Jump to content
Sign in to follow this  
B★RS

เศษเสี้ยวหายนะศึกมนต์ตราสงครามมหาเวทย์

Recommended Posts

อะแฮ่ม ผลงาน นิยายแฟนตาซี จากผู้แต่ง 2 ชีวิต pikasaiya กับ Baka-Kei

SCRAP OF MEMORY เศษเสี้ยวหายนะศึกมนต์ตราสงครามมหาเวทย์

เกริ่นนำ

นานมาแล้วในอดีต ณ ที่โลกนั้นมีแต่ความสงบสุขชาวประชาทั้งหลายต่างอยู่ด้วยกันทั้ง6เผ่าพันธุ์ เผ่าพันธุ์มนุษย์ เผ่าพันธุ์สัตว์ เผ่าพันธุ์เอลฟ์ เผ่าพันธุ์เทพ เผ่าพันธุ์ปีศาจและเผ่าพันธุ์ที่ทะนงตนและเป็นที่เกรงขามที่สุด นั่นคือ เผ่าพันธุ์มังกร แต่ความสุขนั้นก็ไม่อาจจะอยู่ได้ตลอด ทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนกลับตลปัดเปลวเพลิ่งแห่งการ แก่งแย่ง อาฆาตแค้น โกรธ เกลียดชัง น้ำตาแห่งความเศร้า ต้นเหตุนั้นเกิดมาจากคำทั้ง2คือ อำนาจและพลัง เพียงแค่คำพูดเพียงไม่กี่คำก็ทำให้เกิดสงครามขึ้นมาได้ และในที่สุดเมื่อมีสงครามก็ต้องมีการสูญเสียเกิดขึ้นจนสิ่งที่ไม่คาดคิดก็ บังเกิด การรวมตัวลับๆของเหล่าราชวงค์ทั้ง6ที่ต้องการยับยั้งและให้เกิดสันติสุขแก่ เหล่าปวงประชาทั้งหลาย แต่ใครจะไปคิดได้ว่าการกระทำในครั้งนั้นกลับส่งผลแย่ลงกว่าเดิมเมื่อมีการ คิดค้นที่จะสร้าง ‘สิ่งนั้น’ ขึ้นมา หากแต่ว่าสิ่งที่ได้สร้างขึ้นมานั้นไม่ได้มีการนำไปใช้จึงได้มีความคิดที่ ว่า ต้องทำลายทิ้งเพื่อป้องกันการนำไปใช้ในทางที่ผิด แต่กระนั้นมีหรือที่ผู้สร้างจะสามารถทำลายสิ่งที่เค้าสร้างขึ้นมาได้ลง จึงได้ถูกนำไปเก็บซ่อนไว้โดยหาได้มีผู้ใดรู้เรื่องไม่ สงครามดำเนินไปจนถึงบทสรุป เผ่าเทพ และ เผ่ามังกร หายสาบสูญไป หลงเหลือแต่เพียง มนุษย์ สัตว์ เอลฟ์ ปีศาจ เรื่องทั้งหมดจบแล้ว จริงหรือ ? เปล่าเลย สิ่งนั้น ก็ยังคงถูกเก็บซ่อนเอาไว้เรื่อยมา ยาวนานจนถึงปัจจุบันนี้

(http://www.seishinseii-subs.net)<<<เอามาจากนี้ครับ

ได้รับอนุญาติจากคนที่เขียนแล้ว

:emo (47): ขอย้ายคาแรกเตอร์ลงไปด้านล่างครับ

Update บทที่1(จบบทที่1)วันที่ 18/11/10

Update บทที่2(จบบทที่2)วันที่ 18/02/11

Update บทที่3(จบบทที่3)วันที่ 16/04/11

แก้ไขชื่อเรื่อง วันที่ 27/04/11

Update Character & สถานที่ 17/05/11

Update รูปตัวละคร2ตัวละคร 20/05/11

Update บทที่4 (จบPart1) วันที่ 13/07/11

Update สถานที่ในเรื่องเพิ่มขึ้น วันที่ 31/07/11

บทที่5 (90%) วันที่3/12/11

บทย้อนรอยอดีต(20%)

อับล่าสุดวันที่ 3/12/11

VVVVVVVVVVVV

(แจ้งข้อมูลเพิ่ม 14/08/12)

****ในส่วนบทที่3และ4นั้นยังมีเนื้อหาบางส่วนที่ยังไม่ได้แก้ไขยังไงก็ขอความกรุณาด้วยนะครับ :emoother_06:

*****1 เนื่องจากปัญหาในปัจจุบัน(การเรียนและชีวิตทางบ้าน)ทำให้เกิดความล่าช้าในการทำตอนต่อๆไปน่ะครับจึงเรียนมาเพื่อทราบครับแต่รับรองว่าตอนต่อไปมีมาแน่ครับไม่ได้ดรอป

*****2 ตอนนี้คู่หูผมหรือปิ๊กะไซย่ากำลังติดการเรียน(การสอบเข้า)ทำให้ผลงานไม่ค่อยเดินน่ะครับ(อีกสาเหตุคือทางผมเองที่ไม่ค่อยบรรเจิดในการแต่ง+เวลาไม่ค่อยมี)ต้องขออภัยน่ะครับถ้าล่าช้า

*****3(6/02/12)ติดปัญาทำโครงงานเลยต้องพักยาว+เพื่อนผมก็ติดสอบหลายๆอย่างเลยหยุดยาวขออภัยท่านผู้ติดตามอ่านมากๆครับแต่ผลงานไม่มีดรอปแน่นอน

:emoother_02::emoother_01::emoother_03::emoidz_04::emoidz_03::emoidz_01:

เนื่องจากมีปัญหาคัดค้านกันหลายเรื่องทั้งด้านทีมงานที่ทำด้วยกัน

และขาดการติดต่อกันเป็นเวลานานทำให้หลังจากนี้นั้น

Baka-Keiจะเป็นคนทำการดำเนินเรื่องต่อไปครับ

ส่วนตอนต่อไปนั้นหลังจากที่ขาดการติดต่อทำให้บทที่เขียนต้องนำมาแก้ใหม่หมด

ต่อขออภัยผู้อ่านมา ณ ที่นี้ด้วย (ทำไว้3-4ตอนแล้วแต่ต้องนำมาทำใหม่หมด)

ส่วนตอนที่ทำมาถึงก่อนหน้านี้ก็จะปรับแก้ไขให้ใหม่ครับสำหรับคำที่พิมพ์ผิด

(14/08/12)

เพิ่มลิงค์เพื่อใช้ในการดูเนื้อหาครับ

Character

http://www.idoli-z.n..._4649#entry4649

สถานที่ในเรื่อง

http://www.idoli-z.n..._1965#entry1965

บทที่1

http://www.idoli-z.n..._1968#entry1968

บทที่1ต่อ

http://www.idoli-z.n..._4651#entry4651

บทที่2

http://www.idoli-z.n...2885#entry42885

บทที่3

http://www.idoli-z.n...8801#entry58801

บทที่4

http://www.idoli-z.n...8606#entry78606

บทที่5

http://www.idoli-z.n...684#entry110684

ขอโทษที่ล่าช้าคราบบบ ไม่ขอแก้ตัวใดๆทั้งสิ้นจากข้างต้นที่กล่าวไว้

Edited by B★RS

Share this post


Link to post
Share on other sites

บทนำ

ปุ่ง! ปุ่ง!

เสียงพลุที่ดังลั่นประกาศถึงงานที่จะเริ่มขึ้นในอีกไม่นานนี้ ถึงจะไม่ได้ยินอย่างชัดเจนก็ยังสามารถรับรู้ได้ แสงที่ส่องลอดผ่านจากกิงไม้และต้นไม้ กลิ่นของผืนป่าและแสงสะท้อนจากหยาดน้ำค้างทำให้รอบๆนั้นดูสดชื่นและเปล่งประกายขึ้นมาเหล่าบรรดาสัตว์น้อยใหญ่เริ่มตื่นจากการหลับไหล แต่ถึงกระนั้นก็มีสิ่งมีชีวิตที่กำลังพยายามวิ่งเพื่อข้ามป่าแห่งนี้อยู่

“แฮก...แฮก...แย่ละสิเสียงพลุเริ่มดังซะแล้วต้องรีบแล้วสิ” เสียงของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ซึ่งตอนนี้เค้ากำลังเหน็ดเหนื่อยเพราะต้องวิ้งข้ามป่าทึบและดูเหมือนเค้าจะยังหาทางออกไม่เจอ

“ช่วยไม่ได้แฮะ เห็นทีคงจะต้องวิ่งไปอีกสักพักเลยสิน่ะ เอาหละ” เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบ เครื่องประดับชิ้นนึงขึ้นมา “ฉันกำลังจะไปตามคำสัญญาแล้วน่ะ ... ..” เค้ามีดวงตาสีฟ้าสวยงามราวกับท้องฟ้าซึ่งตัดกับเส้นผมสีแดงยาวระต้นคอของเขาเพียงแต่ดวงตาที่มองไปนั้นกลับมีเพียงข้างเดียวซึ่งถ้าไม่ติดอยู่ว่าอีกข้างนั้นมีผ้าปิดตาอยู่ เขาเพ่งมองไปยังเครื่องประดับชิ้นนั้นอย่างแน่วแน่และเปี่ยมไปด้วยพลัง ก่อนที่จะขยับตัวที่เมื่อยล้าและแบงของพะรุงพะรังขึ้นบ่าอีกครั้ง “เอาหละสู้ตาย!” เขาตะโกนออกมาและตบมือทั้งสองข้างไปที่ใบหน้าก่อนที่จะรีบวิ่งไปอีกครั้งนึง

“เอ๋!”

“นี่มันหมายความว่ายังไงกันแน่มาสเตอร์ นี่มันภาระกิจระดับCไม่ใช่เหรอครับแต่ไหงผมไปรับค่าตอบแทนเป็นระดับE บอกมาน่ะ” เสียงเรียบแต่แสดงถึงความไม่พอใจคนหนึ่ง ตอนนี้เค้ามีสีหน้าที่คับข้องใจกับสถานะการณ์ตรงหน้านี้ บางคนก็เริ่มจะส่งเสียงหัวเราะทำให้เด็กหนุ่มคนนั้นดูกลายเป็นตัวตลกไปทันที

“มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรมากหรอกน่ะเจ้าหนู แต่ว่าตามข้อตกลงแล้วภาระกิจนี้แกต้องมีระดับแรงค์ตามที่ผู้ว่าจ้างกำหนดด้วย ไม่งั้นค่าตอบแทนก็จะลดลงไป” เสียงใหญ่กว่าพูดและถอนหายใจออกมาเหมือนจะเหนื่อยใจกับการที่ต้องตอบปัญหาให้กับเด็กหัวรั้นที่อยู่ตรงหน้า ใช่แล้วคนนี้คือมาสเตอร์หรือเจ้าของร้าน เค้าเป็นคนเผ่าสัตว์ที่มีหน้าตาเป็นเสือดำขัดตรงที่ตาข้างซ้ายเค้ามีรอยแผลขนาดใหญ่จึงทำให้เป็นที่เกรงขามกันไปทั่ว ตอนนี้เขาได้แต่พูดบอกเด็กที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้นแต่ก็มีสิ่งนึงที่เขาเหลือบไปเห็นของสิ่งๆนึงก่อนที่จะหยิบขึ้นมาดูแต่แล้วก็มีเสียงดังขึ้นมาอีกที

“อะไรก็ระดับแรงค์ แบบนี้มันจะมากเกินไปแล้วน่ะโถ่เว้ย!” พูดจบเค้าก็ระเบิดความโกรธกับสิ่งของที่อยู่รอบๆตัวเขาทำเอาให้คนที่อยู่ภายในร้านวิ่งหลบกันแทบไม่ทัน ภายในร้านแทบเรียกว่าพังจนไม่สามารถเทียบกับเมื่อไม่กี่นาทีก่อน

“เดี๋ยวก่อน...เจ้า ห....นู” พูดยังไม่ทันจบก็มีแสงสว่างวาบไปทั้วทั้งร้านจนทำให้คนในร้านพากันปิดตากันไปหมด

“โอ้โห! ที่นี่นะเหรือเมืองท่า ‘รีสเทเรีย’ สุดยอดไปเลย” เสียงที่บ่งบอกถึงความตื่นเต้นแล้วก็ตกใจกับภาพเบื่องหน้า กำแพงสีฟ้าที่รายล้อมรอบเมือง ธงสีเหลืองอร่ามที่มีสัญลักษณ์คล้ายๆรูปเสือโบกสะบัด ผู้คนมากมายที่กำลังทำกิจวัตรประจำวันของตัวเองบางคนก็ควบเกวียนเข้าเมืองบ้างก็ขนของทุกคนดูเหมือนจะกระตือรือร้นกันเอามาก และแน่นอนกลิ่นอายของทะเลที่พัดโชยมากับลม แสงแดดที่อบอุ่นกับเหล่านกที่โบยบินไปทั่ว

“ยังไงก็ตามตอนนี้หิวแล้วแฮะคงต้องเดินหาอะไรกินก่อนดีกว่ายังไงก็ยังมีเวลาอีกนิด จะได้ถามถึงลานรับสมัครไปในตัวเลย” เด็กหนุ่มพูดออกมาด้วยสีหน้าที่ดูยิ้มแย้มและสดใสหากแต่ถ้าไม่มีเสียงท้องที่ร้องดังจนคนรีบข้างพากันหัวเราะกันไปตามๆกัน ทำให้สีหน้าของเขาตอนนี้แดงก่ำไปด้วย

ตู้ม!!

เสียงระเบิดที่ดังขึ้นมาอย่างไม่รู้สาเหตุสร้างความแตกตื่นให้กับคนรอบบริเวณแถวนั้น แต่ก็เป็นจุดสนใจกับคนรอบข้างไม่น้อยเหมือนกัน บางคนก็เริ่มแห่กันไปดูส่วนบางคนก็รีบวิ่งออกไป สิ้นเสียงที่ดังลั่นก็เริ่มมีควันสีดำโผยพุ่งออกมา

“เกิดอะไรขึ้นเนี่ย มีควันพุ่งออกมาด้วยสิแถมใกล้ๆนี้เอง” เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นมาอย่างสงสัยก่อนที่จะวิ่งไปทางที่เกิดการระเบิด แต่เมื่อไปถึงก็ต้องแปลกใจที่ไม่มีใครอยู่เลยในระแวกนั้นมีแต่เพียงควันสีดำที่ลอยออกมาจากร้าน ร้านหนึงที่ตอนนี้ป้ายดำจนไม่สามารถอ่านออก

เสียงจอกแจกของเหล่าพูดคนมากหน้าหลายตาไม่ว่าจะเป็นคนเผ่าสัตว์ เอลฟ์และปีศาจไม่เว้นแม้แต่มนุษย์ธรรมดาต่างพากกันรวมกลุ่มกันอยู่ ณ ที่เกิดเหตุไม่มีใครกล้าเข้าไปสถาณะการณ์เริ่มดูตึงเรียดเด็กหนุ่มจึงตัดสินใจที่จะเข้าไปดูข้างใน

“มีคนอยู่ในนี้หรือเปล่าครับ ถ้ามีส่งเสียง...บอก...หน่อย...” เมื่อเด็กหนุ่มเข้ามาในร้านก็ต้องตกใจมากเพราะสภาพในร้านนั้นเละเทะไปหมดจนทำให้เสียงที่เอ่ยออกมาดูเล็กลงไปเลย ทุกอย่างกระจัดกระจายไปจนหมดมีแต่ควันสีดำปกคลุมไปทั่วจนทำให้มองอะไรไม่เห็น

“เหวอ!”

