควันสีดำพวยพุ่งแผ่กระจายไปทั่วทั้งเมือง บนท้องถนนเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังหนีตายจากเหตุวินาศกรรมที่เกิดขึ้น บนท้องฟ้าเพลิงมฤตยูจากการระเบิดได้ก่อตัวขึ้นและรวมตัวกันเป็นรูปสัญลักษณ์ หนึ่งนั่นคือภาพของ พญามังกรเพลิงกำลังคาบดาบเอาไว้อยู่ในปาก ใน เวลาไล่เลี่ยกันนั้นเสียงระเบิดได้ดังขึ้นในย่านธุรกิจแห่งหนึ่งที่อยู่ใน กรุงมอสโควประเทศรัสเซีย การระเบิดหลายสิบครั้งได้เกิดขึ้นที่ มอสโควไฟแนนเชียล อาคารสูงเสียดฟ้าที่มีความสูงสามร้อยเจ็ดสิบเมตร และยังเป็นสัญลักษณ์ของโลกธุรกิจและการเงินที่สำคัญที่สุดของรัสเซีย ทว่าตอนนี้มันเหลือเพียงซากคอนกรีตที่กระจายกันเกลื่อนกราดจากแรงระเบิดที่ เกิดขึ้นเมื่อครู่ กลุ่มควันสีดำทมิฬลอยคละคลุ้งอยู่ในอากาศส่งกลิ่นเหม็นไหม้ไปทั่ว เสียงหวีดร้องที่ดังขึ้นนั้นมาจากเสียงของเหล่าผู้คนที่กำลังหนีตายด้วยความ หวาดกลัวต่อวินาศกรรมสะเทือนขวัญที่เกิดขึ้น บรรดาเจ้าหน้าที่ต่างก็กำลังอพยพผู้คนให้ออกไปจากบริเวณที่เกิดเหตุ เหนือท้องฟ้าของกรุงมอสโคว เปลวเพลิงมรณะจากการระเบิดพวยพุ่งขึ้นไปรวมตัวกันบนท้องฟ้าก่อนจะรวมตัวกัน เป็นรูป พญามังกรเพลิงคาบดาบทมิฬอยู่ในปาก ไม่ นานนักที่ย่านธุรกิจแห่งหนึ่งที่อยู่ภายในเมืองเซี่ยงไฮ้ ได้เกิดการระเบิดขึ้นหลายสิบครั้งภายในตัวอาคารสูงเสียดฟ้าที่มีรูปทรงอัน ทันสมัยแห่งหนึ่งนามเซี่ยงไฮ้เวิลด์เซนเตอร์ ซึ่งเดิมที่นั้นมันเคยเป็นอาคารสูงสี่ร้อยสามสิบเมตรและมันยังเป็นเหมือนกับ สัญลักษณ์ของโลกแห่งการเงินและธุรกิจที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก เพียงแต่ว่าในตอนนี้นั้น มันหลงเหลือไว้เพียงแค่เศษซากคอนกรีตขนาดมหึมาของตัวอาคารที่ถูกถล่มทำลาย ด้วยแรงระเบิดที่มีพลังทำลายล้างมหาศาลที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่ กลุ่มควันสีดำทมิฬที่เกิดจากการระเบิดได้พวยพุ่งแผ่ขยายเข้าปกคลุมไปทั่ว ทั้งเมือง บนท้องถนนทุกสายในตอนนี้นั้นไปด้วยผู้คนที่กำลังหนีตายด้วยความตื่นตระหนก จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และบรรดาเจ้าหน้าที่จำนวนมากกำลังที่กำลังอพยพผู้คนด้วยความตรึงเครียดท่าม กลางกลุ่มควัน เพลิงไฟมฤตยูสีแดงฉานได้ปรากฏอยู่บนท้องฟ้ามันค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นแล้วรวมกันเป็นรูป พญามังกรไฟกำลังคาบดาบพระเพลิงไว้ในเศียร โศกนาฏกรรมสะเทือนโลกที่จะเขย่าขวัญให้เหล่าผู้คนทั่วทั้งโลกต้องตกอยู่ในความ หวาดกลัวนี้ ได้เกิดขึ้นและจบลงพร้อมกันโดยเหลือไว้เพียงแค่ร่องรอยแห่งความหายนะและความ ตายที่มากมายเหลือคณานับ ราวกับเป็นการประกาศออกมาว่าสันติภาพของโลกและมวลมนุษยชาติกำลังจะจบสิ้นลง ท่ามกลางวิกฤติการสะเทือนโลก เหนือน่านฟ้าแห่งหนึ่ง เวลา 5.00 AM เหนือความสูงจากพื้นดินขึ้นไปยังน่านฟ้าสากลแห่งหนึ่ง มีอากาศยานอยู่ลำหนึ่งปรากฏอยู่มันคือ เครื่องบินส่วนตัวที่มีระบบการบินแบบอัตโนมัติ และในขณะนี้มันกำลังลอยลำอยู่กลางอากาศท่ามกลางหมู่เมฆบนท้องนภา ในเครื่องบินลำนั้นบุรุษผู้มีนามว่า ซามาเอล วีโดรา (22 ปี) หนุ่มอิตาลีผู้มีรูปร่างสูงสง่าอยู่ในชุดโดดร่มสีดำ ผมสีเงินยาวสยาย ใบหน้าคมคาย ดวงตาคมตาสองชั้นมีสีที่ต่างกัน นัยน์ตาข้างซ้ายสีทองผิดกับนัยน์ตาข้างขวาสีแดงเข้มดั่งดอกกุหลาบ มีแววตาสุขุม และมีท่าทางที่เงียบขรึมน่าเกรงขามกำลังนั่งรอสัญญาณบางอย่าง “ถึงที่หมายแล้วค่ะ” สิ้นเสียงประกาศทำให้ชายหนุ่มที่นั่งรออยู่ลุกขึ้นแล้วเดินไปตรงยังประตูทางเข้า-ออกของเครื่องบิน ประตู อัตโนมัติเลื่อนเปิดออกสายลมที่พัดโหมกระหน่ำเข้ามาในตัวเครื่องนั้นมันทำ ให้ ผมสีเงินยาวของชายหนุ่มโบกสะบัดไปตามแรงลม แล้วชายหนุ่มก็ก้าวถอยหลังไปสักสามก้าวเพื่อเตรียมตัวก่อนที่จะถีบตัวออกไป จากเครื่องบินอย่างองอาจและสง่างามดุจพญาอินทรีร่อนลงจากฟากฟ้า ทันใดนั้นเองเครื่องบินก็แล่นต่อไปด้วยระบบการบินแบบอัตโนมัติ วีโดราลอยตัวอยู่กลางอากาศ เขาสัมผัสถึงความเย็นยะเยือกที่เกิดจากแรงลมของชั้นบรรยากาศที่พัดผ่านเข้า มา และนั่นมันก็ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกตื่นเต้นเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา แล้วชายหนุ่มก็จัดการกระตุกเชือกเพื่อให้ร่มกางออก แรงดันมหาศาลของล่มที่กางออกทำให้ตัวของชายหนุ่มหยุดชะงักกลางอากาศชั่วขณะ และในจังหวะนั้นเองสายลมเย็น ๆ ที่พัดผ่านเข้ามาเบา ๆ นั้นทำให้บุรุษผู้มีผมสีเงินยาวรู้สึกสบายใจเป็นอย่างมาก ก่อนที่ตัวเขาจะค่อย ๆ ร่อนลงมาถึงพื้นอย่างเงียบสงบ ทันทีที่ วีโดรา ร่อนลงมาถึงพื้นซึ่งจากจุดที่เขายืนอยู่นั้นมันไม่ใช่พื้นดินธรรมดาๆ เลยสักนิดแต่มันคือยอดเขาสูงชันลูกหนึ่งซึ่งอยู่สูงกว่าพื้นดินประมาณสี่ร้อยเมตร แล้วชายหนุ่มก็กวาดสายตามองไปรอบๆ เพื่อมองดูทัศนียภาพที่แสนงดงามตามธรรมชาติที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า ทว่าตอนนั้นเองเสียงๆ หนึ่งก็ดังขึ้นมาและมันก็ทำให้ชายหนุ่มต้องล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเพื่อหยิบ โทรศัพท์มือถือผ่านดาวเทียมรุ่นพิเศษสำหรับเจ้าหน้าที่ SPHERE ออกมาวางไว้ที่มือแล้วหยิบแว่นตาดิจิตอลสีดำออกมาสวม ก่อนที่จะกดเข้าไปอ่านข้อความสามมิติที่ถูกซ่อนไว้อยู่ “วีโดราโดดร่มเสร็จแล้วอย่าลืมมาประชุม มีภารกิจฉุกเฉิน ลงชื่อ MI” ข้อความนี้เป็นข้อความลับที่ถูกส่งมาจากสตรีนางหนึ่งซึ่งคำย่อนั้นมันก็มาจากชื่อเต็มๆ ของเธอผู้นั้น “เดี๋ยวไป” หลัง จากที่อ่านเสร็จวีโดราก็ปิดข้อความทันทีและนำโทรศัพท์มือถือเก็บเข้าไปใน กระเป๋า ถอดแว่นตาดิจิตอลสีดำออกมาใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อ ยืนรอสักพักเพื่อให้ร่างกายได้สัมผัสกับความอบอุ่นของดวงตะวันที่กำลังส่อง แสงสาดส่องลงมาบนท้องฟ้า ก่อนจะเดินลงจากเนินเขาลงไปยังเครื่องบินส่วนตัวของเขาที่จอดไว้อยู่ น่านฟ้าสากลแห่งหนึ่งเวลา 8.00 AM อากาศยานสุดไฮเทคขนาดมหึมาที่กำลังลอยลำอยู่ท่ามกลางหมูเมฆเหนือน่านฟ้าสากลอยู่ใน เวลานี้ นามของมันคือ ยานอิคารอส มันเป็นฐานบัญชาการลอยฟ้าขนาดใหญ่ภายในนั้นมีเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย และมันก็ใช้พลังงาน Ion Thruster ใน การขับเคลื่อน พื้นที่ทางด้านทิศตะวันตกของฐานบัญชาการลอยฟ้าลำนี้มีลานจอดอากาศยานสำหรับ เครื่องบินส่วนตัวของเจ้าหน้าที่พิเศษ ส่วนตึกศูนย์บัญชาการและตึกที่ใช้ในการประชุมอยู่ทางด้านตะวันออกของยาน สำหรับศูนย์วิจัยด้านอวกาศและเทคโนโลยีทางทหารอยู่ทางด้านทิศเหนือ และสุดท้ายทิศใต้ของยานลำนี้คือ หอพักชายและหอพักหญิงที่มีลานออกกำลังกายขั้นระหว่างกลาง ตึกศูนย์บัญชาการที่มีอาคารสีขาวและหลังคารูปโดม บนทางเดินที่ทอดยาวอยู่ภายในตัวอาคารซึ่งมีสีขาวสะอาดนั้น สายลับหนุ่มผมสีเงินยาว ‘ซามาเอล วีโดรา’ ที่อยู่ในชุดเสื้อคลุมและกางเกงยีนขายาวสีดำทั้งตัว เขาเป็น เจ้าหน้าที่พิเศษที่เชี่ยวชาญด้านการสู้รบทุกรูปแบบประจำกองกำลังพิเศษ SPHERE ได้เดินผ่านเจ้าหน้าที่ฝ่ายต่าง ๆ ที่กำลังทำงานอยู่ ตรงไปยังห้องประชุมที่อยู่เบื้องหน้า ประคูเลื่อนอัตโนมัติของห้อง ประชุมถูกเปิดออก วีโดรา เดินเข้ามาข้างในอย่างช้าๆ แล้วมองดูรอบ ๆ ห้องที่มีเหล่าพรรคพวกของเขากำลังนั่งจิบกาแฟกันอยู่ ก่อนจะกล่าวคำทักทายกับทุก ๆ คน “หวัดดี” “ไง วีโดรา เป็นไงมั่ง” บุรุษผู้อยู่ในชุดสูทสีดำที่ลุกขึ้นจากโต๊ะที่มีคนกลุ่มหนึ่งกำลังนั่งจิบกาแฟกัน อยู่ แล้วเดินมาทักทาย วีโดรา อย่างเป็นกันเองนั้น เขาคือ ฮันนิบาล เลสเตอร์ (26 ปี) หนุ่มฝรั่งเศสผู้มีรูปร่างสูงสง่า ผมสั้นสีดำประบ่า ใบหน้าเรียวคม ดวงตาคม นัยน์ตาสีแดงเพลิงคู่นั้นดูลึกล้ำเยือกเย็นเกินกว่าจะหยั่งถึง ท่าทางของเขาดูทรงอำนาจและมีความเป็นผู้นำสูงมาก เขาเป็นหนึ่งในผู้บัญชาการสูงสุดคนหนึ่งของกองกำลังพิเศษ SPHERE “หวัดดี วีโดรา ท่าทางสบายดีนี่” คำทักทายด้วยเสียงอันเย็นสงบของหญิงสาวดังขึ้นทำให้ วีโดรา หันไปมองสายลับสาวในชุดเสื้อโค้ดสีดำและใส่กระโปรงสั้นสีเดียวกันเธอคือ มิเนอร์วา เพรสซิเดนท์ (18 ปี) สาวอังกฤษผิวพรรณขาวนวล รูปร่างสูงเพรียวระหง หุ่นดีมาก ผมสีน้ำเงินยาวเงางาม ใบหน้าเรียวสวยได้รูปดูงดงามเป็นธรรมชาติ ดวงตาคม ตาสองชั้นเป็นประกายงดงามดั่งอัญมณีคู่นั้นมีสีที่ต่างกัน นัยน์ตาข้างซ้ายสีอความาลีนและมีนัยน์ตาข้างขวาสีมรกต เธอคือ ผู้เชี่ยวชาญด้านวัตถุระเบิด “อรุณสวัสดิ์ค่ะ ตุณวีโดรา สบายดีมั้ยคะ” สายลับสาวอังกฤษผู้มีผมสีบลอนด์ทองยาวสลวยที่ได้กล่าวคำทักทายสายลับหนุ่มด้วยเสียงสดใสนั้นนามของเธอคือ วิเนอรี เพรสซิเดนท์ (17 ปี) ที่หยุดเป่าควันจากถ้วยกาแฟร้อน ๆ ที่ถืออยู่ในมือเรียวเล็ก แล้วเงยหน้าขึ้นมามองสายลับหนุ่มด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน เธอเป็นสตรีผู้มีรูปร่างสูงหุ่นเพรียวบาง ผิวขาวอมชมพูอยู่ในชุดวันพีชลายลูกไม้สีขาวฟูฟ่องกระโปรงสั้นเปิดหัวเข่า กิริยามารยาทเรียบร้อยทำให้ดูมีเสน่ห์ ประกอบกับหน้าตาน่ารักสดใสใบหน้าเรียวรูปไข่ ดวงตากลมโตคู่สวยนั้นดูใสซื่อเหมือนเด็กผู้หญิง นัยน์ตาคู่นั้นแม้มีสีที่ต่างกันแต่เข้ากันได้เป็นอย่างดี นัยน์ตาข้างซ้ายสีมรกตรับกับนัยน์ตาข้างขวาสีฟ้าคราม ลักษณะท่าทางของเธอดูบอบบางน่าทะนุถนอม ในกองกำลังพิเศษ SPHERE เธอเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านคอมพิวเตอร์และเป็นวิศวกรทางทหารประจำยานอิคารอสอีกด้วย “ไง วีโดรา” น้ำเสียงเยือกเย็นที่แฝงไว้ด้วยความอบอุ่นเป็นของ สายลับสาวอีกนางหนึ่งที่อยู่ในชุดสูทสีดำและสวมกระโปรงสั้นสีเดียวกันนามของ เธอคือ นอร์มา เซรีน (22 ปี) สาวฝรั่งเศสรูปร่างสูงสง่า ผิวพรรณขาวนวลเนียนดุจหิมะ เรือนร่างสมส่วนเพรียวบาง ใบหน้าเรียวสวยได้รูปดูงดงามสะดุดตา เรือนผมสีเขียวยาวสยายไปถึงกลางหลัง นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนคู่นั้นดูลึกล้ำเยือกเย็น ท่าทางองอาจและดูสง่างาม เธอคือ เจ้าหน้าที่ด้านหน่วยข่าวกรองเพื่อความมั่นคงระหว่างประเทศ และเป็นที่ปรึกษาคนสำคัญของ ฮันนิบาล หลังจากที่ทุก ๆ คนกล่าวคำทักทายกันเสร็จเรียบร้อย วีโดรา ก็ตอบพรรคพวกของเขากลับไปอย่างเป็นกันเอง แล้วเดินเข้ามานั่งที่โซฟาหนังแบบเนิบ ๆ อย่างไม่เกรงใจใคร “ฉันไม่เป็นไร ก่อนมานี่ก็พึ่งจะโดดร่มเสร็จพอดี” “วีโดรา นายเป็นนักโดดร่มตั้งแต่เมื่อไหร่” มิเนอร์วา ถาม “นานแล้ว” วีโดรา ตอบกลับเธอกลับไป “OK ฉันรู้แล้ว” “พวกนายล่ะ เป็นยังไงกันบ้าง:” “ฉันก็สบายดี” ฮันนิบาล บุรุษผู้ทรงอำนาจ เป็นคนแรกที่ตอบชายหนุ่มกลับไปอย่างเป็นกันเอง “ฉันเองก็สบายดี อย่างที่นายเห็น” มิเนอร์วา ตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มเล็ก ๆที่ดูงดงามและเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวเหมือนทุกครั้งที่คุยกัน “ฉันสบายดีค่ะ ขอบคุณนะคะที่เป็นห่วง” วิเนอรี ผู้เป็นน้องสาวคนสำคัญและญาติเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ของ มิเนอร์วา ตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มสดใสดั่งดวงตะวันที่ทอประกายแสงลงมา “ฉันน่ะสบายมาก” เซรีน ตอบกลับไปด้วยท่าทางสบาย ๆ “อืม” วีโดรา ขานลับคำตอบของทุก ๆ คนด้วยคำพูดสั้น ๆ “เห็นว่าพวกนายมีภารกิจด่วน ฉันเลยรีบมา” แล้วชายหนุ่มก็ดึงคำถามเข้าสู่ประเด็นสำคัญทันที “เรื่องนั้น เรามาจิบกาแฟกันก่อนไหม” “อืม เอาสิ” สิบนาทีผ่านไป หลังจากที่ วีโดรา และพรรคพวกของเขาทานกาแฟพร้อมกับพูดคุยกันในเรื่องต่าง ๆ กันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ฮันนิบาล จึงกล่าวเปิดประเด็นสำคัญที่เรียกทุก ๆ คนมาประชุมกันในวันนี้ทันที “เอาล่ะ เรามาเข้าเรื่องงานกันเลยดีกว่า” ฮันนิบาล บุรุษผู้ทรงอำนาจของโลกกล่าวพร้อมกับมองไปรอบ ๆ โต๊ะประชุม ที่มีพรรคพวกของเขานั่งอยู่ “อืม/ค่ะ” เมื่อชายหนุ่มผู้ทรงอำนาจพูดจบแล้ว เขาก็เดินไปกดปุ่มสีแดงเล็กๆ ปุ่มหนึ่งที่อยู่บนโต๊ะทำงานเพื่อให้จอมอนิเตอร์ปรากฏขึ้นมาพร้อมกับฉายภาพสามมิติออกมาในรูปแบบ โฮโลแกรมที่มีทั้งภาพและเสียงของ เหตุการณ์หนึ่งที่พึ่งเกิดไปเมื่อไม่นานนี้ “ในช่วงค่ำคืนของคืนวันที่ 7 มกราคม ที่ผ่านมานั้น ได้เกิดเหตุการณ์ การลอบวางระเบิดก่อการร้ายขึ้นที่อาคารสูงเสียดฟ้าถึง 7 แห่ง เป็นเวลาพร้อมๆ กันถึง 7 ประเทศทั่วโลก ทำให้มีผู้เสียชีวิตสูงถึง 13,000 คน และยังมีผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์นี้กว่า 30,000 คน” แล้วจอ มอนิเตอร์ก็ฉายภาพของ เศษซากปรักหักพังของตัวอาคารที่พังถล่มลงมาจากการวางระเบิดของตัวอาคารสูงระฟ้าทั้ง 7 แห่งทั่วโลกออกมาให้เห็นนั่นคือ อาคารเวิลด์เอมไพร์เซนเตอร์ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา อาคารลอนดอนเอมเพอเรอร์ทาวเวอร์ที่ประเทศอังกฤษ โรงแรมรอยัลคริสตัลโฮเตลที่ประเทศฝรั่งเศส หอคอยเบอร์ลินสกายทาวเวอร์ที่ประเทศเยอรมัน หอคอยจูเลียสสกายไลน์ที่ประเทศอิตาลี อาคารมอสโควไฟแนนเชียลที่ประเทศรัสเซีย และ อาคารเซียงไฮ้เวิลด์เซนเตอร์ที่ประเทศจีน ผ่านไปสักพักจอมอนิเตอร์สาม มิติก็ได้ฉายภาพและเสียงของปฏิกิริยาจากรัฐบาลประเทศต่าง ๆ ที่เกิดจากการก่อการร้ายครั้งนี้ ออกมาให้เห็นในรูปแบบ โฮโลแกรม “หลังจากเหตุวินาศกรรมที่เกิดขึ้นทั่วโลก ที่ทำเนียบขาวทางรัฐบาลสหรัฐอเมริกาได้ส่งคำแถลงการณ์ออกมากล่าวประณามการ กระทำในครั้งนี้องค์กรก่อการร้ายเอาไว้ว่า เป็นการกระทำที่โหดร้ายและไร้มนุษยธรรมมากเกินไป พร้อมกันนี้ทางรัฐบาลสหรัฐยังประกาศออกมาอีกด้วยว่าจะตามล่าองค์กรก่อการร้าย OHRR ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์วางระเบิดครั้งนี้ รวมไปถึงกลุ่มบุคลใดก็ตามที่อยู่เบื้องหลังองค์กรก่อการร้ายองค์กรนี้ให้ได้” “ทางด้านรัฐบาลรัสเซียและหน่วยงานด้านความมั่นคงของรัสเซีย ได้จัดการประชุมฉุกเฉินขึ้นมาทันที ก่อนที่จะส่งตัวแทนออกมาประกาศว่า จะประกาศภาวะฉุกเฉินไปทั่วทั้งเมืองมอสโคว โดยเฉพาะจุดเสี่ยงอันตรายต่อการโจมตีครั้งต่อไป พร้อมทั้งประกาศด้วยว่าจะไม่ยอมอ่อนข้อให้กับองค์กรก่อการร้าย OHRR อย่างเด็ดขาด” “ส่วนทางด้านรัฐบาลจีนนั้นได้ส่งตัวแทนออกมาประกาศภาวะฉุกเฉินไปทั่วเมือง เซี่ยงไฮ้ และประกาศอพยพคนออกจากพื้นที่เสี่ยงภัยต่ออันตราย ก่อนที่หน่วยงานด้านความมั่นคงของประเทศจีนจะส่งตัวแทนออกมาประกาศว่า