Jump to content

B★RS

Members
  • Content Count

    105
  • Joined

  • Last visited

About B★RS

  • Rank
    Advanced Member
  • Birthday 04/20/1990

Profile Information

  • Gender
    Male
  • Location
    ใกล้ๆอนิเมะสาวน้อยน่ารัก
  • Interests
    วาดรูป แต่งฟิก ดูเมะ

Contact Methods

  • MSN
    finixkung@hotmail.com
  1. แต่ละเกมส์ชั้นไม่เคยเล่นเลย = =" เล่นแต่ดราก้อนเนส
  2. กลับมาซะทีกว่าจะหารหัสได้ = ="

  3. :emo (35): จากผู้เขียนน่ะครับ คือช่วงนี้ผู้เขียนไปฝึกงานและติดโปรเจคเลยไม่มีเวลามาลงต่อ + ต้องแก้ไขแต่ไม่ใช่ทิ้งร้างน่ะครับ ขออภัย
  4. งานเยอะจังเลยวุ้ยช่วงนี้อยากว่างจังเลย TT^TT

  5. จขกท. ทำผมหายเครียดไปเลยน่ะเนี่ยแต่เป็นอารมณ์ขึ้นแทน :emo (12):
  6. ผมจะขาดใจตายแต่จะลงให้เสร็จก่อนวันที่5ครับจ๊อดดด
  7. งานเข้า!!!

  8. สิ่งที่ตั้งเป้าไว้ถ้าไม่มีความสามารถก็จงใช้ความพยายามเข้าสู้ แม้จะห่างไกลแต่ไม่ย่อแท้ และตั้งเป้าไว้ละก็ต้องสำเร็จอย่างแน่นอน

  9. :emoother_08: อ่าน่ะงั้นผมจะคอยเชียร์น่ะจ๊อด ยังไงช่วงนี้ผมจะลองทำไปเรื่อยๆก่อน แต่ก็น่าจะัมาบอกกันมั่ง =3= ในฐานะคู่หูสู้ๆน่ะจ๊อดดด ผมรออยู่น่ะ
  10. สิ่งที่บ่งบอกความมีตัวตนของเราได้นั้นคือ การกระทำ