‘กร๊อบ’ เสียงพื้นที่ทรุดตัวลงรวมกับเสียงตะโกนจากเด็กหนุมผู้โชคร้ายซึ่งตอนนี้ สะดุดล้มก้นกระแทกไปกับพื้นเรียบร้อย

“โครกๆ เฮ้ย! อะไรกัน เจ้าบ้าเอ้ย ของซื้อของขาย ทำไมมาระเบิดทิ้งหยั่งงี้ หา แล้วจะชดใช่ยังไงกันนี้” ผู้เป็นเจ้าของร้านตะคอกใส่ หนุ่มน้อยที่ยืนอยู่กลางร้าน ทั้งสำลักควัญไปตามๆกัน เหล่าลูกค้าที่อยู่ภายในร้านพอได้สติต่างพอกันวิ่งไปอย่างโกลาหล ส่วนคนที่ยังไม่ได้สติก็นอนแผ่หลาอยู่กับซากร้าน

“งั้นก็ขึ้นเงิน ค่าตอบแทนภารกิจให้ ผมสิ” เด็กหนุ่มพูดทวงขึ้นมาอีกครั้ง

“ก็บอกว่าเรื่องนั้น ถ้าแรงค์ไม่ถึงก็ไม่สามารถขึ้นเงินให้ได้ นายนี้พูดไม่เข้าใจจิงๆ” เจ้าของร้านพูดด้วยท่าทีที่ดูนิ้มนวลเพราะเกรงว่าถ้าไปรุงแรงกับเด็กตรงหน้านี้อีกมีหวังคราวนี้ได้หายไปทั้งร้านแน่ๆ

“ชิ ก็ได้ว่ะ งั้นก็ช่วยบอกมาดิว่าทำไงถึงจะได้แรงค์มาได้” หลังพูดจบ เจ้าของร้านที่ดูเหมือนจะทำใจเรื่องร้านได้แล้วก็ยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้ ‘เชิญชวนเหล่าผู้มีความสามารถตั้งแต่สิบสี่ปีขึ้นไปร่วมเข้าการทดสอบความสามรถในการเป็นผู้ใช้เวทย์มนต์ ผู้ที่ได้รับการคัดเลือกจะสามารถเข้ารับการทดสอบเพื่อเป็นจอมเวทย์แห่ง โรงเรียนชื่อดังต่างๆ เปลี่ยนระดับแรงค์!’ หลังจากดูกระดาษแผ่นนั้นแล้วหนุ่มน้อยก็พูดขึ้น “น่ารำคาญจริงๆแฮะ แล้วไอสถานที่ทดสอบนี้มันที่ไหนละเนี่ย มาสเตอร์บอกมาทีสิ” พลางหันหน้าไปถามเจ้าของร้าน

“เออ มันตรงจุดรวมกิจกรรม ใจกลางเมืองนู้น แต่ถึงไปตอนนี้นายก็ไม่ได้ทดสอบอยู่ดีแหละ เพราะการทดสอบครั้งนี้ต้องมีการจับคู่เพื่อทำการทดสอบด้วยแถมแกเองยังไปได้ไปสมัครเพื่อเอาใบรับการทดสอบมาก่อนซะด้วย ยังไงก็คงต้องถอดใจละนะ”

“ว่าไงนะ แล้วแบบนี้จะทำยังไงละเนี่ย” สิ้นคำพูดของเจ้าของร้านทำให้เด็กหนุ่มตรงหน้ามีสีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง และเริ่มออกท่าทีโวยวายอย่างขัดเคืองพลางส่งเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอ

“โอ๊ะ!” เจ้าของร้านเหลือบไปเห็น เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่นั่งก้นจ้ำเบ้าอยู่ตรงจุดที่เคยเป็นประตูร้านมาก่อน “ใช่แล้ว ใบสมัครแบบที่หนุ่มนั้นมีหนะ เอ้า! นี้เจ้าก็จะสมัครรับการทดสอบด้วยเรอะ” พูดพลางชี้ไปที่มือเด็กหนุ่ม เด็กหนุ่มเห็นเช่นนั้นฏ้สะดุ้งโหยงว่าแล้วจึงรีบลุกขึ้นปัดเศษเขม่าที่ติดตามขาแล้วพูดขึ้น

“เออ ก็ใช่ครับ แล้วสถานที่รับสมัครอยู่ที่ลานกลางเมืองสินะครับ งั้นผมขอตัวก่อนหละ ขอบคุณนะครับ” เด็กหนุ่มรีบตัดบทพูดและรีบหันหลังจะก้าวออกจากร้านอย่างทันทีร่าวกับว่าเค้าพอจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าอยู่ต่อที่นั่นแต่ยังไม่ทันที่จะก้าวออกไปก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา

“เฮ้ย เดี๋ยวซินายหนะ” เด็กหนุ่มหยุดชงักเมื่อถูกหนุ่มอีกนายทักและดึงคอเสื้อไว้ เขาเหลือบไปมองคนที่จับเสื้อเขาไว้เป็นเด็กหนุ่มที่อายุดูแล้วน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับเค้ามีผมสีน้ำตาลเหมือนกับอิฐแต่กลับมีนัยน์ตาสีเงินสวยงามราวกับเครื่องประดับเงิน และใบหน้าที่ดูแล้วเหมือนเป็นคนมีชาติตระกูล หากแต่นิสัยกับท่าทางที่ดูแล้วมันไม่เข้ากับตัวเลย

“ชั้นไม่ชอบพูดไรอ้อมค้อมมากความ ขอบอกตรงๆเลย นายหนะมาจับคู่กับชั้นซะ”

“ตะ...ตะ...แต่ว่า จากที่ได้ยินมาคุณไม่มีใบเข้าร่วมการทดสอบนี่ครับดังนั้นคงจะให้คุณเข้าร่วมทีมไม่ได้หรอกครับ” เจ้าตัวดีรีบแก้ต่าง พยายามบ่ายเบี่ยงคำพูดอย่างสุดฤทธิ์

“เออ แฮะจะว่าไปก็จริงของนายฉันก็ลืมไปเลย” เข้าพูดออกมาด้วยน้ำเสี่ยงที่ดูหดหู่ ส่วนทางผู้ที่โดนข่มขู่นั้นก็ถอนหายใจออกมาอย่างสบายใจเพราะรู้ว่าจะรอดจากสถานการณ์นี้ไปได้อย่างหวุดหวิด

“ถ้าเรื่องนั้นละก็ ถ้าหากคู่ใครนั้นไม่มีใบรับสมัครก็สามารถใช้ร่วมกับผู้สมัครนั้นได้เหมือนกันน่ะเท่าที่รู้มา ” ดังกับเสียงสวรรค์ประทานมาผู้ที่รับฟังจงถึงต้องเบิ่งนัยน์ตากว้างออกมาและเริ่มขยับรอยยิ้ม และกำมืออย่างดีใจ

“เฮ้! นาย....อ่าวหายไปไหนซะแล้วละเนี่ย”

“อ้อ ก็เมื่อตะกี้พอฉันพูดจบเค้าก็รีบวิ่งพรวดออกไปเลย” เจ้าของร้านพูด้วยสีหน้าที่นิ่งเฉยราวกับต้องการเอาคืนที่ทำร้านพังและเหมือนต้องการบ่งบอกไปว่า แกพลาดซะแล้วเจ้าหนู

“เฮ้ย! อะไรน่ะ เวรเอ้ย”

“รอก่อน เฮ้ยไม่ใช่ หยุดน่ะเจ้าบ้า! แกหนีฉันไม่พ้นหรอก” เด็กหนุ่มเจ้าของผมสีน้ำตาลอิฐเอ่ยขึ้นพร้อมกับรีบเร่ง ตามเจ้าตัวแสบคนก่อนหน้านี้ไปทิ้งไว้เพียงเศษฝุ่นที่กระเด็นตามรอยวิ่งอย่างไม่สนท่าทีเจ้าของร้านเลยสักนิด

“เด็กหนุ่มสมัยนี้มันไฟแรงกันดีจริงๆให้ตายสิ เฮ้อ แล้วแบบนี้ใครจะชดใช่ค่าเสียหายของร้านฉันกันละนี้ เล่นซะเกรียมแบบนี้” เจ้าของร้านพูดขึ้นลอยๆอย่างเอื่อมระอา แต่ก็ขยับร้อยยิ้มขึ้นมาราวกับเป็นเรื่องที่น่าขบขัน

'แย่...แย่ที่สุดเลยให้ตายสิ ไม่น่าหลงเข้าไปยุ่งกับเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนั้นเลยดีน่ะที่เราไหวตัวทันไม่งั้นป่านนี้คงโดนเจ้าหมอนั่นจับลากให้เป็นคู่ แหงซะแค่คิดก็ปวดหัวแล้ว'

เด็กหนุ่มคิดไปพลางปวดหัวไปกับความโง่เขลาของตนเองที่ไปหลงเข้าไปยังร้านแห่งนั้น ด้วยความเหนื่อยล้าจากการวิ่งจากป่ามายังเมืองแล้วยังต้องวิ่งหนีคนแปลกหน้าที่อยู่ในร้านนั้น นัยน์ตาสีฟ้าก็เหลียวไปมองเห็นลานน้ำพุที่อยู่ไม่ไกลจากตัวเขาซักเท่าไรและไม่มีใครอยู่ ด้วยความเหนื่อยล้าเค้าจึงทิ้งตัวไปนั่งอย่างสบายใจ

เด็กหนุ่มพยายามค้นหาสิ่งของบางสิ่งที่อยู่ในหอบสัมภาระของเขา และแล้วการค้นหาของเขาก็ต้องสิ้นสุดลงเมื่อมีเสียงฝีเท้าด้านหลังดังขึ้น เมื่อเขาหันกลับไปดาวตาสีฟ้าของเด็กหนุ่มก็ต้องเบิกกว้าง

ภาพของคนบางคนที่เขารู้จัก จะว่ารู้จักดีหรือไม่รู้จักดีเพราะคนๆนั้นเขาพึ่งได้พบเมื่อไม่นานมานี้เอง

“แฮกๆ ในที่สุดก็หาเจอจนได้ ฉันบอกแล้วใช่มั้ยว่านายไม่มีทางหนีฉันพ้นได้หรอก” พูดจบเจ้าของเสียงอิดโรยก็รีบพุ่งตรงเข้ามาหาเด็กหนุ่มที่ตอนนี้ยังนั่งนิ่งอยู่

แต่ทว่าเด็กหนุ่มเมื่อได้สติคืนนั้นก็ไม่รอช้าเค้ารีบเก็บของแล้ววิ่งออกไปอย่างรวดเร็วไม่ปล่อยให้ร่างของอีกคนมาหยุดเข้าได้ แต่เหมือนเค้าจะช้าเกินไปเพราะบัดนี้มือของคนที่เค้าจะหนีนั้นอยู่ที่คอเสื้อของเค้าเป็นที่เรียบร้อย

“ฉันว่าเรามาคุยกันดีๆหน่อยจะดีไหมเนี่ย ฉันขี้เกียจจะวิ่งแล้วน่ะ เหนื่อยเฟ้ย!”

น้ำเสียงตอนแรกที่เหมือนจะดูดี แต่สายตากับน้ำเสียงตอนหลังเหมือนจะออกแนวบังคับมากกว่าทำให้คนที่จะพยายามจะหนีถึงกับนิ่งแล้วยอมแต่โดยดีโดยไม่มีข้อยกเว้น

“แหะๆ นั่นสิน่ะครับ” เด็กหนุ่มเจ้าของดวงตาสีฟ้าตอบรับย่างแห้งๆอย่างไม่ค่อยเต็มใจเท่าไร

“ฉันแค่อยากจะให้นายช่วยรับฉันเป็นคู่สำหรับการทดสอบในครั้งนี้เองมันก็เท่านั้นหละ”

“เอ๋! เออ ไม่ดีกว่าคับ ผมขอตัวไปหาทีมที่ลานรับ สมัครดีกว่าครับ” ว่าแล้วเด็กหนุ่มก็สะบัดเสื้อที่ถูกเด็กหนุ่มอีกคนจับอยู่และเริ่มเดินออกไป แต่ร่างของเขาก็หยุดอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงที่เอ่ยตามมาข้างหลัง

“อ๊ะ โทษทีก็แล้วกัน แต่จากที่นายได้ยินในร้านนั้นมันไม่ใช่แค่ว่าเงินอย่างเดียวหรอกน่ะ...เพียงแค่ว่า...มัน” เด็กหนุ่มเจ้าของผมสีน้ำตาลเอ่ยขึ้นมาพร้อมกับแสดงสีหน้าที่ดูหม่นหมองลง เข้าไม่ได้มีท่าทีที่จะลุกขึ้นเพื่อจะยั้งเด็กหนุ่มอีกคนไว้

“เฮ้อ...ซวยจริงๆเลยแฮะ พอแค่นั้นเถอะครับ” เด็กหนุ่มเอ่ยด้วยเสียงเรียบพลางเอามือขึ้นไปยันเหมือนเป้นสัญญาณเพื่อแสดงว่าให้หยุดอยู่แค่นั้น

“นั่นสิน่ะ” เด็กหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลพูดเสร็จก็ลุกขึ้นและเดินออกไปแต่ยังไม่ทันไรก็มีเสียงตอบกลับมาจากเด็กหนุ่มอีกคน

“เรฟารัส คาลิว เคย์ หรือเรียกสั้นๆว่า เค ก็ได้” ว่าแล้วพอพูดจบเจ้าตัวก็เผยร้อยยิ้มที่มุมปากและเลิกคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย

เด็กหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลหันกลับมาเบิ่งตาสีเงินอย่างงง และทำหน้าเหมือนกับจะสงสัยกับท่าทีของเค้าที่ตอนนี้ยืนยิ้มอยู่

“เอ้า! อย่าทำเป้นงงแบบนั้นสิครับ แค่ของคนที่จะเป้นคู่ให้อย่างน้อยก็ต้องบอกกันหน่อยสิครับ แล้วคุณละ”

“นี่นาย...” เด็กหนุ่มยังเก็บอาการอึ้งไม่หาย

“ชื่อครับชื่ออย่างน้อยก็บอกกันมาหน่อยสิ” เคทำสีหน้าหงุดหงิดขึ้นเล็กน้อย

“เออ... เรอาน่อน เครเทอร์ โจซาเฟีย หละ...หรือเรียกว่า...โจเซฟ ก็ได้ ว่าแต่ว่านายรับชั้นเข้าเป็นคู่จริงๆอย่างงั้นเหรอ” โจเซฟถามเพื่อให้แน่ใจอีกครั้งเค้าตอนนี้มีท่าทีลุกลี้ลุกลนและทำตัวไม่ค่อยถูกเท่าไร

“พูดแบบนั้น ผมรู้สึกอยากไปหาคนใหม่ซะแล้วสิครับ” เคมีสีหน้าที่โมโหขึ้นแต่ยังปั้นหน้ายิ้มไปด้วย และเหมือนเป็นสัญชาติญาณโจเซฟจึงหยุดนิ้งไปอย่างไม่รู้ตัวเอง

“ขะ...ขอโทษครับ” ด้วยบรรยากาศตะกี้ทำให้โจเซฟพูดสุภาพออกมาอย่างไม่รู้ตัวเองเลย

ตะ...ตะ...ตะกี้นี่มันอะไรเนี่ยสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่เลวร้ายชั่ววูบไปยังไงยังงั้นเลย แต่ถึงกับทำให้เราพูดแบบนั้นออกไปได้อย่างไม่รู้ตัวนี้แสดงว่าหมอนี่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน

โจเซฟได้แค่คิดเพียงในใจเท่านั้นตอนนี้ทั้งสองคนก็กลับมามีสีหน้าที่ปกติดังเดิมและแล้วก็มีเสียง พลุดังขึ้นมาอีกครั้งทำให้ทั้งสองคนหันไปหาพลุดังกล่าว

“เฮ้ย! นั่นมันพลุสัญญาณนี่นา ซวยแล้วสิ!”

“พลุสัญญาณ มันมีความหมายว่ายังไงละ แล้วทำไมนายต้องมีท่าทีลุกลี้ลุกลนแปลๆแบบนั้นด้วยละ” โจเซฟเอ่ยถามอย่างสงสัยกับท่าทีของคู่หูของเขาที่ตอนนี้มีท่าทีไม่เป็นอันจะอยู่นิ่ง

ปุ้ง! เสียงพลุดังขึ้นอีกครั้ง

“ถ้าไม่ไปก็จะ...ไม่ทันลงชื่อสมัครแล้ว...นะสิ” เคหันมาหาโจเซฟและเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสั่นระริกควบกันหน้าถอดสี “ซวยแล้ว...ต้องมาเสียเวลาเพราะนายนี้หละ” เมื่อเห็นท่าไม่ดีเคก็หันมาโทษโจเซฟเอาดื้อๆทำเอาโจเซฟอ้ำอึ้งทำอะไรไม่ถูกและแล้วเค้าก็เริ่มสบถอะไรบางอย่างแล้วเดินเข้ามาหาเค

“เอ๊ะ! หือ? เหวอ” เสียงข้องคนที่ถูกอุ้มขึ้น

“ฮึ พูดงั้นแต่แรกก็จบแล้ว น่ารำคาญจิง เออ...ใช่! แล้วก็อย่ามาโทษฉันดีกว่าน่ะเพราะว่านายนั้นแหละที่ทำเป็นหยิ่งไม่ยอมตกลงแถมหนีออกมาเองอีกต่างหาก” วู้ม เกิดลมแรงขึ้นรอบตัวโจเซฟ แล้วที่เท้าของเค้าก็เปล่งแสงออกมาเป็นประกายเหมือนไฟฟ้าพื้นดินเริ่มเกิดรอยร้าวและสั่นสะท้านและดูเหมือนจะทวีคูณเพิ่มขึ้น

“เดี๋ยวนะ นายคงไม่ ว้าก!” โจเซฟกระโดดขึ้นไปบนฟ้าสร้างเสียงร้องจากเคไปไม่น้อย ดูเหมือนเคจะไม่เคยโดนอุ้มมาก่อนทำให้เริ่มเก็บอาการไว้ไม่อยู่ ว่าแล้วโจเซฟก็ร่วงลงไปที่หลังคาบ้านหนึ่งแล้วก็กระโดดไปตามหลังคาบ้านต่างๆ มุ่งหน้าไปยัง จุดรวมใจกลางเมืองซึ่งระหว่างทางเสียงจากคนที่ถูกอุ้มนั้นก็สร้างความสนใจให้กับชาวเมืองไปไม่น้อยจนในที่สุดก็ถึง ณ จุดหมาย

“นายนี่ แหกปากไม่หยุดตลอดทางเลยเนอะ อยากจะเด่นนักเหรอไง” โจเซฟเอ่ยขึ้นพร้อมกับปล่อยเจ้าคนแหกปากลงจากบ่ากระแทกเข้าที่พื้นอย่างจังสร้างเสียงร้องไปอีกครั้ง

“โอ๊ย!...โจเซฟ...นี่แก” เจ้าคนเจ็บตัวส่งหน้าฆ้อนกับสายตาดุไปหาคนอีกคนหนึ่งที่ยืนคุมหัวเค้า

“ตอนนี้เราอย่าพึ่งมาตีกันจะดีกว่ามั้ง ต้องไปที่จุดรับสมัครไม่ใช่เหรอ” โจเซฟเอ่ยขึ้นตัดบทแล้วชี้ไปทางกลุ่มฝูงชนซึ่งรายล้อมอยู่เต็มไปหมดมีเพียงเสาแหลมๆที่มีหน้าปัดเหมือนนาฬิกาประดับอยู่ตรงกลางเพียงเท่านั้นทำให้เคถึงกับขมวดคิ้วทันที

“นี่ นายว่านั่นใช่จุดรับสมัครแน่เหรอ” เสียงเรียบๆเอ่ยถามคนอีกคนนึง

“ก็น่ะ มันคงเป็นอย่างที่นายคิดอยู่นั่นแหละ” เจ้าคนที่ถูกถามตอบกลับมาโดยไม่มีสีหน้าครุ่นคิดเลยแม้แต่น้อย

จบสิ้นแล้ว ฝูงชนแบบนั้นกว่าจะผ่าเข้าไปถึงไม่มีทางทันเวลาแน่ๆ แถมต่อให้ฝ่าเข้าไปได้ก็ยังไม่รู้ว่ากรรมการรับสมัครอยู่ที่จุดไหน ทั้งๆที่เราก็ตรวจสอบมาดีแล้วแท้ๆแบบนี้มีหวัง

เราประมาทเกินไป!