จะทำทุกอย่างเพื่อค้นหาและทำลายองค์กรก่อการร้ายที่อยู่เบื้องหลังเหตุระเบิดครั้งนี้ พร้อมกับบอกด้วยว่าจะดำเนินคดีกับกลุ่มธุรกิจกลุ่มใดก็ตามที่คอยให้การสนับสนุนองค์กรก่อการร้าย” หลังจากที่จอมอนิเตอร์สามมิติประมวลภาพปฏิกิริยา ของรัฐบาลประเทศต่าง ๆ เสร็จสิ้น จอสามมิติก็ดับลงและหายไปความเงียบได้เกิดขึ้นในห้องประชุมทันที สักพัก ฮันนิบาลได้มองไปยังเหล่าพรรคพวกเพื่อนร่วมทีมของเขาที่อยู่รอบ ๆ โต๊ะประชุม แล้วอธิบายรายละเอียดเพิ่มเติมด้วยเสียงน้ำเสียงเยือกเย็น “นี่คือเรื่องสำคัญที่จะแจ้งให้ทุกคนทราบ” “ในคืนที่ผ่านมา เจ้าพวกนั้นมันลงมือพร้อมกัน 7 ประเทศ” ฮันนิบาลบุรุษผู้ทรงอำนาจของโลกพูดจบสายลับหนุ่มนาม วีโดรา จึงถามเพื่อนสนิทของเขาทันที “เจ้าพวกนั้น OHRRรึ” “ใช่ วีโดรา จากข้อมูลที่เราพอมีอยู่ ผู้ที่อยู่เบื้องหลังคดีวางระเบิดครั้งนี้คือพวกองค์กร OHRR” “อืม” “ภารกิจของเราในครั้งนี้คือ เราต้องไขคดีนี้ให้ได้ก่อนว่าพวกมันใช้วิธีไหนในการวางระเบิด และเราต้องค้นหาให้ได้ว่าฐานบัญชาการลับของพวกมันอยู่ที่ไหนบ้าง” ฮันนิบาลอธิบายรายละเอียดของงานอย่างชวนติดตาม แล้วมองไปรอบๆ โต๊ะประชุมก่อนที่จะถามความเห็นของพรรคพวกเพื่อนร่วมทีม “มีใครสงสัยอะไรบ้างไหม” “ไม่มี/ไม่มีค่ะ” “อืม ดีเลย” หลังจากที่ทุก ๆ คนเข้าใจในส่วนของภารกิจแล้ว ฮันนิบาล จึงมองไปที่สายลับหนุ่มนาม วีโดรา แล้วมองไปยังสายลับสาวนาม มิเนอร์วา ก่อนที่จะพูดออกมา “วีโดรา” “มิเนอร์วา” “พวกนายสองคนไปช่วยกันค้นหาวัตถุระเบิด” “เข้าใจล่ะ / เข้าใจแล้วค่ะ” หลังจากที่คุยกันเสร็จเรียบร้อย ฮันนิบาล จึงหันไปถาม เซรีน ที่ปรึกษาคำสำคัญของเขา “เซรีน เรื่องทางนั้นเป็นยังไงบ้าง” “เป้าหมายของเรามันกำลังหุ้นตกค่ะ” “ดีเลย เราคงต้องช่วยเขาแล้วล่ะ” “เรื่องนั้น ฉันจัดการให้เองค่ะ” ฮันนิบาล พูดเสร็จเขาก็มองไปยังรอบๆ โต๊ะประชุมอีกครั้งก่อนจะประกาศภารกิจในครั้งนี้ของเขาออกมาให้เพื่อนร่วมทีมทุก ๆ คนได้ยิน “เอาล่ะ เริ่มปฏิบัติงานกันได้เลย” “ตามสั่ง / ค่ะ ท่าน” สายลับหนุ่มกับสายลับสาวตอบพร้อมกันก่อนที่ทุก ๆ คนจะแยกย้ายกันไปทำภารกิจของตน ย่านธุรกิจแห่งหนึ่ง ภายในเมืองเซี่ยงไฮ้ ประเทศสาธารณะรัฐประชาชนจีน เวลา 10.00 AM ใน ปัจจุบันนี้ นครเซี่ยงไฮ้ นับว่าเป็นมหานครที่มีใหญ่ที่สุดเมืองหนึ่งของโลกและมันยังเป็นเมืองที่มี ประชากรหนาแน่นมากที่สุดของสาธารณะรัฐประชาชนจีน ที่สำคัญมันยังเป็นสัญลักษณ์แห่งความมั่งคั่งของมวลมนุษยชาติและยังเป็น ศูนย์กลางความเจริญในด้านต่าง ๆ ของโลกมากมายไม่ว่าจะเป็นทางด้านระบบการเมืองการปกครอง ทางด้านระบบเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน การท่องเที่ยว ธุรกิจ การเงินและธนาคาร รวมไปถึงทางด้านแฟชั่นและการออกแบบ ทั่วทั้งเมืองนั้นถูกรายล้อมไปด้วยอาคารสูงเสียดฟ้าที่มีรูปร่างประหลาดที่ ดูอันทันสมัยของบริษัทเอกชนต่างๆซึ่งตั้งอยู่ในย่านธุรกิจจำนวนมาก ประกอบกับสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆ ทางประวัติศาสตร์ต่าง ๆ ที่มีอยู่อย่างมากมาย ทำให้นครเซี่ยงไฮ้ได้กลายมาเป็นมหานครที่มีการผสมผสานทางด้านวัฒนธรรมทั้ง ของจีนและตะวันตกได้อย่างกลมกลืนเลยทีเดียว บรรยากาศโดยรวมของนครเซี่ยงไฮ้ในยามเช้านั้น ยังคงเหมือนเดิม บนท้องถนนคนเดินนั้นยังคงเต็มไปด้วยผู้คนหลากหลายจำนวนมากมายมหาศาลที่มาจากทั่วทุกสารทิศ ส่วนบนถนนทุกสายนั้นยังคงแน่นขนัดไปด้วยรถยนต์ส่วนบุคลของเหล่าผู้คนที่กำลังสัญจรผ่านไป-มาอย่างไม่ขาดสาย แม้ บรรยากาศโดยรวมของนครเซี่ยงไฮ้ในวันนี้ยังคงเป็นเหมือนเมื่อวันวานที่ผ่านมา ทว่าตอนนี้กับมีบางสิ่งบางอย่างที่ผิดปกติเกิดขึ้นภายในย่านธุรกิจแห่งหนึ่ง ในเขตตัวเมืองนั่นคือ บนท้องถนนทุกสายที่เคยเต็มไปด้วยผู้คนในตอนนี้มันกลับเต็มไปด้วย เจ้าหน้าที่พิเศษจากหน่วยงานด้านความมั่นคงของทางรัฐบาลจีนที่ติดอาวุธครบ มือกำลังทำงานกันอย่างเคร่งเครียด พวกเขาทั้งหลายได้รับคำสั่งมาจากทางรัฐบาลว่า ให้อพยพคนออกไปจากพื้นที่บริเวณนี้ เพราะ จุดที่มีความเสี่ยงอันตรายจากเหตุวินาศกรรมที่เกิดขึ้นเมื่อคืนวาน ท่าม กลางความตรึงเครียดที่เกิดขึ้นไปทั่วทั้งเมือง ตรงมายังเศษซากปรักหักพังของตัวอาคารสูงเสียดฟ้าแห่งหนึ่งนามของมันคือ อาคารเซี่ยงไฮ้เวิลด์เซนเตอร์ ซึ่งสถานที่เกิดเหตุ บริเวณโดยรอบนั้นเต็มไปด้วยเจ้าหน้าที่พิเศษของทางรัฐบาลจีนหลายสิบคนที่ กำลังทำงานกันอยู่ และในพื้นที่บางส่วนนั้นก็มีเจ้าหน้าที่พิเศษที่ถูกส่งมาจากหน่วยงานต่างๆ ของทางองค์การสหประชาชาติ ที่ถูกทางองค์การสหประชาชาติส่งเข้ามาให้ความช่วยเหลืออีกแรงหนึ่ง เจ้าหน้าที่บางคนนั้นกำลังช่วยกันค้นหาเศษชิ้นส่วนวัตถุระเบิด ขณะที่เจ้าหน้าที่บางกลุ่มนั้นกำลังช่วยกันค้นหาผู้รอดชีวิตที่อยู่ใต้ซาก คอนกรีตขนาดใหญ่ของตัวอาคาร ท่าม กลางเจ้าหน้าที่จำนวนหนึ่งที่ กำลังทำงานอยู่รอบ ๆ ซากปรักหักพังของตัวอาคารกันอยู่นั้น เข้าไปในจุดๆ หนึ่งที่มีชื่อเรียกว่า จุดกราวด์ซีโร่หรือบริเวณที่ได้รับความเสียหายมากที่สุดจากการระเบิด มีเจ้าหน้าที่พิเศษชาย-หญิงอยู่คู่หนึ่งที่ถูกส่งมาจากหน่วยงานลับระดับสุด ยอดของโลกอย่าง SPHERE พวกเขาทั้งสองคนก็คือ วีโดรา และ มิเนอร์วา ที่อยู่ในชุดป้องกันรังสีและสารเคมีสีขาวบริสุทธิ์ และขณะนี้ทั้งคู่กำลังใช้อุปกรณ์ค้นหาวัตถุระเบิดอัจฉริยะแบบพกพาที่มีขนาดเล็กไม่ต่างไปจากโทรศัพท์มือถือที่มีชื่อเรียกว่า “The Last Explosion” ในการค้นหาเศษชิ้นส่วนของวัตถุระเบิดที่อยู่ใต้ซากอาคารและเศษคอนกรีตขนาด ใหญ่ที่กระจัดกระจายไปทั่ว ในขณะที่สายลับทั้งสองกำลังช่วยกันค้นหา เศษชิ้นส่วนของวัตถุระเบิดบนจุดกราวด์ซีโร่กันอยู่นั้น สัญญาณบางอย่างกระพริบขึ้นมาบนจอเรดาห์ของเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิด อัจฉริยะที่อยู่ในมือของทั้งคู่ ทำให้สายลับหนุ่มหันไปมองสายลับสาวแล้วพยักหน้าให้หนึ่งทีก่อนจะเดินนำไปยัง ซากคอนกรีตขนาดใหญ่กองหนึ่งที่อยู่บริเวณนั้น เมื่อ วีโดรา และ มิเนอร์วา มาถึงพวกเขาจึงหยุดเดิน แล้วนำอุปกรณ์อีกชนิดหนึ่งที่ถูกเตรียมเอาไว้ออกมาจากกระเป๋า มันคือ หุ่นยนต์ค้นหาวัตถุระเบิดขนาดจิ๋วที่มีรูปร่างเหมือนกับแมงมุมซึ่ง Spider Bomb ก็คือชื่อของมัน แล้วพวกเขาทั้งสองก็นำหุ่นยนต์แมงมุมจำนวนเจ็ดถึงแปดตัวมาวางไว้บนพื้น ก่อนที่เจ้าแมงมุมหุ่นยนต์กลุ่มนั้นจะเริ่มเคลื่อนไหวแล้วตรงเข้าไปในกองซาก คอนกรีตขนาดยักษ์กระจัดกระจายเกลื่อนกราด ในความมืดมิดภายใต้กองเศษ ซากคอนกรีตขนาดใหญ่ของตัวอาคารแมงมุมหุ่นยนต์กลุ่มหนึ่งกำลังค้นหาเศษชิ้น ส่วนวัตถุระเบิดกันอยู่ ทางด้านนอกนั่นสายลับหนุ่มนาม วีโดรา และสายลับสาวนาม มิเนอร์วา ก็กำลังรอผลลัพธ์จากการค้นหาครั้งนี้อย่างใจเย็น เวลาผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมงนาฬิกาบอกเวลา 10.30 AM ดวงตะวันส่องแสงแรงกล้าอากาศร้อนเริ่มขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อใกล้เวลาเที่ยง ขณะที่สองสายลับหนุ่มสาว วีโดราและมิเนอร์วากำลังรอผลการค้นหาเศษชิ้นส่วนวัตถุระเบิดอยู่อย่างใจเย็น สัญญาณบางอย่างก็ปรากฏขึ้นซึ่งมันเป็นเวลาสิ้นสุดการรอคอยเกือบสามสิบนาที ของทั้งคู่ เพราะ ตอนนี้กลุ่มแมงมุมหุ่นยนต์จำนวนเจ็ดถึงแปดตัวที่พวกเขาทั้งสองส่งให้ไปค้นหา วัตถุระเบิดเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนนั้นกลับมาแล้ว พวกมันไม่ได้กลับมามือเปล่าแต่พวกมันเก็บเอาของบางสิ่งซึ่งเป็นสิ่งที่พวก เขาสองคนต้องการมากที่สุดซึ่งมันคือ เศษชิ้นส่วนวัตถุระเบิด ที่พวกเขาตามหากันอยู่นั่นเอง “เจอแล้ว” สายลับหนุ่ม วีโดรา กล่าวด้วยเสียงเงียบขรึมผ่านทางหูฟังขณะที่กำลังก้มลงไปหยิบเศษชิ้นส่วนของ อุปกรณ์บางอย่างที่มีรูปร่างเหมือนไมโคชิพชิ้นเล็ก ๆ ขึ้นมาพิจารณาอย่างใจเย็น “ดีจัง มาดูกันซิว่าเราเจออะไรบ้าง” สายลับสาวนาม มิเนอร์วา ตอบกลับด้วยน้ำเสียงอันเย็นสงบที่แฝงไว้ด้วยความยินดีอย่างลึก ๆ “อืม” “วีโดรา” “อะไรรึ” “เราไปทานมื้อเที่ยงกันก่อนไหม” มิเนอร์วา กล่าวคำเชิญชวนชายหนุ่ม “แล้วแต่” วีโดราตอบหญิงสาวกลับไป “โอเค งั้นเราไปกันเลยวิเนอรีคงไปรอที่ร้านแล้ว” หลังจากที่ทั้งสองคุยกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว วีโดรา และ มิเนอร์วา ก็ช่วยกันเก็บเศษชิ้นส่วนของวัตถุระเบิดทั้งหมดที่พวกเขาทั้งคู่พึ่งค้นหา เจอไม่ว่าจะเป็น ชิ้นส่วนไมโคชิพของอุปกรณ์บางอย่าง เศษชิ้นส่วนของแผงวงจรแบตเตอรี่ไฟฟ้าที่มีไว้เพื่อใช้งานอะไรสักอย่าง และซากโทรศัพท์มือถือที่ถูกวางกลไกลบางอย่างเอาไว้ ขึ้นมาให้หมดแล้วนำพวกมันเก็บใส่ไว้ในถุงพลาสติกใส ก่อนที่พวกเขาทั้งคู่จะเดินผ่านพวกเจ้าหน้าที่ทั้งหมดออกไปจากบริเวณที่เกิดเหตุทันที กรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมัน กรุง เบอร์ลิน เมืองหลวงของสหพันธ์สาธารณะรัฐเยอรมันมันเป็นเมืองที่ตั้งอยู่บนแม่น้ำสปรี และฮาเฟลทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศห้อมล้อมด้วยรัฐบรานเดนบวร์ก ในปัจจุบันนี้เบอร์ลินเป็นหนึ่งในมหานครที่ยิ่งใหญ่และทรงอิทธิพลที่สุดแห่ง หนึ่งของโลกทั้งในด้านระบบการเมืองการปกครอง ด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน การท่องเที่ยว วัฒนธรรม การสื่อสารและเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย เป็นศูนย์กลางที่สำคัญในการคมนาคมทั้งทางบกและทางอากาศของยุโรป ที่สำคัญมันยังเป็นศูนย์รวมของอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ในระดับโลกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นวิศวกรรมจราจร ออปโตอิเล็กทรอนิกส์ ไอที อุตสาหกรรมยานยนต์ ทางด้านสุขภาพ และวิศวกรรมชีวการแพทย์ รวมถึงเทคโนโลยีชีวภาพ ณ.ภัตตาคาร อาหารแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ใจกลางย่านธุรกิจแห่งหนึ่งของกรุง เบอร์ลิน มันเป็นภัตตาคารลอยฟ้าที่ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางอาคารสูงเสียดฟ้าที่มีรูปทรงอันทันสมัยรายล้อมมัน ภาย ในห้องอาหารส่วนตัวห้องซึ่งอยู่ใน ภัตตาคารแห่งนี้ สุภาพสตรีนางหนึ่งซึ่งอยู่ในชุดสูทสีดำกระโปรงสั้นสีเดียวกันเธอคือ นอร์มา เซรีน สุดยอดซีอีโอชั้นนำระดับโลกประจำกลุ่มธุรกิจเลสเตอร์แฟมิลี่ ที่ตอนนี้กำลังรอใครบางคนที่เธอนัดเอาไว้ว่าจะมาคุยเรื่องธุระสำคัญบางอย่าง “สวัสดีครับคุณเซรีน” เสียงที่ดังขึ้นเป็นของชายผู้หนึ่งที่เปิดประตูเดินเข้ามาเขาคือ ลูเซียส คาเมนี (31 ปี) มหาเศรษฐีพันล้านชาวอิหร่านผู้มีรูปร่างภูมิฐานอยู่ในชุดสูทสีขาวผูกเนกไทสี ดำ ผมสีน้ำตาลจัดทรงมาอย่างดี ดวงตาสีดำสนิท กล่าวคำทักทายสตรีที่อยู่เบื้องหน้า “สวัสดีค่ะคุณลูเซียส” เซรีนตอบกลับด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นพร้อมเผยรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยไมตรีจิต “ยินดีที่ได้พบคุณอีกครั้งนะครับคุณเซรีน หลังจากที่ไม่ได้พบกันซะนาน” “ยินดีที่ได้พบคุณอีกครั้งเช่นกันค่ะ คุณลูเซียส” เซรีนตอบกลับแล้วเชิญให้ ลูเซียสนั่งลงในฝั่งตรงข้ามกับตัวเธอ “ทานอะไรกันก่อนดีกว่ามั้ยคะ” “เป็นเกียรติอย่างยิ่งครับ” ครึ่งชั่วโมงต่อมาหลังจากที่ เซรีน กับ ลูเซียส ร่วมโต๊ะทานอาหารกันเสร็จแล้ว ทั้งสองจึงเปิดประเด็นคุยเรื่องธุระสำคัญกัน “คุณเซรีน คุณคงมีธุระสำคัญมาถึงได้เชิญผมมาทานอาหารด้วยกันสินะครับ” “ใช่ค่ะ” “ไม่ทราบว่าคุณจะคุยธุระเรื่องอะไรหรือครับ” “คุณลูเซียส เรามาทำธุรกิจร่วมกันดีกว่าไหมคะ” เซรีน สุดยอดซีอีโอชั้นนำของโลกยื่นข้อเสนออย่างเป็นทางการให้แก่ ลูเซียส มหาเศรษฐีหลายพันล้านผู้เป็นเจ้าของธุรกิจสัมปทานการท่องเที่ยวและโรงแรม หลายแห่งในอิหร่านและตะวันออกกลาง “ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งเลยล่ะครับ คุณเซรีน” ด้วยข้อเสนออันยิ่งใหญ่ของ เซรีน ทำให้ ลูเซียส ตื่นตะลึงไปชั่วขณะก่อนกล่าวคำชื่นชมออกมา “เราเองก็รู้สึกยินดีเช่นกันค่ะ” “แล้วเราจะลงทุนทำธุรกิจประเภทไหนร่วมกันดีล่ะครับ” “ด้านอวกาศและเมืองพลังงานแสงอาทิตย์ค่ะ” “ยอดเยี่ยมไปเลยครับ ทางผมรู้สึกยินดีมากที่ได้ลงทุนทำธุรกิจร่วมกับบริษัทของคุณ” “คุณรู้ไหมครับว่า ผมเฝ้ารอวันนี้มานานเท่าไหร่ วันที่ผมจะได้เป็นเจ้าของเมืองพลังงานแสงอาทิตย์สักเมืองหรือสถานีอวกาศสักแห่ง” ลูเซียส เก็บอาการไว้ไม่อยู่แล้วเผยความทะเยอทะยานของตนออกมาให้ เซรีนได้รับรู้ว่าเขาต้องการอะไรกันแน่ “ใจเย็นก่อนค่ะคุณลูเซียส เรายังไม่รู้เงื่อนไขกันเลย” เซรีน กล่าวอย่างเยือกเย็นพร้อมเผยรอยยิ้มที่แสดงถึงความเป็นมิตรออกมา “ขอโทษครับ ผมคงใจร้อนไปหน่อย” “เรื่องเงื่อนไขผมเองก็เตรียม “ข้อมูลบางส่วน”ไว้ให้คุณเรียบร้อยแล้วครับ” ลูเซียส พูดจบเขาก็หยิบเอกสารบางอย่างที่อยู่ในซองสีน้ำตาลออกแล้วยื่นไปให้ เซรีน “ขอบคุณค่ะ คุณลูเซียส” “ไม่เป็นไรครับเรื่องแค่นี้ ยังไงตอนนี้เราก็เป็นหุ้นส่วนกันแล้ว” “คุณเซรีน ผมยังมีเรื่องสำคัญอีกอย่างอยากจะบอกกับคุณนอกจากเรื่องเงื่อนไขการลงทุน” “เรื่องอะไรเหรอคะ” “จากข้อมูลที่ผมพอจะมีอยู่บ้างเจ้า เกเบรียล ไซเรน จากกลุ่มธุรกิจ“ไซเรนไนท์อินดัสตรี้”มันจะเข้ามาประมูลโครงการเมืองพลังงาน แสงอาทิตย์ที่อิหร่านด้วยน่ะสิครับ” ลูเซียส เล่าในสิ่งที่ตนเองพอรู้มาบ้างด้วยสีหน้าเคร่งเครียด น้ำเสียงของเขาแฝงไว้ด้วยความกังวลไว้อย่างชัดเจน “ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณลูเซียส เดี๋ยวเรื่องนี้ทางเราจัดการให้เอง” เซรีนที่ดูท่าทีของ ลูเซียสอยู่จึงตอบเขากลับไปด้วยเสียงเยือกเย็น “รบกวนด้วยนะครับ คุณเซรีน” “ไม่เป็นไรค่ะ คุณลูเซียส” “เอาล่ะ ผมคงต้องขอตัวก่อนนะครับ เพราะ ตอนนี้มันถึงเวลาประชุมกลุ่มผู้บริหารของบริษัทผมแล้ว” “แล้วพบกันใหม่ค่ะ คุณลูเซียส” “เช่นกันครับคุณเซรีน วันนี้ผมรู้สึกเป็นเกียรติมากที่จะได้ลงทุนทำธุรกิจร่วมกันกับพวกคุณ” สิบนาทีผ่านไปหลังจากที่ลูเซียสเดินทางกลับ นอร์มา เซรีน สตรีผู้ทรงอำนาจของโลกธุรกิจ หยิบกาแฟมาดื่มเป็นครั้งสุดท้ายพลางทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่างแล้วคิดในใจ ว่า “ทุกอย่างเป็นไปตามแผน” ก่อนจะวางแก้วกาแฟลง “คงได้เวลาไปแล้ว” หลังจากที่ทานกาแฟเสร็จแล้ว เซรีน สตรีผู้ทรงอำนาจของโลกธุรกิจ ก็เดินผ่านพวกนักธุรกิจและนักท่องเที่ยวที่กำลังทานอาหารอยู่ออกไปจากภัตตาคาร เหนือน่านฟ้าสากลแห่งหนึ่งซึ่งไม่เป็นที่รู้จัก เวลา 16.00 AM หรือประมาณสี่โมงเย็น ณ.