  11. อยากได้ฟิกตัวใหม่ๆจังเลยแต่ตังค์ไม่มีTT^TT

  12. งานเข้าแล้วมีสอบนิหว่า

  13. Mayo Chiki! ของ idoli-z สุดยอด!!! ฟิกเกอร์มาสอยแน่

  14. :emo (21): โอ้วมาแนวนี้ รู้สึกกดดันตัวเอง+อยากดูอีกใจนึง :emo (37):
  15. บทที่4 เสียงเพรียกแห่งฝันร้าย ณ ใจกลางแห่งนครลอยฟ้าของมอลตี้ ภายใต้รูปลักษณ์ที่ดูสวยงามอลางตานั้น ยังมีส่วนที่ไม่มีใครรับรู้และล่วงเข้าไปถึง และในส่วนนั้นเองก็อยู่ภายในใจกลางเบื่องล่างแห่งมอลตี้ เงาดำทะมึนที่ผ่านห้วงเวลามานับร้อยปีกำลังคืบคลานออกมา โซ่ตรวนที่พูกมัดกำลังเสื่อมสภาพไป “ใกล้แล้วสิน่ะ... แบบนี้คงทนได้อีกไม่นานนัก” อาเดเรียเอ่ยออกมาขณะที่ยืนมองผนึกที่กำลังแตกสลายไป เธอหลุบนัยน์ตาขอเธอลงก่อนที่ตะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ท่ามกลางห้องอันกว้างใหญ่มีเพียงแท่งคริสตัลขนาดเล็กสีดำตั้งอยู่เพียงใจกลาง รายล้อมไปด้วยแท่งหินหลากสีที่ผุดขึ้นมาด้วยพลังเวทย์แต่มีเพียงแท่งคริสตัลสีดำนั่นเท่านั้นที่ถูกมัดด้วยโซ่ตรวนและขายเวทย์มนต์ไล่ตั้งแต่ใหญ่จนเล็ก เสียงสั่นสะเทื่อนจากพื้นที่ๆอาเดเรียอยู่ พื้นที่ดูปกติกลับร้าวขึ้นมาและมีแท่งคริสตั้ลผุดขึ้นออกมาจากรอยแยกนั้นอย่างแปลกปลาด “นี่มันอะไรกัน” อาเดเรียอุท่านอย่างสงสัยและเบิ่งตาโตมองไปยังคริสตั้งสีดำที่กำลังสันและเกิดรอยร้าวขึ้น ทันใดนั้นจาสีดำสนิดของมันกลับกลายเป็นสีแดงปนชมพูถึงแม่ว่าขายมนตราจะอยู่ดังเดิม ไม่นานนักแสงจากคริสตั้ลนั้นก็เปล่งออกมา “หรือว่า!...” “ไงดาบข้างซ้ายแห่งจักรพรรดิไม่สิตอนนี้ต้องเรียกว่า อาเดเรีย ลอนดิอ้อน เซ็ตซาเลเทีย ผอ.ตัวจ้อยแห่งนครมอลตี้สิถึงจะถูก” เสียงดังขึ้นในหัวของอาเดเรียแต่จากที่อาเดรียได้ยินนั้นในใจก็คิดได้ทันที่ว่า ‘เสียงแบบนี้จะมีใครไม่ได้ต้องเป็นมันแน่นอน’ “นี่แกคลายผนึกออกมาได้ขนาดนี้แล้วเหรอ...” อาเดเรียยิงคำถามแต่ก็ไม่รอช้าเรียกอาวุธออกมาข้างกายที่มีรูปร่างลักษณะเหมือนคฑาเวทย์แต่มีปลายที่ใหญ่และแหลมเหมือนหอก “อาเดเรียเอ๋ย~ เจ้าคงตกใจอยู่ละสิน่ะ แต่อีกไม่นานข้าก็จะกลายเป็นอิสระเมื่อนั้นเจ้าจะต้องเสียใจที่เจ้าไม่ทำลายข้าทิ้งไปตอนนั้น” เสียงของสิ่งที่ถูกผนึกพูดแทรกเข้าไปในจิตใต้สำนึกของอาเดเรียพร้อมส่งเสียงหัวเราะอย่างสะใจ “อย่าได้ลำพองใจไปนักเลย ‘ห้วงคำนึงแห่งฝันร้าย’ ไม่สิเจ้าสแค๊ป ถึงผนึกเจ้าจะเสื่อมถอยไปสักแค่ไหนแต่ด้วยพลังของเจ้าก็ไม่อาจที่จะทำลายออกมาได้อีกนานนับปีอยู่ดี” เธอพูดเสร็จก็ส่งแววตาดุใส่ “ฮึ!... นับปีเหรอ” สแค๊ปส่วนกลับและหัวเราะดังขึ้นกว่าเดิม “ขนาดไม่ได้เจอกันมาสองร้อยแปดสิบห้าปีแล้วก็ตามก็ยังดูรอบคอบเหมือนเดิมน่ะแต่ข้าจะบอกอะไรให้อาเดเรีย ไม่นานขนาดนั้นหรอก... ตอนนี้ขอเพียงแต่มีเสียงตอบรับ พันธะสัญญาก็จะสำฤทธิ์แล้วตอนนั้นข้าจะไปเล่นสนุกกับเจ้าทีหลังอาเดเรีย” แสค๊ปตอบกลับไป ว่าแล้วแสงที่ส่องจากตัวแสค๊ปก็หายไปและกลายเป็นคริสตั้ลสีดำเหมือนเดิม “ดะ...เดี๋ยวก่อนสิ!” เสียงของอาเดเรียเอ่ยขึ้นมาช้าไปที่จะได้ถาม “นี่มันหมายความว่ายังไงกันแน่... ไม่สิตอนนี้ไม่มีเวลาแล้ว” อาเดเรียยกนิ้วขึ้นมากัดแล้วชักสีหน้าเครียดอย่างบอกไม่ถูก สองชั่วโมงให้หลัง ณ ห้อง ผอ.ในกลางศูนย์กลางแห่งการเรียนปราสาทมอลตี้ “จากที่ดูแล้วคิดว่ายังไงบ้างลูเซเซอร์” เสียงจากสาวน้อยที่นั่งอยู่หลังเก้าอี้ตัวใหญ่ “เรื่องแบบนี้ตามจริงแล้วไม่น่าจะต้องให้เด็กอายุ สิบห้าปีอย่างผมมาพูดเลยนะครับเนี่ย ผอ.” ลูพูดจบก็ยิ้มเจื๋อนๆแล้วหัวเราะ อย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว “เลิกทำตัวเสแสร้งแบบนั้นได้แล้วลู นี่ชั้นพูดจริงๆนะ แล้วเวลาเข้าเรื่องงานไม่ต้องพูดเป็นทางการมากก็ได้” เสียงของเธอเริ่มแข็งกร้าวขึ้นเหมือนเป็นสัญญานของการเอาจริงๆเอาจัง “...” ลูยืนนิ่งโดยไม่เอ่ยอะไรมีเพียงสีหน้าที่ยิ้มแจ้นของเค้าที่เปลี่ยนไป ในขณะที่ อาเดเรีย หันเกาอี้กลับมามอง “ว่าตามตรงแล้วทั้งสองคนนั้นอยู่เหนือความคาดหมายของผมเยอะเลยครับ” เสียงของลูที่เหยาะแหยะกลับดูทุ้มและมาดเข้มขึ้น ดวงตาทั้งคู่ดูคมกริบมากขึ้นต่างจากที่เป็นมา “ถึงตอนแรกผมจะไม่เชื่อว่าเค้าทั้งสองสามารถเดินทางไปยังราเซนนุด้วยตัวเองก็เถอะ... แต่... ตอนนี้ได้เห็นกับตาตัวเองก็พอทราบเลยครับ” ลูเสยผมตัวเองขึ้นแล้วหันไปมอง ผอ. “อย่างงั้นเหรอ...” อาเดเรียพูดด้วยเสียงแผ่วเบาแต่กลับหัวเราะเบาๆออกมา “แต่ถึงแบบนั้นคนที่คุณเล็งไว้คนนี้สำคัญมากขนาดที่ต้องไปตรวจสอบด้วยตัวเองเลยเหรอครับ โดยเฉพาะการที่ใช้สิทธิ์ในการดึงตัวผู้สมัครเข้ามาเป็นของตัวเองด้วยแล้ว...” ลูถามอย่างสงสัยใบหน้าของเข้าแสดงออกถึงความไม่เข้าใจในการกระทำของอาเดเรีย “พูดจริงๆนะตอนแรกชั้นก็ไม่เชื่อคำทำนายของปราชญ์เวทย์ แห่งซาลันเทียซักเท่าไรหรอก” อาเดเรียพูดพลางขยับมือและเขียนสัญลักษณ์บางอย่างออกมาด้วยพลังเวทย์ “ปราชญ์เวทย์แห่งซาลันเทีย... ไม่น่าเชื่อ! คนๆนั้นน่าจะตายไปนานแล้วไม่ใช่เหรอครับแถมเท่าที่ผมได้ยินมาเค้าคนนั้นไม่น่าใช่ปราชญ์เวทย์ที่แท้จริงนินา และจอมเวทย์ขนาดปราชญ์เวทย์ในโลกไม่น่าขะมีเหลือนอกจากท่านวิลล๊อตเต้ของสมาคมมหาเวทย์ไม่ใช่เหรอครับ” ลูเมื่อได้ฟังดวงตาก็เบิ่งกว้างขึ้นสีหน้าดูตกใจอย่างเห็นได้ชั้น เขารีบแย้งอาเดเรียอย่างรวดเร็วเมื่อได้ยินชื่อของปราชญ์เวทย์ “แต่ถึงอย่างงั้นก็หลีกเลี้ยงความจริงของการยังคงมีชีวิตของเค้าคนนั้นไม่ได้หรอกน่ะ” อาเดเรียกวาดสายตามายังลูอีกครั้งหลังวาดวงเวทย์เสร็จ “งั้นลองดูนี่สิ” เธอพูดแล้วชี้นิ้วไปที่วางแหวนเวทย์ก่อนแสงที่จะปรากฏสะท้อนภาพออกมาจากวงเวทย์อันนั้น “นี่มัน...” ลูเอ่ยถามด้วยความสงสัย “คำทำนายจากอดีตสู่ปัจจุบันและอนาคตไงละ...” อาเดเรียกล่าวตอนด้วยสีหน้าและแววตาที่จริงจังซะจนลูไม่กล้าที่จะเอ่ยถามต่อ ได้แค่ดูต่อไปจนจบ “โว้ยนี่มันอะไรกันละเนี่ย!!” เสียงโวยวายจากคนที่ไม่สบอารมณ์สักเท่าไร “ตรงนั้นแหกปากอะไรกัน” เสียงสูงแต่ดูแตกต่างออกไป หญิงสาวที่อายูดูราวๆสามสิบใส่เสื้อคลุมสีดำตัดด้วยชุดรัดรูปสีขาวดูน่าเย้ายวน กำลังนั่งบนอบู่บนเก้าอี้ที่ลอยเคว้งอยู่บนอากาศไม่ห่างจากเจ้าต้นเสียงนัก ‘เจ้าบ้าโจเซฟเอาอีกแล้วสินะ’ เคแอบคิดในใจขณะที่ก้มหน้าอ่านหนังสือเล่มโตอยู่ห่างๆ “ก็พวกผมพึ่งออกไปซัดกับรุ่นพี่มาหยกๆเองนะครับอาจารย์ แล้วแบบนี้จะมีสมาธิไปทำข้อสอบนี่ได้ยังไง” โจเซฟได้ทีก็รีบพล่ามอย่างทันที “ถึงจะเป็นแบบนั้นก็เถอะน่ะ แต่ตอนนี้เธอน่าจะรู้หน่อยนะ โจเซฟ ว่าเธอกำลังทำให้คนอื่นเค้าเสียสมาธิเหมือนกัน” เธอตอบโจเซฟกลับด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแต่กลับมีน้ำหนักและแรงพลักดันมากกว่าจนคนร้องต้องทำหน้าจ๋อยแล้วนั่งไปทำข้อสอบเล่มโตต่อ “มาชิโระจัง ชั้นท่าจะแย่ซะแล้วสิ” เสียงอ่อนหวานที่ดู อิดโรยกำลังร้องเรียกหา “เออ... ฟาร่าทำไมเธอดูหมดเรี้ยวหมดแรงซะแบบนั้นละ” เจ้าของชื่อขานตอบกลับด้วยสีหน้าดูวิตกกับสภาพเพื่อนเธอที่ตอนนี้นั่งทุรดลงไปข้างๆ “ก็ชั้น... ชั้น... ชั้นทำผิดไปเยอะแน่ๆเลยทั้งๆที่ตั้งใจทำแล้ว” ฟาร่าเธอร้องไห้ออกมาเล็กน้อยทำเอาเป็นจุดสนใจกับคนรอบๆข้างจนมาชิโระทำตัวไม่ถูก “ฟาร่าเธอเงียบๆก่อนน่า ถึงตอนนี้จะพลาดแต่ยังมีข้อสอบปฏิบัติอยู่น่ะ” เธอพยายามบ่ายเบียงให้เพื่อนเธอรู้สึกดีขึ้นและดูเหมือนว่าจะสำเร็จแต่ไม่นานนักก็มีเสียงตะโกนของคนๆนึงจนเธอต้องหันกลับไปมอง “โว้ย! ข้อสอบนี่มันบ้าอะไรเนี่ยสุดยอดยากแถมเอาซะปวดกระบาลไปซะหมดเลย” เสียงไม่พอใจของหนุ่มน้อยผมสีน้ำตาลคนนึงพร้อมทำท่าทางที่เดือดดาลไปด้วย “ชั้นว่ามันก็แปลกอยู่น่ะ ข้อสอบมันดูยากไปนิดหน่อยจริงๆ ไม่นึกว่าโรงเรียนที่ชื่อเสียงตกต่ำไปขนาดนี้ยังมีความเอาจริงเอาจังกับข้อสอบมากขนาดนี้” เคบอกกลับไปที่โจเซฟพลางเอามือกุมปลายคางเดินคิดอย่างสงสัย “เอ๊ะนั่น ฟาร่าดูสิ” มาชิโระรีบสะกิตฟาร่าให้หันไปมองก่อนที่จะรีบดึงตัวไปทักแต่แล้วก็มีคนเดินตัดหน้าไปซะก่อน “นี่นาย” เสียงเรียบกล่าวเรียกคนๆนึงที่ยืนเดินไปอย่างไม่สนใจจนต้องดึงตัว “เอ๊ะ อะไรเล่าโจ...” เสียงหยุดลงเมื่อหันไปมองว่าโจเซฟยืนอยู่ข้างๆแล้วคนที่ดึงเสื้อเค้าละ “เฮลดารุน อาบลาลาคัส อาโมเน่!” ด้วยความตะลึงเคเลยประกาศชื่อออกมาจนเต็ม “ดูท่ายังจะจำชั้นได้นะ” เสียงเรียบดูหวานขึ้นเล็กน้อยก่อนเบ้หน้าหลบ ไม่ให้เห็นหน้าที่ตอนนี้แดงซะจนสบตาไม่ได้ “คุณหนูไฟแรงที่ร้านขายอาวุธนินา ไม่ทราบมีอะไรงั้นเหรอ” โจเซฟรีบโต้กลับทันทีที่มีช่องให้แทรก “ก็ไม่มีอะไรมากหรอกชั้นแต่เห็นพวกนายเลยเข้ามาทักนะ จะว่าไปชั้นยังไม่ได้บอกเลยน่ะ ตอนต่อสู้ตะกี้พวกนายทำได้ไม่เลวเลยนะ” เธอพูดแล้วเบียงหน้าลบด้วยใบหน้าขึ้นสีเรือเล็กน้อย “อะ...อืมขอบใจน่ะ” เคและโจเซฟพูดออกมาพร้อมกันและม้องหน้ากันอย่างสงสัยประมาณว่าว่า ‘มาแปลกจากที่เจอเมื่อคราวก่อน’ “ว่าแต่เป็นไงมั่งละทำข้อสอบได้ไหมละเนี่ย” เครีบเปลี่ยนเรื่องคุย “นั่นคนที่เชียร์เคที่สนามแข่งตอนนั้นนิ” ฟาร่าพูดกระซิบบอกมาชิโระที่กำลังแอบมองอยู่ไม่ห่าง “เธอคนนั้น ชั้นเคยเห็นที่ไหนมาก่อนน่ะ” มาชิโระพูดพลางชะโงกหน้าแอบมองขนะที่หูของเธอขยับไปมาเหมือนต้องการรับฟัง “อึ๋ย~ อย่าพูดถึงได้ไหมเพราะตอนที่สู้กับนายที่ร้านตอนนั้นนั่นแหละทำเอาซะชั้นมึนไปหมดเลย” อาโมเน้เอามือกุมขมับแล้วเดินไปนั่งที่เก้าอี้ข้างทางก่อนถอนหายใจออกมา ด้วยอาการแบบนั้นเลยพอทำให้เคกับโจเซฟพอสรุปได้เลยว่าสงสัยจะแย่ “...ไหนจะคำพูดตอนนั้นอีก...” “หืม... คำพูด...” เคทำโพลงออกมาอย่างสงสัย “ก็หลังจากสู้เสร็จยังไงละ!” เธอชะโงกหน้าเข้าไปใกล้เคก่อนที่จะพูดเสียงแข็งใกล้ “อ้อ ตอนนั้นงันเหรอ...ที่ชั้นพูดไม่มีอะไรผิดหรอกน่ะชั้นแค่คิดว่าเธอมีบางอย่างที่คล้ายชั้น น่าจะเป็นส่วนในแรงพลักดันแล้วก็ความมุ่งมั่น แน่วแน่ ในตอนที่เธอลงดาบมาทำให้ชั้นรู้สึกได้เลย เพียงแค่ถ้าเธอไม่สู้ด้วยความสับสนตอนนั้นชั้นว่าต้องสนุกกว่านี้แน่” เคพูดเสร็จก็มีสีหน้าที่ดีใจว่าแล้วก็แอบยิ้มขึ้นเล็กน้อย คนที่มองอยู่ถึงเบิ่งตาโพล่งขึ้นอย่างตะลึง ก่อนที่จะขำออกมา “นายนี่มันจริงๆเลยน่ะ” อาโมเน่กล่าวอย่างสั่นๆเพราะเธอขำไปด้วย “บร่ะ! นี่นายก็พูดอะไรดีๆเป็นกับเค้าด้วยเหรอเนี่ย” โจเซฟที่ยืนฟังไม่ห่างรีบยิงคำพูดจี้แทง “งั้นเหรอ แต่ชั้นพูดจริงน่ะ” เคตอบกลับอย่างเรียบง่าย” ว่าแล้วเคก็ยื่นมือไปหาอาโมเน่ “ยังไงก็ขอฝากตัวด้วยน่ะ” หลังจากที่เคพูดจบอาโมเน่ก็จับมือตอบกลับแล้วยิ้มรับ แต่ด้วยรอยยิ้มนั้นทำเอาซะเคถึงกับใจเต้นด้วยใบหน้าที่ดูเปลี่ยนไปเป็นอ่อนหวาน “ว่าแต่ คนที่จูบนายตอนนั้นน่ะ คนรักนายเหรอเห็นเค้าลือกันให้แซดเลย” คำถามที่ดูตรงๆซื้อๆแต่กลับส่งผลบาดร้าวไปถึงจิตใจ “ห่ะ! ไม่ใช่ซะหน่อยชั้นนะไม่มีหรอกคนรักอะไรนั่นน่ะ แค่จำผิดเ้ท่านั้นเอง” เครีบโบกมือปัดปฏิเสธอย่างรวดเร็ว “มาชิโระ...จะว่าไปชั้นก็สงสัยน่ะเด็กคนนั้นเหมือนเคยเจอที่ไหนมาก่อน” อาโมเนยืนคร่นคิดพิจารณาจนคิ้วขมวดก่อนที่จะนั่งทรุดลงไป "มีข้อความค่ะ" เสียงฟาเรฟดังขึ้นมา "เห~ มันมีแบบนี้ด้วยเหรอเนี่ย" โจเซฟโพลงอย่างสงสัย "นายใช้มานานไม่รู้เรื่องเลยเหรอเนี่ย" "ก็ชั้นใช้เป็นแค่เก็บของอย่างเดียวนินา แหะๆ แถมไม่ค่อยคุ้นกับมันสักเท่าไร" โจเซฟว่าแล้วเอามือเกาหัว "ขอโทษน่ะทั้งสองคนพอดีมีธุระด่วยไว้เจอกันตอนงานเลี้ยงน่ะ" อาโมเน้ว่าแล้ววิ่งออกไป "มาชิโระดูท่าเราจะโดนเรียกไปน่ะ" ฟาร่าพูดแล้วเขย่าตัวมาชิโระ "ชิฟังไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไรแต่เอาเถอะงั้นเราก็ไปกันเถอะ" ทางด้านเคกับโจเซฟหลังจากที่แยกตัวกับอาโมเน้ก็ได้เข้ามาสู่การแนะนำห้องเรียนของโรงเรียนเวทย์พร้อมกับเหล่านักเรียนใหม่ทุกคน “เอาหละทุกคนฟังให้ดีนะ” เสียงเรียกของรุ่นพี่สาวสวยที่กำลังเรียกเหล่าพวกนักเรียนใหม่ ไปตามทางเดิน เธอชื่อว่าเพล่า เป็นตัวแทนของเหล่านักเรียนปี2ของมอลตี้และยังเป็นผู้ที่มีคะแนนเป็นอันดับ1ของชั้นเรียน