“ถ้าที่ฉันเดาเอาน่ะ ขืนยังเป็นอยู่อย่างงี้มีหวังพวกเราคงได้กินแห้วทั้งคู่แน่ๆเลยใช่มั้ย” ว่าแล้วก็หันมามองคนถูกถามที่ยังนั่งทำหน้าหง๋อยอยู่กับพื้นและดูเหมือนจะเดาได้ถูกต้อง “คงไม่ต้องให้นายบอกแล้วสิน่ะ ถ้างั้นก็ต้องให้เจ้าพวกนั้นมันเปิดทางซักหน่อยซะแล้วสิ”

“บร๊ะ นี่นายทำเป็นพูดง่ายๆ ทำยังกับว่าเรามีใบเบิกท่างยังไงยังงั้นหละ” เคพูดตับกลับไปประชดในสิ่งที่โจเซฟพูด

“หึหึ งั้นก็ดูไว้ซะฉันนี่แหละใบเบิกทางชั้นดีเลย แล้วก็ฉันยังไม่ได้แสดงฝีมือให้นายดูเลยใช่มั้ยละ” เจ้าตัวดีพูดไปยิ้มไปอย่างมีเลห์นัยกับหัวเราะเบาๆออกมาทำให้คนที่ฟังเริ่มนั่งอย่างไม่เป็นสุข

“เออเดี๋ยวนะ นายคงไม่ทำอะไรที่มัน...เอิกเกริกจนเป็นจุดสนใจใช่มั่ยเนี่ย...” เครีบทักท้วงขึ้นมาแต่น้ำเสียงที่พูดก็ยังตะกุกตะกังบ้างเพราะถ้าเป้นไปตามที่เขาคิดงานนี้คงไม่มอดก็ม้วย

“โอ๊ะ! ใช่เลยชั้นจะทำในสิ่งที่นายคิดไว้”

“ไม่ๆ อย่าเด็จขาดเชียวน่ะ ชั้นถูกสอนมาตลอดว่าไม่ควรเป็นจุดเด่นเกินคนสามัญทั่วๆไป” เค้ารีบค้านกลับไปทันที่ที่เห็นว่าเจ้าตัวแสบนั้นเริ่มที่จะมีท่าทีจะทำอะไรบางอย่าง

“เหรอ ถ้างั้นก็ทำใจไว้ได้เลย เพราะชั้น ชอบเด่น สุดๆเลยหว่ะแล้วฉันคนทำแบบคนธรรมดาไม่ได้หรอกเพราะฉันไม่ใช่คนหรอกน่ะแต่เป็นคนของเผ่าปีศาจ แล้วก็ใช่แล้วขอบอกตรงๆน่ะชั้นชักเริ่มรู้สึกถูกชะตากับ นายแปลกๆซะแล้วแล้วฟะ” พูดจบโจเซฟพุ่งดีด ตัวเต็มที่ไปจุดที่เป็นซุ่มสำหรับรับสมัคร ลงไปที่ใจกลางของฝูงชน

Edited by B★RS

Share this post


Link to post
Share on other sites

โอ้ ~ ,, เนื้อเรื่องอ่านเข้าใจชัดดีค่ะ ~ มังกรชอบวิธีเดินเรื่องประมาณนี้แหละค่ะ

ฮี่ ~ X3

ยังไงก็รอดูตอนต่อ ๆ ไปนะคะ ~ สู้ ๆ ค่ะ !

Share this post


Link to post
Share on other sites

เป็นฟิคที่มีการดำเนินเรื่องเข้าใจง่ายมาก ๆ ครับ คำบรรยายที่เขียนออกมานั้นโดยรวมแล้วยอดมากเลย อ่านแล้วนึกภาพตามได้ในทันทีครับ

กำลังรออ่านต่อไปอยู่นะครับ

Share this post


Link to post
Share on other sites

แฟนตาซี แอดแวนเจอร์ สินะ - -*

หึึหึ น่าลองอ่านนะ

Share this post


Link to post
Share on other sites

สถานที่ในนวนิยาย

(ในบทนำ)

รีสเทเรีย คือ เมืองท่าที่อยู่ในอาณาจักร โกบารัม รีสเทเรียเป็นเมืองที่เป็นแหล่งสำคัญในการค้าทางทะเล (ในเนื้อเรื่องของบทนำนั้นยังไม่ได้เกริ่นไว้) นอกจากนั้นที่นั่นยังมีกองกำลังที่เชี่ยวชาญด้านการสลายมนตราที่เลื่องชื่อเป็นอย่างมาก รอบๆตัวเมืองของรีสเทเรียนั้นจะมีทางที่เข้ามาได้อยู่2ทางคือทางฝั่งที่เป็นทะเลและฝั่งที่เป็นป่าทึบแต่ถึงกระนั้นรีสเทเรียก็ยังเป็นป้อมปราการอย่างนึงที่สำคัญมาก (สังเกตุได้จากบทนำ ’กำแพงสีฟ้าที่รายล้อมรอบเมือง ธงสีเหลืองอร่ามที่มีสัญลักษณ์คล้ายๆรูปเสือโบกสะบัด’) <รายละเอียดอย่างอื่นโปรดอ่านจากบทที่1และบทอื่นๆครับ>

ราเซนนุ คือ ปราสาทร้างขนาดใหญ่ที่มีพื้นที่กว้างขวาง เป็นส่วนนึงที่หลงเหลือจากสงครามหายนะเมื่อ300ปีก่อน ที่น่าแปลกคือตัวปราสาทนั้นตั้งอยู่สูงจากพื้นไปประมาน1กิโลเมตร(พูดง่ายๆคือเหมือนตั้งบนภูเขารายล้มด้วยป่าทึบกว้าง และในตัวปราสาทนั้นถ้าดูจากภายนอกจะเป็นปราสาทเก่าๆแต่ภายในถูกตกแต่งอย่างหรูหรา พร้อมเครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆ คาดว่าเป็นเทคโนโลยี่เมื่อสมัยก่อนแต่สามารถนำมาใช้ได้อยู่ แต่บริเวณนั้นจะเต็มไปด้วยป่าทึบหน้าผากว้างและเหล่าสัตว์ดุร้ายมากมาย รวมทั้ง สัตว์ปะหลาดด้วย หรือ แม้คิเมร่า นับว่าเป็นที่อันตรายโดยแท้ (ถึงกระนั้นก็ไม่เคยมีใครที่จะเสียชีวิต) <รายละเอียดอ่านเพิ่มในบทที่1ครับ>

มอลตี้ คือ เมืองนครที่ต้องอยู่ท่ามกลางหุบเหวอันกว้างขวาง โดยได้ขนานามเรียกได้ว่าเป็นเมืองลอยฟ้าที่งดงามที่สุดในโลกเวทย์มนต์และยังเป็นสถานศึกษาที่เคยถูกเรียกว่าเป็นโรงเรียนเวทย์ที่มีความสุดยอดในขแนงต่างๆถึงได้ว่าไร้ที่ติและเป็นหนึ่งในสถานที่กักขังสแค๊ปโดยมีคำกล่าวว่าในอดีตมอลตี้เป็นเมืองที่ไม่ได้ลอยอยู่อย่างในที่ๆคนรู้จักมาโดยเป็นเมืองหลังในการใช้เป็นที่ตั้งละวางแผนการรบในเมื่อสมัยก่อน ตราบเท่าในปัจจุบันที่เป็นอยู่ก็เหลือเพียงไม่กี่คนที่ล่วงรู้อดีตนั้น และในปัจจุบันมอลตี้ก็ยังเป็นเมืองท่าที่สวยงามที่สุดอยู่แต่ความเป็นอันดับหนึ่งในโรงเรียนเวทย์ทั้ง 6 ก็ตกมาอยู่เป็นโรงเรียนเวทย์ที่อ่อนแอที่สุดซึ่งสาเหตุนั้นจะถูกกล่าวในเรื่องอีกครั้งนึง <รายละเอียดอ่านเพิ่มในบทที่3เป็นต้นไปน่ะครับ>

เกร๊ดเดล คือ เมืองในเขตปกครองของ เล็มบรูเลีย เป็นเมืองที่เป็นเหมือนเมืองที่ใช้พักทางชั่วคราวก่อนจะผ่านต่อไปยัง ลอสเกียร์ หรือ เพ๊กเก็มอิล จึงเป็นเมืองที่เหมือนเป็นตลาดขนาดกลางเหมาะสำหรับการซื้อเสบียง เมืองเกร๊ดเดลยังมีชื่อเสียงในอีกด่านนึงคือการแสดงและการต่อสู้ประลอง เช่นเดียวกับ เมืองเอสโทนีย่าที่เป็นถิ่นการปกครองของเผ่ามาร กับ เบเรลเครสที่เป็นถิ่นการปกครองของเผ่าสัตว์ <รายละเอียดในส่วนของลอสเกียร์ โปรดรออ่านในบทที่5>

ลอสเกียร์ คือ เมืองที่ตั้งอยู่ในอณาจักร เล็มบรูเลีย ทางตอนใต้ของเส้นทางข้ามไปยัง ป่าไม่หวนกลับ ที่เป็นที่หลบซ่อนของเหล่าโจรและพวกหัวขโมยและอสูรต่างๆ ในส่วนของลอสเกียร์เป็นเมืองที่มีเหมืองแร่ตั้งอยู่เป็นเป็นเมืองสำคัญในการผลิตอาวุธต่างๆมากมายก่อนจะถูกนำไปลงอาคมเพื่อให้กลายเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์จากเมืองอื่นๆที่ต้องการและในบางกรณีก็จะถูกสังให้ทำอาวุธพิเศษอื่นๆจากชนชั้นสูง เรียกได้ว่าเป็นเมืองที่สร้างรายได้เข้าสู่อณาจักรเป็นอย่างมาก โดยจากตัวกำแพงเมืองจะถูกสร้างด้วยหินสีเงินที่ได้มาจากแร่ต้านทานที่มีคุณสมบัติดูดซับแรงกระแทกและพลังเวทย์ได้ช่วงนึง นอกจากนั้นเมืองลอสเกียร์ยังถูกเรียกว่าเป็นเมืองแห่งไอน้ำ ที่ถูกเรียกแบบนั้นเพราะจากไอน้ำที่โพยพุ่งมาจากป่องควันในเมืองอยู่ตลอดโดยไอน้ำได้มาจากความร้อนจาก ภูเขาไฟ โกลด์รันเต้ ที่อยู่ถัดไปจากป่าไม่หวนกลับ <รายละเอียดในส่วนของลอสเกียร์ โปรดรออ่านในบทที่5>

Edited by B★RS

Share this post


Link to post
Share on other sites

บทที่1

บททดสอบกับการคัดเลือกและเพื่อนร่วมเดินทาง

ตูม!

เหล่าผู้คนที่รายล้อมกระเด็นออกไปตามแรงกระแทกอะไรบางอย่าง ทันใดนั้นก็เริ่มมีกระแสลมกรรโชคเข้ามาแต่ทว่ามันไม่ใช่แม้แต่น้อยนั่นคือสายธารเวทย์มนต์ มีใครบางคนกำลังร่ายเวทย์มนต์อยู่

ภาพที่ปรากฏเบื่องหน้าของเคนั้นถ้าให้บรรยายออกไปนั้นก็สามารถพูดออกมาได้ว่าไม่น่าเชื่อมาก จู่ๆบริเวณรอบๆก็มีการรวมตัวของเหล่ากระแสลมจากเบาๆก็ค่อยๆทวีคูณความรุนแรงมากยิ่งขึ้นสร้างความโกลาหลกับเหล่าผู้คนและผู้ที่เข้าร่วมสมัครบริเวณนั้นอย่างมาก และผู้ที่อยุ่ตรงใจกลางความโกลาหลนั้นก็เป็นใครไม่ได้นอกซะจาก คนที่บอกว่าตนนั้นเป็นใบเบิกทางชั้นดีนี่เอง และแล้วความโกลาหลที่ทวีความรุนแรงก็บังเกิดออกมาพายุขนากใหญ่ที่พัดพาเอาเหล่าผู้คนและผู้สมัครปลิวออกไปรวมกระทั่งตัวของเคเอง

‘บ้าชิบ! มัวแต่ตะลึงกับสถานการณ์จนลืมสร้างกำแพงเวทย์เลย’ เคได้แต่บ่นขณะที่ตนนั้นปลิวออกไปตามแรงกระแทกของกระแสลมนั้น แต่ในขณะที่เขากำลังปลิวไปก็ได้ บ่นพึมพำบางอย่างแล้วก็ไม่กี่วินาทีจากนั้นตัวเขาก็หยุดนิ่งแล้วลงมาสู่พื้นอย่างปกติแต่ทั้งๆที่เวทย์มนต์ของโจเซฟยังร่ายอยู่

แต่ไม่นานก็มีเหล่าทหารเวทย์ของเมืองนี้เข้ามารายล้อมรอบบริเวณนั้นแต่ด้วยแรงพายุที่เกิดขึ้นทำให้ไม่มีใครได้ทันสังเกตุ และจู่ๆก็เกิดแสงประหลาดขึ้นมาจากบนพื้นแล้วพายุหมุนที่ถูกสร้างขึ้นมาก็เริ่มสลายตัวไป

“สัญลักษณ์เวทย์มนต์? เวทย์สลายมนต์ตราขั้นสูงงั้นหรือเนี่ยถ้างั้น...” เคพูดออกมาขณะที่เวทย์ป้องกันของเขาเองก็เริ่มคลายตัวออกไปด้วยสภาพทิวทัศน์ที่ถูกพายุโหมกระหน่ำจนมองไม่เห็นก็เริ่มปรากฏขึ้นออกมาอย่างชัดเจน ธงสีเหลืองโบกสะบัดกับสัญลักษณ์ที่เหมือนรูปเสือ ชุดเกราะสีฟ้าครามสะท้อนกับแสงตะวันจนแสบตา“นะ...นี่มัน ทหารเวทย์มนต์แห่งริสเทเรียนี่นา แย่ละสิ สถานะการณ์เลวร้ายสุดๆซะแล้ว”

พายุที่หยุดหมุนไปเหลือไว้เพียงเหล่าผู้คนที่นอนเรียงรายอยู่กับพื้นกับบางคนที่ใช้เวทย์ป้องกันตัวเองไว้เลยพอขยับตัวได้บ้าง ซึ่งในนั้นเองเคก็เป็นอีกคนที่ไม่ต่างจากคนอื่นๆเท่าไร แต่ใบหน้าของเค้าแสดงสีหน้าออกมาได้ซีดเซียวกับคู่หูเค้าที่ก่อเรื่องไปกับเวลาสมัคที่หมดลง เหล่าทหารเวทย์ได้เข้าไปช่วยเหลือเหล่าผู้สมัครที่โดนพายุซัดกัน

“การรับสมัครปีนี้ก็ยังดุเดือดไม่เปลี่ยนเลยน่ะเนี่ยแต่เท่าที่ดูก็ไม่แตกต่างจากเมื่อปีก่อนเท่าไรเลยแฮะ ฮ่าฮ่าฮ่า” ทหารเวทย์นายนึงได้เอ่ยขึ้นมาในขณะที่เข้ามาช่วยพยุ่งร่างของผู้เจ็บ

‘หมายความว่ายังไงกันเนี่ย’ เคได้แต่นึกในใจขณะที่แสร่งทำตังทรุดลงไปกับพื้นเหมือนกับว่าตัวเองบาดเจ็บอยู่

“เอ๋! หมายความว่ายังมีหนักกว่านี้อีกเหรอครับเนี่ย” ทหารเวทย์อีกคนนึงเอ่ยขึ้นพร้อมกับสีหน้าที่ตกใจกับสิ่งที่อีกคนนึงได้พูดเอาไว้แล้วก็หันกลับมาทำหน้าที่ต่อทันทีที่เห็นสายตาของคนถูกถามมองมาที่ตัวเขา “ไหวไหมเจ้าหนู” ว่าแล้วเค้าก็มาพยุ่งร่างของเคขึ้นมา

“ฮ่า ฮ่า เฟรด เจอแค่นี้ถึงกับหน้าถอดสีเลยงั้นเหรอสมัยตอยที่ฉันเข้ารับมาคอยดูพวกที่สมัครที่นี่แทบจะกลายเป็นทะเทเลือดเลยด้วยซ้ำ” ชายร่างยักษ์เดินเข้ามาพูดกับพลทหารคนนั้นจากที่ดูตราที่ติดอยู่กับหูที่แหลมออกมา คาดได้ว่าน่าจะเป็นหัวหน้าหน่วยของทหารแถมเป็นเผ่าเอลฟ์ซะด้วย