ตึก ศูนย์บัญชาการบนยานอิคารอส ที่เป็นอาคารรูปโดมสีขาวภายในห้องประชุมมีบุรุษและสตรีทั้งหมดห้าคนกำลัง นั่งอยู่พวกเขาล้วนแล้วแต่เป็นสุดยอดสายลับระดับยอดฝีมือบนยานอิคารอสลำนี้ “ทุกคนพร้อมแล้วนะ” ฮันนิบาล บุรุษทรงอำนาจผู้บัญชาการสูงสุดของ SPHERE หันไปมองรอบ ๆ โต๊ะประชุม แล้วถามพรรคพวกกับเพื่อนร่วมทีมของเขา “อืม/ค่ะ” “โอเค เริ่มได้เลยมิเนอร์วา” “ค่ะท่าน” สายลับสาวผู้มากด้วยความสามารถนามมิเนอร์วา พูดจบเธอก็ยื่นมือไปกดปุ่มสีแดงเล็กๆ ที่อยู่บนโต๊ะจอมอนิเตอร์สามมิติก็ปรากฏขึ้นพร้อมกับฉายภาพของ ไมโคชิพขนาดเล็ก แผงวงจรแบตเตอรี่ไฟฟ้า และโทรศัพท์มือถือแบบพับได้ ขึ้นมาให้ทุก ๆ คนเห็น “สิ่งที่ทุกคนเห็น มันเป็นระเบิดฝังหัวใจที่สามารถบังคับได้ในระยะไกลด้วยไมโคชิพที่ถูกฝังไว้ในสมอง แล้วใช้โทรศัพท์มือถือเป็นตัวจุดชนวนระเบิด” สายลับสาวเปิดฉากคำอธิบายเรื่องระเบิดด้วยน้ำเสียงเย็นสงบลึกล้ำ แววตาของเธอแฝงไว้ด้วยความมุ่งมั่นแน่วแน่ “ที่สำคัญมันยังเป็นระเบิดที่ผิดต่อหลักกฎหมายสากลที่มีพลังทำลายล้างสูงมาก” เมื่อสายลับสาวอธิบายเรื่องระเบิดเสร็จแล้ว เธอก็กดปุ่มสีน้ำเงินเล็ก ๆ อีกปุ่มหนึ่งให้จอภาพมอนิเตอร์สามมิติฉายภาพของ ชายใส่แว่นอยู่ในชุดนักวิทยาศาสตร์สีขาว ผมสีม่วงเข้ม ดวงตาสีเหลืองทอง เขาคือ “ราโดสลาฟ ลูเธอร์ (44 ปี) มหาเศรษฐีรัสเซียผู้เป็นเจ้าของธุรกิจสัมปทานด้านเคมี-เวชภัณฑ์ ในหลายๆ สิบประเทศทั่วโลกแต่มีเบื้องหลังเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่คอยทำการทดลองเรื่องอาวุธเคมี-ชีวภาพ และอาวุธนิวเคลียร์ให้แก่องค์กรก่อการร้าย OHRR และเขายังเป็นสมาชิกระดับผู้บริหารสูงสุดขององค์กร OHRR คนหนึ่งอีกด้วย ที่สำคัญในปัจจุบันนี้ตัวเขานั้นกำลังถูกทางองค์การสหประชาชาติ และ SPHERE ตามล่าในฐานะ Highly Dangerous Criminal หรือ บุคลที่อันตรายที่สุดคนหนึ่งของโลก” หลังจากที่ภาพฉายชายในชุดวิทยาศาสตร์เสร็จแล้ว จอมอนิเตอร์ก็มืดลงแล้วหายไป “เจ้านั่นมันคือผู้อยู่เบื้องหลังการประดิษฐ์อาวุธทั้งหมดของ OHRR” มิเนอร์วา อธิบายเพิ่มเติมด้วยสีหน้าจริงจัง แล้วเธอก็มองไปรอบๆ โต๊ะเพื่อถามความเห็นของทุก ๆ คน “มีใครสงสัยอะไรไหมคะ” สายลับสาวนาม มิเนอร์วา เห็นว่าไม่มีพรรคพวกเพื่อนร่วมทีมคนไหนสงสัยอะไรอีกต่อไป เธอก็เดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ทันที “เซรีน ทางนั้นล่ะ” ฮันนิบาลหันไปถาม เซรีน ผู้เป็นทั้งเพื่อนสนิทและที่ปรึกษาคนสำคัญของเขาด้วยเสียงเยือกเย็น “เป้าหมายของเราตอบตกลงมาแล้วค่ะ” เซรีนตอบกลับพร้อมยื่นซองเอกสารสีน้ำตาลอ่อนที่ภายในบรรจุ“เงื่อนไขการลงทุน” และ“ข้อมูลส่วนหนึ่งของกลุ่มธุรกิจคู่แข่ง” เอาไว้ให้แก่ฮันนิบาล “อืม ดีเลย” “วีโดรา ฉันอยากเห็นนายไขคดีนี้” ฮันนิบาล หันไปมองสายลับหนุ่มผู้เงียบขรึมน่าเกรงขามนาม วีโดรา แล้วกล่าวอย่างเป็นกันเอง “ได้เลยเพื่อน” สายลับหนุ่มผู้น่าเกรงขามตอบกับไปอย่างเป็นกันเอง แล้วใช้ความคิดทั้งหมดไปกับการวิเคราะห์คดีอย่างมีสมาธิ “ระเบิดฝังหัวใจ ควบคุมคนจากระยะไกลด้วยไมโคชิพในสมอง กดชนวนระเบิดด้วยโทรศัพท์มือถืองั้นรึ อืม” “แบบนี้นี่เองพวกมันคงใช้วิธีนี้ในการลงมือ…” เพียงชั่วพริบตานั้นความคิดบางอย่างก็เข้ามาในสมองของสายลับหนุ่ม “ฉันรู้แล้ว” สายลับหนุ่มผู้น่าเกรงขามนามนาม วีโดรา ก็เอ่ยขึ้นอย่างเงียบขรึมแล้วเงียบไปสักพักอย่างลุ้นระทึก “พวกมันควบคุมคนจากระยะไกลด้วยไมโคชิพที่ถูกฝังไว้ในสมอง แล้วบังคับให้คนเหล่านั้นระเบิดฆ่าตัวตายด้วยโทรศัพท์มือถือ” สายลับหนุ่มนาม วีโดรา กล่าวปิดคดีด้วยการเปิดเผยวิธีที่คนร้ายใช้ในการวางระเบิดลงอย่างมั่นใจ “มีใครสงสัยอะไรรึเปล่า” สายลับหนุ่ม วีโดรา มองไปรอบ ๆ โต๊ะที่มีพรรคพวกของเขานั่งอยู่ก่อนถามขึ้น เมื่อชายหนุ่มเห็นว่าเพื่อนของเขาไม่มีใครสงสัยอะไรแล้วจึงเงียบไป “เอาล่ะ เรามาสรุปสถานการณ์กันดีกว่า” ฮันนิบาล บุรุษผู้ทรงอำนาจที่สุดคนหนึ่งของโลกเอ่ยขึ้น “อืม / ค่ะ” “คอนนี้เรารู้วิธีลงมือของพวกมันแล้ว แต่เรายังไม่รู้ว่าพวกมันจะใช้วิธีไหนลงมืออีก และที่สำคัญเรายังไม่รู้ว่าฐานบัญชาการลับของพวกมันอยู่ที่ไหน เพื่อเป็นการไม่ประมาทฉันอยากให้พวกนายระวังตัวไว้ด้วย” ฮันนิบาล สรุปสถานการณ์ที่เกิดขึ้นโดยรวมเสร็จแล้วกล่าวเตือนเพื่อนของเขาด้วยความเป็นห่วงทันที “เค / ทราบแล้วค่ะ” “ถ้าอย่างนั้น เลิกงานกันได้เลย” หลังจากที่วิเคราะห์สถานการณ์กันเสร็จแล้ว ฮันนิบาล จึงกล่าวปิดการประชุมลงทันที แล้วเขาก็บอกให้เพื่อนของเขาอยู่คุยเรื่องสนุก ๆ กันคลายเครียดสักพัก ก่อนที่ทุกคนจะกล่าวคำล่ำลาประจำวันกัน “Adios” สายลับหนุ่มผู้เงียบขรึมนาม วีโดรา เป็นคนแรกที่กล่าวคำลา แล้วก้าวท้าวออกจากประตูไป “แล้วเจอกันนะ / แล้วพบกันใหม่นะคะ” สายลับสาวผู้มากด้วยความสามารถนาม มิเนอร์วา และวิศวกรทางทหารนาม วิเนอรี ผู้เป็นน้องสาวของเธอเป็นคนกล่าวคำลาพร้อมกัน ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินออกจากห้องไป หลังจากที่ทุกคนเดินทางกลับกันไปหมดแล้ว ภายในห้องประชุมเหลือเพียงแค่ ฮันนิบาล และ เซรีน เพียงสองคน “เซรีน เราไปดินเนอร์กันมั้ย” ฮันนิบาล ลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่งแล้วหันไปมอง เซรีน ดวงตาสีแดงเพลิงที่ดูเยือกเย็นราวน้ำแข็งของเขาคู่นั้นมองลึกเข้าไปยังดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของหญิงสาว ก่อนกล่าวคำเชิญชวน “เอาสิ” “โอเค แล้วเราไปเจอกันที่ร้านนะ” หลังจากที่ ฮันนิบาล คุยกับ เซรีน เสร็จแล้วพวกเขาก็จัดการเก็บเอกสาร ปิดห้องประชุมให้เสร็จเรียบร้อยเสียก่อนจะเดินออกจากห้องนี้ไป หมู่เกาะสาธารณะรัฐอิสระเทลูเบีย เมืองคอนดูรัส เวลา 10.00 PM หรือประมาณสี่ทุ่ม กลางมหา สมุทรแอนตาร์กติกอันกว้างใหญ่แห่งนี้นั้นยังมีหมู่เกาะขนาดมหึมาอยู่เกาะ หนึ่งซึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางหมู่เกาะขนาดน้อย-ใหญ่ที่รายล้อมมันอยู่นามของมัน คือ “หมู่เกาะสาธารณะรัฐอิสระเทลูเบีย” ซึ่งแต่เดิมนั้นมันเป็นทวีปผืนน้ำแข็งขนาดกว้างใหญ่ไพศาล แต่ต่อมาในปี 2030 ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศของโลกขึ้นจากสภาวะ “โลกร้อน” จนทำให้ภูเขาน้ำแข็งและหุบเขาหิมะละลายหายไปจนหมดสิ้นเหลือไว้เพียงผืนแผ่นดินอันกว้างใหญ่ที่รวมตัวกันเป็นหมู่เกาะต่าง ๆ มากมาย เมืองคอนดูรัส เมืองหลวงของสาธารณะรัฐอิสระเทลูเบีย มันเป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศและยังเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศนี้ พื้นที่ส่วนสำคัญต่าง ๆ ภายในเมืองแบ่งออกเป็น ด้านทิศตะวันออกที่ถูกรายล้อมไปด้วยอาคารสูงเสียดฟ้าที่มีรูปทรงอันทันสมัยนั้นเป็นย่านธุรกิจ ทางด้านทิศตะวันตกซึ่งเป็นแหล่งที่มีผู้คนอาศัยอยู่มากมายนั้นเป็นแหล่งชุมชน ทางด้านทิศเหนือของเมืองนี้เป็นแหล่งชนบทที่มีทรัพยากรทางธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ และด้านทิศตะวันตกของเมืองซึ่งเป็นด้านที่ติดอยู่กับชายทะเลนั้น เต็มไปด้วยสถานที่พัก ที่ท่องเที่ยว บ้านพักตากอากาศ และโรงแรมจำนวนมากที่มีไว้เพื่อต้อนรับบรรดานักท่องเที่ยว ณ แมนชั่นหลังหนึ่ง ตั้งอยู่ห่างออกไปจากย่านธุรกิจในเขตตัวเมืองบนเกาะ ซึ่งเป็นสถานที่พักอาศัยชั่วคราวของสองสตรีผู้งดงามนามของพวกเธอคือ มิเนอร์วาและวิเนอรี แห่งตระกูลเพรสซิเดนท์ เมื่อมองจากภายนอกแล้วทั้งคู่ไม่ต่างจากนักศึกษาสาวในมหาวิทยาลัยทั่ว ๆ ไป แต่ความจริงแล้วทั้งสองเป็นสายลับสาวที่ทำงานให้กับหน่วยงานลับสุดยอดของโลกที่มีชื่อว่า “SPHERE” ที่ซึ่งตัวตนเบื้องหลังของพวกเธอนั้นถูกปกปิดไว้เป็นความลับโดยองค์กรเพื่อไม่ให้คนธรรมดาทั่วทั้งโลกได้ล่วงรู้ ภาย ในห้องนอนสีฟ้าที่ถูกตกแต่งอย่างเป็นระเบียบและดูสะอาดตานั้น มิเนอร์วาในชุดนอนสีฟ้าแบบเรียบง่ายสบายตา และ วิเนอรีในชุดนอนสีชมพูลายลูกไม้ กำลังเข้าสู่ห้วงนิทราอย่างสงบอยู่บนเตียงอันอบอุ่นที่มีผ้าห่มสีน้ำเงิน คลุมไว้อยู่ ใบหน้ายามหลับใหลของพวกเธอทั้งสองในเวลานี้ ดูผ่อนคลาย บอบบางน่าทะนุถนอม และยังเปี่ยมไปด้วยความสุขที่แสนบริสุทธิ์อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน แต่ลึกเข้าไปในความฝันนั้น ปรากฏความจริงที่ไม่ได้เป็นดั่งภาพที่เห็น มีแค่เพียงความทรงจำที่แตกสลาย ความปวดร้าวและเจ็บปวดที่ฝังลึกอยู่ภายในจิตใจของทั้งสองคน 10 ปีก่อน ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง นอกเขตตัวเมืองในกรุงลอนดอนประเทศอังกฤษ ภายในรถเมอร์เซเดสเบนซ์สีดำคันหนึ่ง ที่มีครอบครัวที่แสนจะอบอุ่นนั่งไปด้วย พวกเขาคือ มิเนอร์วาและวิเนอรีที่ยังอยู่ในวัยเยาว์ และที่นั่งอยู่ด้านหน้ารถก็คือพ่อกับแม่ของพวกเขา เรมิงตัน และ ฟาติมา เพรสซิเดนท์ เรมิงตัน (30 ปี) ผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวซึ่งเป็นนักลงทุนอิสระ ทำธุรกิจหลาย ๆ อย่าง เขาเป็นบุรุษผู้มีรูปร่างสูงสง่าในชุดสูทสีดำ ผมสีน้ำเงินเงาวับ ใบหน้าเรียวคม ดวงตาสีฟ้าน้ำทะเล ส่วนฟาติมา (28 ปี) ผู้เป็นภรรยาของเรมิงตันนั้นเป็นสาวอังกฤษผู้มีผิวพรรณขาวนวล รูปร่างสูงเพรียวระหงได้สัดส่วน ผมสีบลอนด์ทองยาวสลวย ดวงตาสีเขียวมรกตสดใส เด็ก ผู้หญิงที่มีรูปร่างงดงามราวกับเทพธิดาที่นั่งอยู่ที่เบาะหลังของรถคันนี้ คือ มิเนอร์วา และ วิเนอรี นั่นเอง มิเนอร์วา คือบุตรสาวคนโตของตระกูลในวัย 8 ขวบ เธอเป็นเด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารัก รูปร่างงดงามผุดผาด ผมสีน้ำเงินยาวเงางาม ดวงตากลมโตที่เปล่งประกายงดงามดั่งอัญมณีคู่นั้นมีสีที่ต่างกัน นัยน์ตาข้างซ้ายสีอความาลีนและมีนัยน์ตาข้างขวาสีเขียวมรกตที่เข้าคู่กันได้ เป็นอย่างดี วิ เนอรี น้องสาวของ มิเนอร์วา บุตรสาวคนสุดท้ายของตระกูล เธอเป็นเด็กผู้หญิงที่สุภาพเรียบร้อย ท่าทางสดใสร่าเริง เธอมีผมสั้นสีบลอนด์ทองราวกับแสงตะวันยามรุ่งอรุณ ดวงตากลมโตเป็นประกายสดใสดูมีชีวิตชีวาตลอดเวลาคู่นั้นมีสีต่างกันแต่เข้า กันได้เป็นอย่างดี นัยน์ตาข้างซ้ายสีมรกตและมีนัยน์ตาข้างขวาสีฟ้าคราม ในตอนนี้พวกเขาต่างก็กำลังมุ่งหน้าออกจากหมู่บ้านเพื่อไปท่องเที่ยวในวันหยุดพักผ่อนสำหรับครอบครัว บรรยากาศภายในรถนั้นเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ ความอบอุ่นและอ่อนโยน จนกระทั่ง... “โครม !!!” เสียง หัวเราะได้หายไปซึ่งถูกกลบด้วยเสียงอัดกระแทกของเครื่องยนต์ตามด้วยเสียง ก้องกัมปนาทจากการระเบิดดังกึกก้องสะท้อนสะท้านจนได้ยินไปทั่วทั้งเมือง ภาพที่ปรากฏให้เห็นในชั่วพริบตานั่นคือ รถบรรทุกสีขาวคันหนึ่งพุ่งเข้ามาชนกับรถเมอร์เซเดสเบนท์สีดำของตระกูลนัก ธุรกิจอิสระ เพรสซิเดนท์ ที่นั่งอยู่อย่างสุดแรงจนเกิดการระเบิดขึ้น เศษซากชิ้นส่วนของรถกระจุยกระจายเกลื่อนกราดไปตามพื้นถนนจากการประสานงากับ รถบรรทุกเมื่อครู่ เป็นเหตุให้คนทั้งสี่ได้รับบาดเจ็บสาหัสปางตาย สักพักเสียงไซเรนดังขึ้นตามมาด้วยรถพยาบาลจำนวนหนึ่งที่แล่นเข้ามาจอดบริเวณที่เกิดเหตุ เหล่าเจ้าหน้าที่หน่วยรักษาพยาบาลพากันวิ่งออกจากรถ มุ่งไปอพยพผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัสทั้งสี่ที่นอนสลบไศลไม่ได้สติอยู่บนพื้นถนนขึ้นมาบนเปลที่เตรียมไว้อย่างบรรจง แล้วนำพวกเขาขึ้นรถก่อนมุ่งหน้าไปยังโรงพยาบาล เมื่อถึงโรงพยาบาล เป็นเวลาไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้น พ่อและแม่ของมิเนอร์วาและวิเนอรี ก็ได้จากไปอย่างไม่มีวันกลับ ส่วนสาวน้อยทั้งสองนั้นรอดตายมาได้อย่างปาฏิหาริย์ แม้เหตุการณ์นี้จะไม่ใช่เหตุการณ์สะเทือนขวัญคนทั้งโลกแต่อย่างใด แต่มันเป็นเหตุการณ์ที่เลวร้ายอันน่าเศร้าสลดใจที่จะตราตรึงอยู่ในใจของใครบางคนไปอย่างมิอาจลืมเลือน ปัจจุบัน 9 มกราคม 2052 หมู่เกาะสาธารณะรัฐอิสระเทลูเบีย เมืองคอนดูรัส เวลา 5.00 AM วิเนอรีลืมตาตื่นขึ้นพร้อมกับความฝันที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่ ใบหน้าขาวนวลของเด็กสาวในยามนี้ชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อที่ค่อย ๆ ไหลย้อยลงมาแล้วสักพักหนึ่งมันก็เหือดแห้งหายไปเมื่อต้องกับอากาศเย็นสบายภายในห้อง เด็กสาวค่อย ๆ เอามือชันตัวลุกขึ้นนั่งข้างเตียงอย่างช้า ๆ เพื่อไม่ให้รบกวนยามหลับของ มิเนอร์วา ผู้เป็นพี่สาวคนสำคัญและญาติเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ของเธอ “ทำไมเราถึงต้องฝันถึงเห็นเหตุการณ์ในวันนั้น ตอนนี้ด้วยนะ” วิเนอรี ครุ่นคิดถึงสิ่งที่ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในความฝันมันเป็นความจริงอันโหดร้ายสำหรับตัวเธอเมื่อครั้นยังวัยเยาว์ เพราะ เหตุการณ์ในวันนั้นมันคือวันที่เด็กสาวต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักยิ่งของเธอไปถึงสองคนซึ่งพวกเขาก็คือ พ่อและแม่ของเธอเอง “วันนั้นคือวันที่เราต้องสูญเสียพ่อแม่ของเราไป” วิเนอรี กำลังนึกถึงเหตุการณ์ในวัยเด็ก วันที่เธอต้องตื่นขึ้นมาที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง แล้วพวกเจ้าหน้าที่รักษาพยาบาลกลุ่มหนึ่งได้เดินเข้ามาหาเธอแล้วบอกว่า “เสียใจด้วย พ่อแม่ของคุณเสียชีวิตแล้ว” และคำพูดนั้นก็ทำให้ตัวเธอในวันนั้นรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก “เป็นอะไรไป วิเนอรี ฝันร้ายเหรอ ทำไมถึงทำหน้าเศร้าแบบนั้นล่ะ” มิเนอร์วา ลืมตาตื่นขึ้นเพราะได้ยินเสียงหายใจของน้องสาวคนสำคัญที่นั่งอยู่ข้างกาย “พี่คะ ตื่นแล้วเหรอคะ” “พี่ตื่นตั้งนานแล้วล่ะ” น้ำเสียงอันเย็นสงบลึกล้ำที่แฝงไว้ด้วยความอบอุ่นและอ่อนโยนที่ดังขึ้นนั้นทำให้ วิเนอรี หันไปมอง มิเนอร์วา ผู้เป็นพี่สาวคนสำคัญของเธอ “วิเนอรี มีอะไรก็บอกพี่มาได้เลยนะ” มิเนอร์วา เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนราวกับล่วงรู้ถึงสิ่งที่อยู่ในความคิด สิ่งที่เกิดขึ้นในความฝัน และสิ่งที่อยู่ภายในใจของน้องสาวคนสำคัญของเธอในเวลานี้ “พี่คะฉันฝันร้ายค่ะ ฉันฝันเห็นวันที่พ่อแม่ของพวกเราเสียชีวิตไปค่ะ” วิเนอรี ตอบพี่สาวของเธอกลับไปด้วยน้ำเสียงอันเศร้าสร้อยแม้น้ำตาของเด็กสาวจะไม่ได้หลั่งรินออกมาให้เห็นก็ตาม แต่มิเนอร์วาก็สามารถสัมผัสได้ว่าน้องสาวรู้สึกเช่นใด เพราะ ตอนนี้เธอเองก็รู้สึกเสียใจเหมือนกัน “ไม่เป็นไรวิเนอรี พี่อยู่นี่แล้ว” พูดจบเธอก็สวมกอดน้องสาวของเธออย่างอ่อนโยน “พี่จะดูแลเธอจะปกป้องเธอเอง” มิเนอร์วาใช้มือเรียวเล็กของเธอค่อย ๆ ลูบไล้ไปตามเส้นผมสีทองยาวสลวยของวิเนอรีอย่างนุ่มนวลเป็นการปลอบโยน “ขอบคุณค่ะพี่ ตอนนี้ฉันไม่เป็นไรแล้วค่ะ” วิเนอรี กล่าวแสดงคำขอบคุณด้วยรอยยิ้มสดใสขณะที่กำลังอยู่ในอ้อมกอด นาทีนี้เด็กสาวรู้สึกอุ่นใจและมีความสุขมากจนบรรยายไม่ถูก “วิเนอรี ยังจำคำมั่นสัญญาในวันนั้นได้มั้ย” มิเนอร์วาพี่สาวเห็น วิเนอรีน้องสาวคนสำคัญกลับมาสดใสร่าเริงดังเดิมอีกครั้งจึงเอ่ยถามเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งเมื่อกาลก่อน เพราะ เธอเชื่อว่าน้องสาวต้องจำได้ “จำได้ค่ะ” วิเนอรี ตอบพี่สาวของเธอกลับไปด้วยรอยยิ้มสดใสดุจแสงตะวัน “ตั้งแต่วันนั้นเราก็สาบานเอาไว้แล้วว่า จะไม่ร้องไห้อีก” นาทีนี้เด็กสาวทั้งสอง มิเนอร์วา และ วิเนอรี ต่างก็นึกถึงวันที่ พวกเธอทั้งสองไปเยี่ยมหลุมศพของพ่อแม่หลังจากที่พวกท่านจากไป ซึ่งวันนั้นเป็นวันที่พวกทั้งสองได้ให้คำมั่นสัญญาอันบริสุทธิ์กับพ่อแม่ไปว่า พวกเธอทั้งสองจะเข้มแข็งขึ้น และ จะตามล่าคนที่ทำให้พวกท่านต้องเสียชีวิตลงให้ได้ สักพักแสงแดดยามเช้าอันอบอุ่นลอดผ่านหน้าต่างของห้องนอน นาฬิกาดิจิตอลที่วางไว้บนหัวเตียงบอกเวลา 7.00 AM ซึ่งเป็นเวลาสำคัญที่สองพี่น้อง มิเนอร์วา และ วิเนอรี จะกล่าวคำพูดหนึ่งให้กันและกัน “พี่คะ เช้าแล้วค่ะ” “อรุณสวัสดิ์นะ วิเนอรี” “อรุณสวัสดิ์ค่ะพี่” หลังจากที่ มิเนอร์วา และ วิเนอรี กล่าวคำทักทายยามเช้ากันเสร็จแล้ว เด็กสาวทั้งสองก็ช่วยจัดห้องนอนให้เรียบร้อย ลุกขึ้นจากเตียงมาเปลี่ยนเสื้อผ้า ก่อนที่พวกเธอทั้งสองจะเดินออกจากห้องนอนลงบันไดตรงไปยังห้องครัว เพื่อช่วยกันทำอาหารมื้อเช้า “ไม่ว่าจะอับจนหนทางขนาดไหน ไม่ว่าจะโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงาสักเพียงใด แม้ว่าคนเราจะไม่สามารถย้อนอดีตกลับไปได้ แต่ทุกอย่างย่อมมีทางออกเสมอ ตราบใดก็ตามที่เรายังมีศรัทธา ฉันเชื่อเช่นนั้น” “How much it blind or lonely way, but everything always has a result. As long as we trusted in faith, I believe that. ” กรุงสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน เวลา 19.00 PM กรุงสตอกโฮล์ม คือเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศสวีเดนนครหลวงที่แสนสวยงามแห่งแสกนดิเนเวีย ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น ความงามบนผิวน้ำ หรือ ราชินีแห่งทะเลบอลติก มันเป็นมหานครที่แสนยิ่งใหญ่และงดงามตระการตาที่ถูกประกอบด้วยเกาะน้อยใหญ่จำนวนทั้งสิ้น 14 เกาะ และถูกโอบล้อมด้วยทะเลบอลติก และทะเลสาบมาลาเร็น และที่สำคัญ กรุงสตอกโฮล์ม นั้นยังขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองหลวงที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของโลกในยุคปัจจุบัน บรรยากาศยามค่ำคืนของ กรุงสตอกโฮล์ม นั้นยังคงสว่างไสวไปด้วยแสงไฟสีเหลืองทองอร่ามงามตาที่ส่องแสงสาดส่องลงมาจากอาคารทรงยุโรปที่มีให้เห็นอยู่ทั่วทั้งเมือง บนถนนคนเดินยังคงเต็มไปด้วยผู้คนและนักท่องเที่ยวที่หลากหลายจำนวนมากมายมหาศาลที่มาจากทั่วทุกสารทิศทำให้เมืองดูมีชีวิตชีวา ที่ ภัตตาคารอาหารริมระเบียงของโรงแรมหรูทรงยุโรปโบราณหลังหนึ่ง ภายในนั้นมีสุภาพบุรุษผู้หนึ่งนามเขาคือ ฮันนิบาล เลสเตอร์ เขาคือ บุรุษผู้ทรงอำนาจแห่งโลกธุรกิจและการเมืองที่อยู่ในชุดทักซิโด้สีขาวผูกโบว์ หูกระต่ายสีดำกำลังเดินควงแขนเรียวสวยของสุภาพสตรีนางหนึ่งนาม นอร์มา เซรีน ที่ปรากฏตัวในชุดราตรีสีดำกระโปรงยาวผ่าด้านข้างสูงเผยผิวพรรณขาวนวลเนียนดุจดั่งหิมะและเรียวขางาม เข้ามายังห้องอาหารห้องหนึ่งที่อยู่ในภัตตาคาร ท่ามกลางความตื่นตะลึงของบรรดาผู้คนที่จ้องมองมายังทั้งสองในยามที่ทั้งคู่ก้าวเดิน เมื่อบุรุษและสตรีผู้ทรงอำนาจทั้งสองเดินเข้ามาในห้องอาหารส่วนตัวที่ถูกจองเอาไว้ล้วงหน้าแล้ว ทั้งสองได้นั่งลงบนเก้าอี้ โดยที่ ฮันนิบาล และ เซรีน ต่างก็นั่งอยู่ในฝั่งตรงกันข้ามของกันและกัน แต่ดวงตาของทั้งคู่นั้นกำลังจ้องมองอีกฝ่ายอย่างไม่ละสายตาไปจากกัน “เซรีน เรามากินอะไรกันก่อนดีกว่าไหม” “เอาสิคะ ให้ฉันเลี้ยงไหม” “ไม่เป็นไร มื้อนี้ผมเลี้ยงเอง” “ขอบคุณค่ะ” “ไม่เป็นไร” ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมงหลังจากที่ ฮันนิบาล และ เซรีน ทานอาหารเสร็จแล้ว ทั้งคู่กำลังเดินออกมาจากห้องอาหารส่วนตัว เพื่อมายืนพิงระเบียงชื่นชมบรรยากาศยามราตรี “เซรีน เรื่องนั้นเป็นยังไงบ้าง” ฮันนิบาล หันไปมอง เซรีน แล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ทุกอย่างฉันเตรียมไว้พร้อมแล้วค่ะ” เซรีน ตอบกลับพร้อมกับส่งเอกสารชุดหนึ่งที่อยู่ในซองสีน้ำตาลไปให้ ฮันนิบาล “ถ้าอย่างนั้น เรามาดูกันซิว่าคู่แข่งของเรามีอะไรบ้าง” “ได้ค่ะ” ฮันนิบาล หยิบเอกสารชุดหนึ่งออกมาจากซองสีน้ำตาลขึ้นมาอ่าน ดวงตาสีแดงเพลิงทว่าเยือกเย็นราวถูเขาน้ำแข็งของชายหนุ่ม กำลังจับจ้องมองไปยังข้อความหนึ่งที่ถูกเขียนไว้บนเอกสารชุดหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับ บริษัทคู่แข่งที่เข้าร่วมประมูลโครงการเมืองพลังงานแสงอาทิตย์ ขึ้นมาอ่าน “บริษัทไซเรนไนท์อินดัสตรี้ คือ กลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ระดับโลกที่เป็นเจ้าของธุรกิจสัมปทานด้านพลังงาน การสื่อสาร และการท่องเที่ยวด้านอวกาศ ที่มีมูลค่าการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ที่ไม่ต่ำไปกว่าปีละหนึ่งล้านล้านเหรียญอาเมโร (ประมาณสิบล้านล้านเหรียญสหรัฐ) และมีนาย เกเบรียล ไซเรน นักธุรกิจชาวอเมริกันเชื้อสายยิวมหาเศรษฐีผู้ร่ำรวยเป็นอันดับสามของโลกเป็นเจ้าของ” ฮันนิบาล อ่านเสร็จเขาก็เอกสารชุดนั้นลงไปในซองสีน้ำตาลพร้อมกับหยิบเอกสารชุดใหม่ที่เกี่ยวข้องกับ เงื่อนไขการลงทุนโครงการเมืองพลังงานแสงอาทิตย์ ขึ้นมาอ่านอย่างละเอียด “เงื่อนไขการลงทุนโครงการเมืองพลังงานแสงอาทิตย์ ห้ามใช้พลังงานที่ก่อให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม” เมื่ออ่านเสร็จชายหนุ่มก็จัดการเก็บเอกสารทั้งหมดที่มีอยู่ในมือเข้าซองสีน้ำตาล แล้วพิจารณาถึงเงื่อนไขทั้งหมดที่มีอยู่ “ถ้ามีข้อมูล เพียงเท่านี้ล่ะก็...อืม” ฮันนิบาลไตร่ตรองอย่างเยือกเย็นหันไปมองเซรีนแล้วกล่าวออกมา “เซรีน เราควรเสนอราคาไปเท่าไหร่ดีล่ะ” ชายหนุ่มหันไปถามหญิงสาว เพราะ เขาเชื่อว่า เซรีน ต้องให้คำตอบออกมาในแบบที่เขาคิดไว้ “สิบเปอร์เซ็นต์ที่มันเสนอดีไหมคะ” เซรีนวิเคราะห์ถึงสิ่งที่ ฮันนิบาลถามอยู่ครู่หนึ่งก่อนตอบกลับ “ดีเลย เดี๋ยวเราไปเสนอราคาด้วยกันนะ เซรีน” “อืม ได้เลยค่ะ” ลึกเข้าไปในป่าแห่งหนึ่งที่ไม่มีคนรู้จัก เวลา 8.00 PM ลึกเข้าไปในป่าที่ไม่มีคนรู้จักและอยู่ห่างออกไปจากสายตาของเหล่าผู้คน ยังมีเคหะสถานขนาดใหญ่หลังหนึ่งตั้งอยู่ใจกลางป่าลึก มันคือคฤหาสน์ทรงยุโรปโบราณที่ดูหรูหราโออ่าและถูกทาด้วยสีดำทั้งหลังราวกับรัตติกาลรอบ ๆ คฤหาสน์หลังนี้เต็มไปด้วยเจ้าหน้าที่หน่วยรักษาความปลอดภัยที่ติดอาวุธครบมือกำลังลาดตระเวนอยู่ในส่วนต่าง ๆ ของคฤหาสน์เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยภายใน ในห้องทำงานของคฤหาสน์สีดำทมิฬ ราโดสลาฟ ลูเธอร์ (44 ปี) นักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซียเชื้อสายยิว รูปร่างสูงโปร่งอยู่ในชุดสูทสีขาวบริสุทธิ์ผูกเนกไทสีดำ เขามีรูปโครงใบหน้าแหลมเรียว ผมสั้นประบ่าสีม่วงจัดทรงเอาไว้อย่างดี ดวงตาสีเหลืองทองบริสุทธิ์ที่ดูสุภาพคู่นั้นกลับแฝงไว้ด้วยความหื่นกระหายในบางสิ่ง กำลังนั่งรอใครสักคนที่จะมาเยี่ยมเยือนที่นี่เพื่อพูดคุยธุระเรื่องสำคัญในค่ำคืนนี้ “ท่านศาสตราจารย์ครับ ผมขออนุญาต” “เชิญเข้ามา” “ท่านศาสตราจารย์ครับ คุณวิคเตอร์ ที่นัดท่านไว้กำลังรอท่านอยู่ที่ห้องรับรองครับ” ผู้ที่เดินเข้ามาในห้องแล้วโค้งคำนับอย่างสุภาพเขาคือ รอนดา นิโคเลวิช (38 ปี) ชาวรัสเซียร่างสูงใหญ่อยู่ในชุดสูทสีขาวผูกเนกไทสีเดียวกันและสวมแว่นตาสีดำ เขาคือผู้ช่วยทั้งในงานและนอกงานของ ราโดสลาฟ “เขามาถึงแล้วรึ” ราโดสลาฟ เอ่ยปากถามผู้ช่วยคนสนิทของเขาที่เดินเข้ามา “ใช่ครับ เขาพึ่งมาถึงเมื่อสักครู่” นิโคเลวิช ตอบศาสตราจารย์ของเขากลับไปอย่างนอบน้อม “อืม ดูท่าผมคงต้องลงไปต้อนรับเขาซะหน่อย” ศาสตราจารย์นาม ราโดสลาฟ พูดจบเขาก็ลุกขึ้นหยิบไม้เท้ามาพยุงร่างกายทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ขาพิการ แล้วเดินออกไปจากห้องทำงานอย่างสุภาพชน ใน ห้องรับรอง วิคเตอร์ โรมานอฟ (33 ปี) มหาเศรษฐีรัสเซียร่างสูงใหญ่ในชุดสูทสีดำ ผมสีเทาแสกกลางมาอย่างดี ใบหน้าคมเข้ม นัยน์ตาสีดำสนิทมีแววตาที่ดูแข็งกร้าวจนน่ากลัวกำลังนั่งทานอาหารรอ ราโดสลาฟผู้เป็นเจ้าของคฤหาสน์ที่นัดเขาไว้ให้มาคุยเรื่องธุระสำคัญกัน “สวัสดี ดอกเตอร์” วิคเตอร์ โรมานอฟ กล่าวคำทักทาย ราโดสลาฟ ที่ได้เปิดประตูเดินเข้ามา “สวัสดีครับ มิสเตอร์โรมานอฟ ไม่ได้เจอกันเสียตั้งนาน” ราโดสลาฟ ตอบกลับด้วยรอยยิ้มแบบผู้ดีที่เปี่ยมไปด้วยความสุภาพและมีมนต์เสน่ห์ “ฉันมีธุระสำคัญที่จะคุยกับแก ขอเข้าเรื่องเลยละกัน” โรมานอฟเอ่ยถึงเรื่องสำคัญที่เขาจะมาแจ้งให้อีกฝ่ายหนึ่งทราบ “เชิญว่ามาได้เลยครับ” ราโดสลาฟ ยื่นมือมาข้างหน้าเพื่อเชื้อเชิญให้อีกฝ่ายพูด “ผลงานที่แกทำออกมานั้นมันดีกว่าที่เราคิดเอาไว้เสียอีก” “ขอบคุณที่ชมครับมิสเตอร์โรมานอฟ ผมรู้สึกเป็นเกียรติมากเลยที่คุณพูดแบบนั้น” “ผมเองก็เคยคิดเอาไว้แล้วเหมือนกันว่า ผลงานของผมนั้นมันยิ่งใหญ่และมีค่าเกินกว่าที่จะให้พวกสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำอย่างเจ้าพวกนั้นมันเชยชม” ราโดสลาฟ พูดขึ้นอย่างอ่อนน้อมถ่อมตนแต่ยังไม่วายที่จะชื่นชมตนเอง พร้อมกับกล่าวคำดูถูกเหยียดหยามต่อสิ่งใดก็ตามที่เขาต้องการจะเอ่ยถึง “คุณรู้อะไรไหมครับ มิสเตอร์โรมานอฟ” ราโดสลาฟ เอ่ยถามถึงบางสิ่งขณะที่ โรมานอฟ นั้นยังคงนั่งฟังอย่างเงียบ ๆ “การทดลองวิทยาศาสตร์ เพื่อให้ได้มาซึ่งผลงานที่ยิ่งใหญ่และสมบูรณ์แบบออกมาให้คนทั้งโลกต้องจดจำนั้น มันต้องมีผู้เสียสละกันบ้าง” “แน่นอนว่าผู้เสียสละย่อมต้องเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำที่อ่อนด้อยทางสติปัญญาหาความรู้ไม่ได้ เพราะ ไม่ว่าจะอยู่ในยุคใดสมัยใดก็ตามพวกมันก็เกิดมาเพื่อเป็นสัตว์ทดลองพันธุ์ผสมที่ไร้ค่าอยู่แล้ว” “ใช่ไหมล่ะ คุณคงคิดเหมือนผมใช่ไหม มิสเตอร์โรมานอฟ” ราโดสลาฟ แสดงความคิดเห็นอันร้ายกาจของตนจนจบ เขาก็เอ่ยปากถามชายหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามทันที “ใช่ ฉันเห็นด้วยกับแก” โรมานอฟ ตอบกลับไปอย่างเคร่งขรึมโดยไม่รู้สึกอะไร “ดีทีเดียวที่คุณเห็นด้วยกับผม มิสเตอร์โรมานอฟ” ราโดสลาฟ เอ่ยด้วยรอยยิ้มอย่างมีเลศนัยเมื่อมีคนเห็นด้วยกับความคิดของเขา สิ่งที่อยู่ในใจเขาตอนนี้ไม่มีใครล่วงรู้ และความคิดของเขานั้นก็ลึกล้ำเกินกว่าจะคาดเดา “แกคงหมดเรื่องจะพูดแล้วใช่ไหม ราโดสลาฟ” คราวนี้เป็นทีของโรมานอฟเอ่ยปากถามบ้างหลังจากที่เขาต้องทนฟังราโดสลาฟพูดจนจบ “ใช่ครับ สิ่งที่ผมจะพูด ผมก็พูดจบแล้ว” “ดี ถ้าอย่างนั้นฉันขอตัวก่อนล่ะ” โรมานอฟ ลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินตรงไปยังประตูห้องรับรอง “ขอโทษที คุณจะกลับแล้วเหรอครับ” น้ำเสียงนุ่มนวลดังขึ้นทำให้ โรมานอฟ หยุดชะงักที่หน้าประตู แล้วหันไปมอง ราโดสลาฟ ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ “แกมีอะไรอีก” “ไม่มีอะไรหรอกครับมิสเตอร์โรมานอฟ แต่ถ้าคุณจะกลับแล้วล่ะก็ผมคงต้องฝาก “ของสิ่งนี้” ให้คุณไปมอบให้กับ มิสเตอร์เดเมียน เจ้านายของพวกเราด้วยแล้วกันครับ” นักวิทยาศาสตร์ประจำองค์กรOHRRราโดสลาฟ ล้วงมือเข้าไปหยิบจดหมายฉบับหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อ แล้วส่งมันไปให้ โรมานอฟ มหาเศรษฐีหมื่นล้านชาวรัสเซียผู้ส่งข่าวสารจากองค์กรเดียวกัน “ฝากบอก มิสเตอร์เดเมียน ด้วยนะครับว่า ผมยังรักและเคารพเขาอยู่เสมอ” นักวิทยาศาสตร์ผู้ทรงอำนาจแห่งโลกอาชญากรรมนาม ราโดสลาฟ เผยรอยยิ้มเล็ก ๆ บนริมฝีปากบางเฉียบราวกับใบมีดคมกริบที่สามารถเชือดเฉือนได้ทุกสรรพสิ่ง “ได้แล้วฉันจะบอกเขาให้” โรมานอฟ ตอบกลับด้วยท่าทางเงียบขรึม แล้วเอื้อมมือไปหยิบจดหมายที่อีกฝ่ายส่งมาเก็บเข้ากระเป๋าเสื้อของตน ก่อนจะเดินออกจากห้องรับรองไป “อืม ขอบคุณนะครับ มิสเตอร์โรมานอฟ คุณนี่ช่างมีน้ำใจเสียเหลือเกิน” ปึง ! สิ้นเสียงประตูห้องรับรองที่ถูกปิดลงนั่นหมายความว่าการสนทนาแบบปากปราศรัยน้ำใจเชือดคอก็จบลงพร้อมกันทันที วิคเตอร์ โรมานอฟ มหาเศรษฐีหมื่นล้านชาวรัสเซีย เดินออกจากห้องรับรอง ลงไปยังบันไดวน ออกไปจากคฤหาสน์ ตรงไปยังรถลีมูซีนที่จอดอยู่และก็มีชายใส่สูทสีดำลงมาจากรถต้อนรับเขาจำนวนหนึ่ง ก่อนจะขับรถออกไป ในห้องรับรอง ราโดสลาฟ ที่ยังคงนั่งอยู่ เขาได้หยิบไวน์ชั้นเลิศมาเทลงใส่แก้วแล้วค่อย ๆ จิบมันลงไปในลำคออย่างช้า ๆ เพื่อสัมผัสกับรสชาติอันหอมละมุนของไวน์จนหมดแก้วแล้ววางลง ก่อนจะเผยรอยยิ้มเล็ก ๆ บนริมฝีปากบางเฉียบราวกับใบมีดคมกริบอย่างมีเลศนัยให้เห็นอีกคราหนึ่ง ที่เหมืองเพชรแห่งหนึ่งในแอฟริกาใต้ เวลา 16.00 AM เขาคือชายผู้หลงรักโลกที่ตกอยู่ในภาวะ “อนาธิปไตย” เสมอมา เขาคือบุรุษผู้หลงใหลในโลกที่ไร้การควบคุม สังคมที่ปราศจากกฎเกณฑ์ใด ๆ ทั้งปวง เขาคือ เดเมียน โดมินิค ธอร์น ผู้ที่กำลังยืนอยู่กับนักฆ่าคนสนิทของเขาผู้มีนามว่า อลองโซ คาลิเวียลา บนเหมืองเพชรเหมืองหนึ่งในแอฟริกาใต้ขณะนี้ ด้วยวัย 43 ปี เดเมียน ธอร์น นั้นยังคงเป็นบุรุษผู้มีรูปร่างสูงสง่าในชุดสูทสีดำผูกเนกไทสีแดง เขามีผมสั้นสีแดงเข้ม ใบหน้าเรียวยาว ดวงตาคมสีน้ำเงินที่ดูลึกล้ำและเปี่ยมล้มไปด้วยความเมตตากรุณาราวกับทวยเทพบนสรวงสวรรค์ แต่กลับแฝงเร้นไว้ด้วยความโหดร้ายเลือดเย็นดั่งดวงเนตรแห่งพญามาร คู่นั้นได้จ้องมองไปยังเหล่าคนงานทั้งหลายที่กำลังทำงานอยู่ที่พื้นเบื้องล่าง บุรุษ ลึกลับที่ยืนอยู่เคียงข้าง เดเมียน ธอร์น เขาคือ อลองโซ คาลิเวียลา (42 ปี) มือสังหารชาวฝรั่งเศสผู้มีรูปร่างสูงใหญ่ในชุดสูทสีดำสนิท เขามีผมสั้นสีทองประบ่า และสวมแว่นดำปกปิดดวงตาสีแดงเข้มดั่งโลหิตที่ดูลึกลับจนน่าสะพรึงกลัวเอาไว้ อยู่ เขาคือนักฆ่าคนสนิทของ เดเมียน ผู้ที่กำลังยืนอยู่บนเหมืองเพชรเช่นเดียวกัน เหมืองเพชรแห่งนี้มีนามว่า “โกลเด้นซัน” มันเป็นเหมืองเพชรที่มีขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดยที่เหมืองเพชรแห่งนี้มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1.40 กิโลเมตร และมีความลึกถึง 540 เมตรเลยทีเดียว และ ผู้ที่เป็นเจ้าของเหมืองเพชรเหมืองนี้นั่นก็คือ “บริษัท คามอร์ราคอเปอเรชั่น” กลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ระดับโลกผู้เป็นเจ้าของธุรกิจสัมปทานทางด้านพลังงาน เหมืองแร่ทองคำ เหมืองเพชร และธนาคารในหลายๆ สิบประเทศทั่วโลก ที่มีนักธุรกิจมหาเศรษฐีชาวอเมริกันเชื้อสายยิวผู้ร่ำรวยเป็นอันดับห้าของโลกอย่าง เดเมียน ธอร์น เป็นเจ้าของ “สวัสดีค่ะ คุณเดเมียน” เสียงทักทายอย่างสุภาพดังขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของสตรีผู้หนึ่งนาม ดอลฟา ไฮเลอร์ (24 ปี) สาวเยอรมันผิวพรรณขาวนวลร่างสูงเพรียวระหงได้สัดส่วน ผมสีขาวราวหิมะยาวสยายรับดับใบหน้าแหลมเรียวเป็นธรรมชาติดูสง่างาม ดวงตาคมนัยน์ตาสีม่วงคู่นั้นฉายแววเย่อหยิ่ง กำลังเดินเข้ามาหาบุรุษทั้งสองที่ยืนอยู่ “มีเรื่องมาแจ้งให้คุณทราบค่ะ” ทนายความสาวผู้ทรงอำนาจแห่งโลกอาชญากรรม เอ่ยขึ้นในขณะที่สายตาของเธอยังคงมองไปยังบุรุษที่ยืนหันหลังให้เธออยู่ “พูดมาสิ” เดเมียน ธอร์น ตอบกลับด้วยเสียงเงียบขรึมโดยไม่หันกลับไปมอง “บทละครที่คุณสร้างมันกำลังเริ่มแล้วค่ะ” ทนายความสาวรายงานเรื่องสำคัญบางอย่างที่พวกเขาเตรียมเอาไว้ให้เดเมียนได้รับรู้ ผ่านไปสักพักท่ามกลางบรรยากาศเงียบงันอันน่าสะพรึง เดเมียน ธอร์น นักค้าอาวุธผู้ทรงอำนาจแห่งโลกอาชญากรรมได้เอ่ยถึงบางสิ่ง “มิสไฮเลอร์” “มิสเตอร์อลองโซ” เดเมียน นักค้าอาวุธผู้ทรงอำนาจได้เอื้อนเอ่ยถึงนามของ อลองโซ นักฆ่าที่อันตรายที่สุดในโลกอาชญากรรม และ ดอลฟา ไฮเลอร์ ทนายความคนสำคัญของโลกอาชญากรรม “ครับ / ค่ะ” ทนายความสาวคนสำคัญและนักฆ่าคนสนิทของเขา ตอบกับไปพร้อมกัน เดเมียน ได้หันหลังกลับไปมอง อลองโซ นักฆ่าคนสนิท และ ดอลฟา ไฮเลอร์ ทนายความคนสำคัญ โดยมีแสงตะวันยามเย็นสีแดงเข้มราวกับโลหิตปรากฏให้เห็นเป็นฉากหลัง “บทละครของผมมันพึ่งโหมโรงขึ้น” “สิ่งที่ผมจะแสดงให้โลกนี้ได้เห็น มันพึ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น” เดเมียน เอ่ยขึ้นอย่างสุภาพน้ำเสียงนุ่มนวล ใบหน้าสงบนิ่งของเขาปรากฏรอยยิ้มเล็ก ๆ ที่ดูอ่อนโยน แต่กลับแฝงเร้นไว้ด้วยความชั่วร้ายเลือดเย็น คำพูดของเขาสั่นสะเทือนโลกนี้ได้ทั้งใบ กลืนกินได้ทุกสรรพสิ่ง ทำลายล้างได้ทุกอย่าง คำพูดของเขานั้นทำให้ อลองโซ คาลิเวียลา เผยรอยยิ้มเล็ก ๆ แห่งความน่าสะพรึงกลัวออกมาให้เห็น คำพูดนั้นทำให้ ดอลฟา ไฮเลอร์ ผุดรอยยิ้มงดงามน่าลุ่มหลงแต่แฝงไว้ด้วยความอำมหิตเลือดเย็นดั่งอสรพิษร้าย เมื่อคำพูดนั้นจบลงทั้งสามก็ได้แยกย้ายกันไปโดยไม่หลงเหลือร่องรอยใด ๆ เอาไว้ให้เห็นอีกเลย To Be Continued ขอบคุณทุก ๆ คนที่ติดตามอ่านนะครับ
  6. Black remember Special Mission บุบผางามที่เบ่งบานในโลกที่อับเฉา 22 ธันวาคม 2052 กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เวลา 8.00 pm กรุงปารีส คือ เมืองหลวงของสาธารณะรัฐฝรั่งเศสเป็นมหานครที่ตั้งอยู่บนแม่น้ำแซนทางตอนเหนือของประเทศบนใจกลางแคว้นอีลเดอร์ฟรองซ์ ในยุคปัจจุบันนี้กรุงปารีสเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมที่ล้ำสมัยที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ด้วยอิทธิพลของระบบการเมืองการปกครอง การศึกษา บันเทิง การสื่อสารและเทคโนโลยี แฟชั่นและการออกแบบ วิทยาศาสตร์และศิลปะ ทำให้กรุงปารีสเป็นหนึ่งในมหานครที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ทั่วทั้งเมืองแห่งนี้ถูกรายล้อมไปด้วยอาคารสูงเสียดฟ้าที่มีรูปทรงอันทันสมัยของบริษัทเอกชนต่าง ๆ โรงแรมหรู ห้างสรรพสินค้าชั้นนำ และสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ ๆ มากมาย ใจกลางย่านธุรกิจแห่งหนึ่งของกรุงปารีสในยามราตรี ยังคงสว่างไสวไปด้วยแสงไฟที่ส่องแสงสาดส่องลงมาจากตัวอาคารบ้านเรือนต่าง ๆ บนถนนคนเดินนั้นก็ยังคงเต็มไปด้วยผู้คนและนักท่องเที่ยว และบนท้องถนนนั้นก็เต็มไปด้วยยานพาหนะส่วนบุคลหรือรถยนต์ที่สัญจรผ่านไปมา ด้วยแสงสีเสียงที่แสนงดงามตระการตาเช่นนี้นี่เอง ที่ทำให้กรุงปารีสแห่งนี้เป็นเมืองมีชื่อเล่นหรือฉายาต่าง ๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็น เมืองที่ไม่เคยหลับใหล นครแห่งแสงสี สวรรค์ของคู่รัก ศูนย์กลางแห่งแฟชั่นและการออกแบบของโลกยุคนี้ มหานครแห่งความทันสมัยที่ไม่เคยหยุดนิ่ง ทั้งหมดนี้คือกระจกที่สะท้อนความเป็นตัวตนของฝรั่งเศสออกมาให้โลกภายนอกได้รับรู้ ทว่าความงดงามที่เผยออกมาให้โลกภายนอกได้เห็นนั้น ยังมีความลึกล้ำดำมืดอยู่ภายใน ลึกลงไปยังใต้พื้นดินที่อยู่เบื้องล่างของใจกลางมหานครกรุงปารีสประมาณสามร้อยเมตร ยังมีสังคมอีกสังคมหนึ่งที่คนธรรมดาทั่วไปที่ใช้ชีวิตอยู่ในสังคมเบื้องหน้าไม่เคยได้รับรู้หรือสัมผัสกับมันมาก่อน ที่สังคมแห่งนี้ยังมีสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งมันได้รับการขนานนามจากกลุ่มบุคลที่อาศัยอยู่ในสังคมแห่งนี้ว่า โคลอสเซียม ดิ อันเดอร์กราวด์ โคลอสเซียม ดิ อันเดอร์กราวด์ คือ เวทีการต่อสู้ใต้ดินขนาดใหญ่ มันเป็นอาคารรูปทรงสว่านที่มีความลึกลงไปยังใต้พื้นดินอีกเจ็ดชั้น แต่ละชั้นจะมีขนาดและความกว้างที่ต่างกันไป ในชั้นที่หนึ่งซึ่งเป็นชั้นของเหล่าผู้ชมจะเป็นชั้นที่มีความกว้างมากที่สุด ส่วนชั้นสุดท้ายซึ่งเป็นชั้นของเหล่าผู้แข่งขันเป็นชั้นที่มีขนาด 30 คูณ 30 เท่านั้น บนชั้นที่หนึ่งในส่วนของห้องโถงซึ่งเป็นบริเวณของแขกผู้เข้าชม ภายในนั้นเต็มไปด้วยแขกผู้ทรงเกียรติมากมายหลายร้อยคนที่มาจากประเทศต่าง ๆ มากมายหลายสิบประเทศ ซึ่งแขกเหล่านั้นก็ล้วนแล้วแต่เป็นกลุ่มบุคคลที่มีชื่อเสียงในแวดวงต่าง ๆ ในสังคมเบื้องหน้า บางคนเป็นดาราภาพยนตร์ นายแบบ หรือ นางแบบ นักธุรกิจพันล้าน นายทหารชั้นผู้ใหญ่ ไปจนถึงนักการเมืองในบางประเทศ ทว่าในที่แห่งนี้พวกเขาทั้งหลายมารวมตัวกันเพื่อดื่มด่ำและเฉลิมฉลองไปกับ การแสดงศิลปะการต่อสู้ และความตายที่เกิดขึ้นที่ปรากฏอยู่บนจอมอนิเตอร์สามมิติที่หน้าเวที การพนันของพวกเขาเหล่านั้นเป็นวงเงินที่มีจำนวนสูงมาก บางคนพนันไปสิบล้านยูโรหรือบางคนก็พนันกันสูงถึงร้อยล้านยูโร ซึ่งการพนันเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นการพนันที่ผิดต่อหลักกฎหมายสากล ท่ามกลางแขกผู้ทรงเกียรติที่กำลังตื่นตาตื่นใจไปกับการต่อสู้ที่ฉายอยู่บนจอมอนิเตอร์กันอยู่นั้น สตรีนางหนึ่งซึ่งไม่เป็นที่รู้จักทว่าโดดเด่น นามของเธอคือ มิเนอร์วา เพรสซิเดนท์ (18 ปี) สาวอังกฤษผิวพรรณขาวนวล รูปร่างสูงเพรียวระหง หุ่นดีมาก ผมสีน้ำเงินยาวเงางาม ใบหน้าเรียวสวยได้รูปดูงดงามเป็นธรรมชาติ ดวงตาคมตาสองชั้นที่เปล่งประกายงดงามดั่งอัญมณีคู่นั้นมีสีที่ต่างกัน เธอมีนัยน์ตาข้างซ้ายสีอความาลีนและมีนัยน์ตาข้างขวาสีเขียวมรกต อยู่ในชุดสาวเสิร์ฟสีขาวที่ดูเรียบร้อยสะอาดตาและสวมกระโปรงสั้นสีดำ กำลังทำหน้าที่บริการบรรดาแขกผู้ทรงเกียรติทั้งหลายในงานอยู่ ในความเป็นจริงนั้น มิเนอร์วา คือสายลับสาวผู้มากด้วยความสามารถ และมีชื่อเสียงโด่งดังพอสมควร สมญานามของเธอคือ “เทพธิดาแห่งสมรภูมิ” และที่เด็กสาวต้องเข้ามาทำงานในที่แบบนี้ไม่ได้เป็นเพราะ ชอบ หรือ มีงานอดิเรกแบบแปลก ๆ แต่อย่างใด แต่ที่เด็กสาวมาทำงานในสถานที่แบบนี้ เป็นเพราะเธอได้รับมอบหมายงานชิ้นหนึ่งมาจาก ฮันนิบาล เลสเตอร์ ผู้เป็นเจ้านายของเธอ ว่าให้เธอแฝงตัวเข้ามาทำงานในฐานะสาวเสิร์ฟภายในงานนี้ เพื่อเข้ามาทำการจารกรรมข้อมูลทุกอย่างของนาย ฟรานเชสโก้ ฟรังโก้ นักธุรกิจพันล้านผู้เป็นเจ้าของธุรกิจโรงแรมหรูและบ่อนคาสิโนหลายสิบแห่งในประเทศฝรั่งเศส แต่มีเบื้องหลังเป็นทั้งนักค้าอาวุธอิสระและยังเป็นเจ้าของเวทีต่อสู้ใต้ดินแห่งนี้ ภายในงานแห่งนี้นอกจาก มิเนอร์วา ที่แฝงตัวเข้ามาทำงานในฐานะสาวเสิร์ฟแล้ว ยังมีบุรุษอีกนายหนึ่งนามของเขาคือ เลนิน ฮาซาร์ด (25 ปี) หนุ่มรัสเซียรูปร่างสูงสง่าอยู่ในชุดสูทสีดำผูกเนกไทสีแดง ผมสั้นประบ่าสีแดงเพลิง รูปหน้าคมคาย ดวงตาคม ตาสองชั้นที่มีสีทองเหมือนกับทองคำบริสุทธิ์คู่นั้นดูลึกล้ำและเย็นชา ชายหนุ่มกำลังเดินอยู่ที่มุมหนึ่งภายในงานเฉลิมฉลองพลางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ งานเพื่อมองหาเป้าหมายของเขาอย่างใจเย็น จากข้อมูลที่มีอยู่ภายในองค์กร SPHERE เลนิน ฮาซาร์ด คือเจ้าหน้าที่พิเศษที่อันตรายที่สุดคนหนึ่งของกองกำลังพิเศษ SPHERE เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการต่อสู้ทุกชนิดและการสู้รบทุกรูปแบบ ที่แฝงตัวเข้ามาภายในงานฉลองครั้งนี้ ในฐานะนักค้าอาวุธอิสระที่ชื่อว่า รัสปูติน เพื่อตามล่าชายที่ชื่อ นิโคลาย รูวินสกี้ ผู้ก่อการร้ายอิสระอดีตสายลับรัสเซียที่ถูกทางรัฐบาลรัสเซียตามล่าในโทษฐาน วางระเบิดทำเนียบรัฐบาลและสถานทูตรัสเซียในหลาย ๆ ประเทศ ก่อนจะหายตัวไป สิ่งที่ปรากฏอยู่ในแววตาของสายลับหนุ่มสุดอันตรายผู้นี้คือ ภาพของชายคนหนึ่งที่อยู่ในขุดสูทสีขาวกำลังนั่งจิบเหล้าวอดก้าอยู่ที่มุมหนึ่งภายในงาน นิโคลาย รูวินสกี้ (28 ปี) หนุ่มอิตาลีร่างสูงโปร่ง ผมสั้นสีเทาจัดทรงมาอย่างดี ใบหน้าแหลมเรียว ดวงตาสีน้ำตาล จากสายตาของสายลับหนุ่มสุดอันตราย นิโคลาย ชายผู้ตกเป็นเป้าหมายของเขากำลังดื่มเหล้ายี่ห้อวอดก้าอยู่ ท่ามกลางแขกที่กำลังสนอกสนใจงานแข่งขัน เลนิน ฮาซาร์ด ก็หยิบไวน์จากสาวบริการคนหนึ่งที่ยกมาเสิร์ฟขึ้นมาดื่มช้า ๆ จนหมดแก้วซะก่อนจะเดินไปหาเป้าหมายอย่างเนิบ ๆ บนทางเดินลับสีขาวที่อยู่ทางด้านทิศใต้ของตัวอาคารสตรีนางหนึ่งนาม มิเนอร์วา ที่อยู่ในชุดสาวเสิร์ฟสีขาว กำลังเดินเข้าไปยังสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งอยู่เบื้องหน้าของเธอ มันเส้นทางที่เข้าไปสู่ห้องเก็บข้อมูลลับ หญิง สาวก้าวเท้าผ่านเข้ามายังสถานที่ลับซึ่งมีน้อยคนนักที่จะรู้จัก ซึ่งมันก็คือทางเข้า-ออกของห้องเก็บข้อมูลลับสุดยอดของ ฟรานเชสโก้ ฟรังโก้ มหาเศรษฐีพันล้านผู้เป็นเจ้าของลานประลองต่อสู้ใต้ดินแห่งนี้ พื้นที่โดยรอบนั้นมันถูกรายล้อมไปด้วยรูปปั้นที่เป็นรูปสิงโตจำนวนเจ็ดตัว มีสามตัวอยู่ทางด้านซ้าย อีกสามอยู่ทางด้านขวามือ และมีตัวหนึ่งอยู่ที่ทางด้านหน้าของทางเข้าไปยังห้องเก็บข้อมูลภายใน และที่สำคัญ รูปปั้นรูปสิงโตพวกนี้มันไม่ใช่รูปปั้นแบบธรรมดาทั่วไป แต่มันเป็นรูปปั้นที่มีแสงเลเซอร์กันขโมยหลากสีสันที่ถูกยิงออกมาจากปาก หรือ ลูกตาของพวกมัน “มีเลเซอร์กันขโมยติดอยู่งั้นเหรอ คงต้องผ่านมันไปให้ได้สินะ” มิเนอร์วาใช้ดวงตาคู่สวยของเธอกวาดสายตามองไปรอบๆ ห้อง พร้อมกับใช้สมาธิในการวิเคราะห์และคำนวณการเคลื่อนที่ของแสงเลเซอร์กันขโมยทั้งหมดอย่างใจเย็น หลัง จากที่หญิงสาวใช้สมาธิไปกับการวิเคราะห์และคำนวณการเคลื่อนที่ของแสงเลเซอร์ เสร็จแล้ว หญิงสาวก็ย่อตัวลงพร้อมกับเดินหลบแสงเลเซอร์เส้นที่หนึ่งไปได้อย่างสบาย ๆ แล้วกะจังหวะให้ดี ๆ ซะก่อนที่จะกลิ้งหลบแสงเลเซอร์สีเขียวไปได้อย่างทันท่วงที ตามด้วยการย่อตัวลงแล้วเดินหลบหลีกแสงเลเซอร์สีเหลืองและเลเซอร์สีส้มอีก เส้นหนึ่งที่กำลังประชิดตัวเข้ามาได้อย่างฉิวเฉียด ก่อนจะก้มตัวลงเพื่อหลบแสงเลเซอร์สีน้ำเงินที่เคลื่อนที่ไปมาอยู่บนศีรษะ แล้วกลิ้งหลบเลเซอร์สีฟ้าไปได้ด้วยลีลาที่อ่อนช้อยและงดงาม แล้วหลังจากนั้นสายลับสาวก็หันไปมองทางด้านซ้ายและขวามือของเธอสลับกันไปมา สักที ก่อนจะหมอบตัวลงกับพื้นแล้วกลิ้งหลบแสงเลเซอร์สีแดงไปได้อย่างเฉียดฉิว ตามด้วยการกลิ้งตัวหลบแสงเลเซอร์สีน้ำเงินซึ่งเป็นเส้นสุดท้ายไปได้อย่าง สง่างาม หลังจากที่ลีลาการร่ายรำที่งดงามในการหลบหลีกเลเซอร์กันขโมยของ มิเนอร์วา จบลง หญิงสาวก็เดินเข้าไปยังประตูทางเข้าของห้องเก็บข้อมูลลับ ที่หน้าประตูมีกลอนประตูแบบใช้รหัสผ่านติดไว้อยู่ และมันก็ทำให้เธอต้องหยุดพิจารณาสักครู่หนึ่ง “รหัสผ่านรึ ถ้าจำไม่ผิดมันก็....” มิเนอร์วา วิเคราะห์เสร็จแล้ว เธอก็ใช้นิ้วมือเรียวเล็กกดพิมพ์รหัสผ่านชุดหนึ่งเข้าไป ตัวเลขที่ปรากฏขึ้นมาบนจอนั้นก็คือ “1140694826535” พริบตานั้นประตูเลื่อนอัตโนมัติก็เปิดออก แล้ว มิเนอร์วา ก็ก้าวเท้าผ่านเข้าไปในห้อง มิเนอร์วาลอบเข้ามาในห้องเก็บข้อมูลลับได้สำเร็จ หญิงสาวก็กวาดสายตามองไปรอบๆ ภายในนั้นเต็มไปด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์และระบบปฏิบัติการลับมากมาย ก่อนที่เธอจะหันไปมองคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งที่อยู่กลางห้อง แล้วเดินไปนั่งที่โต๊ะคอมพิวเตอร์เครื่องนั้นทันที มิเนอร์วาเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ทันที ภาพที่ปรากฏขึ้นมาบนหน้าจอก็คือ คำถามหนึ่งคำถามที่ออกมาพร้อมกับตัวเลขชุดหนึ่งที่ถูกเขียนเอาไว้อย่างมั่ว ๆ จงพิมพ์รหัสผ่านจากตัวเลขที่มีอยู่ต่อไปนี้ให้ถูกต้อง 27071953010719542211198020071988110920011912194611112012011119551505197525061950 “รหัสผ่านที่ถูกต้องอย่างนั้นเหรอ” สายลับสาวผู้อยู่เยือกเย็นอยู่เป็นนิจครุ่นคิด ถึงสิ่งที่ตัวเลขจำนวนหนึ่งปรากฏออกมาให้เห็นผ่านทางหน้าจอคอมพิวเตอร์ “คงต้องตรวจสอบตัวเลขพวกนี้ก่อนสินะ ถึงจะรู้ว่ามีอะไรซ่อนอยู่” สายลับสาวละสายตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ แล้วเอื้อมมือไปหยิบกระดาษขึ้นมาแผ่นหนึ่งเพื่อจดตัวเลขทั้งหมดที่ปรากฏอยู่บนจอลงมาบนแผ่นกระดาษ บนชั้นที่หนึ่งภายในห้องโถงบริเวณที่จัดงานท่ามกลางเหล่าคนดังที่กำลังเฉลิมฉลองและเล่นการพนันกันอยู่ บุรุษสุดอันตรายผู้มีนามว่า เลนิน ฮาซาร์ด กำลังจับจ้องมองไปยัง นิโคลาย รูวินสกี้ ที่กำลังเดินอยู่ที่มุมหนึ่งภายในงาน “คงถึงเวลาลงมือแล้ว” สายลับหนุ่มสุดอันตรายจึงหยิบเหล้าวอดก้าขึ้นมากระดกจนหมดแก้ว แล้วลุกขึ้นหันไปมองรอบ ๆ งานเพื่อดูให้แน่ใจก่อนว่าแขกกำลังสนอกสนใจการแข่งขันกันอยู่หรือเปล่า เมื่อเห็นว่าแขกทั้งหลายกำลังใจจดใจจออยู่ที่การแข่งขันมากกว่า เขาจึงเดินไปหาเป้าหมายของเขาอย่างใจเย็น สายลับหนุ่มสุดอันตราย เลนิน ฮาซาร์ด