ในระหว่างทางก็มีการบรรยายของแต่ละชั้นเรียนและห้องเรียน ทั้งห้องที่มีแต่พืช ห้องที่มีขวกแก้วทดลองอยู่เต็มไปหมด ห้องที่มีลานกว้างขวาง ห้องที่ดูเหมือนห้องเรียนธรรมดา ห้องที่มีโบราณวัตถุอยู่เหลือคณานับ และอื่นๆอีกมากมายสร้างเสียงตกใจและตื่นเต้นของเหล่านักเรียนใหม่ไปตามๆกัน ตามทางก็มีเหล่พวกรุ่นพี่มาคอยสอดส่องนักเรียนใหม่ “นี่เค ไม่รู้ชั้นคิดไปเองหรือเปล่าแต่ชั้นว่านายเหมือนเปลี่ยนไปยังไงไม่รู้แฮะ เห็นก่อนลงแข่งนายยังทำท่าลุกลี้ลุกลนไม่มั่นใจแต่ระหว่างแข่งก็จู่ๆมีไฟขึ้นมาซะงั้น” โจเซฟจี้คำถามยิงใส่แคระหว่างที่เดินไปตามทางเดินของตึกเรียน ในระหว่างทางก็มีเสียงกระซิบและเสียงนินทาอยู่ระหว่างทางไม่ขาดสายและหนึ่งในเรื่องที่กล่าวก็ยังเป็นเรื่องของพวกโจเซฟอีกด้วย “งั้นเหรอ...อาจจะใช้ก็ได้มั้ง ชั้นแค่นึกอะไรได้ระหว่างที่ต่อสู้ และคิดว่าการแสร้งทำมันไม่ช่วยให้เกิดประโยชน์อะไรได้เลยสู้ยอมๆแล้วปล่อยไปตามสบายดีกว่า ว่าแต่แทนที่นายจะห่วงเรื่องชั้นไม่ลองมองไปข้างหลังสักหน่อยเหรอ” เคกล่าวหน้านิ่งพลางยกนิ้วโป้ชี้ไปข้างหลังแล้วเหล่ตามองเล็กน้อย เมื่อโจเซฟหันไปมองก็ถึงกับสะดุ้งร้องเสียงครางออกมาและหันควับกลับมาเดินตามปกติ ซึ่งไม่แปลกเลยสำหรับคนนับร้อยที่ต่างเพ่งสายตาพลางเดินทิ้งห่างจากเคและโจเซฟไปร่วมสี่ก้าวด้วยกัน “ทำไมชั้นรู้สึกเหมือนจะโดนจ้องฆ่ายังไงไม่รู้” โจเซฟหันไปพูดกับเคด้วยหน้าตาซีดๆปนเหงื่อเล็กน้อย “มันก็ไม่เห็นแปลกซักเท่าไร” เคพูดไปหันไปดูโจเซฟพลางก่อนที่จะตีหลังโจเซฟเข้าให้หนึ่งที “เงียบๆเข้าไว้แล้วเดินไปต่อดีกว่า รู้งี้ไม่น่าบอกนายเลยให้ตายสิ” พูดจบก็ถอนหายใจมาเฮือกใหญ่ “ชิ ว่าแต่ชั้นทีนายละชั้นก็อยากร้องออกมาเลยด้วยซ้ำไป” โจเซฟไม่ยอมโดนเป็นฝ่ายโดนว่าคนเดียวรีบฉวยโอกาศพูดสวนกลับไป “พูดเรื่องอะไรของนาย” เคเหล่ตาไปมองหลังพูดจบ “เค้าลือกันให้แซดเกี่ยวกับนักเรียนใหม่ผู้กล้าทำเรื่องอนาจารต่อหน้าคนอื่นนับพัน” โจเซฟแสยะยิ้มอย่างสะใจพลางเหล่ตาไปมอง “หรือว่าที่เค้าลือคือตอนนั้นงั้นเหรอ ว่าแต่นายนี้ก็สู่รู้เหมือนกับอาโมเน้เลยน่ะ” เคบ่นพึมพำและนึกไปถึงตอนที่ตัวเองโดนจูบ “แล้วนายกับคุณหนูน้อยมาชิโระคนนั้นเป็นยังไงกันงั้นเหรอ” โจเซฟทำแววตาเป็นประกายหวังรอคำตอบจากเพื่อนเค้า ขณะที่คนที่นักเรียนที่อยู่ข้างหลังก็หูพึ่งกันเป็นแถว “เอ... จะว่าไปนอกจากคุณหนูมาชิโระแล้วยังมีอาโมเน้ที่เจอที่ร้านขายอาวุธคนนั้นมาเชียร์นายด้วยน่ะ นายนี่มันร้ายไม่เบาเลยนะเนี่ย” พูดจบก็แอบหัวเราะด้วยน้ำเสียงที่ฟังแล้วชวนโมโห “ไม่เกี่ยวกับนายซะหน่อย หุบปากไปซะ” เคขึ้นเสียงแข็งกลับไปแต่สีหน้านั้นขึ้นสีจนคนข้างๆแทบจะอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “ว่าแต่พวกเธอหายไปไหนหว่า” โจเซฟเอ่ยขึ้นอย่างสงสัย “ระวังไว้เถอะว่าแต่ชั้นฟาร่าแห่งดิมลอสเองก็ชอบนายอยู่ไม่ใช่น้อย แถมสาวน้อยระเบิดเพลิงที่นายว่าก็คงไม่แคล้วตามๆกันเหมือนกันนั่นแหละ และเมื่อคิดดีๆแล้วทางชั้นได้เปรียบกว่าเห็นได้ชัด” โจเซฟพอเอาคำพูดเคมาคิดก็หน้าถอดสี ในใจก็คิดได้ว่าเจอแม่สาวระเบิดนั่นอีกทีมีหวังไม่แคล้วโดนบอมอีกแหง หลังจากที่การนำชมมอลตี้ได้ล่วงเวลาไปถึงเย็นรุ่นพี่เพล่าก็รีบพาเหล่านักเรียนลงไปที่โรงอาหารรวมของทางโรงเรียน ซึ่งก่อนไปนั้นเธอก็กล่าวขอโทษโน่นนี่ไปมาเพราะดูว่าเธอจะไม่สามารถทำหน้าที่ได้ลุล่วง และด้วยการที่เธอเข้ามาขอโทษขนาดที่ว่าแทบจะคุกเข่าเล่นเอาซะเหล่านักเรียนมาใหม่อึ้งไปตามๆกัน แต่ก็มีบางคนที่รู้ตัวเองว่าทำไมเวลาไม่พอที่จะพาไปได้หมดทุกที่ ทันทีที่นักเรียนใหม่เข้าไปในโรงอาหารนั้นต่างก็แปลกใจที่ว่าโรงอาหารที่น่าจะมีสภาพแวดล้อมที่ต้แงประดับไปด้วยโต๊ะอาหารและกลิ่นของเหล่าอาหารต่างๆกับโล่งโจ้งสนิดร้าวกลับเป็นห้องว่างเปล่าไม่มีอะไรเลย เสียงของเหล่านักเรียนเริ่มส่งเสียงแซแซดขึ้นมาต่างคนต่างมองหน้าสนทนาคุยกัน บางคนก็ยืนนิ่งร่าวกลัวว่าไม่สนอะไรเลย