‘เคยได้ยินเหมือนกันว่า ริสเทเรีย มีหน่วยที่คอยใช้เวทย์สลายมนต์ตราที่ลือเลื่องและหัวหน้าหน่วยนั้นเป็นเผ่าเอลฟ์ ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เองอย่างงั้นเหรอเนี่ย แต่ว่าที่เขาพูดกันนี่ทะเลเลือดที่ว่า การเข้ารับสมัครนี่มันทำอะไรกันแน่เนี่ยไม่เห็นจะเข้าใจเลย โว้ยยยย จะว่าไปเจ้าหมอนั่นละเล่นซะกรุจุยแบบนี้มีหวังโดนลากเข้าไปซังเตแน่ๆเลยแฮะซวยซะแล้วสิ’ เคพยุ่งตัวเองขึ้นแล้วหันไปมองไปมองเอลฟ์ร่างยักษ์พร้อมกับสีหน้าที่ครุ่นคิดกับสิ่งที่เขาได้พูดก่อนที่จะรู้สึกตัวแล้วหันไปมองเจ้าตัวแสบ

“ฮะๆ หัวหน้าก็คนปลิวว่อนแบบนี้มันไม่ใช่....” ยังไม่ทันที่ทหารชื่อเฟรดจะพูดจบก็มีเสียงดังขึ้นมา

“เอ่ะ....เอ๋! เจ้าหมอนั่นมันหายไปไหนแล้วละเนี่ย!!” เคพูดพลางมองหาเจ้าตัวก่อเรื่องด้วยน้ำเสียงที่หลุดเสียงดังออกไปทำให้เรียกความสนใจของเหล่าทหารแถวนั้นไม่น้อย

‘ปุก’ เสียงอะไรบางอย่างที่กระทบเข้าที่หัวของเค

“นายนี้น้า~....ปากบอกว่าไม่อยากเด่นแต่ไหงทำตัวเด่นซะขนาดนี้ละเนี่ยฉันละงง”

“จะ....จะ....เจ้าบ้าเอ้ย! นายรู้ไหมว่าทำอะไรลงไปนะ” เคพูดออกมาพร้อมกับที่หน้าที่แดงขึ้นเดือดดาลกับสิ่งที่คู่หูเค้าทำลงไป

“โอ้ย! พูดเบาๆก็ได้ยินแล้ว นี่จะตะคอกหาใครไม่ทราบ” โจเซฟเอามือปิดที่หูแล้วตะคอกกลับไปหาเคอย่างทนรับฟังต่อไปไม่ได้ “เออ ฉันแค่ซัดเจ้าพวกที่มันขวางให้ปลิวไปก็แค่นั้นเอง” เจ้าตัวดียังพูดออกมาอย่างไม่อายปากแถมยังส่งสายตากับรอยยิ้มออกมาเหมือนต้องการแสดงว่าฉันเจ๋งไหมละ

“อุ๊บ แค๊กๆ อะไรมันจะบ้าระห่ำขนาดนี้เนี่ย” คนที่คาดว่าน่าจะเป็นคณะกรรมการยื่นรับใบสมัคร ที่นั่งอยู่บนโต๊ะในซุ้มพูดไปพลางสำลักฝุ่นไป “เฮ้เจ้าหนูตรงนั้นน่ะ ใบสมัครเสร็จเรียบร้อยแล้วน่ะ”โจเซฟได้ยินเข้าก็รีบเดินเข้าไปรับใบสมัครปล่อยให้เคที่กำลังโกรธยืนบื่อไปโดนไม่สนใจอะไร “เจ้าหนูที่ทำลงไปตะกี้นี่นับว่าใจกล้าไม่เบาเลยน่ะ” เสียงทักจากกรรมการเอ่ยขึ้นมาตอนที่โจเซฟเข้าไปหยิบใบสมัคร ว่าแล้วเคก็เริ่มมีสีหน้าที่ดูซีดลงไปอย่างเห็นได้ชัดเพราะตอนนี้เหล่าทหารที่กำลังช่วยเหล่าผู้สมัครต่างมองมาที่พวกเข้า ตามที่ได้ยินจากกรรมการนอกจากนั้นเหล่าผู้ที่พลาดการลงสมัครก็มองมาไม่แพ้กัน

“อืม เรฟารัส คาลิว เคย์ กับ เรอาน่อน เครเทอร์ โจซาเฟีย ทีม 2 คนสินะ” กรรมการพูดออกมาแล้วเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้กับทั้งสองคน “ทั้งสองคนผ่านการสมัครแล้ว ยินดีด้วยน่ะคู่บ้าระห่ำ! แล้วฉันจะรอดูผลงานละ” กรรมการหยิบฆ้อนขึ้นมาทุบโตะจนเสียงดังสนันแล้วเอ่ยขึ้นมาอย่างถูกใจ บรรยากาศรอบๆที่ตึงเครียดก็พลันหายไป เสียงปรบมือแห่งความยินดีรอยยิ้มที่ผุดขึ้นมาบนหน้าของเหล่าผู้ที่ถูกโจเซฟซัดกระเดนและเหล่าทหารกับผู้ที่เข้ารับการทดสอบอย่างไม่น่าเชื่อ

“ฮ่า ฮ่า ฉันละยอมแพ้พวกแกเลยน่ะเนี่ยใจกล้ากันจริงๆ แต่ก็น่ะไอ้ความบ้านั่นน่ะคงไม่ใช่ว่าจะจบหลังจากไปที่นี่หรอกน่ะเจ้าหนู” เสียงเอ่ยขึ้นจากผู้ที่โดนโจเซฟซัดกระเดน เขาเป็นเผ่าพันธุ์สัตว์รูปร่างเข้ามีส่วนที่คล้ายกับคนเพียงแต่หัวเขาเป็นหมูป่าสีดำและกล้ามที่เป็นมัดๆจนดูปร๊าดเดียวก็รู้ว่าแข็งแรงแน่ๆ

“มันจะเป็นแบบนั้นได้ยังไงละลุงและทุกคน ถึงเห็นเจ้าหมอนี่มันบ้าและไม่รู้จักคิดไม่ใช้สมองมีแต่พุ่งไปแบบไม่สนใจรอบข้างจนสามารถเรียกได้อย่างเต็มปากว่าไอ้สมองกลวงขั้นเทพแบบนั้นก็เถอะ แต่แบบนั้นไงละถึงต้องมีผมคอยเป็นคนหนุนหลังมันยังไงหละวางใจเถอะพวกผมจะเอาโอกาศที่ช่วงชิงมานี้ไปใช้อย่างคุ้มค่าแทนคุณเอง” เสียงที่ไม่น่าได้ยินจากคนที่เงียบมาโดยตลอดอย่างเค้าคนนั้นเด็กหนุ่มที่มีผมสีแดงที่ตอนนี้ฉายแววตาที่มีอยู่เพียงข้างเดียวอย่างแน่วแน่พร้อมกับอรุนที่สองสว่างอยู่บนหัวพวกเค้าสียงแตรที่ดังขึ้นเพื่อประกาศบอกถึงการจบการรับสมัคร แต่ถึงจะดังสักเท่าไรก็ตามทุกคนก็ไม่อาจจะละสายตาจากเด็กหนุ่มตรงหน้าได้แต่น้อยแม้คู่หูของเค้า โจเซฟเองก็ยังต้องชะงักไป

“ฮ่า ฮ่า ต้องให้ได้แบบนี้ ข้าไม่รู้สึกแบบนี้มานานแล้ว ถูกใจจริงๆ!” เสียงเอ่ยขึ้นจากสมิงหมูป่าทันใดนั้นเหล่าผู้ที่โดนซัดจากพลังเวทของโจเซฟก็ส่งเสียงเฮขึ้นมาไม่เว้นแต่ชาวบ้านบางคนก็พูดออกมาว่า “ทำให้ได้อย่างที่พูดซะละ” บ้างก็ “แพ้กลับมาละก็ฉันยำพวกนายเละแน่!” แต่ถึงกระนั้นทุกคนก็ส่งรอยยิ้มให้กับพวกเคอย่างกับว่าเป็นวีรบุรุษจนพวกที่ลงรับสมัครไปแล้วกลายเป็นตัวประกอบไปเลย “ฮึ! เจ้าหนูทั้งสองอย่าผิดคำพูดซะละ”

“ได้เซ่! แล้วก็คอยดูให้ดีหละพวกเรานี่หละจะเอาชนะทุกคนให้ดูแล้วจะขึ้นเป็นทีมที่แกร่งที่สุดให้นายเห็นเลย” โจเซฟตอบกลับไปพร้อมกับชี้นิ้วไปยังกรรมการ แต่นั่นกลับกลายเป็นการสร้างเสียงขบขันให้กับเหล่าผู้ที่ได้ยินไม่น้อย ไม่เว้นแม้แต่เคที่ยืนอยู่ข้างๆถึงกับตะลึงไปตามๆกัน

“หึ! ได้สิ เรอาน่อน เครเทอร์ โจซาเฟีย แล้วก็ เรฟารัส คาลิว เคย์ สิ่งที่พวกนายพูดวันนี้ฉันจะจำเอาไว้แล้วพบกันใหม่อีกในเวลาที่เหลืออยู่อีกสิบวัน ที่ ‘ราเซนนุ’ ทั้งสองคน...” กรรมการคุมสอบเอ่ยขึ้นก่อนที่จะมีแสงสว่างวาปเกิดขึ้นที่บนเท้าของเค้า สิ่งที่เค้าเอ่ยขึ้นมาสร้างเสียงฮือฮาไปไม่น้อยเหล่าผู้สมัครสอบต่างพอกันลุกลี้ลุกลนเหมือนกับว่ามีเรื่องเกิดขึ้น

‘เฮ้ย!...ดะ..ดะ...เดี๋ยวสิคุณกรรมการ ไหนรวมฉันเข้าไปด้วยละเนี่ยตะกี้ฉันไม่ได้พูดซะหน่อยเจ้าโจเซฟมันพูดเองไปทั้งนั้น ฉันไม่เกี่ยวสักหน่อย!’ เคได้แค่พูดกับตัวเองภายในใจเท่านั้นขณะที่มองไปยังกรรมการ

“โจเซฟ...เรียกฉันแบบนี้ดีกว่าส่วนเจ้านี่เรียกมันว่าเคก็แล้วกัน แบบนี้มันจะได้สะดวกกว่าน่ะชื่อจริงมันออกจะยาวไป” โจเซฟเอ่ยขึ้นอย่างชัดถ้อยชัดคำแล้วส่งยิ้มพร้อมหัวเราะให้กรรมการพร้อมกับกอดคอเค แน่นอนคู่หูของเค้า เค เองก็ได้แค่ยิ้มแหย่ๆให้กับกรรมการเท่านั้น

‘โจเซฟกับเคงั้นเหรอเจ้าหนูสองคนนี้ดูท่าไม่เลวเลยแฮะคิดไม่ผิดที่ปลอมตัวมา แต่ว่าพวกนายก็ทำพลาดไปหน่อยน่ะเล่นประกาศตัวเป็นศัตรูกับคนอื่นแบบนี้ก็ไม่ต่างจากการสร้างภาระให้ตัวเองมากขึ้นกว่าเดิมยิ่งไปกว่านั้นในระยะเวลาที่เหลืออยุ่แทบหยิบมือ...แต่ ก็น่าสนใจจริงๆ หึหึหึ การคัดเลือกปีนี้...’ กรรมการได้คิดอยู่ในใจก่อนส่งยิ้มและสายตาอย่างมีเลห์นัยให้ทั้งคู่แล้วหายไป

“เอ้านี้ หมายเลขเข้าทดสอบ ลำดับทีมที่ สองร้อยยี่สิบห้าแฮะ เลขสวยไม่เบา ” เสียงของเจ้าคนปากดีรีบหันมาหาคู่หูหลังจากที่กรรมการหายไปโดยที่ตอนนี้เจ้าตัวไม่รู้ตัวเองซะเลยว่าได้ไปสร้างศัตรูไว้ซะแล้วมิหนำซ้ำเจ้ายังพูดออกมาอย่างไม่อายปากอย่างที่ไม่ดูว่าบรรยากาศรอบๆนั้นเปลี่ยนไป

“โจเซฟ...ฉันว่าน่ะ เรารีบไปกันเถอะ ไม่สิ...น่าจะบอกว่าต้องไปแล้วหละ” เคเอ่ยขึ้นพร้อมกับเหล่สายตายมองไปรอบๆอย่างรู้ทันว่าถ้ายังอยู่ที่นี่ต่อไปจะต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ โดยพยายามส่งสายตาเพื่อที่จะบอกเจ้าคนที่ปากพาซวยตรงหน้าให้รู้ว่าที่นี่ไม่ปลอดภัยซะแล้ว

“หืม...เออ เมื่อตะกี้นายว่าอะไรน่ะฉันไม่ค่อยได้ยินเท่าไรเลย”

“เจ้าบ้า นี่นาย...นายเล่นไปป่าวประกาศว่าจะเป็นทีมที่แกร่งที่สุดแล้วก็เอาชนะทุกคนแบบนั้นก็เหมือนว่านายป่าวประกาศตนว่าเป็นศัตรูของทุกคนไม่ใช่หรือไง” เคเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา

“ฮะๆ นั่นสิเนอะคงจะเป้นแบบนั้นแต่ว่านายจะกังวลไปทำไมละ” โจเซฟยังหันมาอย่างงงงวย

“...พูดแบบนั้นนายความว่ายังไงกันแน่นะโจเซฟ ฉันว่าควรจะรีบไปจากที่นี่ยังจะดีกว่าอยู่ให้โดนยำและน่ะ” ฝ่ายที่ถูกถามกลับงงซะเอง

“หึ! นายลืมไปแล้วเหรอที่ตัวนายพูดมาเองน่ะว่า ที่นี่มีกองกำลังทหารของริสเทเรียอยู่น่ะใครมันจะกล้าก่อเรื่องละ” ว่าแล้วโจเซฟก็หันมามองที่เค “ยิ่งไปกว่านั้นฉันว่าการที่เราพลีพลามออกไปจากเมืองนี้โดยไม่เตรียมตัวจะเป็นอันตรายต่อตัวเองซะยิ่งกว่า นอกจากนั้นที่นายว่าฉันประกาศตัวเป็นศัตรูกับคนที่สมัคเข้ามาเหมือนกันมันก็ไม่แปลกหรอกเพราะยังไงทุกคนก็เป็นศัตรูกันอยู่แล้วแถมที่นี่ก็ไม่ใช่ที่สมัครที่เดียวด้วยยังมีที่อื่นอีกตั้งเยอะแยะใช่ว่าเราจะซวยไปอย่างที่นายว่าซะหน่อย” ประโยคที่โจเซฟพูดออกมาถึงกับทำให้เคตะลึงไปชั่วขณะสายตาของเค้าแสดงถึงความไม่น่าเชื่อกับสภาพเบื่องหน้าว่านั่นคือเด็กหนุ่มที่เขารู้จัก

ณ ที่พัก อารุไตย แห่งริสเทเรีย

หลังจากที่เกิดขึ้นที่ลานรับสมัครได้ไม่นานบรรยากาศที่ตึงเครียดที่นั่นก็เริ่มซาลงไป เหล่าทหารแห่งริสเทเรียเริ่มทำการเก็บกวาดที่นั่นผู้คนที่มามุ่งดูก็เริ่มทยอยกำไปทำกิจกรรมตามชีวิตประจำวัน ไม่ต่างกันผู้ที่ได้รับสมัครต่างก็แยกย้ายกันไปพวกเคเองก็เช่นเดียวกันตอนนี้พวกเข้ากกำลังเตรียมตัวที่จะต้องออกเดินทางไปยังราเซนนุ

“โห ที่นี้ห้องพักของนายเหรอเนี่ยโจเซฟ” เสียงของคนๆนึงที่กำลังตะลึงจนถึงกับต้องกวาดตามองอยู่กับห้องที่มีขนาดกว้างขวาง ภายในห้องตกแต่งด้วยเครื่องประดับที่ดูดีมีราคาจนถึงกับทำให้ต้องตาค้าง บนพื้นยังเป็นพรมอย่างดีอีกทั้งโซฟาและเตียงช่างเป็นองค์ประกอบที่หาแทบไม่ได้ในชีวิตของสามัญชน

“ฉันว่านายเลิกมองไปรอบๆได้แล้วมั้ง มาคุยเรื่องที่เราจะเดินทางไปกันต่อจะดีกว่า” โจเซฟเอ่ยขึ้นมาตัดก่อนที่คู่หูของเค้าจะหันไปสนใจตรงอื่นต่อว่าแล้วก็คว้าแขนของเคแล้วพาลากไปยังโซฟาที่อยู่ตรงกลางห้องก่อนที่จะนั่งลง

“นั่นสิน่ะเรื่องการเดินทาง...” เมื่อเข้าเรื่องบรรยากาศรอบๆก็เริ่มเปลี่ยนไปเคดูมีสีหน้าที่หดหู่ขึ้นเยอะราวกลับว่ามีเรื่องที่รบกวนจิตใจของเค้าอยู่เคเหลือบมองไปที่โจเซฟก่อนที่จะถอนหายในออกมา

“ฮะ...เฮ้! นายเป็นอะไรมากหรือเปล่าละนั่น สีหน้านายดูไม่ค่อยสู้ดีเท่าไหร่เลยน่ะ” โจเซฟเห็นว่าเคมีสีหน้าที่ดูไม่ดีเลยยิงคำถามเข้าไป

“อืม...จะว่าไม่ดีก็ไม่แปลกหรอกน่ะ ที่ฉันจะพูดก็คือ สถานที่ๆเรากำลังจะเดินทางไปน่ะ”

“อ้อ ไอ้ราเซนนุนะเหรอ” ยังไม่ทันพูดจบโจเซฟก็พูดขัดขึ้นมาแต่ก็ต้องชะงักไปเมื่อเห็นสีหน้าที่สงนัยตาดุกลับมา