กำลังเดินไปหาชายผู้ตกเป็นเป้าหมายที่อยู่เบื้องหน้าอย่างเนิบโดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็น ขณะเดียวกัน นิโคลาย ผู้ก่อการร้ายอิสระเองก็กำลังเดินมาทางเขาโดยที่ไม่รู้ตัว ใน วินาทีที่บุรุษทั้งสองกำลังเดินสวนกันอยู่นั้น สายลับหนุ่มสุดอันตรายก็ล้วงมือเจ้าไปในกระเป๋าเสื้อหยิบของบางสิ่งออกมา แล้วเก็บมันเข้าไปในกระเป๋าอย่างรวดเร็วโดยที่ไม่มีผู้ใดทันสังเกตเห็นวัตถุ รูปทรงประหลาดชิ้นนั้น “เรียบร้อย” สายลับหนุ่มสุดอันตรายหันไปชำเลืองมองชายผู้ตกเป็นเป้าหมายในภารกิจครั้งนี้ของเขาสักพัก ก่อนจะเดินผ่านบรรดาแขกผู้มีเกียรติออกไปจากงานได้อย่างไร้ร่องรอย นิโคลายที่ยังไม่รู้สึกตัวว่าโดนกระทำบางอย่างจากของบางสิ่ง ได้เดินมานั่งลงบนเก้าอี้ของเขา เอื้อมมือไปหยิบเหล้ามาเทใส่แก้วแล้วดื่มมันลงไปในคอ ทว่าฉับพลันนั้น นิโคลาย ก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่แล่นไปทั่วร่างราวกับว่ามันกำลังจะฉีกกระชากร่างกายเขาให้แยกออกจากัน ก่อนจะเอามือไปคลำบริเวณหน้าอกและสิ่งที่เขาพบก็คือ “เลือด” ใช่สิ่งที่ นิโคลาย ผู้ก่อการร้ายอิสระเห็นมันก็คือ “เลือด” โลหิตสีแดงฉานที่กำลังทะลักออกมาจากทางปากแผลที่ถูกแทงด้วยวัตถุประหลาดบางอย่างนั้น มันกำลังกระตุ้นให้ นิโคลาย ผู้ก่อการร้ายที่ได้กลายมาเป็นเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย พยายามนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่ สิ่งที่อยู่ในความทรงจำของผู้ก่อการร้ายอิสระก่อนตายคือภาพของเหตุการณ์ช่วงหนึ่งที่พึ่งเกิดขึ้นไปเมื่อสักครู่ นั่นคือ ตอนที่เขากำลังเดินสวนกับ บุรุษลึกลับผู้หนึ่งที่มีผมสีแดงเพลิง ดวงตาคมนัยน์ตาสีเหลืองทอง แล้วชายคนนั้นคว้าของบางสิ่งซึ่งแท้ที่จริงแล้วมันก็คือ “มีด” ออกมาจากกระเป๋าแล้วเสียบมันเข้าที่หัวใจของเขาอย่างรวดเร็วจนไม่ทันสังเกตเห็น ทว่ามันกลับสายไปเสียแล้ว เพราะ ตอนนี้สติของ นิโคลาย กำลังเรือนรางแล้วหมดสติก่อนที่จะหลับตาลงเข้าสู่ห้วงมรณะไปอย่างเดียวดายในโลกที่เหมือนกับกองขยะโดยไม่มีใครรู้ หรือ สังเกตเห็นใด ๆ ภายในห้องเก็บข้อมูลลับสุดยอดของเวทีต่อสู้ใต้ดินขนาดสตรีในชุดสาวเสิร์ฟนางหนึ่งนามของเธอก็คือ มิเนอร์วา กำลังนั่งจดตัวเลขที่อยู่บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ลงบนแผ่นกระดาษ ก่อนที่จะนำมันมานั่งวิเคราะห์ว่า ตัวเลขเหล่านั้นมันมีอะไรซ่อนอยู่กันแน่ หญิงสาวกำลังนั่งวิเคราะห์อย่างใจเย็น สิ่งที่อยู่ในความคิดของเธอในตอนนี้คือ ตัวเลขชุดซึ่งปรากฏอยู่บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ “ฉันรู้แล้ว ว่าตัวเลขพวกนี้มันมีอะไรซ่อนอยู่” หญิงสาวเผยรอยยิ้มเล็ก ๆ ที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ ก่อนที่จะพิมพ์ตัวเลขทั้งหมดลงบนกระดาษอีกใบ แต่สิ่งต่างกันออกไปก็คือ ตัวเลขที่เธอเขียนขึ้นใหม่นั้นมันถูกแบ่งออกเป็นชุด ๆ จำนวนชุดละเจ็ดหลัก 27071953010719542211198020071988110920011912194611112012011119551505197525061950 11092001111120120111195515051975250619502707195319121946010719542211198020071988 11092001 11112012 01111955 15051975 25061950 27071953 19121946 01071954 22111980 20071988 “ที่แท้ตัวเลขทั้งหมดนี้มันคือ เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์โลกนี่เอง” สิบห้านาทีผ่านไปหลังจากที่ มิเนอร์วา นั่งเรียบเรียงตัวเลขทั้งหมดที่อยู่ในความคิดของเธอออกแล้ว จึงพิมพ์ข้อความที่เป็นตัวเลขชุดหนึ่งลงไป 11092001 11112012 01111955 15051975 25061950 27071953 19121946 01071954 22111980 20071988 หลังจากที่หญิงสาวพิมพ์ข้อความเสร็จแล้ว สิ่งที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ตอนนี้คือช่วงเวลาที่ต้องลุ้นระทึก เพราะมันคือ การนับถอยหลังเข้าสู่ขั้นตอนสุดท้ายซึ่งเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุด เหลือเวลาอีก 30 % จะเข้าสู้แฟ้มข้อมูลลับ เหลือเวลาอีก 20 % จะเข้าสู้แฟ้มข้อมูลลับ เหลือเวลาอีก 10 % จะเข้าสู้แฟ้มข้อมูลลับ เข้าสู่ข้อมูลลับแล้ว ภาพที่หญิงสาวเห็นบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ก็คือ ภาพของแฟ้มข้อมูลลับที่อยู่ในส่วนต่าง ๆ ของ เวทีการต่อสู้ใต้ดินแห่งนี้ไม่ว่าจะเป็น ข้อมูลส่วนตัวของนายฟรานเชสโก้ ฟรังโก้ รายชื่อของสมาชิกทั้งหมดที่เข้าร่วม ตัวเลขการพนันของบุคลเหล่านั้น และ พิมพ์เขียวของตัวอาคาร มิเนอร์วา หยิบแผ่นดีวีดีขึ้นมาจากกระเป๋าแล้วใส่มันเข้าไปในช่องเก็บซีดีของเครื่องคอมพิวเตอร์ ก่อนจะเริ่มทำการดาวโหลดข้อมูลทั้งหมดลงแผ่น เหลือเวลาอีก 30 วินาที การดาวโหลดจะเสร็จสมบูรณ์ เหลือเวลาอีก 20 วินาที การดาวโหลดจะเสร็จสมบูรณ์ เหลือเวลาอีก 10 วินาที การดาวโหลดจะเสร็จสมบูรณ์ การดาวโหลดเสร็จสมบูรณ์ “บิงโก สำเร็จแล้ว” หลังจากที่ดาวโหลดข้อมูลทุกอย่างเสร็จสิ้น หญิงสาวก็จัดการเก็บแผ่นดีวีดีใส่กระเป๋า ปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ให้เรียบร้อย ก่อนเดินออกจากห้องนี้มุ่งตรงไปยังทางเข้า-ออก ที่เคยผ่านเข้ามา มิเนอร์วา หยุดเดิน เบื้องหน้าของเธอคือ รูปปั้นที่เป็นรูปสิงโตที่มีอยู่ทั้งหมดเจ็ดตัวแต่ละตัวนั่นมันก็มีแสงเลเซอร์หลากสีที่ถูกยิงออกมาจากทางปาก หรือ ลูกตาของรูปปั้นพวกนั้น “คงต้องออกกำลังกายกันอีกหน” หญิงสาวจึงใช้มือรวบผมให้เป็นทรงหางม้า แล้วกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ก่อนที่จะใช้สมาธิทั้งหมด เพื่อทำการวิเคราะห์และคำนวณการเคลื่อนที่ของแสงเลเซอร์ที่ติดไว้อยู่ทั่วห้อง ห้านาทีผ่านไป หลังจากที่สายลับสาววิเคราะห์เสร็จแล้ว เธอก็หมอบตัวลงกับพื้นแล้วกลิ้งหลบแสงเลเซอร์สีแดงที่อยู่บนศีรษะ มองไปยังแสงเลเซอร์สีน้ำเงินสองเส้นที่ขนาบข้างมาแล้วกลิ้งหลบแสงเลเซอร์สอง เส้นนั้นไปได้อย่างฉิวเฉียด ตามด้วยการมองความเคลื่อนที่ของแสงเลเซอร์สีเหลืองที่อยู่ข้างหน้าแล้วย่อ ตัวลงเดินหลบมันไปได้อย่างสบาย ๆ สายตาของสายลับสาวหยุดอยู่ที่แสงเลเซอร์สีเขียวกับสีฟ้าที่กำลังเคลื่อนที่ เข้ามาหาแล้วย่อตัวลงกับพื้นค่อย ๆ กลิ้งหลบแสงเลเซอร์สองเส้นไปได้ด้วยลีลาที่เหนือชั้น กวาดสายตามองไปยังแสงเลเซอร์สามเส้นสุดท้ายที่กำลังเคลื่อนที่อยู่นั่นคือ แสงเลเซอร์สีส้มกับแสงเลเซอร์สีแดงอีกสองเส้น ก่อนจะย่อตัวลงกับพื้นเพื่อเดินหลบแสงเลเซอร์สีส้มที่กำลังเคลื่อนที่เข้ามา หาไปได้ด้วยลีลาที่อ่อนช้อยงดงาม จากนั้นก็ตามด้วยหมอบลงกับพื้นเพื่อหลบแสงเลเซอร์สีแดงที่อยู่เหนือศีรษะ ก่อนกลิ้งแสงเลเซอร์อีกเส้นไปได้อย่างสง่างาม หลังจากที่ลีลาการหลบหลีกแสง เลเซอร์ที่แสนงดงามของสายลับสาวจบลง เธอก็เดินออกไปจากสถานที่ลับแห่งนี้เพื่อมุ่งขึ้นไปยังด้านเหนือของตัวอาคาร ซึ่งเป็นทาง-เข้าออกเพียงทางเดียวของเวทีลานต่อสู้ใต้ดินแห่งนี้ ทาง ด้านเหนือของตัวอาคาร มีลิฟต์อยู่ตัวหนึ่งซึ่งมันคือทางเข้า-ออก ที่จะขึ้นไปยังเหนือพื้นดิน เพียงแห่งเดียวของเวทีลานต่อสู้ใต้ดินแห่งนี้ พื้นที่โดยรอบบริเวณหน้าลิฟต์ตัวนั้นมันมีพวกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย จำนวนหนึ่งกำลังทำงานกันอยู่ พวกเขาเหล่านั้นจะคอยทำหน้าที่ตรวจบัตรสมาชิกของผู้เข้ามาร่วมชมงานและบัตร ประจำตัวของเหล่าพนักงาน หากผู้ใดไม่มีก็อย่าหวังว่าจะได้ออกไปจากที่นี่อีกเป็นครั้งที่สอง บนทางเดินเส้นทางหนึ่งที่อยู่ บริเวณห้องโถงซึ่งเป็นสถานที่จัดงาน เลนิน ฮาซาร์ด กำลังเดินออกมาเดินออกมาห้องโถงจากหลังจากที่เขาทำภารกิจเสร็จแล้ว ขณะนี้เขากำลังเดินผ่านพวกเจ้าหน้าที่พนักงานและสมาชิกผู้ร่วมงานคนอื่น ๆ ไปยังอุโมงค์ทางเดินซึ่งเป็นทางเดินที่เชื่อมต่อกันระหว่างตัวอาคารที่อยู่ ทางด้านเหนือกับห้องโถงซึ่งเป็นที่จัดงาน เมื่อสายลับหนุ่มเดินเข้ามาถึงอุโมงค์ทางเดินใต้ดิน เขาจึงกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ท่ามกลางกลุ่มคนที่กำลังเดินผ่านมาและผ่านไป แล้วเขาก็สังเกตเห็นว่ามีสาวเสิร์ฟคนหนึ่งกำลังเดินผ่านเข้ามายังอุโมงค์ทางเดินแห่งนี้ จากสายตาของชายหนุ่มที่มองไปยังสาวเสิร์ฟคนนั้น สิ่งแรกที่เขามองเห็นคือ ท่าทางการเดินที่ดูดีมีบุคลิกและเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ ซึ่งแตกต่างไปจากสาวเสิร์ฟคนอื่น ๆ ที่เขาเคยเห็นภายในงาน สิ่งที่สองที่ชายหนุ่มตั้งข้อสังเกตเห็นคือ การแต่งตัวที่ดูเรียบร้อยสะอาดสะอ้านต่างไปจากพนักงานคนอื่น ๆ ตามด้วยสิ่งที่สามซึ่งเป็นสิ่งที่ชายหนุ่มตั้งข้อสังเกตเห็นนั่นคือ รูปร่างหน้าตาของหญิงสาว จากสายตาของสายลับหนุ่มสาวเสิร์ฟคนนั้นมีผิวพรรณที่ขาวนวลเป็นธรรมชาติ และรูปร่างงดงามไม่ต่างไปจากนางแบบหรือดาราบนนิตยสารวัยรุ่น สิ่งสุดท้ายที่ชายหนุ่มสังเกต เห็นและเริ่มทำการค้นคว้าอย่างละเอียดคือ สีหน้าและแววตาของสาวเสิร์ฟคนนั้น เขาสังเกตว่าสาวเสิร์ฟคนนั้น มีใบหน้าสงบนิ่งดูสง่างาม ผมสีน้ำเงินยาวสยายไปถึงกลางหลังที่ดูเงางาม และสิ่งที่เป็นที่น่าสังเกตที่สุดคือ ดวงตาคู่สวยชวนหลงใหลของสาวเสิร์ฟคนนั้นที่มีตาสองสีที่ต่างกัน เพียงเท่านั้นเขาก็ได้ข้อสรุปทันทีว่า ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไปแน่นอน “ยัยนั่นมัน ดอกไม้งามในกองขยะชัด ๆ” สิ่งที่อยู่ในความคิดของ เลนิน ฮาซาร์ด หลังจากที่เขาพิจารณาส่วนต่าง ๆ ของสาวเสิร์ฟคนนั้นเสร็จแล้ว “ยัยนั่นมันเป็นใครกันแน่ ทำไมถึงมาทำงานในที่แบบนี้ หรือว่า...” สายลับหนุ่มสุดอันตรายตั้งข้อสันนิฐานต่าง ๆ เอาไว้มากมาย เกี่ยวกับตัวจริงสาวเสิร์ฟนี้ว่าเธอเป็นใครกันแน่ สายลับหนุ่มจึงตัดสินใจเดินเข้าไปคุยกับสาวเสิร์ฟคนนั้นทันที มิเนอร์วา ที่อยู่ในชุดสาวเสิร์ฟ กำลังเดินอยู่ท่ามกลางเหล่าผู้คนในอุโมงค์ทางเดิน เธอกำลังมุ่งหน้าไปยังอาคารที่อยู่ทางด้านเหนือซึ่งเป็นทางเข้า-ออกเพียงแห่งเดียวของเวทีต่อสู้ใต้ดินแห่งนี้ “สวัสดี” เสียงของชายคนหนึ่งดังขึ้นทำให้ มิเนอร์วา ต้องหยุดชะงักแล้วหันไปมอง บุรุษผู้หนึ่งที่เดินเข้ามาทักทาย สตรีในชุดสาวเสิร์ฟหันไปสบตากับบุรุษลึกลับผู้มีรูปร่างสูงสง่า ผมสีแดงเพลิงสั้นประบ่า ดวงตาสีทองดั่งทองคำบริสุทธิ์ สักพักด้วยท่าทีที่นิ่งเฉยแล้วหันกลับมาก่อนก้าวเท้าเดินต่อไป “ผมรู้ว่าคุณเป็นสายลับ”เพียง คำพูดเบา ๆ ราวกับเสียงกระซิบ ทำให้ มิเนอร์วา หยุดชะงักแล้วหันไปมองด้วยท่าทีที่สงบนิ่ง ทว่าในใจของเธอกับรู้สึกกังวลกับคำพูดเมื่อครู่ของชายผู้นี้ “ไม่ต้องกังวลไป ผมเองก็ทำงานแบบเดียวกับคุณ” บุรุษลึกลับผู้อ้างตนว่าเป็นสายลับยื่นหน้าเข้าใกล้หญิงสาวแล้วกระซิบข้างหู “ตามผมมา ผมมีเรื่องสำคัญจะบอกคุณ” บุรุษลึกลับผู้นั้นกระซิบครั้งสุดท้ายแล้วส่งเศษกระดาษชิ้นเล็ก ๆ แผ่นหนึ่งให้หญิงสาวอย่างลับ ๆ โดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็น แล้วเดินนำหน้าไป “หมอนั่น มันเป็นใครกัน” หลังจากที่บุรุษลึกลับผู้อ้างตนเป็นสายลับเดินนำหน้าไปได้สักพัก แต่คำพูดเบา ๆ ราวกับเสียงกระซิบของเขานั้นยังคงดังกึกก้องอยู่ในหูของ มิเนอร์วา สิ่งที่อยู่ในความคิดของเธอในขณะนี้คือ “นักฆ่าที่เจ้านั่นมันส่งมารึ” “ไม่สิ ยังไม่ใช่” “ถ้าเป็นนักฆ่าที่เจ้านั่นมันส่งมา ทำไมถึงต้องทำอะไรที่มันยุ่งยากขนาดนั้นด้วยล่ะ” “ถ้าอย่างนั้นเจ้าหมอนั่นมันเป็นใครกันแน่ หรือว่าเขาจะเป็น” “ตามไปเดี๋ยวก็รู้เองนั่นแหละ” มิเนอร์วาตั้งข้อสันนิฐานของตนเสร็จสิ้นแล้วจึงหยุดวิเคราะห์ไปในทันที แล้วเดินตรงไปยังหน้าลิฟต์ ยื่นบัตรประจำตัวพนักงานที่ใช้นามว่า “แองเจิ้ล ริส” ไปให้พวกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตรวจแล้วยืนรอสักพักเพื่อให้พวกเจ้าหน้าที่ตรวจบัตรพนักงาน หลังจากที่พวกพนักงานรักษาความปลอดภัยตรวจบัตรเสร็จแล้วจึงส่งมันคืนให้กับหญิงสาว ก่อนที่จะมีเจ้าหน้าอีกคนเอาผ้าสีดำมาปิตาของสายลับสาว แล้วนำเธอเข้าไปในลิฟต์เพื่อที่จะนำเธอไปส่งยังจุดหมาย ที่หน้าสวนสาธารณะแห่งหนึ่งในกรุงปารีส เวลา 8.30 PM บนท้องถนนในยามราตรีมีรถคันหนึ่งแล่นเข้ามาจอดที่บริเวณหน้าประตูของสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง “ลงไปซะ” เสียงของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเวทีการต่อสู้ที่ดังขึ้น ทำให้สตรีนางหนึ่งถอดผ้าปิดตาออกแล้วก้าวเดินลงมาจากรถ เธอคือสายลับสาวที่อยู่ในชุดสาวเสิร์ฟนาม มิเนอร์วา หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่คนนั้นก็ขับรถออกไปอย่างไม่สนใจ หลังจากที่ มิเนอร์วา เห็นว่ารถคันนั้นแล่นออกไปได้สักพักแล้ว หญิงสาวจึงเดินผ่านผู้คนที่กำลังสัญจรผ่านไปมาออกไปจากบริเวณสวนสาธารณะ ก่อนหยุดเดินแล้วหยิบเศษกระดาษชิ้นเล็ก ๆ แผ่นหนึ่ง ที่บุรุษลึกลับผู้มีผมสีแดงเพลิงออกมาอ่าน “ผมอยากให้คุณมาที่ภัตตาคารตอนสามทุ่ม มีเรื่องสำคัญจะคุย” หลังจากที่ มิเนอร์วา อ่านข้อความบนเศษกระดาษจบแล้ว เธอก็เข้าใจได้ในทันทีว่า บุรุษลึกลับผู้มีผมสีแดงเพลิงคนนั้นเป็นสายลับอย่างที่เขาบอกกับเธอไว้จริง ๆ แต่ตอนนี้เธอกำลังสงสัยอยู่ว่า ชายคนนั้นมีเรื่องสำคัญอะไรจะคุยกับเธอที่ภัตตาคาร ในภัตตาคารอาหารริมระเบียงของโรงแรมแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ห่างออกไปจากย่านธุรกิจของกรุงปารีสไปประมาณสิบกิโลเมตร เวลาประมาณ 3 ทุ่ม สุภาพ สตรีผู้มีรูปร่างงดงามเฉิดฉายนามของเธอก็คือ มิเนอร์วา เพรสซิเดนท์ ผู้ที่กำลังเดินทอดกายเข้ามาในภัตตาคารอาหารริมระเบียงของโรงแรมแห่งหนึ่ง ในชุดราตรีสีน้ำเงินดำเปลือยหลังกระโปรงยาวผ่าด้านข้างสูงเผยให้เห็นถึงผิว พรรณขาวนวลเนียนและเรียวขางาม ผิวของเธอยามที่สะท้อนแสงจันทร์ในยามราตรีนั้น ทำให้เหล่าสุภาพบุรุษทั้งหลายภายในภัตตาคารพากันหันมาจ้องมองตัวเธอกันอย่าง ไม่ละสายตาราวกับตกอยู่ในภวังค์ใต้มนต์สะกดของเธอ มิเนอร์วา เดินหลบฉากออกไปจากภายในภัตตาคารเพื่อไปสัมผัสกับบรรยากาศยามราตรีที่ริมระเบียง ก่อนหันตัวไปพิงระเบียงเพื่อดูดวงจันทร์ที่ทอประกายแสงอยู่บนท้องฟ้า ดวงตาคมโต ตาสองชั้นที่มีสีต่างกันคู่นั้นเป็นประกายงดงามดั่งอัญมณีเมื่อสะท้อนกับแสงจันทร์บนท้องนภา สีของดวงตาและดวงจันทร์นั้นดูงดงามและกลมกลืนกันอย่างน่าอัศจรรย์ใจ แต่เมื่อหญิงสาวละสายตาจากจันทราและดวงดาราบนฟากฟ้า แล้วมองผ่านเข้าไปในภัตตาคารทำให้เธอได้รู้ว่า สุภาพบุรุษทั้งหลายได้ตั้งเธอเป็นหัวข้อสนทนาเนื่องจากพวกเขาไม่อาจละสายตาไปจากตัวเธอได้เลย