และแล้วเสียงประตูก็ดังขึ้นกับภาพของรุ่นพี่ที่ยืนอยู่ข้างนอกโบกมือลา สร้างความมึนงงให้อีกเล็กน้อย ก่อนที่พื้นห้องจะเริ่มปรากฏแสงออกมาเป็นสัญลักษณ์เวทย์มนต์และเมื่อแสงนั้นหายไป ทุกคนก็กลับกลายเป็นว่ามานั่งอยู่ที่ใดที่หนึ่งพร้อมหน้ากัน ในห้องโถงกว้างประดับด้วยธงสัญลักษณ์มอลตี้และโคมไฟอันสวยงาม “โอ้โห เวทย์มนต์เคลื่อนย้ายสถานที่ชั้นสูง นานแล้วน่ะที่ไม่ได้เห็น” เสียงของเคเปร่ยพึมพำพลางเอามือกุมคาง ท่ามกลางความตกใจและตื่นเต้นของเหล่านักเรียน “อะไรเนี่ย ชั้นมานั่งตรงนี้ได้ไงเนี่ย เฮ้เคดูสิๆสุดยอดไปเลย” โจเซฟโวยวายราวกลับเด็กเอาซะจนเคที่ถูกเรียนชื่ออยากเอาหน้าไปมุดหลบ และแล้วบานประตูก็ถูกเปิดออกพร้อมกับเหล่าฑูติมากมายโผบินเข้ามาหลากหลายชนิด สร้างเสียงโห่ร้องให้กับเด็กๆเหล่าฑูตินั้นสร้างแสงสีเหมือนยินดีกับนักเรียนใหม่ บางตัวก็เข้าไปแกล้งและแล้วบานประตูอีกบานก็เปิดออกมา กับชายผมสีเขียวในชุดขาวตัดแดงน้ำเงินตามด้วยเสียงปรบมือหนึ่งครั้งจนทุกคนหันมาสนใจเสี่ยงที่ดังออกมา “สวัสดีน่ะทุกคน ผมผู้รับตำแหน่งรองประธานตัวแทนของกรรมการนักเรียน เรนอฟ ฟิลดิเร่ กันเดลซาเวส ชั้นปีสาม จะมากล่าวเปิดการต้อนรับนะครับแต่ในความเป็นจริงแล้วผู้ที่ต้องมากล่าวปราศัยในครั้งนี้ต้องเป็นท่านประธานแต่เนื่องจากเขามีปัญหาบางอย่างเลยไม่สามารถมาได้ยังไงก็ขออภัยด้วยนะครับ เอาหละในเนื่องมาจากที่ทุกคนได้เข้ามาเป็นนักเรียนแห่งโรงเรียนเวทย์มนต์มอลตี้นี้แล้ว ทางเราจึงได้มีการเตรียมการเพื่อที่จะแนะนำเหล่าคณาจารย์ที่ทุกท่านจะได้พบเจอกันและเหล่าผู้รับตำแหน่งคณะกรรมการต่างๆ” เรนอฟกล่าวเสร็จก็ดีดนิ้วหนึ่งครั้งทันใดนั้นประตูตรงที่เรนอฟเดินออกมาก็เกิดมิติบิดเบี้ยวก่อนที่จะปรากฏออกมาเป็นบุคลแปลกหน้าออกมาซึ่งในกลุ่มนั้นมีศาสตราจารย์ไลตริงและศาสตราจารย์โครนอสอยู่ด้วย “ระ...รองประธาน! รุ่นพี่เรนอฟ ปะ..เป็นรองประธานเลยงั้นเหรอเนี่ย” โจเซฟตะโกนร้องออกมาอย่างอึ้งๆ ว่าแล้วเจ้าตัวก็รีบมาเขย่าตัวเคอย่างตื่นเต้น “ชั้นรู้แล้วน่าโจเซฟ แต่เท่าที่ดูแล้วชั้นพอคาดการณ์ออกเลยว่าประธานจะเป็นใคร” เคพูดแล้วเพ่งสายตามองไปยังแรนอฟและเหมือนเรนอฟเองก็ส่งยิ้มเจื้อนๆให้เหมือนรู้กัน “จริงเหรอ! นายรู้เหรอว่าประธานเป็นใคร” โจเซฟทำตาลุกวาวตั้งตารอคำตอบ “เรื่องนั้นก็น่าจะรุ้แล้วนิ ว่าแต่ที่เห็นชัดตอนนี้เหล่าคนที่นั่งอยู่ตรงนั้นคงเป็นเหล่าศาสตราจารย์ที่นี่ไม่ผิดแน่” เคว่าแล้วเพ่งพิจารณาไปยังเหล่าบุคลพวกนั้นขณะที่โจเซฟเริ่มส่งสายตาและทำหน้าไม่พอใจแต่เมื่อจะเอ่ยถามเคก็ถูกบางคนขัดขึ้นมาซะก่อน “เฮ้! พวกนายสองคน ใช่เรฟารัสกับเรอาน่อนหรือเปล่าครับ” เสียงจากชายปริศนาร่างสูงใหญ่ผมสีทองในชุดนักเรียนที่ดูแปลกตา ที่ว่าดูแปลกตาเพราะชุดที่เค้าใส่นั้นดูรัดรูปซะจนแทบเห็นสัดส่วนซะหมด แถมยังถือกล้องถ่ายรูปมา “ถ้าใช่แล้วจะทำไมเหรอ” โจเซฟหันไปตอบด้วยหน้าตาที่ไม่ต้อนรับขณะที่เคได้แค่มองอย่างหน่ายใจ “ชั่นชื่อคูไนล์ ว่าแต่พวกนายทั้งสองคนมีใครได้มาซักถามหรือพูดคุยบ้างหรือยังละ” คูไนล์พูดออกมาพลางส่งสายตาดุใส่จนทั้งสองสะดุ้งด้วยความตกใจพลางคิดว่า ต้องเป็นเรื่องสำคัญอย่างแน่นอน “ก็ยังหรอก ไม่มีใครกล้าจะมาคุยมากกว่าน่ะ” เคตอบกลับพลางทำท่าทางเหนื่อยๆ “เอ๊ะ!” คูไนล์ยืนทำหน้างงๆอย่างสงสัย “เอาเป็นว่าเป็นเพราะการแข่งขันที่ผ่านมาตะกี้ ตอนนี้เลยมีแต่คนพยายามปลีกตัวห่างจากพวกเรามันก็แค่นั้น” โจเซฟพูดออกมาและทำหน้าตาเหมือนจะร้องไห้ “ฮะฮะ...ยังไงก็ตาม...เอาเป็นว่าโชคดีจริง” คูไนล์ยืนอึ้งชั่วครู่แล้วขำอย่างสบายใจ “โชคดี..” เคกับโจเซฟพูดพร้อมกันอย่างสงสัยจนคนหัวเราะต้องหยุดและอธิบาย “อย่างที่คิดจริงๆว่าคุณต้องเป็นนักข่าว” หลังจากที่อธิบายซะนานเคก็เป็นฝ่ายปริปากออกพูดก่อน “พวกนายยังไม่รู้อย่างแน่ชัดหรอก” คูไนล์ส่งสายตาเฉียบคมหลังจากที่ได้พูดไปก่อนที่จะเริ่มพูดต่อ “จากที่ได้กล่าวไปแล้วทางคณะกรรมการและคณาจารย์แห่งมอลตี้ขอให้ทุกคนได้ร่วมสนุกกับการสังสรรค์ในครั้งนี้ด้วย” เรนอฟพูดจบอาจารย์แห่งมอลตี้ที่ก็เริ่มแสดงเวทย์มนต์ จากห้องโถงที่ไม่มีอะไรเลยก็เริ่มทีเครื่องประดับประดาออกมาสีของห้องเริ่มเด่นชัดขึ้นโต๊ะที่นักเรียนนั่งก็มีอาหารมากมายปรากฏออกมา “อืม...