“ใช่แล้ว กรรมการที่คุมสอบก็บอกว่ามีเวลาอีกแค่สิบวันเท่านั้นด้วย” เคทวงขึ้นมาพูดอีกครั้งแล้วก็เบือนสีหน้าไปยังเป้สะพายของเค้าแล้วหยิบกระดาษที่เป็นหมายเลขของทีมขึ้นมา

“ฉันว่ามันก็ไม่เห็นจะยากเลยน่ะแค่ไปให้ทันภายในเวลาสิบวันเอง” โจเซฟตอบกลับไปอย่างทันควันโดนไม่รู้สึกรู้สาของความหมายที่เคพูดออกมาเป็นนัยๆเลยเจ้าตัวกลับหยิบเอากาใส่น้ำช้าขึ้นมาแล้วเทน้ำชาลงไปในแล้วดื่มอย่างไม่รู้สึกรู้สา

“โจเซฟฉันขอถามอะไรหน่อยเถอะ” เครีบพูดท้วงขึ้นกลับไปทันทีเพราะดูเหมือนจะรู้ว่าเพื่อนที่อยู่ตรงหน้าเค้าคงไม่เข้าใจสถานะการณ์

“นายรู้หรือเปล่าว่าราเซนนุมันอยู่ที่ไหน” เคพูดออกไปพร้อมกับแสดงดวงหน้าที่บงบอกว่าซีเรียสกับเรื่องที่พูดออกไปอย่างมาก โจเซฟที่เห็นแบบนั้นจากใบหน้าที่ยิ้มอยู่ก็ฝุดหายไปอย่างทันควัน

“นี่นาย…กำลังจะบอกฉันว่าในเวลาที่เหลืออยู่สิบวันเราคงไม่มีทางที่จะไปถึงราเซนนุได้ทันอย่างงั้นสิน่ะ” โจเซฟเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบาสีหน้าของเค้าตอนนี้ดูซีดไปอย่างเห็นได้ชัด

“ทุกๆปีจะมีการทดสอบเหล่าผู้สมัครที่จะเข้าเรียน ฉันก็คิดเอาไว้อยู่แล้วเชียวน่ะว่าทำไมการสมัครปีนี้ถึงประกาศที่รับสมัครที่อยู่ห่างไกลกันเอามาก” ว่าแล้ว เคก็หยิบ แผนที่ ที่อยู่ภายในเป้ ออกมากางบนโต๊ะที่อยู่ระหว่างโซฟาที่เค้านั่ง ก่อนจะหยิบปากกาขนนกและขวดหมึกขึ้นมา แล้วจึงเริ่มกาเครื่องหมายบนแผนที่ “โจเซฟนายรู้ไหมจำนวนที่ผ่านการเข้าทดสอบของปีที่แล้วมีอยู่จะนวนกี่คน” เคพูดถามโจเซฟขณะที่มือยังทำเครื่องหมายลงไปบนแผ่นที่

“จะบ้าหรือไงฉันจะไปรู้เรื่องแบบนั้นได้ยังไงก็ฉัน...” โจเซฟรีบเอามือปิดปากตัวเองก่อนที่จะเบือนหน้าหนีไปทำเอาเคต้องหยุดหันขึ้นมามองโจเซฟอย่างสงสัย “เอาเป็นว่าฉันไม่รู้ก็แล้วกัน” โจเซฟเอ่ยตัดขึ้นมาอีกครัง

“ผู้เข้าร่วมสมัครจำนวนสามหมื่นสี่พันสองร้อยคนผ่านเข้ารับการทดสอบสามพันห้าร้อยคน” ว่าแล้วโจเซฟถึงกับสะดุ้งขึ้นมานั่งหลังตรงส่วนเคก็เอามือชี้ลงไปที่แผ่นที่ให้โจเซฟดู

“หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า หก เจ็ด แปด เก้า สิบ! บ้าน่านี่มัน...” โจเซฟถึงกับตะลึงเมื่อเคทำเครื่องหมายเสร็จพบว่ามันมีอยู่สิบจุดและเมื่อดูดีๆแล้วทั้งสิบจุดนั้นถูกวางไว้รอบๆจนเป็นวงกลม ว่าแล้วเคก็ทำเครื่องหมายอีกหนึ่งอันลงบนตรงกลางที่สัญลักษณ์อื่นๆล้อมอยู่

“จุดนั้นแหละคือราเซนนุ” เมื่อโจเซฟเห็นก็ถึงกับต้องเอามือก่ายหน้าผากแล้วหงายตัวลงไปบนโซฟา

“บ้าน่า! ไอ้ราเซนนุที่นายว่านั้นน่ะบริเวนรอบๆเป็นหน้าผาแถมถัดจากหน้าผาไปก็มีแต่ป่าที่รายล้อมอยู่เป็นบริเวณโดยรอบแบบนั้นมันบ้าชัดๆ” โจเซฟรีบพูดออกมาด้วยอารมณ์ที่ฉุนเฉียวพลางเอามือทุบลงไปที่ยังโซฟาจนเกิดเสียงดัง

“มันก็ถูกอย่างที่นายว่าเส้นทางที่จะไปที่นั่นก็มีแต่ต้องอ้อมไปยังลอสเกียร์เพื่อนั่งเรือบินไปเท่านั้นด้วย จากที่ฉันคำนวนดูแล้วอย่างน้อยต้องมีเวลาถึงสิบเจ็ดวันเลยด้วยซ้ำไป” เคเอ่ยขึ้นมาแล้วลุกขึ้นเดินไปยังบริเวณหน้าต่างของห้องเหมือนว่ากำลังคิดอะไรบางอย่าง

“ก็จริงอย่างที่นายว่าเล่นอยู่ซะไกลจากที่นี่ตั้งขนาดนั้นมิน่าละตอนที่เจ้ากรรมการเอ่ยขึ้นมาทุกคนต่างมีอาการแปลกๆทั้งนั้น” ว่าแล้วโจเซฟก็หยิบแก้วน้ำขึ้นมาแล้วจิบไปอย่างหมดอาลัยตายหยาก

“จากที่ฉันคิดดูจากคำพูดที่กรรมการคนนั้นบอกไว้แบบทดสอบปีนี้คือความรวดเร็วกับความสามารถที่จะทำให้ถึงเป้าหมายในระยะเวลาอันสั้น” ว่าแล้วเคก็นั่งมองลงบนแผ่นที่อีกครั้งส่วนโจเซฟก็ยังคงอยู่ในสภาพที่หมดเรี่ยวหมดแรง

ช่างเป็นบรรยายกาศที่ดูตึงเครียดเป็นอย่างมากทั้งสองคนนั่งนิ่งไปนานแค่ไหนนั้นเจ้าตัวก็ไม่รู้ เวลาผ่านไปจากตะวันที่ส่องอยู่กลางเมืองก็เริ่มตกลงไปแสงแดดที่สว่างวาปพลันเปลี่ยนเป็นสีส้มชาเสียงนกร้องเจื้อยแจ้วร่างของทั้งสองคนยังนั่งอยู่กับที่

“ฉันว่าน่ะ...คงต้องยอมแพ้แล้วหละ” โจเซฟเอ่ยขึ้นหลังจากเวลาที่ผ่านไปนาน

“ฉันจะบอกอะไรให้น่ะ ฉันเป็นพวกที่ไม่ชอบยอมแพ้อะไรง่ายๆแบบนั้นซะด้วยสิ แล้วฉันก็คิดออกแล้วหละว่าจะไปที่นั่นให้ทันภายในสิบวันยังไง” เคเอ่ยขึ้นแต่สีหน้าเค้าเหมือนจะไม่ได้ดีใจกับสิ่งที่เค้าคิดได้ส่วนโจเซฟเมื่อได้ยินที่เคพูดก็รีบลุกขึ้นมาดูยังแผ่นที่แล้วก็เห็นเส้นสีดำเส้นหนึ่งขีดจากริสเทเรียตรงไปยังที่ราเซนนุ

“เฮ้! นี่นายกำลังจะบอกฉันว่ายังไงกันแน่เนี่ย” โจเซฟเอ่ยขึ้นอย่างสงสัย

“โจเซฟเอาเป้นว่าก่อนที่ฉันจะบอกนายพร้อมที่จะสู้จนตัวตายหรือยังละ” เคมองไปยังโจเซฟอย่างหวาดหวั่นกับคำตอบเหงือของเค้าถึงกับไหลออกมา

“เฮ้ๆ ตอนนี้เราเป็นสหายร่วมเดินทางด้วยกันแถมฉันยังเป็นคนที่ขอนายเข้าร่วมทีมด้วยกันมาป่านนี้คงไม่ต้องพูดอะไรที่มันคับแคลงใจได้แล้วมั้ง” โจเซฟตอบกลับไปพร้อมกับหัวเราะในลำคอแล้วหันมามองด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความแน่วแน่

“ที่ฉันจะบอกคือเราจะต้องเดินทางเป็นเส้นตรงยังไงละ” หลังจากที่เคยเอ่ยขึ้นถึงกับทำให้โจเซฟถึงกับเบิ่งตากว้าง

“นะ...นี่นาย จะบอกว่า”

“เอาเป็นว่าเรื่องนั้นจะเป็นยังไงก็ช่างพรุ่งนี้เช้าเราคงต้องเตรียมสเบียงแล้วพาหนะที่จะใช้เดินทางอีกน่ะ” เครีบพูดดักก่อนที่สหายของเค้าจะยิงคำถามออกมาอีก ว่าแล้วเคก็เดินออกไปจากห้องพักของโจเซฟทิ้งไว้เพียงความสงสัยที่อยู่ในหัวของโจเซฟ

เช้าวันรุ่งขึ้น แสงแดดยามเช้าที่ต้อนรับวันใหม่ เสียงของเหล่านกน้อยทั้งหลายส่งเสียงขับขานอย่างไพเราะ ซึ่งฟังดูแล้วเหมือนละม้ายคล้ายเพลงเสียงธารน้ำไหลที่ฟังดูแล้วเป็นธรรมชาติและสร้างความสนชื่นให้ไม่น้อย

“ว๊ากกกก! ทนไม่ไหวแล้วว้อย! นี่เราจะต้องเดินทางด้วยเท้าไปถึงเมื่อไหรเนี่ย! นี่เราเดินมาได้สามชั่วโมงกว่าๆแล้วน่ะ” เสียงของโจเซฟตะโกนดังลั้นขึ้นมาอย่างอดใจไว้ไม่อยู่

“นั่นสิเนอะ~ถ้าไม่เป็นเพราะใครบางคนป่านนี้เราคงได้ขีม้าชมวิวแล้วก็ไม่ต้องมาเหนื่อยแบบนี้แล้วหละ” เคพูดประชดกลับไปอย่างทนไม่ไหวเหมือนกัน

“ก็มันช่วยไม่ได้นี่นาฉันเองไม่นึกว่ามันจะเป็นแบบนี้” ว่าแล้วคนที่บ่นก่อนก็เบ้ปากแล้วหันไปทำหน้าอย่างไม่พอใจ

ย้อนกลับไปตอนเช้ามืด...

ช่วงเช้าหลังจากที่ตื่นนอนได้ไม่นานเคก็ติดต่อทางโทรจิตไปยังโจเซฟเพื่อเรียกให้ออกมาเตรียมตัวที่จะออกเดินทาง

“เอ๋! นี่มันยังตีสี่กว่าๆเองน่ะขอนอนต่อก่อนไม่ได้หรือไง” คนงัวเงียยังค้านที่จะนอนหลับต่อ

ปึด! เสียงเส้นบางอย่างที่ได้ขาดออกจากกัน

“จะเอาแบบนั้นก็ได้น่ะถ้านายยังนอนหลับอยู่แบบนั้นฉันก็จะทิ้งนายไว้ที่นี่ก็แล้วกันน่ะ” เคพูดกลับไปอย่างเยือกเย็นทำเอาคนฟังถึงกับสะดุ้งโหยงลุกขึ้นมาตาสว่างทันใด

“เฮ้ย! เดี๋ยวดินี่นายคิดจะทิ้งกันได้ลงคอเชียวเหรอ” คนที่โดนขู่รีบตอบกลับไปทันทีพลางวิ่งไปเข้าห้องน้ำ

“ฉันมีเวลาให้นายอีกสิบนาที ฉันจะรอตรงที่ลานสมัครเมื่อวานถ้านายมาช้ากว่านั้นก็อยู่ที่นี่ไปซะ!!” เคพูดตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงแกมขู่บังคับก่อนจะตะคอกกลับไปแล้วตัดคลื่นโทรจิตออก

“โว้ย! เจ้าบ้าเอ้ย!” สิบนาทีถัดมาโจเซฟก็รีบวิ่งมาหาเคพลางสบถไปอย่างเงียบๆ

“แล้วว่ายังไงละเตรียมตัวเสร็จหรือยังละ”

“เออ!...เล่นเอาซะสว่างคาตาเลยว้อย!...แฮกๆ” โจเซฟพูดพร้อมกับหอบไปด้วยตอนนี้เค้านั่งอยู่กับพื้นได้แค่ใช้หลักเสาคอยพิงตัวเองไว้ไม่ให้ล้ม

“เราคงต้องไปเตรียมพาหนะเดินทางซะแล้วสิว่าแต่ตอนนี้นายมีเงินอยู่เท่าไหร่ละนั่น” ว่าแล้วก็หันไปหาโจเซฟที่กำลังนั่งอยู่กับพื้น

“เออ...คือว่า...ฉัน...เหลืออยู่แค่นี้เอง” โจเซฟอ้ำๆอึ้งๆก่อนที่จะเรียก ‘ฟาเรฟ’ แล้วส่งถุงเงินไปหาเค

“นั่นมันฟาเรฟนิ นายมีของแบบนี้ด้วยเหรอเนี่ยได้ยินมาว่ามันมีราคาที่สูงแถมยังมีใช้แค่ในตระกูลสูงๆไม่ก็พวกที่มีฐานะเท่านั้นนินา” เคเอ่ยขึ้นอย่างสงสัยในตัวของโจเซฟ

“เอาเป็นว่าฉันมีมันก็แล้วกัน...แฮะๆ” โจเซฟรีบเอ่ยตัดแล้วส่งยิ้มแหย่ๆให้กับเค

“เฮ้ย! นี่มันอะไรกันเนี่ย” เคตะโกนออกมาอย่างดังทำเอาคนที่อบู่บริเวณนั้นหันมามอง

“ฮะๆก็อย่างที่นายเห็นเงินฉันแทบไม่เหลือแล้วนะสิ” โจเซฟได้แต่พูดออกมาอย่างแผ่วเบาก่อนที่เคจะส่งนัยตามองมาที่โจเซฟอย่างเดือดดาล

กลับมาที่การเดินทาง

แซกๆ

เสียงบากอย่างที่ขยับอยู่ในพุ่มไม้ข้างหน้าทำเอาทั้งสองคนที่กำลังทะเลาะกันด้วยสายตาถึงกับหยุดชะงักและเพ่งไปยังข้างหน้า พร้อมกลับท่าเตรียม

“ชะ...ช่วยด้วยค่า!” เสียงของสาวน้อยในชุดสีชมพูขาดๆพุ่งตัวออกมาข้างหน้ากับหยาดน้ำตา แล้ววิ่งไปยังข้างหลังของเคผู้ที่อยู่ใกล้ที่สุด ใบหน้าของเธอแดงก่ำแล้วก็เต็มไปด้วยน้ำตา ตัวของเธอสั่นระริกสภาพตัวดูโทรมเอามาก

“ห๋า~” โจเซฟเอ่ยขึ้นอย่างงงและเอามือเกาหัวตัวเอง เหมือนกับว่าจับต้นชนความไม่ถูกพลางเหลือบไปมองที่เคก็ทำหน้าตามึนงงอย่างสงสัยไม่ต่างกัน

“นี่เธอ ช่วยพูดอะ...” เคยังไม่ทันได้พูดจบก็มีเสียงบางอย่างกำลังตรงเข้ามาหาจนทำให้ทั้งคู่ต้องหันความสนใจไปยังเบื่อหน้าอีกครั้ง

โฮก!!

สัตว์อสูรโผล่ออกมาตัวมันใหญ่และสูงประมาณสี่เมตรได้รูปร่างของมันถึงกับทำให้เคและโจเซฟถึงกับตะลึงไปชั่วครู่ หัวที่เหมือนกับกิ้งก่าแขนขาที่ดูยาวกว่าปกติลำตัวที่มีบางอย่างเหมือนเกราะแข็งเกล็ดที่ดูแหลมคมกีงเล็บที่เรียวยาว และดวงตาที่ดูว่าตอนนี้มันจะไม่เป็นมิตรเอาซะเลย

“กรี๊ด!!” เสียงของหญิงสาวร้องอย่างตกใจเมื่อเห็นสัตว์อสูรเค้ากอดตัวเคแน่นกับตัวที่สั่นเทา

“โรจันย่า! งั้นเหรือเนี่ย...นี่เธอคงหนีไอ้ตัวนี้มาสิน่ะเนี่ย” เคเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบาพร้อมกับกัดฟันกรอดเหงื่อเริ่มที่จะซึมออกจากตัวของเค้าเล็กน้อย สายตาก็เหลือบไปมองสาวน้อยที่กำลังจับเสือเข้าจนแน่นและหลับตาปี๋

“ตัวบ้าอะไรละเนี่ย...เค” โจเซฟเอ่ยขึ้นอย่างช้าด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา ตอนนี้เค้าก็ไม่ต่างจากเคเท่าไรดูเหมือนว่าโจเซฟจะพึ่งเคยเจอตัวแบบนี้เป็นครั้งแรกจนตัวเขาเองก็ทำอะไรไม่ถูก

“เอาเป็นว่าการเดินทางของเราคงซวยตั้งแต่เริ่มแล้วหละโจเซฟเอ๋ย~ ว่างั้นไหมละ” เคพูดพลางหมอบตัวลงเหมือนจะทำอะไรบางอย่าง พร้อมกับส่งสายตามองไปยังพุ่มไม้รอบๆที่มีกลุ่มเงาบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่

“ฮะๆ...นั่นสิน่ะ” โจเซฟเอ่ยตอบพร้อมกวาดตามองไปรอบๆอย่างช้าๆ ตอนนี้ตัวโจเซฟเองก็เปลี่ยนจากท่าทางที่มึนงงเป็นตัวท่าเตรียมพร้อมกับสถานะการณ์ที่จะเกิดขึ้น

เคกวาดตามองพื่นที่อย่างช้าๆพร้อมกลับระวังข้างหน้าไปด้วย ช่างเป็นอะไรที่น่าลำบากที่ต้องปกป้องคนไปพร้อมกับการต่อสู้ ท่าทางของโรจันย่าที่อยู่ข้างหน้าเหมือนรอจังหวะที่จะเข้าจู่โจมเป้นบรรยากาศที่ตึงเครียดเอาอย่างมากทางโจเซฟตอนนี้ก็ได้แค่ขยับตัวมาแล้วหันหลังให้กับเค

“เป็นการต่อสู้ครั้งแรกที่ไม่ถนัดเอาการเลยแฮะ” โจเซฟเอ่ยขึ้นมาแล้วส่งยิ้มให้กับเคแต่สีหน้าดูซีดลงไป เคได้แค่ส่งสายตากลับไปกับใบหน้าที่บงบอกประมาณว่า ‘รอยยิ้มกันหน้าของนายนี่มันแลดูขัดกันเอามากเลย...’