ทันใดนั้นหญิงสาวก็สังเกตเห็นสุภาพบุรุษผู้หนึ่งกำลังเดินผ่านเหล่าชายหนุ่มทั้งหลายเข้ามาหาเธอ หญิงสาวจึงหันหลังกลับไปยืนพิงระเบียงสัมผัสกับบรรยากาศเย็นสบายในยามราตรีอีกคราหนึ่ง “สวัสดี คุณผู้หญิง รอนานหรือเปล่า” คำทักทายด้วยเสียงเย็นชาของบุรุษผู้หนึ่งดังขึ้นทำให้ มิเนอร์วา หันกลับไปมอง สุภาพบุรุษผู้นี้มีรูปร่างสูงสง่า นามของเขาคือ เลนิน ฮาซาร์ด หนุ่มรัสเซียที่ปรากฏตัวในชุดสูทสีดำผูกเนกไทสีขาว ผมสั้นประบ่าสีแดงเพลิงที่ถูกจัดทรงมาอย่างดีนั้นดูโดดเด่น จนทำให้บรรดาสุภาพสตรีที่กำลังทานอาหารอยู่ในภัตตาคารต่างก็พากันนึกว่าเขาเป็น นายแบบที่มีชื่อเสียง หรือ นักธุรกิจผู้โด่งดังจากที่ไหนซักแห่ง “ไม่หรอก” มิเนอร์วา ตอบ เลนิน กลับไปด้วยเสียงอันเย็นสงบลึกล้ำไม่ต่างไปจากบรรยากาศอันเงียบสงบในยามราตรีเช่นนี้เลย “ชุดสวยดีนี่” เลนิน กล่าวชมด้วยเสียงเย็นชา ทว่านัยน์ตากลับชำเลืองมองสตรีข้างหน้าอย่างสนใจ “ขอบใจ” มิเนอร์วาเปรยตา ส่งเสียงห้วน ๆ ตอบกลับไป “จริงสิ เรายังไม่ได้รู้จักกันเลย” “ผมชื่อ เลนิน” “เลนิน ฮาซาร์ด”ชายหนุ่มกล่าวคำแนะนำตนเองแล้วยื่นมือไปทักทาย “ฉันชื่อ มิเนอร์วา ยินดีที่ได้รู้จัก”หญิงสาวแนะนำตนเองอย่างเป็นกันเอง “คุณหิวหรือเปล่า จะรับอะไรหน่อยมั้ย” “ตามใจ” “มื้อนี้ผมเลี้ยงคุณเอง” หลังจากที่ มิเนอร์วา และ เลนิน ร่วมโต๊ะทานอาหารกันเสร็จแล้ว ทั้งสองได้เดินออกมาจากภัตตาคาร เพื่อมายืนพิงระเบียงชื่นชมบรรยากาศยามราตรี “นายรู้เรื่องของฉันได้ยังไง” มิเนอร์วา หันไปถามชายหนุ่มในสิ่งที่เธอสงสัยมาโดยตลอด “ข้อสันนิษฐานยังไงล่ะ” เลนิน ตอบคำถามของเธอทันที “ทั้งหมดนั่น เป็นสิ่งที่เราต้องมี” “อืม” “เรื่องสำคัญที่นายจะคุยกับฉันล่ะ” มิเนอร์วา หันไปถามประเด็นสำคัญที่ชายหนุ่มชวนเธอมาคุยที่ภัตตาคารแห่งนี้ทันที “เรื่องนั้น -” เลนิน หันไปตอบพร้อมกับจ้องมองใบหน้าขาวนวลของหญิงสาวราวกับต้องมนต์สะกดไปสักพัก ก่อนเอ่ยคำพูดหนึ่งออกมา “คืนนี้หนาวจัง ให้ผมสำรวจตัวคุณได้ไหม” ด้วยคำสารภาพรักสุดร้อนแรงดุจดั่งเปลวเพลิงที่ลุกโชติช่วงของ เลนิน ฮาซาร์ด ทำให้ มิเนอร์วา ซึ่งเป็นผู้ได้ยินนั้นสามารถตัดสินใจได้ในทันทีเลยว่าควรรับมือกับสถานการณ์ช็อกโลกนี้ยังไง มิเนอร์วา หันไปมอง เลนิน โดยมีดวงจันทร์ที่ทอประกายแสงบนท้องฟ้าในยามราตรีเป็นฉากหลัง ดวงตาสองสีคู่สวยชวนหลงใหลของหญิงสาวมองผ่านเข้าไปในดวงตาสีทองของชายหนุ่มสักพัก “ไม่” คำปฏิเสธสั้นๆ เพียงคำเดียวของหญิงสาวนั้นเป็นดั่งกระสุนน้ำแข็งที่บรรจุอยู่ในรังเพลิง ก่อนจะถูกซัดออกมาให้พุ่งทะลุทะลวงเข้าไปตัดขั้วหัวใจของชายหนุ่มอย่างไม่ใยดี เพียงคำพูดเดียวเท่านั้นก็ทำให้บรรยากาศเย็นสบายยามราตรี ต้องแปรเปลี่ยนเป็นความเย็นยะเยือกราวกับอุณหภูมิของโลกลดลงในชั่วพริบตา คำพูดนั้นทำให้บุรุษผู้มีผมสีแดงเพลิงอย่าง เลนิน ฮาซาร์ด ยังต้องอึ้งตะลึงงันไปชั่วขณะหนึ่ง “ฉันขอตัวก่อนล่ะ”มิเนอร์วา พูดขึ้นแล้วหันหลังกลับพร้อมกับจะก้าวเท้าเดินออกจากภัตตาคารไป “เดี๋ยวก่อน!” จังหวะนั้นเองคำพูดเบา ๆ ราวกับเสียงกระซิบของชายหนุ่มดังขึ้นมาอีกครั้ง “มีอะไร” มิเนอร์วา หยุดเดินสักพักก่อนหันไปมองชายหนุ่มอีกครั้ง “คุณคือเหยื่อ ยังไงซะผมคงไม่ปล่อยให้คุณหลุดมือไปง่าย ๆ หรอก” “สักวัน ผมนี่แหละจะเป็นคนขย้ำคุณเอง” เลนิน ฮาซาร์ด ผู้ยังไม่ยอมตัดใจง่ายๆ แม้จะโดนปฏิเสธไปแล้วก็ตาม คำพูดของเขานั้นแสดงออกถึงความปรารถนาอันเร่าร้อนรุนแรงที่เป็นดั่งเพลิงไฟที่ลุกโชติช่วงอย่างไม่มีวันดับ “แค่นั้นเหรอ” มิเนอร์วา ยังคงแสดงท่าทีที่นิ่งเฉยไม่ไหวติง คำตอบของเธอนั้นเยือกเย็นราวกับน้ำแข็งที่ไม่มีวันหลอมละลายแม้ต้องเผชิญกับเพลิงไฟร้อนแรงที่ลุกโชติช่วงก็ตาม “มีอะไรจะพูดกับฉันอีกรึเปล่า” คราวนี้หญิงสาวเป็นฝ่ายตั้งคำถามขึ้นมาบ้างสายตาของเธอยังคงมองไปยังชายหนุ่มที่อยู่เบื้องหน้า “ไม่มี” “ถ้าอย่างนั้น ฉันขอตัวก่อนล่ะ” “เชิญตามสบายเลย” “แล้วเจอกัน พ่อหนุ่มไวไฟ” “ได้เลยแต่ถ้าเกิดได้เจอกันอีกครั้งล่ะก็ ผมจะขย้ำคุณให้จมเขี้ยวแน่นอน” ห้านาทีผ่านไปหลังจากที่ มิเนอร์วา เดินออกไปจากภัตตาคารแล้ว เลนิน ฮาซาร์ด ก็หยิบไวน์แก้วสุดท้ายขึ้นมาจิบจนหมด แล้วเดินไปพิงระเบียงเพื่อสัมผัสกับบรรยากาศยามราตรีอีกครั้ง ก่อนหันหลังกับ แล้วเดินออกไปจากภัตตาคารริมระเบียงอย่างเนิบ ๆ “มิเนอร์วา งั้นรึ” “เป็นผู้หญิงที่น่าสนใจดีนี่นา” “ดูท่าเจอกันครั้งหน้า เราคงต้องเตรียมตัวมาให้ดีกว่านี้ซะแล้ว” ในที่จอดรถของโรงแรมสตรีผู้งดงามนาม มิเนอร์วา กำลังเดินมาขึ้นรถสปอร์ตสีน้ำเงินของเธอ “สี่ทุ่มแล้วเหรอ” สายตาของหญิงสาวมองไปยังนาฬิกาข้อมือดิจิตอลที่ปรากฏตัวเลข 10.00 PM “คงต้องรีบกลับแล้วล่ะ วิเนอรี คงเป็นห่วงแล้วด้วย” มิเนอร์วา ขึ้นรถแล้วสตาร์ทเครื่องก่อนขับมันออกไปจากโรงแรม ตรงไปยังบนท้องถนนในยามราตรีท่ามกลางรถมากมายที่กำลังสัญจรผ่านไปมา เพื่อมุ่งตรงไปยังสถานที่พักอันแสนอบอุ่นของเธอ จบตอน
  7. ขอยึดพื้นที่แถบนี้เอาไว้เพื่อเขียนคำอธิบายอีกองค์กรหนึ่งนั่นคือฝ่าย Frontier of Freedom Treaty Revolutionaries (FFREET)
  8. เข้ามาเปิดผยข้อมูลเบื้องต้นขององค์กรก่อการร้ายครับ Organization of Humanity Relic Reform (OHRR) Organization of Humanity Relic Reform (OHRR) หรือ องค์กรเพื่อการปฏิรูปมนุษยชาติ คืออะไร คำตอบ OHRR คือ องค์กรอาชญากรรมที่ชั่วร้ายและอันตรายที่สุดองค์กรหนึ่งของโลก ที่เกิดจากการรวมตัวกันของกลุ่มนักธุรกิจสุดโฉดที่ครองอำนาจอยู่ในองค์กร อาชญากรรมหลาย ๆ องค์กร มารวมเข้าไว้ด้วยกันภายใน องค์กรเดียว พวกเขาเข้ามารวมกลุ่มกันโดยมีวัตถุประสงค์บางอย่างที่คล้ายคลึงกันนั่นคือ ต้องการทำลายระบบการปกครองทั่วโลกลง โดยการก่อสงครามกลางเมือง หรือ การก่อการร้าย ให้เกิดขึ้นในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วโลก เพื่อ โค่นล้มระบบการปกครองทั่วโลกลง ผู้ก่อตั้ง องค์กรนี้คือใคร หากจะเอ่ยถามถึงเรื่องนั้นแล้วล่ะก็ คงต้องบอกว่าบุรุษผู้ก่อตั้งองค์กร OHRR นี้ คือ เดเมียน ธอร์น นายทุนผู้ค้าอาวุธสงครามรายใหญ่ของโลก เขาคือชายผู้ทรงอำนาจสูงสุดในโลกอาชญากรรม ใช่ครับ คน ๆ นี้ถูกทางกลุ่ม “United Nations Security Council for Peace” และ กองกำลังพิเศษ “SPHERE” จัด ให้เป็น บุคลที่อันตรายที่สุดคนหนึ่งของโลก ไม่เว้นแม้แต่ พวกนักธุรกิจที่ครองอำนาจอยู่ในองค์กรอาชญากรรมหลาย ๆ องค์กร ยังต้องหวาดหวั่น หรือ เกรงกลัวเขา องค์กรนี้ก่อตั้งมาแล้วกี่ปี 20 ปีครับ องค์กร OHRR แห่งนี้ ถูกก่อตั้งขึ้นมาโดย เดเมียน ธอร์น ในปี 2032 แต่ทว่า ในตอนนั้นยังเป็นองค์กรอาชาญกรรมทั่ว ๆ ไป ที่ยังไม่เป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของโลกและมวลมนุษยชาติสักเท่าไหร่นัก จนกระทั่งปี 2040 ซึ่งเป็นปีที่ องค์กรอาชญากรรม องค์กรนี้แสดงความโหดร้ายออกมาโดยการนำระเบิดแก๊สพิษไปวางตามสถานทูตประจำประเทศต่าง ๆ กว่า 10 ประเทศ ในอิตาลีส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและ ผู้ได้รับบาดเจ็บนับหมื่น ๆ คน แล้วหลังจากนั้นพวกเขาก็ให้ แกนนำคนหนึ่งขององค์กร ส่งภาพสัญลักษณ์ประจำองค์กรและเสียงประกอบไปให้ บรรดาผู้นำทุกประเทศทั่วโลกดูในตอนที่พวกเขากำลังประชุมฉุกเฉินกันที่ สำนักงานใหญ่ของสหประชาชาติ เครือข่ายล่ะ ในเมื่อองค์กร OHRR เป็น องค์กรอาชญากรรมที่เกิดจากการรวมกลุ่มของ องค์กรอาชญากรรมต่าง ๆ ทั่วโลก เข้าไว้ด้วยกัน จึงทำให้มีสมาชิกหลายกลุ่ม หลายองค์กร หลายเครือข่าย กระจัดกระจายไปอยู่ในที่ต่าง ๆ ทั่วโลก ซึ่งแต่ละองค์กรนั้นจะมีอำนาจภายในกันเอง แต่อำนาจโดยรวมแล้วทั้งหมดจะอยู่ที่ สมาชิกระดับผู้นำ และ ผู้บริหารระดับสูง ทั้งห้าคน ซึ่งเป็นเหมือนกับจุดศูนย์กลางแห่งอำนาจขององค์กร สมาชิกระดับสูงทั้งห้าคน มีใครบ้าง ผู้นำ คือ เดเมียน ธอร์น ผู้บริหารสูงสุดมีทั้งหมด 4 คน นั่นคือ อลองโซ คาลิเวียลา ราโดสลาฟ ลูเธอร์ ดอลฟา ไฮเลอร์ และ สุดท้าย วิคเตอร์ โรมานอฟ โครงสร้างองค์กรล่ะ โครงสร้างของเครือข่ายทางอำนาจภายในขององค์กรก่อการร้าย OHRR นั้นค่อนข้างซับซ้อน ซึ่งส่วนต่าง ๆ นั้นมีดังต่อไปนี้ 1. ผู้นำ 2. ผู้บริหารสูงสุด 3. นายหน้าคนสำคัญ หรือ ตัวแทนของผู้บริหารสูงสุด (ลูเซียส คาเมนี เองก็อยู่ในระดับนี้) 4. แกนนำระดับปฏิบัติการ (คอยดูแล หรือ ควบคุมกองกำลังประจำฐานบัญชาการต่าง ๆ) 5. นายหน้าทั่ว ๆไป 6. แกนนำกลุ่มย่อย 7. พลทหาร สมาชิกทั้งหมดขององค์กร ในปัจจุบันนี้สมาชิกของกองกำลังขององค์กรก่อการร้าย OHRR ที่กระจายอยู่ทั่วโลกมีอยู่ประมาณ 400,000 คน เงินทุนกับผู้สนับสนุน หากพูดถึงเงินทุนที่สนับสนุนองค์กรอาชาญกรรมองค์กรนี้แล้วล่ะก็ มาจากการลักลอบขนอาวุธเถื่อน ขายยาเสพติด ค้ามนุษย์ ค้าผู้หญิง ค้าของเถื่อน กรรโชกทรัพย์ และ ทำธุรกิจผิดกฎหมายแทบทุกอย่างเท่าที่คุณจะนึกออก จากนั้นพวก นักธุรกิจที่ครองอำนาจอยู่ในโลกอาชญากรรม ก็นำเม็ดเงินที่ได้เหล่านี้เข้าไปลงทุนในธุรกิจถูกกฎหมาย หลาย ๆ ธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็น อสังหาริมทรัพย์ ตลาดแฟชั่น โรงแรม ธุรกิจท่องเที่ยว ร้านอาหาร การสื่อสาร พลังงาน หรือ เหมืองเพชร ไปจนถึงธนาคาร กระทั่งกลายเป็น องค์กรอาชญากรรมที่มีเงินทุนมหาศาล ในตลาดการค้าเสรี มีผู้เสียชีวิตจากการกระทำขององค์กรก่อการร้าย OHRR นี้แล้วกี่คนนับตั้งแต่ปี 2040 หากจะพูดถึงจำนวนผู้เสียชีวิตที่มีอยู่ทั้งหมดทั่วโลก นับตั้งแต่ปี 2040 จนมาถึงปี 2052 แล้วละก็ ทางองค์กรสหประชาชาติได้บันทึกไว้ดังนี้ ปี 2040 มีผู้เสียชีวิตจำนวนประมาณ 280,000 คน ปี 2041 มีผู้เสียชีวิตจำนวนประมาณ 240,000 คน ปี 2042 มีผู้เสียชีวิตจำนวนประมาณ 220,000 คน ปี 2043 มีผู้เสียชีวิตจำนวนประมาณ 260,000 คน ปี 2044 มีผู้เสียชีวิตจำนวนประมาณ 300,000 คน ปี 2045 มีผู้เสียชีวิตจำนวนประมาณ 310,000 คน ปี 2046 มีผู้เสียชีวิตจำนวนประมาณ 350,000 คน ปี 2047 มีผู้เสียชีวิตจำนวนประมาณ 320,000 คน ปี 2048 มีผู้เสียชีวิตจำนวนประมาณ 330,000 คน ปี 2049 มีผู้เสียชีวิตจำนวนประมาณ 360,000 คน ปี 2050 มีผู้เสียชีวิตจำนวนประมาณ 340,000 คน ปี 2051 มีผู้เสียชีวิตจำนวนประมาณ 420,000 คน ปี 2052 มีผู้เสียชีวิตจำนวนประมาณ 500,000 คน โดยรวมแล้วมียอดผู้เสียชีวิตจากองค์กรนี้ทั้งหมด 4,230,000 คน ตัวเลขทั้งหมดนั้นเป็นเพียงแค่ตัวเลขของจำนวนผู้เสียชีวิตที่ถูกประมาณการเอา ไว้โดยทางองค์การสหประชาชาติเท่านั้น ซึ่งทางองค์การสหประชาชาตินั้นก็ยังคงเชื่อว่าบนโลกนี้ยังมีผู้เสียชีวิต และผู้หายสาบสูญไปจากการก่อการร้าย การก่ออาชญากรรม และ สงครามกลางเมือง ที่เกิดขึ้นจากการกระทำขององค์กรอาชญากรรมองค์กรนี้อีกหลายล้านคน ขอบคุณที่ติดตามอ่าน
  9. Solitary Peace of Humanity Embattle Reinforcement (SPHERE) Solitary Peace of Humanity Embattle Reinforcement (SPHERE) หรือ กองกำลังพิเศษเพื่อรักษาสันติภาพและความมั่นคงของโลก คืออะไร คำตอบ SPHERE คือ กองกำลังพิเศษลับสุดยอด ที่ถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่ 2030 โดย มีวัตถุประสงค์ในการจัดตั้งขึ้นมาเพื่อดำรงไว้ซึ่งรักษาสันติภาพ และ ความมั่นคงระหว่างประเทศ ตลอดไปจนถึงการค้นหาและทำลาย กลุ่มบุคลกลุ่มใดก็ตามที่ทาง “องค์กรสหประชาชาติ” เห็นว่าเป็นภัยต่อมวลมนุษยชาติ และ ความมั่นคงของโลก United Nations Security Council for Peace (UNSCP) หรือ คณะมนตรีเพื่อสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ คืออะไร คณะมนตรีเพื่อสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ คือกลุ่มบุคลที่ทรงอำนาจที่สุดกลุ่มหนึ่งของโลก ประกอบด้วยสมาชิกถาวร 13 ประเทศ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ อิสราเอล แคนนาดา ฝรั่งเศส เยอรมัน อิตาลี ญี่ปุ่น เนเธอร์แลนด์ สวิตเซอร์แลนด์ รัสเซีย สาธารณรัฐประชาชนจีน และ อินเดีย สมาชิกล่ะ ปัจจุบันนี้ กองกำลัง SPHERE มีสมาชิกทั้งหมด 170 ประเทศ ทั่วโลก สมาชิกก่อตั้งประกอบด้วย สหรัฐอเมริกา อังกฤษ อิสราเอล แคนนาดา ฝรั่งเศส เยอรมัน อิตาลี เนเธอร์แลนด์ สวิตเซอร์แลนด์ รัสเซีย ญี่ปุ่น สาธารณรัฐประชาชนจีน และ อินเดีย กำลังพลล่ะ ปัจจุบันนี้ กองกำลัง SPHERE มีเจ้าหน้าที่พิเศษประจำอยู่ในแต่ละประเทศทั่วโลกทั้งหมด ประมาณ 70,000 คน เจ้าหน้าที่ชายทั้งหมด ประมาณ 40, 000 คน เจ้าหน้าที่หญิงทั้งหมด ประมาณ 30, 000 คน เกณฑ์ที่เข้าร่วมล่ะ สำหรับผู้ที่จะเข้าร่วมกองกำลัง SPHERE ได้นั้นต้องมีอายุ 16 ปีขึ้นไป และ ที่สำคัญต้องเป็นยอดฝีมือในด้านต่าง ๆ ที่ถูกเลือกสรรเอาไว้แล้วจาก Agent ขององค์กร ที่คอยจับตาความเคลื่อนไหวอยู่ในส่วนต่าง ๆ ของทั่วทุกมุมโลก อายุเฉลี่ยของเจ้าหน้าที่ทั้งหมดล่ะ อายุ 16-20 ปี มี 10 % ของเจ้าหน้าที่ทั้งหมด อายุ 21-30 ปี มี 50 % ของเจ้าหน้าที่ทั้งหมด อายุ 31-40 ปี มี 30 % ของเจ้าหน้าที่ทั้งหมด อายุ 41-50 ปี มี 5 % ของเจ้าหน้าที่ทั้งหมด อายุ 51-60 ปี มี 4.5 % ของเจ้าหน้าที่ทั้งหมด อายุ 60 ปีขึ้นไป มี 0.5 % ของเจ้าหน้าที่ทั้งหมด สมัครใจรึ ใช่ครับ เจ้าหน้าที่ทั้งหมดล้วนแต่สมัครใจกันเข้ามา มีเพียงบางคนเท่านั้นที่ถูกบังคับแต่น้อยมากหากเทียบเป็น % กันแล้ว แล้วชีวิตประจำวันของแต่ละคนล่ะ ตัวตนของเจ้าหน้าที่พิเศษ SPHERE ใน ฐานะ เจ้าหน้าที่พิเศษ ของแต่ละคนนั้นจะถูกปกปิดไว้เป็นความลับโดยองค์กร ตั้งแต่เจ้าหน้าพิเศษที่คอยทำภารกิจทั่วไป จนไปถึง ผู้บัญชาการประจำประเทศนั้น ๆ พูดง่าย ๆ ก็คือ ตัวตนภายนอกของเจ้าหน้าที่พิเศษที่คุณเห็นนั้น บางคนอาจจะเป็น นักศึกษา ดารา นางแบบ นายแบบ นักกฎหมาย นักธุรกิจ หรือ บางคนอาจจะเป็นนักการเมือง ก็เป็นได้ พูดง่าย ๆ ก็คือ มีเจ้าหน้าที่พิเศษ SPHERE อยู่ในทุกสาขาอาชีพ อำนาจล่ะ แม้ "SPHERE" จะ เป็น กองกำลังพิเศษที่ไม่ขึ้นตรงต่ออำนาจรัฐของประเทศใด ๆ ซึ่งหมายความว่า ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลของประเทศใหน ก็ตามไม่สามารถสั่งการให้เจ้าหน้าที่ SPHERE ปฏิบัติงานได้ มีเพียงผู้บัญชาการ SPHERE เท่านั้น ที่สามารถสั่งการได้ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า เจ้าหน้าที่ SPHERE จะมีอำนาจเหนือกว่ากฎหมายประเทศนั้น ๆ เงินทุนกับผู้สนับสนุนล่ะ เงินทุนที่สนับสนุนกองกำลัง SPHERE มาจาก “เงินทุนส่วนกลาง” ของ คณะมนตรีเพื่อสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ แล้วยังมีเงินทุนสนับสนุน ที่มาจากกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ที่ทรงอิทธิพลในระดับโลกที่มีอยู่มากมาย หลายกลุ่ม ทำให้พวกเขาสามารถดำเนินภารกิจของตนเองได้อย่างสะดวก เพราะ ได้รับเงินทุนสนับสนุนอยู่ตลอดเวลา และถ้าหากเจ้าหน้าที่คนไหนได้รับบาดเจ็บแล้วล่ะก็ ทางองค์กรจะเป็นคนออกค่ารักษาพยาบาลให้ทั้งหมดเอง ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน
  10. ง่า ชมเกินไปแล้ว บาร์คุง(เคคุง) แต่ก็ขอบคุณที่ชมนะครับ เรื่องสอบพยายามเข้านะครับ บาร์คุง มิมิ๊ เข้ามาเปิดเผย ข้อมูลเบื้องต้นของตัวละครกลุ่มสุดท้ายครับ นั่นคือ ตัวละครที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ชื่อ- นามสกุล วินเซนท์ โรเมโน ชาว อิตาลี เกิด 14 ตุลาคม 2029 อายุ 23 ปี สูง 184 ซ.ม. เพศ ชาย สีผม ผมยาวสีเงิน สีตา ข้างซ้ายสีเหลืองทอง ข้างขวา สีแดงเข้ม อุปนิสัย เขาเป็นคนเงียบ ๆ และ ฉลาดมากจนมองไม่ออกว่ากำลังคิดอะไรอยู่ มีจิตใจที่เข้มแข็ง เยือกเย็นได้ในทุกสถานการณ์ และมีความมั่นใจในตนเองสูงมาก สิ่งที่ชอบ สิ่งที่เกลียด สีประจำตัวละคร ชื่อ- นามสกุล เลทีเซีย คามิลลา ฉายาในวางการ ราชินีแม่ม่ายดำ ชาว อังกฤษ อายุ 18 ปี สูง 168 ซ.ม. เพศ หญิง สีผม ผมยาวสีน้ำตาล สีตา สีม่วง อุปนิสัย เธอเป็นคาสโนวีผู้เปี่ยมไปด้วยมนต์เสน่ห์ที่เอาแต่ใจตัวมากเป็นพิเศษ อยากได้อะไรก็ต้องได้ แต่เมื่อถึงเวลางานเธอจะกลายเป็นนักเจรจาชั้นยอด สามารถตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาด เยือกเย็น และ จะไม่ยอมปล่อยให้ตนเองเสียผลประโยชน์ไปอย่างแน่นอน นิสัยโดยรวม เธอเป็นคาสโนวีผู้เปี่ยมไปด้วยมนต์เสน่ห์ที่สามารถสะกดใจคนให้ลุ่มหลงได้ และเธอเองก็เป็นคนเอาแต่ใจตัวเองมากเป็นพิเศษ เมื่อเธออยากได้อะไรแล้วล่ะก็เธอจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ตนต้องการ ในเวลางานเธอจะกลายเป็นนักเจรจาชั้นยอด ที่สามารถตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาด เยือกเย็น และ จะไม่ยอมปล่อยให้ตนเองเสียผลประโยชน์ไปอย่างแน่นอน สิ่งที่ชอบ สัตว์เลี้ยงแปลก ๆ เช่น งู แมงป่อง แมงมุมมีพิษ หรือไม่มี ไปเที่ยวตามชายหาดส่วนตัวของเธอเอง และ สิ่งที่เธอชอบที่สุดก็คือ ผู้ชายเงียบ ๆ มาดนิ่ง ๆ สิ่งที่เกลียด สีประจำตัวละคร ขอบคุณที่เข้ามาอ่านครับ
  11. เข้ามาเปิดเผยข้อมูลเบื้องต้นของ กลุ่มตัวร้ายกลุ่มสุดท้ายครับ กลุ่มของกาเบรียล ชื่อ-นามสกุล เกเบรียล ไซเรน ฉายา บนเวทีการเมืองระดับโลกบุรุษผู้มีนาม เกเบรียล ไซเรน นั้นมีฉายาต่าง ๆ ประดับอยู่มากมายนับไม่ถ้วนไม่ว่าจะเป็น "เจ้าชายแห่งสันติภาพ" หรือ "ผู้นำมาซึ่งสันติภาพบนโลก" หรือ "ผู้ช่วยเหลือมวลมนุษยชาติ" แต่มีน้อยคนนักที่รู้ซึ้งถึงตัวจริงของเขาที่อยู่อีกด้านที่มีฉายาอีกหนึ่ง ฉายา ซึ่งนั่นก็คือ "คนบาปในคราบนักบุญ" หรืออีกฉายานั่นคือ "ผู้ฝักใฝ่ในการปกครอง" ชาว อเมริกันเชื้อสายยิว อายุ 28 ปี สูง 188 ซม. เพศ ชาย สีผม สีฟ้า สีตา สีน้ำเงิน อุปนิสัย ภายนอกเขาดูเป็นคนฉลาดลึกล้ำ เยือกเย็น มองการไกล มีวิสัยทัศน์ มีเหตุผล รับฟังความเห็นผู้อยู่เสมอ แต่ตัวตนที่แท้จริงนั้นเขาเป็นคนฉลาด ร้ายลึก มีจิตใจที่โหดร้าย อำมหิต เลือดเย็น แต่มีวาทศิลป์ดีมากสามารถพูดจาโน้มน้าวจิตใจคนได้เป็นอย่างดี มีความทะเยอทะยานสูงมากต้องการครอบครองทุกสิ่งทุกอย่าง และ สามารถทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจและผลประโยชน์ส่วนตน สิ่งที่ชอบ เขาชอบอ่านหนังสือทุกประเภทตั้งแต่ นิยาย วรรณกรรม ไปจนถึง หนังสือแนวปรัชญาที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของ การเมือง-การปกครอง สิ่งที่เกลียด เผด็จการ ผู้ก่อการร้าย และ อาชญากร สีประจำตัวละคร สีน้ำเงิน กับ สีดำ แนวคิด และ อุดมการณ์ ในเรื่อง การเมือง การปกครอง หรือ ศาสนา นั้นเรามาดูกันสิว่า เกเบรียล มีแนวคิดอย่างไร สำหรับ เกเบรียล ไซเรน แล้วเขามองว่า เราควรแยกศาสนาออกจากการเมือง เพราะ ศาสนาคือเรื่องของศีลธรรมที่มีไว้เพื่อสั่งสอนผู้คน ส่วนการเมืองนั้นคือเรื่องของอำนาจและผลประโยชน์ การเล่นการเมืองนั้นไม่ควรคำนึงถึงศีลธรรม ผลประโยชน์ คือสิ่งสูงสุดทางการเมือง นักการเมืองหรือผู้มีอำนาจแต่ละคนควรแสวงหาอำนาจ หรือ ผลประโยชน์ส่วนตนให้ได้มากที่สุด ส่วนในเรื่องของผลประโยชน์ส่วนรวมนั้นถือเป็นเรื่องรองลงไป นักการเมือง หรือผู้มีอำนาจ จงอย่ากลัวถ้าจะต้องทำอะไรผิด ผู้มีอำนาจและนักการเมืองควรนำความผิดพลาดนั้นมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในภาย หลัง เพราะบางสิ่งบางอย่างที่คนภายนอกมองเห็นว่าดี แต่ในทางปฏิบัติกลับไม่ได้ผลดีตามที่เห็น ในขณะที่สิ่งที่ไม่ดีนั้นบางครั้งก็อาจจะใช้การได้ นักการเมืองหรือผู้มีอำนาจนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นคนดี แต่ควรเสแสร้งแสดงให้คนอื่นคิดว่าเป็นคนดี นักการ เมืองหรือผู้มีอำนาจ ควรหลีกเลี่ยงการประจบสอพลอ เพราะ การประจบสอพลอนำมาซึ่งความอ่อนนแอ เว้นเสียแต่ว่าเราจะใช้สิ่งนั้นเสียเอง นักการ เมืองหรือผู้มีอำนาจไม่ควรอยู่ที่ทางสายกลาง เมื่อจะทำอะไรให้เต็มที่และเปิดเผย แต่ก็ต้องปกปิดความจริงบางส่วนเอาไว้ไม่ให้ใครล่วงรู้ด้วย และ สุดท้ายในเรื่องของการใช้อำนาจ เกเบรียล มองว่า ผู้มีอำนาจย่อมเป็นผู้ถูกเสมอ เพราะ คนมีอำนาจจะทำอะไรก็ได้โดยไม่มีใครกล้าว่าว่าผิด จุดมุ่งหมายย่อมสำคัญกว่าวิธีการ จงตัดสินใจให้เด็ดขาดและทำสิ่งใดก็ตามเพื่อให้บรรลุถึงจุดมุ่งหมายของตนเอง โดยไม่ต้องสนใจว่าใครจะคิดยังไง ชื่อ-นามสกุล ไดอานา เฮฟเวน ชาว อังกฤษ อายุ 23 ปี สูง 175 ซม. เพศ หญิง สีผม ผมยาวสีทอง สีตา ตาสีเขียวมรกต อุปนิสัย ภาพลักษณ์ภายนอกเธอเป็นคนเฉลียวฉลาด มีกิริยาท่าทางที่สุภาพเรียบร้อย ดูดีมีมารยาท แต่ความจริงนั้นเธอเป็นคนฉลาด ร้ายลึก เลือดเย็น จิตใจโหดร้าย สามารถทำเรื่องที่เลวร้ายลงไปได้เพื่อใส่ร้ายผู้อื่นอยู่เสมอ แล้วยังสามารถกลบเกลื่อนความผิดที่จะสาวมาถึงตนได้อย่างไร้ร่องรอย มีจิตใจที่ทะเยอทะยานและมักใหญ่ใฝ่สูงมาก สิ่งที่ชอบ ไม่ได้กำหนด สิ่งที่เกลียด ไม่ได้กำหนด สีประจำตัวละคร สีทอง สถานะในเรื่อง เธอคือที่ปรึกษาด้านการเมือง ด้านการทหาร และ ด้านเศรษฐกิจ ของ เกเบรียล และ ยังเป็นคนรักของเขาอีกต่างหาก ชื่อ-นามสกุล เลนิน ฮาซาร์ด ชาว รัสเซีย อายุ 25 ปี สูง 186 ซม. เพศ ชาย สีผม ผมสีแดง สีตา สีทอง อุปนิสัย เขาเป็นสายลับหนุ่ม PLAY BOY สุด HOT สุดร้อนแรง เร่าร้อนโดนใจ แต่ปากร้าย และมีจิตใจที่แสนเย็นชา บ้าระห่ำไม่เหมือนใคร ชอบทำอะไรตามใจตนเอง สิ่งที่ชอบ กินเหล้า(ดื่มหนักมาก) เล่นกีฬา Extreme หรือ กีฬาเสี่ยงตายทุกประเภท หรือ อะไรก็ตามที่ต้องเอาชีวิตไปเสี่ยงให้หวาดเสียวเล่น และ ผู้หญิงที่เงียบ ๆ ท่าทางเรียบร้อย สิ่งที่เกลียด การหักหลัง การถูกหลอกใช้ และ การเอาความรู้สึกส่วนตัวของผู้อื่นมาล้อเล่น สีประจำตัวละคร สีแดง กับสีทอง ชื่อ-นามสกุล อลิเซีย คามิลลา ชาว ฝรั่งเศส อายุ 20 ปี สูง 172 ซม. เพศ หญิง สีผม ผมสีฟ้า สีตา ตาสีเขียวมรกต อุปนิสัย เธอเป็นคนฉลาด ร่าเริง อารมณ์ดี เจ้าเล่ห์นิด ๆ แอบร้ายหน่อย ๆ และ ชอบทำอะไรที่มันแหวกแนวไม่ซ้ำแบบใคร สิ่งที่ชอบ อะไรก็ได้ที่มันไม่น่าเบื่อ ซ้ำซากจำเจ สิ่งที่เกลียด ยังไม่รู้ สีประจำตัวละคร สีเขียว กับ สีฟ้า ชื่อ-นามสกุล ไซมอน ฮาเวส ชาว อเมริกัน อายุ 26 ปี สูง 187 ซม. เพศ ชาย สีผม ผมสีขาว สีตา ตาสีฟ้า อุปนิสัย เขาเป็นสายลับหนุ่มสุด Cool ผู้เงียบขรึม ลึกลับ มีจิตใจที่เย็นชา ไร้อารมณ์ ปราศจากความรู้สึกใด ๆ นิสัย โดยรวม นิสัยโดยรวม เขาเป็นสายลับหนุ่มสุด COOL ผู้เงียบขรึมมาก ๆ และมาดนิ่งแบบสุด ๆ จนหลาย ๆ คนมักจะมองเขาว่าเป็นใบ้ เพราะ เขาไม่เคยพูดอะไรเลยสักคำ หากวันไหนได้ยินเขาพูด โลกคงจะแตกลงไปในวันนั้นภายในทันที ตอนเวลาปกติหากเขาต้องการสื่อสารอะไรบางอย่างกับใครสักคนแล้วล่ะก็ เขามักจะใช้สายตาในการสื่อสารแทนคำพูดของเขา เมื่อถึงเวลาปฏิบัติภารกิจเขาจะกลายเป็นดั่ง เครื่องจักรสังหาร ที่สามารถปฏิบัติงานได้อย่างเลือดเย็น ไร้อารมณ์ ปราศจากความรู้สึกใด ๆ ไปในทันที สิ่งที่ชอบ ความลับ สิ่งที่เกลียด ความลับ สีประจำตัวละคร สีขาว ชื่อ-นามสกุล เรจินา ไรซิ่ง ชาว เสปน อายุ 21 ปี สูง 170 ซม. เพศ หญิง สีผม สีตา อุปนิสัย สิ่งที่ชอบ ยังไม่ได้กำหนด สิ่งที่เกลียด ยังไม่ได้กำหนด สีประจำตัวละคร ยังไม่ได้กำหนด ขอบพระคุณทุก ๆ คนที่เข้ามาอ่านนะครับ
  12. หวัดดีครับ ทุก ๆ ท่าน ผม วีโดรา เจอกันอีกแล้วนะครับ พอดีผมไปเจอบทความดี ๆ อีก หนึ่งบทความมา ซึ่งไม่รู้ว่า หลายคนเคยอ่านกันหรือยัง แต่ผมคิดว่าทุกคนคงจะเคยแล้วนะครับ เอาล่ะผมไม่พูดมากแล้ว เชิญชมบทความกันได้เลยครับ ขอให้เครดิตก่อนนะครับ http://sugarbresolute.spaces.live.com/blog/cns!BCF4A342B787DA11!343.entry?wa=wsignin1.0&sa=72107564 ประวัติศาสตร์ได้สำแดงให้ประจักษ์แล้วว่า ผู้ชนะที่โดดเด่นที่สุดโดยปกติแล้ว ย่อมเผชิญกับอุปสรรคนานาที่เจ็บช้ำหัวใจ ก่อนที่พวกเขาเหล่านั้นจะได้รับชัยชนะ แล้วบรรดาผู้ชนะนั้นก็จะกลายเป็นผู้พิชิตในท้ายที่สุด ก็เนื่องมาจากการปฏิเสธ ที่จะท้อแท้ ในความพ่ายแพ้ของตนเอง และความผิดหวังนั้นก็เป็นอีกสิ่งหนึ่ง ที่ท้าทายต่อความเป็นมนุษย์ของเขาเหล่านั้นนั่นเอง ด้วยเหตุนี้ จงอย่าให้ความยากลำบากยังความท้อแท้แก่ท่าน บี.ซี.ฟอร์บส อับราฮัม ลินคอล์น ไม่มีซักอย่างที่ทำได้ด้วยความสามารถเริ่มต้นของ เราหรอกครับมันต้องมีการฝึกฝน เคยรู้มั๊ยว่าอัจฉริยภาพสร้างกันได้... เพียง แค่คุณทำสิ่งหนึ่งซ้ำๆกัน28วันติดต่อกัน สิ่งนั้นจะติดตัวไปจนวันตายเคย รู้หรือไม่(สิ่งนี้เป็นผลวิจัยออกมาไม่ใช่สิ่งที่ผมโกหก) แล้วรู้มั๊ยว่า กว่าคนเราจะสำเร็จต้องล้มกันซักกี่ครั้ง ขอยกตัวอย่างผู้ สำเร็จว่าเคยเจออะไรมาบ้าง เชื่อหรือไม่ว่าอับ ราฮัม ลินคอล์น เป็นผู้แพ้มาทั้งชีวิต 40 กว่าปี แพ้ตลอด แต่มาชนะเอาเมื่อ 7 ปีสุดท้ายของชีวิตนี้เอง ลินคอล์น เกิดมาก็แพ้แล้ว ด้วยชีวิตที่ยากจนค้นแค้นสุดๆ เรียกว่าอยู่บ้านนอก พื้นบ้านเป็นดินชื้น บ้านไม่มีหน้าต่างหรือช่องลม [ ไม่เอา ไม่พูด :) ]ตั้งแต่ยังเด็ก พ่อก็เหมือนคนสำมะเหร่เทเมา โชคดีหน่อยที่ได้แม่เลี้ยงที่ดี ลินคอล์น ถูกเพื่อนบ้านด่าว่าเป็นคนไม่เอาถ่าน เพราะพี่แกไปทำไร่ ก็ไม่กระจิตกระใจที่จะทำ นั่งฝันกลางวันอยู่ตลอดเวลา เรื่องการเรียน ก็ไม่ได้เข้าโรงเรียนแบบคนปกติหรอก ทั้งชีวิตก็เรียนด้วยตนเองเสียมากกว่า ยังไม่พอ พระเจ้ายังมอบความพ่ายแพ้ในความรักให้แก่ลินคอล์นด้วย รักแรกของลินคอล์น กับสาวน้อยที่น่ารัก จบลงด้วยการจากลาอย่างไม่วันกลับ เธอตายไปในอ้อมกอดของลินคอล์น ตายของเธอ ถึงกับทำให้ลินคอล์นอยากฆ่าตัวตายตาม จนเพื่อนๆต้องคอยเป็นห่วง ดูแลไม่ให้เขาคิดสั้น ลินคอล์น เห็นว่า ไอ้การเป็นชาวไร่นี้ถ้าจะไม่มีอนาคต พร้อมกับได้แรงดลใจจากการอ่านหนังสือคำบรรยายกฎหมาย เขาจึงจะตัดสินใจเรียนกฎหมาย แต่ไม่ใช่ว่าจะไปเข้ามหาวิทยาลัยดีๆ แบบนี้ลินคอล์นไม่มีปัญญา ก็อาศัยหยิบยืมหนังสือมาอ่านแล้วไปสอบเป็นทนายความ จะเรียกว่า ลินคอล์น เป็นลูกอีช่างยืมก็ไม่ผิด... ยังไม่พอ ลินคอล์น นอกจากเป็นทนายความ เงินทองไม่ค่อยจะพอ ก็ร่วมทุนกับเพื่อนทำร้านโชวห่วย ขอโทษ เปิดได้ไม่นาน เจ๊งไปตามระเบียบ ชีวิตอะไรมันจะรันทดขนาดนี้ ก็ยังดีที่ ลินคอล์นเป็นคนที่มีคารมคมคาย แต่ไม่ใช่เรื่องพรสรรค์ แต่เป็นการทำงานหนักของเขาที่จะต้องศึกษาหาความรู้เพื่อจะนำมาร่างเป็น สุนทรพจน์ และด้วยแรงยุของเมียที่มีความทะเยอทะยานสุดๆ ผลัดดันให้คนเฉื่อยแฉะอย่างลินคอล์น ก้าวสู่วงการการเมือง ยังครับ ลินคอล์นยังแพ้ไม่พอ ลงสมัครเป็น ส.ส. ของรัฐก็แพ้ แพ้หลายครั้ง จนไม่อยากจะจำ แต่ด้วยความที่เป็นนักต่อสู้ แพ้มาหลายครั้งในชีวิต จะแพ้อีกสักหน่อยจะเป็นไร ก็สู้สมัครเป็น ส.ส. รัฐ มาเรื่อย จนได้เป็นสมความหวัง จาก ส.ส. ลินคอล์น ก็นึกสนุกอยากจะเป็น ส.ว. บ้าง ลินคอล์น นี้ สังกัด รีพับลิกัน ต้องเจอกับคู่ต่อสู้ที่อดีตเคยเป็นคู่แข่งในชีวิตรัก แย่งแมรี่ ทอดด์ ซึ่ง คนโชคร้ายคือ ลินคอล์นที่ได้ น้องแมรี่เป็นเมีย เอ้อ ชื่อของคู่แข่งคือ สตีเฟน ดักลัส ดักลัสนี้เรียนสูง ร่ำรวย เรียกว่าเทียบลินคอล์นนี้คนละเรื่องเลย ปรากฏว่า ลินคอล์นพยายามต่อสู้อย่างดุเดือด สุดท้าย พี่ลินคอล์น แพ้อีกแล้วครับท่าน แพ้ซ้ำซาก อย่างนี้ เป็นคนอื่น กระโดดน้ำตายไปแล้ว แต่คนมันจะรุ่ง ช่วยไม่ได้ มาตอนที่พรรครีพับริกันจะเลือกผู้สมัครท้าชิงประธานาธิบดี ที่จริง พรรคเขาจะเลือก วุฒสมาชิก ชิวเวิร์ด อยู่แล้ว แต่มีปัญหาทางเทคนิคนิดหน่อย เลยเลื่อนเวลาอีก 12 ชั่วโมง เพื่อลงคะแนนเสียง ตอนนั้น กรีลีย์ มีแค้นเก่ากับชิวเวิร์ด ก็ออกล็อบบี้ สร้างภาพน่ากลัวว่าเลือกชิวเวิร์ดละก็แย่แน่ๆ สู้หันมาเทคะแนนเลือก ลินคอล์น ซึ่งเคยเป็นคู่แข่งของ ดักลัส ซึ่งจะเป็นตัวแทนของเดโมแครตดีกว่า แล้วที่สุด ลินคอล์นก็ได้รับเลือก แบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว คนมันจะดวงดี เอาช้างมาฉุดก็ไม่อยู่ ตอนนั้น เดโมแครต ทะเลาะกัน แทนที่จะส่งแต่ดักลัสคนเดียว ก็มีพวกที่แยกออกมาลงอีก 2 คน เรียกว่าคะแนนเสียงแตก ฟ้าบันดาลให้ ลินคอล์น เป็น ประธานาธิบดี สหรัฐอเมริกา ยังครับยังไม่หมดเพราะความซวยกำลังมาเยือนอีกครั้ง ตอนนั้น เป็นช่วงกลียุคของ สหรัฐอเมริกา เกิดสงครามกลางเมือง ฝ่ายเหนือให้เลิกทาส ฝ่ายใต้ไม่ยอม ตอนแรกๆ ฝ่ายใต้นี้ก็ชนะมาเรื่อย ด้วยฝีมือของ นายพลดังอย่าง นายพลลี ไม่วาย เป็นประธานาธิบดี ก็ยังต้องแพ้สงครามมาเรื่อยๆ จนเกือบประกาศยอมแพ้อยู่แล้ว แต่ สุดท้าย ไปได้ นายพลฝีมือดี อย่างนายพล แกรนต์ มาเป็นนายทัพ คราวนี้ก็เริ่มดีขึ้นรุกไล่ฝ่ายใต้ จนชนะสงคราม และแล้วผู้แพ้อย่าง ลินคอล์น ก็ถูกจารึกชื่อ เป็นประธานาธิบดีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลก่อนที่จบชีวิตลงในเวลาต่อมา[/left] แล้วยังจะคิดว่า คนล้มเหลวเป็นพวกที่น่าอับอายอีกหรือครับถ้ายังคิดอยู่ก็คงจะควรพิจารณาตัว เองได้แล้ว สส.ไม่ได้รับเลือกประมาณ4ครั้ง สว.ไม่ได้ประมาณ3ครั้ง ที่ เขาไม่บอกก็มีอีกคือเคยเข้าโรงพยาบาลบ้า credit theyoung.net ขอบพระคุณทุก ๆ คนที่เข้ามาอ่านนะครับ
×
×
  • Create New...