จะบอกว่าตอนนี้มีพวกเพ่งเล็งเราไว้เยอะงั้นสิน่ะ” เคเริ่มพูดแล้วก็ขยับมือไปคว้าเนื้อย่างชิ้นโตที่อยู่ไม่ห่างจากตัวมากินอย่างสบายใจ “ถึงจะเป็นอย่างที่รุ่นพี่ว่ามาแต่ถึงยังไงพวกเราก็ไม่เป็นต้องสนอะไรจริงไหมละ” โจเซฟโพลงออกมาหลังจากที่นั่งนิ่งไปนานว่าแล้วเจ้าตัวก็คว้าขนมปังก้อนใหญ่มาเคี้ยวจนแก้มตุ่ยก่อนจะพูดออกมาอีกครั้งทั้งๆแบบนั้น “ก็ถ้ามีอย่างที่ว่าจริงๆก็แค่ซัดมันกลับไปซะก็จบ” ว่าแล้วก็กินขนมปังต่ออย่างสบายใจโดยไม่สนใจท่าทีทั้งสองคน เป็นคำตอบที่เรียบง่ายแต่จากคนที่ฟังทั้งสองคนถึงกับชะงักไป ฝ่ายคนที่เคี้ยวเนื้อย่างเหล่สายตาส่งมาเป็นนัยๆแต่ทางคูไนล์ปากกาถึงกับร่วงไปอย่างบอกไม่ถูก แต่แล้วเสียงหัวเราะก็ออกมาจากคูไนท์ก่อนที่เค้าจะสอบถามอีกครั้งและเก็บภาพของทั้งสองคนแล้วจากไป “พวกนายสองคนนี่มันเจ๋งจริงๆเลยน่ะครับ ไม่เหมือนผมเลย” เสียงน้อยๆที่สั่นเทากล่าวขึ้นสร้างความสนใจให้ทั้งสองคน “นี่นาย...” “ขอโทษน่ะครับผม เอวิเด้ อาร่อน คิริเด็น” เด็กหนุ่มกล่าวด้วยเสียงเรียบ “มืดมนจังเลยนะนายเนี่ย” ยังไม่ทันไรเสียงแจ้วขอโจเซฟก็ดังขึ้น จนเด็กหนุ่มตรงหน้าถึงกับสะดุ้งโหย๋งไปเลย “แหะๆ...ขอโทษด้วยนะครับ แต่ผมชื่นชมพวกนายมากเลยน่ะไม่น่าเชื่อเลยว่าเด็กที่เข้ามาใหม่สามารล้มรุ่นพี่ไปได้ พวกนายเนี่ยสุดยอดจริงๆ” เมื่อพูดจบเอวิเด้ก็หรี่ตาแล้วก้มลงอย่างสลด “ไม่ขนาดนั้นหรอกเพียงแค่คันไม้คันมือกับเจ้าพวกนั้นเท่านั้นเอง อีกอย่างเจ้าพวกนั้นไม่เห็นเก่งอย่างปากว่าเลย” โจเซฟโต้กลับไปจนเอวิเด้ถึงกับตะลึง “เกินไปมั้งโจเซฟ พวกรุ่นพี่เองก็เก่งไม่เบาเหมือนกันน่ะตอนนั้นนายก็น่าจะรู้ตัวนิ” เคค้านกลับใสโจเซฟแต่เจ้าตัวกลับไม่สนใจคว้าแก้วน้ำผลไม่มาดื่มย่างสบายใจ “พวกนายไม่รู้หรอกคนที่ไร้พลังยังไงก็ไร้พลังอยู่ดีหละครับ ถ้าไม่มีพลังและความกล้าที่จะสู้มันก็ไม่ต่างอะไรกับผู้แพ้ไปหรอก!” “มัวแต่พล่ามอยู่นั่นแหละ แล้วนายนะยอมแพ้ตรงนี้แล้วงั้นเหรอ นายที่ผ่านการทดสอบและมายืนอยู่ตรงนี้ได้แล้วไม่คิดว่ามันเยี่ยมไปเลยเหรอ” เคพูดพร้อมสีหน้าที่หงุดหงิด “ผ่านการทดสอบงั้นเหรอ ผมน่ะได้แค่คอยหลบซ่อนแล้วรอเวลาให้หมดลงเท่านั้นเอง ผม...ผมน่ะไม่ได้ทำอะไรเลย” เด็กหนุ่มพูดแล้ววิ่งจากไป “เฮ้! อะไรของเจ้าหมอนั่นเนี่ย” เสียงตะโกนทักของโจเซฟแต่ดูเหมือนจะส่งกลับไปไม่ถึง “เอวิเด้ เจ้าหมอนั่น...แค่กำลังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไปนะสิ เหมือนที่เค้าบอกว่า ผู้ที่ไร้พลังย่อมที่จะอยู่ภายใต้อำนาจที่เหนือกว่า” เคมองแผ่นหลังของเอวิเด้แล้วพลางนึกถึงตัวเองในอดีตที่มีชะตากรรมเดียวกัน “หึหึ ในที่สุดก็เจอวัตถุดิบชั้นดีซะแล้ว~ อาเดเรียทีนี้เจ้าจะทำอย่างไรละ” ไม่นานนักหลังจากที่ทำการต้อนรับเหล่านักเรียนใหม่ทางรุ่นพี่และคณาจารย์ก็ได้นำนักเรียนที่เป็นแนวหน้าของปีนี้ด้วยการที่สามารถทำการสอบเข้าล่วงหน้าไปก่อนด้วยคะแนนเต็มทั้งหมด ทางพวกนักเรียนใหม่ที่ได้ยินก็ต่างโห่ร้องส่งเสียบแซแซดไปจนทั่ว บ้างก็ทำสีหน้าเคร่งเครียด ไม่ก็แผ่จิตสังหารออกมาอย่างไม่รู้ตัว แต่ก็มีบางกลุ่มที่มีท่าทีที่ไม่พอใจ “หรือว่า...” เคบ่นพึมพำออกมา “น่าสนุกละสิทีนี้” โจเซฟพูดและหัวเราะแล้วดื่มน้ำผลไม้อย่างสนุก “อย่าคาดหวังแบบนั้นดีกว่าไหม ทางที่ดีชั้นว่าควรปลีกตัวลี้ตอนนี้จะดีกว่าน่ะ” เสียงคัดค้านจากเคทำให้โจเซฟต้องหยุด “ไม่เอาน่านายทำหน้าจริงจังไปได้หรือว่านายรู้ว่าเป็นใคร” โจเซฟทำหน้ายิ้มเยอะหยอกล้อเค “คนที่จะทำการสอบคัดเลือกได้ก่อนส่วนใหญ่จะเป็นพวกลูกของขุนนาง