“สาวน้อยถ้าเธอยังจับผมอยู่แบบนี้มีหวังได้ตายแน่เลยถ้ายังไงเธอช่วยยืนอยู่เฉยๆก่อนก็แล้วกันน่ะ” เคเอ่ยบอกสาวน้อยแล้วหันมาส่งสายตาหวานๆให้กับเธอจนหน้าของเธอขึ้นสีเรือจากนั้นเธอปล่อยมือออกมา

กรร!

ยังไม่ทันที่ฉากบรรยากาศอันหน้าเป็นใจของเคและสาวน้อยที่เกิดขึ้นไม่กี่วินาที โรจันย่าก็ฉวยโอกาศตอนที่เคหันหลังพุ่งเข้าใส่สาวน้อยถึงกับสลบหับภาพโรจันย่านับสิบที่พุ่งเข้ามา

“วานเดรเรีย อิคเอ๊ค ออปบิเวท! (โล่วายุสะท้อน)” สิ้นเสียงประกาศสายลมก็มารวมตัวกันรอบๆตัวของเคและโจเซฟก่อนระเบิดเป็นแรกกระแทกสะท้อนโรจันย่าที่พุ่งเข้ามา ช่วงวินาทีนั้นถึงกับทำให้โจเซฟหยุดชะงักไปชั่วครู่แต่ถึงแบบนั้นโจเซฟก็ไม่ปล่อยโอกาศนี่ให้หลุดมือ โจเซฟพุ่งไปยังโรจันย่าทั้งสองตัวที่อยู่ใกล้ที่สุดพร้อมกับเอ่ยขึ้น

“เฮ้ ทำได้ไม่เลวนี่เค งั้นฉันก็ขอโชว์เท่บ้างก็แล้วกัน เทมเพสต้า! ออกแกนิก ดัลกัลก้า! (ร่างสถิตแห่งสายฟ้า)” ร่างของโจเซฟจู่ๆก็มีประกายสายฟ้าขึ้นมาความเร็วจู่ๆก็เพิ่มขึ้นโจเซฟตรงเข้าไปซัดโรจันย่าทั้งสองตัวจนโรจันย่ากระแทกเข้ากับต้นไม้ใหญ่จนต้นไม้ระเบิดโรจันย่าทั้งสองตัวอยู่ในสภาพที่ตัวไหม้เกรียมและแน่นิ่งไป พลันร่างของโจเซฟก็กลับกลายเป็นปกติ

ขณะเดียวกับเคก็เข้าจู่โจมใส่โรจันย่าที่อยู่ข้างหน้าทางโรจันย่าเองก็พยุ่งตัวเองขึ้นแล้วเข้าโจมตีใส่เคเองเช่นกันทั้งสองเข้าประจันหน้ากันโรจันย่าใช้กรงเล็บตวัดเข้าใส่เคอย่างรวดเร็วแต่เคเองก็ไม่ยอมง่ายๆเค้าพลิกตัวหลบแล้วก็บ่นพึมพำบางอย่างแต่ทว่าโรจันย่าตัวอื่นๆก็เข้าไปรุ่มที่เค

จู่ๆก็มีแสงสว่างวาบเกิดขึ้นมาแต่ว่ากลับไม่ได้ช่วยอะไรดีขึ้นโรจันย่ายังคงพุ่งตัวเข้าไปอย่างรวดเร็วโจเซฟเองเห็นท่าไม่ดีจึงหมายที่จะเข้าไปช่วย แต่ทว่าก็โดรโรจันย่าตัวอื่นขวางเอาไว้อยู่ ทันใดนั้นร่างของเคถูกกรงเล็บฟาดเข้าใส่จนขาดสะบั้น

“บ้าน่า...” โจเซฟพูดออกมานัยตาของเค้าเบิ่งกว้างกับภาพของเพื่อที่ถูกฉีกเป็นชิ้นๆ

“บาลัมฮีลรัส(ระเบิดแสง)” สิ้นคำพูดร่างของเคที่โดนตัดขาดก็ระเบิดโรจันย่าเองโดนแรงระเบิดจนแหลกเป็นชิ้นๆ

“เฮ้ย! เค!” โจเซฟตะโกนขึ้นมาอย่างดังเมื่อเห็นร่างของเคระเบิดออก

“ถ้านายคิดว่าฉันตายง่ายๆแบบนั้นก็คงต้องมองนายใหม่แล้วหละโจเซฟ” เสียงดังขึ้นมาจากข้างหลังของโจเซฟ

“นี่นาย...ก็ตะกี้นาย...แล้วสาวน้อยคนนั้นไปนอนอยู่บนแขนนายได้ยังไงละเนี่ย ตะกี้ยังสลบอยู่ตรงนั้นเลยนิ ”โจเซฟถึงกับยิงคำถามไปเป็นชุดด้วยความสงสัยขณะเคกำลังยืนอุ้มร่างของสาวน้อยที่สลบอยู่ดูเหมือนเค้าเกรงว่าสาวน้อยจะโดนระเบิดเลยรีบพาหลบออกมา

ทางโรจันย่าเมื่อเห็นพวกพ้องของตัวเองตายไปก็เริ่มที่จะหวันวิตกจนไม่กล้าเข้าใกล้จนต้องเกาะกลุ่มกัน แต่ดูท่าทางมันเองก็ไม่มีวีแววที่จะรามือจากพวกเขาและพยายามเข้าจู่โจมอีกรอบ

“จะยังไงก็ช่างเถอะ เอาเป็นว่าตอนนี้เราคงต้องรีบสะสางเรื่องนี้ให้จบซะแล้วก่อนที่สาวน้อยตรงนั้นจะตื่นขึ้นมาร้องลั่นอีกรอบน่ะ” เคพูดออกมาแล้วทำเป็นเบียงให้เป็นความรับผิดชอบของสาวน้อยที่กำลังสลบอยู่ทางโจเซฟก็ได้แค่ส่งสายตาออกมาประมาณว่า ‘ปากนายนี่ไม่ตรงกับใจเอาซะเลยน่ะเนี่ย’ ว่าแล้วก็แอบส่งยิ้มแบบกวนๆไป

“งั้นให้ฉันจัดการเองก็แล้วกัน!” โจเซฟเอ่ยขึ้นเสร็จก็รีบพุ่งตัวออกไปหากลุ่มของโรจันย่าทางโรจันย่าเองก็ไม่รีรอเข้าจู่โจมกลับไปหาโจเซฟแต่ดูท่าโจเซฟเองก็มีความว่องไวพอตัวเพราะโรจันย่าทั้งเจ็ดตัวโจมตียังไม่โดนโจเซฟเลยแม้แต่น้อย ว่าแล้วโจเซฟก็เริ่มสวนกลับไปทางโรจันย่าบ้าง

“เทพเพสต้า ออกแกนิก วารันด้า โซนูป!(คมเขี้ยววายุคลั่งสิงสถิต!)” สิ้นคำพูดของโจเซฟก็มีกระแสลมรุนแรงรวมอยู่ที่กำปั้นของโจเซฟจนทำให้โรจันย่าหยุดนิ่งไปช่วงนั้นโจเซฟก็ไม่ปล่อยโอกาศโจเซฟชัดกำปั้นลงไปบนพื้นเต็มแรงจนกระแสลมที่หมุนวนอยู่ที่กำปั้นนั้นกระจายออกมา

“บ้าชิบ! เจ้านี่มัน...” เคสบถขึ้นมาแล้วรีบกระโดดขึ้นไปบนกิ่งไม้ที่อยู่รอบๆอย่างรวดเร็วเพื่อหลบออกจากบริเวณนั้นพร้อมกับร่างของสาวน้อยทันใด้นั้นก็มีพายุหมุน เกิดขึ้นที่ด้านหลังของเค้าเป็นพายุขนาดใหญ่ที่น่าแปลกคือพายุไม่ได้ดูดพวกเขาเข้าไปแต่กลับปล่อยคมมีดที่เกิดจากลมหมุนนั้นออกมา

กิ๊ซ!

เสียงร้องของโรจันย่าที่กำลังโดนคมมีของสายลมเข้าเฉือดเฉือนนับไม่ถ้วนจนและเป็นชิ้นๆบางตัวที่คิดจะหลบก็ไม่สามารถรอดพ้นคมมีดวายุนั้นได้ ต้นไม้บริเวณรอบๆก็ถูกกระแสลมตัดขากจนหมดพายุเริ่มซาลงไปเหลือไว้เพียงซากปรักหักพังกับซาศพของโรจันย่าที่ตอนนี้ดูไม่ออกเลยว่ามันเคยเป็นยังไงมาก่อนรอยเลือดที่กระจัดกระจายไปทั่ว เหลือเพียงผู้เดียวที่ยืนอยู่ตรงนั้น

“ฮู้ว~ ยังควบคุมยากไม่เปลี่ยนเลยแฮะเวทย์นี้” โจเซฟพ่นหายใจออกมาเฮือกใหญ่แล้วเอ่ยขึ้นพร้อมกับปาดเหงื่อ

“ใช่ ! ดูท่าจะควมคุมยากซะจนไม่สามารถเบี่ยงให้มันไม่โดนฉันเลยสิน่ะ โจเซฟ~” เคเปริ่อยออกมาด้วยสีหน้าที่งุดหงิดอารมณ์ของเค้าดูร้อนแรงไปด้วยความโกรธ

“อึก! เออ...ขอโทษด้วยฉันลืมไปเลย” โจเซฟเอ่ยขึ้นแล้วผงกหัวพร้อมเอามือทั้งสองข้างขึ้นมาประกบ ด้วยท่าทีที่ร้อนรนราวกลับรู้ว่าเพื่อนเค้าคงไม่ให้อภัยง่ายๆแน่

เคเปื้อนยิ้มไปที่โจเซฟ...ให้มันได้แบบนี้ตลอดเลยสิน่ะทำอะไรไม่รู้จักคิด ดีน่ะที่กางกำแพงเวทย์ได้ทั้นไม่งั้นแกได้เละแน่...เคบ่นพึมพำอย่างอดไม่ได้แล้วรีบเดินไปต่อ

“อ่าว...เฮ้ย!หายไปไหนซะแล้วละเนี่ย” โจเซฟลืมตาขึ้นมามองเพื่อนของเค้าแต่ว่ากลับไม่อยู่ตรงนั้นซะแล้ว สีหน้าของโจเซฟซีดลงทันที่เมื่อรูว่าตัวเองโดนทิ้งเค้ารีบมองไปทางซ้านและขวาสลับกันแต่ก็ไม่พบเคเลย

“เฮ้! มัวแต่ยืนบื้อตรงนั้นฉันไม่รอแล้วน่ะ ไหนๆก็ไหนๆแล้วรีบไปให้ถึงเมืองข้างหน้าแล้วกันจะได้ไปส่งเพื่อนร่วมเดินทางคนใหม่นี้ด้วย!” เคตะโกนบอกโจเซฟขณะที่ตัวเองก็รีบวิ่งไปข้างหน้าโดยทิ้งโจเซฟไว้ข้างหลัง

“เฮ้ยรอด้วยสิ เค!~ เจ้าบ้าเอ้ย!” โจเซฟได้แค่ตะโกนเรียกเพื่อนที่วิ่งไป

เคทำหน้าเบ้แล้วแลบลิ้นมาเล็กน้อย...หึโทษฐานที่ทำอะไรไม่รู้จักคิดตามมาให้ทันเองก็แล้วกัน...เคพูดกับตัวเองในใจแล้วรีบวิ่งไปต่อ

:emo (31): จากเท่าที่ผมดูๆแล้วอาจจะยังไม่ค่อยดีซักเท่าไรแต่ก็ขออภัยที่ทำให้รอกันน่ะัครับในที่สุดสแคปออฟเมมโมรี่ก็มาถึงตอนที่1แล้วยังไงก็ขอขอบคุณทุกท่านที่รออ่านนิยายเรื่องนี้มากๆครับ ว่าแต่ยังมีคำผิดอยู่บางส่วนและเนื้อหายังออกจะสับสนอยู่นิดๆแต่ยังไงก็ช่วยติกันมาหน่อยน่ะครับ

(สงสัยต้องแก้กันอีกเยอะ) :emo (35):

ยังไงก็ช่วยรอตอนที่2ต่อไปด้วยน่ะครับ :emo (40):

(จะเสร็จเมื่อไหร่ละนั่น :emo (30): >>>>งานที่มหาลัยยังเยอะอยู่เลยปวกหัวจริงๆไหนจะรายงานและงานวิจัย) :emo (07):

ยังไงก็จะทำออกมาให้เร็วที่สุดครับและก็ขออภัยที่งานล่าช้าครับ :emo (72):

ปล.ตอนต่อไปได้เวลาที่สาวๆเราจะออกโรงบ้างแล้วสิน่ะ :emo (01):

:emo (55): แง๊~ จ๊อดนายหายไปไหนมาช่วยฉันแต่งเร็ว :emo (55):

Edited by B★RS

Share this post


Link to post
Share on other sites

สารานุกรม สัตว์อสูร และ คิเมร่า

1. โรจันย่า <ปรากฏตัวครั้งแรกในบทที่1> สัตว์อสูร เลเวล D

มีลักษณะ>คล้ายกับกิ้งก่าบาซิลิซแต่ยืนด้วยขาทั้งสองข้างมีแขนที่ยาวกว่าขาลำตัวมีเกล็ดที่แหลมคมโดยปกติแล้วจะไม่แผ่ออกมานอกซะจากตอนที่ โมโห ต่อสู้ หรือ หิวเท่านั้น เป็นสัตว์อสูรที่ดุร้ายโดยปกติจะอยู่ในป่าลึกและอยุ่รวมกันเป็นฝูง ตัวสีเขียวมีลายสีดำทางยาวพาดตามตัว

ขนาดตัว>สูง 2 เมตรโดยประมาณเมื่อยืนด้วยขาหลัง หรืออาจมากกว่า

รูปแบบการโจมตี > โรจันย่าจะใช้กรงเล็บมือ,เท้าเข้าเชือดเฉือนศัตรูและยังสามารถใช้ฟันอันแหลมคมเข้ากัดได้ด้วยและด้วยช่วงแขนขาที่ยาว และลำตัวขนาดใหญ่ มีสายตาที่สามารถมองได้เกือบ360องศาและมองได้แม้ในที่มืด,

ลักษณะการเคลื่อนที่ > ปกติจะเดินสี่ขา แต่เมื่อยามสู้หรือออกล่าจะไล่ตามด้วยขาหลังด้วย

สามารถเคลื่อนที่ได้ด้วยความเร็วแต่กลับไร้เสียง และกระโดดได้ไกลมากด้วยกำลังขา

2. ไรโดทอส (โผล่ในบท2) สัตว์อสูร เลเวล C

ลักษณะ>คล้ายแรด มีนอ 3 อันเรียงกัน จากปลายจมูก สูงถึงหน้าผาก ดวงตามี 2 คู่ ด้านข้างและด้านหน้าเรียงกันเป็นแถวผิวหนังหนา และยังมีแผ่นเกราะสีทับทิมเรียงกันเหมือนเกล็ดปลาตั้งแต่ส่วนต้นคอไล่ถึงโคนหางที่มี2หาง แผงเหล็กที่หนาแน่นสามารถป้องกันอาวุธได้แทบทุกชนิด และ ต้านทานเวทย์ได้ในระดับกลาง เป็นสัตว์กินพืชรักสงบ แต่ชอบความสันโดษจึงไม่อยู่เป็นฝูง

แต่หากผู้ใดหรืออะไรไปก่อความไม่สงบหรือทำร้ายมันเข้า มันจะตามไล่ล่าเพื่อกำจัดสิ่งนั้นอย่างไม่ลดละจนกว่ามันจะพอใจซึ่งเป็นไปได้ยากมากที่มันจะเลิกลาไปง่ายๆ เป็นประเภท แค้นแล้วไม่เลิกหากไม่ได้ฆ่า

ขนาดตัว> ใหญ่ถึง 3 เท่าของแรดปกติ หนักอย่างต่ำ 1 ตัน และหนักได้มากถึง 3.5 ตัน

รูปแบบการโจมตี> วิ่งเข้าขวิดด้วยความเร็วสูง และด้วยน้ำหนักตัวที่มากทำให้แค่เฉียดๆก็เจ็บหนักได้

ลักษณะการเคลื่อนที่> เป็นสัตว์เฉื่อยๆ แต่ สามารถวิ่งได้ไวถึง 80 KM/H เนื่องมาจากกล้ามเนื้อขาที่แข็งแรง

เดี๋ยวจะมีอัพเดทเรื่อยๆครับถ้ามีตัวใหม่โผล่ออกมา

Edited by pikasaiya

Share this post


Link to post
Share on other sites

แวะเข้ามาส่อง ๆ ~ ละก็มาเชียร์ ๆ ค่ะ > w <

รออ่านอยู่นะคะงิ ~ สู้ สู้ !