ไม่ก็ระดับลูกเจ้าเมืองหรือพูดง่ายๆก็จะเป็นการใช้เส้นเพื่อในกรณีรับจำนวนจำกัดแล้วอีกอย่างคือ โดยส่วนรวมแล้วการทำการสอบก่อนล่วงหน้าข้อสอบก็จะยากกว่าคนอื่นเป็นปกติซึ่งแน่นอนไม่มีใครที่จะบ้าไปทำแบบนั้น” เคพูดจบก็เหล่ตาไปมองเป็นนัยแต่ดูเหมือนว่าโจเซฟจะไม่มีท่าทีที่รับรู้อะไรเลย “แบบนี้ยิ่งอยากเห็นเข้าไปใหญ่” เจ้าตัวไม่วายรีบลุกจากเก้าอี้ตามไปทางประตูเพื่อรอดูแต่เพื่อนตัวดีจับคว้าไปซะก่อน จนไม่สบอารมณ์ต้องหันไปพูด “มีอะไรของนายอีกเนี่ย” “นายมันบื้อ งี่เง่าซะจริงน่ะ” เคบ่นใส่โจเซฟก่อนจะคว้าคอเสื้อลงมาแล้วพูดต่อ “ที่ชั้นจะบอกก็คือคนที่นายอยากเห็นนะคือพวกฟาร่าแล้วก็แม่สาวดินระเบิดนายแน่ๆยังไงละ” เท่านั้นเองที่เคพูดโจเซฟพอนึกภาพหลังจากที่ได้เจอ สีหน้าที่ยิ้มก็เปลี่ยนเป็นซีดลง “ว่ายัง...อุฟ!” เสียงตะโกนที่ดังยังออกมาไม่สุดเสียงโดนมือจากฝ่ายตรงข้ามปิดสนิท ยังดีที่ว่าในห้องประชุมนั้นเต็มไปด้วยเสียงอึกทึกของคนอื่นๆเลยไม่ได้สังเกตุ แต่ดูท่าเคจะลืมดูเลยว่าตอนนี้โจเซฟเป็นยังไงบ้าง ไม่นานนักเสียงประตูก็ดังขึ้นมา ทามกลางเสียงของเหล่านักเรียนคนอื่นๆที่ตื่นเต้นบางคนก็ยังคงนิ่งเฉย ทางเคกับโจเซฟเองก็ได้แค่พยายามหลบหลีกไปอยู่ตรงต้นเสาที่เรียงรายอยู่รอบๆ “อุค!... ความรู้สึกนี้มัน...” เคเริ่มรู้สึกว่าร่างกายตัวเองมีอาการแปลกๆ “ใช่ที่นายบอกจริงๆด้วยแฮะเค” เสียงสั่นตอบกลับไปยังเพื่อนว่าแล้วก็หันไปหา “อ่าวไหงเงียบ...เฮ้ย! หายไปไหนละเนี่ย!” โจเซฟที่หันมามองแล้วไม่เจอเพื่อนเองก็พลางคิดว่าเจ้านี่มันเอาตัวรอดคนเดียวเรอะ “แย่ชะมัดมากลายเป็นร่างนี้ตอนที่คนพลุพล่านแบบนี้เนี่ยน่ะ” เมงุมิว่าแล้วก็เอามือกุมขมับ อีกด้านนึงในห้องลึกไปในมอลตี้ แสงสีแดงก็สว่างจ้าจากแสค๊ปเงาดำทะมึนเริ่มคีบคลาน “ในที่สุด...ก็มีตัวหมากที่เหมาะสมซะที ช่างน่าขอบใจเจ้าซะจริงอาเดเรีย...” เสียงของสแค๊ปดังก้องภายในห้องลับข้างล่างโซ่ตรวนที่ตึงเริ่มสะบั้นลงถึงจะยังไม่หมดแต่ก็สามารถปลดปล่อยพลังออกไปได้ พลังสีดำทะมึนค่อยๆซึมผ่านซอกหินผ่านช่องแคบจนในที่สุดก็ไปยังบุคลๆนึง “เอวิเด้...” เสียงที่ดังก้องขึ้นในหัวของเอวิเด้ “ใครนะ...นายเป็นใคร” “อะไรกันความรู้สึกแบบนี้” เมงุมิเอ่ยหลังจากจับความรู้สึกได้บางอย่างที่ไม่ปกติ จู่ๆบรรยากาศในหอประชุมก็เปลี่ยนไปทุกสิ่งทุกอย่างกลับดูน่าอึดอัดและสอิดสเอียน ราวกลับว่ามีอะไรบางอย่างที่ทำให้เป็นแบบนั้น เหล่านักเรียนเกือบทั้งห้องต่างหมดสติเหลือเพียงไม่กี่คนเท่านั้น คณะอาจารย์แห่งมอลตี้เองก็ไม่พ้นถึงจะยังกุมสติเอาไว้ได้แตก็สายเกิดที่จะร่ายเวทย์ที่นั่งของอาจารย์ถูกเงาดำปกคลุมจนหมด รุ่นพี่ที่ดูแลสถานการณ์ก็หมดสภาพสิ้น “นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย...บ้าชิบร่างกายชั้น...” เสียงของโจเซฟที่อ่อนระทวยค่อยๆเลือนลางจนหมดสติลง “ผอ. แย่แล้วครับ” เสียงของลูเซเซอร์ตะโกนดังออกมาพร้อมเปิดประตูห้อง “มีเรื่องอะไรนักหนา ไม่รู้จักจบจักสิ้นเลยน๊า~” อาเดเรียตอบอย่างหน่ายใจขนธที่นั่งอ่านหนังสือในห้อง “เรื่องนี้มันเกี่ยวกับสแค๊ปนะสิ” สิ้นเสียงของลูเซเซอร์อาเดเรียรีบกระโจนออกจากเก้าอี้แล้วรีบออกไปอย่างทันที เมื่อถึงหน้าห้องเลี้ยงตอนรับก็ต้องตกใจกับสิ่งเบื่อหน้าหมอกควันสีดำค่อยๆแผ่กระจายออกมา แต่มันไม่เหมือนควันธรรมดาเพราะเหล่านักเรียนเวทย์ใช้พลังเพื่อสลายมันไปแต่กลับถูกดึงตัวเข้าไปในกลุ่มควันจนไม่มีใครสามารถเข้าใกล้ได้ กลุ่มควันนี้ก็โจมตีใส่เหล่านักเรียนเวทย์เช่นกัน “นี่มันหรือว่า ไม่สิไม่ผิดแน่ๆ” เมงุมิพูดพลางเอามือกุมตาข้างขวาที่มีผ้าปิดตาปิดอยู่และมีแสงส่องออกมา “เจ้าสิ่งที่ทำให้เกิดปฏิกิริยาได้ขนาดนี้ เศษเสี้ยวหายนะ!!” “เจ้าจะทำอย่างไรละอาเดเรียเอ๋ย” เสียงคืบคลานจากภายในส่วนลึกของปราสาทขณะที่ผนึกเริ่มคลายลงเรื่อยๆ “ส่วนอาวิเด้เจ้าจะต้องมาเป็นร่างให้แก่ข้า” สแค๊ปกล่าวขนะที่ร่าของอาวิเดลอยอยู่ในกลุ่มควันเบื้อหน้าของสแค๊ป
×
×
  • Create New...