Share this post


Link to post
Share on other sites

บทนำกะบทที่ 1 มันคนละตัวกันเหรอด้ง ด้านบนยังมีแยกว่าเกริ่นนำอีกนะ :emo (53):

หึหึ

ผมทำผิดเองครับโดนทางต้นสังกัดว่ามาแล้ว :emo (42):

ส่วนเกริ่นนำนั้นก็เหมือนกับปกหลังของหนังสือหละครับด้ง :emo (53):

Edited by B★RS

Share this post


Link to post
Share on other sites

โอ๊ะ กะว่าจะออนเอ็มไปบอกเลย ให้เปลี่ยนชื่อ character ให้ไปเป็นชื่อเก่า

:emo (42): โธ่เฟ้ย เป็น 1 ในคนแต่งแท้ๆ เล่นทำชื่อในแนะนำกับในเนื้อเรื่องคนละชื่อกันงี้ได้งาย(ถ้าจะมีพลิกล๊อกก็เอาไว้ทีหลังให้คนอ่านเค้าลุ้นไปก่อน :emo (68): เรานี้ชั่วจิงๆ)

Share this post


Link to post
Share on other sites

ยังไม่ได้อ่านอย่างละเอียด

น่าสนใจครับ ^^

เนื้อเรื่องน่าติดตาม เว้นบรรทัดได้ดี อ่านสะดวก

แต่เดี๋ยวอ่านอย่างละเอียดแล้วผมจะมาแก้คอมเม้นอีกที

ขอบคุณครับ

*********************

-หลังจากที่อ่านอย่างละเอียด-

โดยรมจัดว่าดีครับ

อ่านง่าย เนื้อหาน่าสนใจ น่าติดตาม แต่ก็ยังเป็นแค่การเกริ่นนำเท่านั้น

เพราะงั้น ผมขอแปะการออกความเห็นเอาไว้ก่อน เพราะยังตัดสินอะไรได้ไม่มากนัก

ขอบคุณครับ

Edited by oxygen

Share this post


Link to post
Share on other sites

เข้ามาให้กำลังใจครับ ฮ่าๆ สู้ๆน้อ :emo (47):

Share this post


Link to post
Share on other sites

คงก็ดีมั้ง อ่านแล้วยังเฉยๆอยู่ ไม่ค่อยต่างกับเรื่องอื่นเท่าไหร่

Share this post


Link to post
Share on other sites

คงก็ดีมั้ง อ่านแล้วยังเฉยๆอยู่ ไม่ค่อยต่างกับเรื่องอื่นเท่าไหร่

:emo (51): ขออภัยด้วยครับผมไม่สามารถสื่อมันออกมาได้ดีเท่าของคนอื่นๆ :emo (37):

ถ้ายังไงก็ช่วยติมาอีกก็ดีครับผมจะพยายามเอาไปแก้ไขแต่ยังไงก็ขอบคุณที่มาอ่านแล้วลงความคิดเห็นมากครับ :emo (51):

Share this post


Link to post
Share on other sites

:emo (70): ขอย้ายคาแรกเตอร์มาตรงนี้ครับ ตอนนี้อาจจะมีแต่ตัวเดิมอยู่แต่อีกเดี๋ยวจะเอามาลงเพิ่มแน่นอนครับ

Character

รูปที่เราได้มานั้นได้ความกรุณาจาก

Shiki Kagurasaka [Mirage]

และจะมีมาอีกเรื่อยๆน่ะครับ

ทางทีมงานต้องขอขอบคุณท่านผู้นี้ไว้ ณ ที่นี้ด้วย

:emo (22):

ตัวละครหลักของเรื่องครับ

---------------------------------------------------------------------

-เรอาน่อน เครเทอร์ โจซาเฟีย-

Lineage ปีศาจ

AGE - 16 Male

Hight - 170cm Weight - 55

Hair - Sienna น้ำตาลดินเผา Eye - Gin เงิน

Occupation - Brave of the power

Class - นักเรียนฝึกหัด

Weapon ?

Rank -

อุปนิสัย ?

---------------------------------------------------------------------

-เรฟารัส คาลิว เคย์<<<(ชื่อนี้มีความเป็นมา)(ส่วนอีกชื่อเป็นชื่อ...)-

kei4586.png

Lineage ?/(ไม่แน่ชัด)

AGE - 13 Male

Hight - 170 cm Weight - 50

Hair - Red Eye - Aqua/Red

Occupation - Brave Blader&Gunner&Fighter/Magician/Killer

Class นักเรียนฝึกหัด

Weapon - กริมเดล (Sword) อาเตมิส(Gun) อลูเทีย(Sword&Guardians) รีส&ดรีม(Twin Gun) เพดิส&เอลมอส(Gun Blade) อเตมิส(Gun) เธลิเซีย(Chain)

Rank –

อุปนิสัย ?

---------------------------------------------------------------------

-Lieu Seizer Escorine ลู เซเซอร์ เอสคอร์ริน-

lieuc2.png

Lineage ?/(ลูกชายของกลุ่มผู้ผลิดอาวุธ)

AGE - 15 Male

Height - 169 cm Weight - 52

Hair - Silver Eye - Red

Occupation - Spell Lancer/Magician/Alchemist/Master Force Weapon

Class - Guardians Knight

Rank - Spell Knight/Master

Weapon ลูมินอส(Lance) ราดีส(Gun) เมเธอร์จัสติส(Wing) เซท(Sword) ราปิส(Lance) กรัมดีล(Shile)

อันติเมท เกท ออฟ โนเบล (Gate)

อุปนิสัย เป็นคนที่ดูภายนอกเหมือนมีความมุ่งมันอยู่ตลอดเวลาแต่จริงแล้วนั้นคิดอะไรอยู่ก็

ไม่สามารถอ่านออกได้ เมื่อได้ประดิษฐ์หรือทำอะไรสั่งอย่างด้วยความมุ่งมั่นแล้วจะไม่สน

รอบข้างทั้งสิน แต่จริงแล้วเป็นคนที่ชอบสังเกตุคนอื่นอยู่เสมอและขี้เล่นอย่างแรง

ชอบพูดจาตรงๆเพราะถูกสอนมาให้ซื่อสัตย์ต่อตัวเองเสมอ แต่ด้วยความที่เป็นคนที่มีรูปร่าง

แล้วใบหน้าที่ดูดี(ดูเด็ก)ทำให้คนอื่นๆต่างให้ความเคารพเสมอ แต่ในความจริงแล้วยังมี....

---------------------------------------------------------------------

-โซเรียว ซาเรส มาชิโระ-

Lineage - เผ่าสัตว์/?

AGE - 13 Female

Hight - 163cm Weight - 51

Hair - Chocolate Eye - Darkblue

---------------------------------------------------------------------

-เมงุมิ(อีกร่างของเค)-

Lineage ไม่แน่ชัด

AGE - 13 Female

Hight - 165cm Weight - 48

Hair - Red Eye - Aqua/Flame

Weapon - คุเรไน(Black Katana) ชินระ(Katana ด้ามดำ ตัวดาบแดง พันธนาการกันด้วยโซ่) ชิโระ&คุโระ(Twin Short Blade) เมงุมิการด์(Card) เธลิเซีย(Chain) Shuriken

---------------------------------------------------------------------

-ลาล่าลิน ไอริส ฟาเรเซีย-

Lineage - มนุษย์/เป็นลูกสาวของเจ้าเมืองดิมลอส

AGE - 14 female

Hight - 164 Weight - 47

Hair - สีน้ำตาลอ่อน Eye - สีเขียวมรกต

---------------------------------------------------------------------

-เรนอฟ ฟิลดิเร่ กันเดลซาเวส-

Lineage - Demon AGE - 16 Male

Hight - 177cm Weight - 64

Hair - Green Eye - Gold

---------------------------------------------------------------------

-ซารีเซีย คลิฟตั่น รีโซเน่ (ลีเซีย)-

Lineage - Demon&Angle

AGE - 15 female

Hight - 168 cm Weight - 51

Hair - เขียวมรกต Eye - สีทองอ่อนๆ

class - นักเรียนฝึกหัดระดับสูง

ข้อมูลยังไม่หมดนะครับรอตามชมได้เรื่อยๆ :emo (37): กลิ้งๆๆ~

Edited by B★RS

Share this post


Link to post
Share on other sites

ทั้งคู่เดินมาได้ซักพักแล้ว หลังจากพบศึกแรกกับ เหล่าสัตว์อสูร โรจันย่าท่ามกลางป่าทึบที่ยังไม่มีวี่แววว่าจะเจอทางออก

"เน่~ เค ชั้นชักเมื่อยขึ้นมาตงิดๆละนะ พักซักหน่อยดีไหมอ่า" โจเซฟ เอ่ยขึ้น ด้วยท่าทีเหนื่อยอ่อน

"อะไรกันนะ นายนี้ แค่เดินมาไม่ทันไรก็บ่นกะปอดกะแปดแล้วเรอะ นายหนะยังดีที่แค่เดิน ทีชั้นเดินไป อุ้มสาวน้อยคนนี้ไปด้วยยังไม่บ่นซักแอะ หรือนายจะรับผิดชอบอุ้มเธอต่อหละ" เค พูดขึ้นบ้างอย่างเหลืออด พลางมองไปยัง หญิงสาวอาภรณ์สีชมพู ที่ยังคงสลบไม่ได้สติบนแขนของเค้า

"ชิ ก็ได้ฟะ" โจเซฟกะเดาะลิ้นอย่างเซ็งๆ

"งั้นก็ดี เอ้า !" เคพยายามยื่นสาวน้อยนางนั้นให้ โจเซฟอุ้มต่อ

"อะไรกัน ชั้นไม่ได้บอกจะช่วยซะหน่อยนิ ชั้นแค่ยอมที่จะไม่พักแล้วเดินต่อก็แค่นั้น นายอุ้มเธอมา นายก็รับผิดชอบอุ้มไปจนถึงเมืองข้างหน้าก็ละกันนะ พ่อสุภาพบุรุษ" โจเซฟรีบกล่าวปฏิเสธขึ้น พลางไม่วายพูดกัดเพื่อนเขาไปทีนึง 'นี้คือผลตอบแทนที่นายไม่ยอมให้ชั้นพัก หึหึ' โจเซฟคิดแผนชั่วๆในใจ

"นายนี้มัน...... เฮ้อ ช่างมันเถอะ ชั้นก็ไม่คิดว่านายจะรับอยู่แล้วหละ" เค กล่าวกลับ เค้าคงทำใจกับเพื่อนร่วมทางคนนี้ไว้แล้วถึงได้ไม่สนใจซักเท่าไร

ทั้งคู่เดินทางต่อมาได้ครู่ใหญ่ เคที่เริ่มรู้สึกเหนื่อยขึ้นมา เพราะว่าพวกเค้าเองก็ยังไม่ได้พักเลยตั้งแต่ออกจาก

รีสเทเรีย และยังต้องไปเจอกับโรจันย่าฟูงหนึ่งระหว่างทาง รวมกับที่เค้าต้องอุ้มหญิงสาวคนนึงมาด้วยก็เลยเอ่ยขึ้นบ้าง

"เออ นี้โจเซฟ ชั้นว่า..."

"ว่า...อะไรเหรอ หา ลองพูดมาสิ" คู่หูยื่นหูมาฟัง พลางทำน้ำเสียงกวนๆ

"ชั้นว่า เราพัก..ซัก..หน่อยดีกว่านะ" เคพูดพลาง หอบหายใจขึ้นลง

"ไหนนายว่า.....อืม ชั้นว่าก็ดีเหมือนกันนะ" โจเซฟที่กำลังจะบอกปัด เค ชะงักคำพูดเมื่อเห็นสีหน้าเพื่อนที่ดูซีดลงกับ สายตาที่บอกว่าจะหมดแรงทุกเมื่อ

"พอดีเลย ชั้นได้ยินเสียงน้ำไหลอยู่ข้างหน้า แวะพักแถวๆนั้นดีกว่า" ว่าแล้วโจเซฟก็เดินนำไปแหวกทางให้ เค เดินสะดวกขึ้นหน่อย "โอ้ ลำธารใหญ่รึ พอดีเลย จะได้หาเสบียงติดกระเป๋าไว้ซะหน่อย" โจเซฟเอ่ยขึ้นเมื่อเดินผ่านพงหญ้าหนาเข้ามาถึงลำธาร

ลำธาร น้ำใสสะอาด ลึกเกือบเอว กว้างพอที่จะเดินข้ามไปได้ไม่ยากนัก หมู่ปลาแหวกว่ายกันทั่ว เหล่าสัตว์มากมายมาดื่มน้ำแก้กระหายกัน แต่เมื่อเห็น เค และ โจเซฟ เดินเข้ามาก็แตกตื่นหนีเข้าป่ากันไปหมด

"อะไรกัน แค่เดินเข้ามากะ พักผ่อนซะหน่อย ทำไมตื่นกันนักนะ เอาเถอะ เฮ้! เค ใต้ต้นนี้ท่าทางจะเหมาะนะ" โจเซฟ เดินมาหยุดที่ต้นไม้ใหญ่ที่ข้างริมธาร

เค พยักหน้าให้แล้วเดินตามมา เขาบรรจงค่อยๆวางร่างของหญิงสาวที่ยังคงสลบอยู่ลงที่ข้างต้นไม้อย่างแผ่วเบา แล้วก็นั่งลงข้างๆนั้นพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่

"เฮ้อ~ เหนื่อยเป็นบ้าเลย เจอแบบนี้ค่อยรู้สึกดีขึ้นหน่อย" เคพูดไปพลางหยิบ ผ้าผืนหนึ่งจากเป้ของเขาขึ้นมาเช็ดเหงื่อตามตัว

"เอานี้ น้ำ ดื่มซะจะได้ดีขึ้นหน่อย" โจเซฟเดินเข้ามาพลางยื่น กะติกโลหะ ที่ตักน้ำจากในลำธารมาจนเต็ม "เดี๋ยว ชั้นไปตกปลาซะหน่อยดีกว่า ชักหิวละสิ อ้อ ยังเหนื่อยอยู่ไหมหละ" โจเซฟ เอ่ยถาม เค ที่ยังคงเช็ดเหงื่อพลางจิ๊บน้ำในกะติก

"ก็นิดหน่อยหนะ นั่งไปซักพักก็คงดีขึ้นเอง" เคพูดตอบกลับไปและเหล่ตาไปมองโจเซฟ

"นี้นายไม่สังเกตเลยรึ ว่าทำไม ชั้นถึงเลือกให้มานั่งพักที่ใต้ต้นนี้" โจเซฟพูดขึ้น แล้วจึง ชกใส่ต้นไม้เบื่องหน้าไป 1 หมัด

ตึง! ป๊อก! ผลจากต้นนั้นหล่นลงมาใส่หัว เค แม่นอย่างกับจับวาง

"อุ๊บ! ทำอะไรของนายหนะ อ๋อ นายให้ชั้นมาพักที่นี้เพื่อจะได้แกล้งชั้นหรือยังไงกัน" เคที่เริ่มเดือดดาลขึ้นมา บ่นใส่ผู้ที่อยู่เบื้องหน้า ด้วยสีหน้าที่ดูนิ่ง

"ไม่ใช่ ม่ายช่าย~ เอ้าดูนี้ซะ" โจเซฟรีบพูดปัดแล้วหยิบผลสีเหลืองรูปร่างคล้ายเม็ดถั่วที่กลิ้งมาที่เขาแล้วโยนไปให้ เค ที่นั่งโมโหพลางส่งสายตาดุๆมาที่เขาอยู่

"นี้มัน ผล อะไรกันเหรอ" เค ที่สงบลงแล้วถามขึ้นมาหลังจาก รับผลนั้นมาพิจารณาดู

"ผล ของต้นคลิฟ ไงหละ สรรพคุณ ทำให้เลือดลมเป็นปกติและก็เป็นยาชูกำลังอย่างดีด้วยนะ" โจเซฟ อธิบาย ดั่งเช่นผู้รอบรู้

"โห จริงรึเนี้ย ไม่ยักกะรู้มาก่อนเลยมีผลแบบนี้ด้วย ว่าแต่ แล้วนายจะตกปลายังไงหละ ไม่ได้พกอุปกรณ์มาซักชิ้นแม้แต่เป้เดินทางนายยังไม่มีแบกมาเลย หรือจะโดดลงน้ำไปไล่จับเป็นตัวๆไปเลยหละ" เคซักขึ้นด้วยความสงสัย

"ใครว่าชั้นไม่พกมา เห็นงี้ ชั้นก็เป็นคนรอบคอบพอตัวเหมือนกันนะ ฟาเรฟ" ว่าแล้วโจเซฟก็เรียก ฟาเรฟ อุปกรณ์เวทย์มนต์ที่สามารถเก็บของได้ในปริมาณมากมายจนไม่คิดว่าจะยัดใส่เข้าไปในถุงเล็กๆขนาดเท่ากำมืออย่างงั้นได้

"ไหนๆ ชั้นเก็บมันไว้ตรงไหนกันเนี้ย โอ้ เจอละ" โจเซฟควานหาของอยู่ชั่วครู่ก็หยิบ เอากระชอนอันใหญ่ออกมา

"นี้นายจะไล่ตักทีละตัวเลยอย่างงั้นรึ" เคโผล่งขึ้นมา

"จุ๊ๆ นายนี้ยังไม่รู้อะไรก็อย่าเพิ่งโวยวาย ตอนนี้ชั้นจะใช้ 'นี้' ช่วย" ว่าแล้ว โจเซฟ ก็เอานิ้วไปจิ้มที่สร้อยข้อมือของเขา

"สร้อยข้อมือ มันจะช่วยนายตกปลาได้ยังไงกัน" เคเอียงคออย่างสงสัย

"หึหึหึ เดี๋ยวนายก็รู้เอง ถ้าได้เห็นมัน" ว่าแล้ว โจเซฟก็ถอดสร้อยข้อมือออกแล้วเปิดฝาครอบ เผยให้เห็นคริสตัลเรื่องแสงสีเหลืองเข้มๆ และมีกระแสไฟฟ้าช๊อตอยู่ภายใน

"นั้น นั้นมัน รูนออฟเดอะซิลวานาส! นิ ถ้าฉันจำไม่ผิดมันเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยในการรวมรวมเวทย์มนต์ทำให้ระดับมนต์ตราธรรมดากลายเป็นมนต์ระดับสูงได้นิ แต่ว่าเจ้านี่มันน่าจะเป็นอุปกรณ์ระดับแร์เลยไม่ใช่เหรอแถมมีเพียงไม่กี่ชิ้นบนโลกด้วย นายไปได้มันมาจากไหนกัน" เค พูดอย่างแตกตื่นพลางสงสัยตาอย่างสงสัยเหมือนรอคำตอบจากคู่หูเค้า

"เรื่องนั้น..."โจเซฟ หลบหน้า "ถ้าชั้นมีอารมณ์ ชั้นค่อยบอกละกัน" พูดเสร็จเขาก็จุ่มปลายด้านนึงลงน้ำ แล้วรีบดึงขึ้นทันที

เปรี๊ยะๆๆ

กระแสไฟฟ้าวิ่งไปตามน้ำในบริเวณกว้าง ซักพัก ปลานับสิบก็ลอยขึ้นมา โจเซฟ เดินลุยน้ำไปตักมาอย่างสบายอารมณ์

'นี่มันอะไรกันแน่นะ มีทั้ง ฟาเรฟ อุปกรณ์ของชนชั้นสูง แถมยังมี รูนซินวา อุปกรณ์เวทย์ระดับแร์ด้วย โจเซฟ นายเป็นใครกันแน่!' เคที่นั่งอยู่ คิดด้วยความสงสัยคู่หูผู้ลึกลับของตน

"อ้อ เกือบลืมไปเลย เค ไอผลคลิฟหนะ มีพิษอ่อนๆอยู่นะ ทางที่ดี ควรกินไปแค่คำสองคำพอแล้ว"โจเซฟพูดขึ้นหน้าตาเฉยทั้งที่ยังไล่ตักปลาที่ลอยอยู่

พรวด! เค ถึงกับสำลักออกมาเพราะเขากินมันไปครึ่งผลได้แล้ว "เจ้าบ้าเอ้ย! ทำไมเรื่องสำคัญแบบนี้ถึงไม่รีบบอกกันก่อนตั้งแต่แรกเนี่ย" พูดจบ เค ก็ขว้างผลคลิฟ ที่กินไปแล้วครึ่งนึงใส่โจเซฟ

"ฮะฮะฮะฮะ โอ้ย! ก็ชั้นตั้งใจนี้นา หึหึหึ ฮ่าๆๆ" โจเซฟ หัวเรอะออกมาอย่างสุดกลั้น จนเข่าอ่อน

"เออ แล้วนี้ชั้นจะอยู่รอดถึง ราเซนนุ ได้รึเปล่าเนี่ย" เคกล่าวอย่างเหนื่อยหน่าย

"จะว่าไปแล้ว เจ้าหญิงนิทราของเราเมื่อไรจะฟื้นซักทีนะ จะได้ถามไถ่เรื่องราวเป็นไงมาไงถึงได้ มาอยู่กลางป่างี้ แถมยังพาฝูงโรจันย่ามาด้วย" เค พูดพลางจ้องไปยังหญิงสาวที่นอนอยู่เบื้องหน้าเขา เธอจัดว่าเป็นคนสวยมากคนหนึ่งเหมือนกัน ผิว ขาวอ่อนๆรับกับชุดสีชมพู ริมฝีปากแดงสวยได้รูป ผมสีน้ำตาลอ่อน เมื่อรวมกับแสงที่ส่องผ่านหมู่แมกไม้ลงมาทำให้ทัศนียภาพงดงามยิ่ง เค เผลอจ้องความงามนั้นอย่างลืมตัวพลางเขยิบเข้าไปใกล้เพื่อจะได้เห็นได้ชัดเจนมากขึ้น

"อะ อืม.... หือ? กรี๊ดด! ช่วยด้วย" ตาดวงน้อยปรือขึ้นมาแต่ก็ต้องตกใจ เมื่อเห็น ชายผู้หนึ่งยื่นหน้าเข้ามาใกล้

เผี๊ยะ!

"ทำอะไรของเธอเนี่ย รู้ไหมถ้ามันโดนขึ้นมาคงจะเจ็บเอาเรื่องเลย" เค เอามือของตัวเองขึ้นมากันได้ทันแต่ก็ทำให้มือของเข้าขึ้นสีไปตามๆกัน เมื่อถูกหญิงนางนั้นตบเข้าให้ฉาดใหญ่ แต่ก็ต้องหน้าซีดเผือดเมื่อสิ่งที่หญิงสาวได้กระทำต่อ

"กรี๊ดด! ช่วยด้วย อย่าทำร้ายชั้น!" เธอคนนั้นหยิบหินก้อนใหญ่ด้านข้างขึ้นเตรียมขว้างไส่ เค อย่างไม่ยั้ง

"เออเอาเข้าไป ขอเวลาซักประเดี๋ยวจะได้ไหม คุณผู้หญิง เหวอ! เฮ้! หยุดน่ะ! อัค!"เค ร้องพร้อมกับหลบก่อนหินนั้นไปอย่างตกใจว่าแล้ว แล้วเสียงก็ขาดช่วงไป

"เกิดอะไรขึ้น เฮ้ย! เค อย่าเพิ่งไปเฝ้ายมบาลนะเฟ้ยทำใจดีดีไว้ เดี๋ยวๆก่อนครับคุณ ครับ เลิกหวดเพื่อนผมก่อนได้ไหมครับ"โจเซฟ ที่ได้ยินเสียงร้องก็รีบวิ่งมาดู เมื่อเห็นเหตุการณ์เข้าจึงรีบเข้าไปห้ามหญิงสาวก่อน ที่เธอจะขาดสติและทำเพื่อนเขาตายซะก่อน

...............ครู่ต่อมา................

"ขอโทษนะคะ ต้องขอโทษจริงๆคะ คือชั้นไม่ได้เจตนานะคะ คือ พอตื่นขึ้นมาเห็นอย่างนั้นเข้าก็เลยตกใจเกินเหตุไปหน่อยเท่านั้น ต้องขอโทษจริงๆคะ" หญิงสาวรีบขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่ หลังจากตั้งสติได้แล้ว

"ฮะ ฮะ ฮะ ฉันไม่ได้คิดอะไรเลยจริงๆเลยน่ะเนี่ยและก็ไม่ได้โกรธเลยด้วย... คนเค้าอุตสาห์ช่วยไว้แท้ๆ แล้วก็ โจเซฟ เลิกขำได้แล้ว!" เค กล่าวเสียงแข็งใส่เพื่อนที่นั่งหัวเราะเป็นบ้าเป็นหลังข้างๆ

"ก๊ากๆฮ่าๆๆ นี้ยังดีนะที่ชั้นมีอุปกรณ์ปฐมพยาบาลเก็บไว้ใน ฟาเรฟ เยอะ เพราะงั้นชั้นเลยได้เห็น มั่มมี่ตัวเป็นๆวันนี้แหละ ก๊ากฮ่าๆๆ โอยจุก ไม่ ไม่ ไม่ไหวแล้ว เอิ๊กๆ" โจเซฟที่นอนขดตัวกลมเพราะหัวเราะจนปวดท้อง พูดพลางกลิ้งไปมา จะไม่ให้ขำได้ยังไงหละ ในเมื่อตอนนี้ เค มีสภาพพันผ้าพันแผลแทบทั้งตัว ที่หน้าก็เต็มไปด้วยพลาสเตอร์ปิดแผล และ รอยฟกช้ำเต็มไปหมด

"ต้องขอโทษจริงๆคะ เพื่อเป็นการไถ่โทษไว้ถ้าไปถึงเมืองของฉัน ฉันจะให้ท่านพ่อเลี้ยงรับอย่างดีเลยคะ"

หญิงสาวค้อมหัวขอโทษปะหลกๆ

"เออ คือว่าไม่ต้องถึงขนาดนั้นก็ได้ครับ ว่าแต่คุณชื่ออะไรหรือครับ" โจเซฟที่เลิกนั่งขำแล้ว ปั้นหน้าเข้มถาม หญิงสาว แต่เขาคงยังเกร็งๆอยู่มั้งเพราะที่ มุมปากยังคงเผยอๆเป็นรอยยิ้มเมื่อหันมาเห็น เค ในสภาพมัมมี่ จึงถูก เค เอาศอกทุ้งใส่สีข้างอย่างแรงจนตัวงอ

"ฉันมีชื่อว่า ลาล่าลิน ไอริส ฟาเรเซีย เรียกฉันว่า ฟาร่า ก็ได้คะ" หญิงสาวตอบอย่างนุ่มนวล

"ถ้างั้น คุณฟาร่า ครับทำไมคุณถึงโดนพวกโรจันย่าไล่ละครับ ทั้งๆที่เจ้าพวกนั้นจัดเป็นสัตว์อสูรที่อยู่ในแถบป่าลึกแท้ๆแต่นี่ยังไม่ข้าเขตป่าด้านในเลย" เค ยิงคำถามที่สงสัยมานานใส่ 'ลาล่าลิน นี้มัน…หรือว่า!'

" ค่ะ คือชั้นพลัดหลงจากขบวนรถของฉันกับคู่หมั้น ที่จะเดินทางกลับ ดิมลอส คะ เพราะดูเหมือนขบวนรถจะถูกเจ้าสัตว์ประหลาด เออ..."

"โรจันย่าครับ"เคเอ่ยตัดขึ้น

"คะ พวกมันจู่ๆก็โผล่ออกมาแล้วโจมตีใส่ขบวนของฉันค่ะ แต่ขบวนของคู่หมั้นฉัน กลับทิ้งพวกฉันไว้แล้วหนีหายเอาตัวรอดไปซะก่อน " ฟาร่า กล่าวด้วยสายตาเศร้าหมอง "หลังจากนั้น ฉันก็พยายามหนีพวกนั้นมาค่ะ หนีตลอดทั้งคืนแต่พวกมันก็ยังตามมา จนในตอนนั้นฉันก็โผล่มาเจอพวกคุณเข้า แล้วก็...."

"สลบไป พอตื่นขึ้นมาก็เลย หวดชั้นแบบกะจะฆ่าทิ้งเลยสินะครับ" เค กล่าวขึ้นอย่างขัดเคืองพลางส่งสีหน้ายิ้มไปด้วย ฟาร่าไม่ได้กล่าวแย้งแต่อย่างใดได้แต่นั่งก้มหน้างุดๆ โจเซฟ เห็นอย่างนั้นแล้วจึงเงื้อมมือขึ้น

โป้ก! "โอ๊ย! โจเซฟ นี้นายเขกหัวชั้นทำไมเนี่ย!" เคโวยใส่เพื่อนของเขา

"สำรวมหน่อย พูดกับผู้หญิงอย่างงั้นได้ยังไง" โจเซฟเตือนขึ้นพร้อมกับชี้ให้ เค มองเบื้องหน้า

ฟาร่านั่งก้มหน้า ทำสายตาเศร้าสร้อย บ่นพึมพำ 'ทำไมถึงไม่ช่วยฉันนะ ทำไมเห็นแก่ตัวอย่างงี้' บรรยากาศที่เลวร้ายสุดๆ ดูท่าเธอจะจิดตกเป็นเอามากที่คู่หมั้นเธอทิ้งเธอไป

"เออ ชั้นขอตัวไปเตรียมอาหารก่อนละกันนะ เค ช่วยแก้สถานการณ์ทีหละ" โจเซฟ ลุกขึ้นตบไหล่เพื่อนแล้วเดินออกไปปล่อยให้ เค นั่งอยู่กับ ฟาร่า สองต่อสอง

'แย่หละสิ บรรยากาศแบบนี้ไม่ดีเลย ว่าแต่นี่มันความผิดของฉันเหรอเนี่ย คงต้องหาทางทำอะไรซักอย่างแล้ว' เค คิดในใจ

"เออ คุณฟาร่าครับ" เคซักขึ้นมาว่าแล้วก็ขยับตัวไปทางฟาร่า

"เรียก ฟาร่าเฉยๆก็ได้คะฉันไม่ถือ" เธอพูดตัดขึ้น

"อา ครับ ฟาร่า มาจากเมืองไหนหรือ ไม่สิกำลังจะไปที่ไหนหรือครับถ้ายังไงไหนๆก็เลยตามเลยแล้วให้พวกผมไปส่งให้ไหมครับ แล้วก็ไม่ต้องคิดมากเรื่องที่ทำร้ายผมก็ได้น่ะครับ ฮะฮะตามจริงก็เป็นความผิดของผมเองที่จะก้มไปมองคุณ" เคเอ่ยขึ้นพร้อมกับหัวเราะไปเพื่อกลบบรรยากาศที่ตึงเครียดเมื่อครู่

"เอ๋~ ก้มมองฉันเหรอค่ะ" ฟาร่าหันหน้ามาซักเคอย่างสงสัย

'ซวยแล้วไง ดันเผลอหลุดไปซะได้เอาหละเป็นไงเป็นกันก็แล้วกัน แค่พูดแล้วทำให้เราดูดีขึ้นหน่อยกว่าที่เป็นอยู่ตะกี้ก็คงพอ' เคได้แค่คิดในใจ ฟลางมองไปยังฟาร่า ตอนนี้เธอเงยหน้าขึ้นมาจ้องเคอย่างใจจดใจจ่อที่จะรอฟังคำตอบว่าแล้วก็เก็กสี้หน้าเต็มที่สวมโหมดสุภาพบุรุษเต็มตัว

"เออ คือ ผมเคเห็นว่าฟาร่าที่กำลังนอนอยู่รวมกับแสงแดดดอ่อนๆที่สะท้อนลงมา ทำให้ดูสวยและดูดีมากเท่านั้นเองหละครับ ไม่สิ เป็นภาพที่ดูแล้วทำให้ผมรู้สึกอยากจ้องมองใกล้ เออ...แค่นั้นหละครับ" เคพูดเสร็จก็เอามือเกาที่หัวแล้วก้มลงไปนิดหน่อยก่อนที่จะหันไปมองฟาร่าแล้วยิ้มแหย่ๆเท่านั้น

ปุ้ง!

"หวะ..หวา...เออ...คือ..." ฟาร่าเอ่ยขึ้นพร้อมกับก้มหน้าที่แดงของเธอลงไปอย่างเขินอาย พลางเหลือบไปมองเห็นบางสิ่งที่คอของเค

"เอ๋~ เป็นอะไรไปครับฟาร่า หรือว่าผมพูดอะไรไม่ดีไป ยังไงก็ขอโทษด้วยครับ!!" เคพูดแล้วรีบก้มหัวไป 'บ้าเอ้ยที่เราพูดมากเกินไปหรือเนี่ย ทั้งๆที่คิดว่านี่มันดีที่สุดแล้วแท้ๆเชียวน่ะ' ขณะที่ก้มเคก็คิดไปอย่างสงสัย

"เออ...คือ ที่คอของคุณนั้นคืออะไรเหรอค่ะ" ฟาร่าเอ่ยขึ้นอย่างสงสัยแต่ก็พยายามไม่สบตากับเคเด็กหนุ่มเหลือไปมองที่คอตัวเองแล้วก็หยิบมันออกมา มันเป็นสร้องคอเส้นสีทองแต่ดูเรียบๆตรงส่วนที่เป็นตัวประดับนั้นเป็นหินสีดำสนิดเลี่ยมด้วยทองแต่ก็มีสัญลักษณ์เป็นตัวหนังสือสีทอง

"นี่คือสร้อยคอที่ชั้นได้จาก..." เคเงียบไปพร้อมกับสีหน้าที่ดูซึมเศร้าลงไปก่อนเอ่ยต่อ "อืม...ได้จากคนๆนึงมานั่นหละ"

"ขะ...ขอโทษน่ะค่ะที่ฉัน ถามอะไรแบบนี้ลงไป" ฟาร่าก้มหน้าสำนึกผิด

"ฮะฮะ อย่าทำหน้าแบบนั้นสิครับไม่มีอะไรเป็นพิเศษหรอกครับ" เคพูดแล้วส่งยิ้มหวานให้กับฟาร่าอีกครั้งจนเธอหันมาสบตากับเค

บรรยากาศตึงเครียดหายไปแล้ว แต่บรรยากาศหวานแหว๋วที่มาแทนที่กลับชวนให้ทั้งคู่รู้สึกกะอักกะอ่วมยิ่งนัก ทั้งที่ตัว เค เองแค่กะจะพูดอะไรให้บรรยากาศดีขึ้นแท้ๆ แต่ผลกลับกลายเป็นหยั่งงี้ไปซะได้ และดูเหมือนฝ่าย ฟาร่า เองก็ตีความหมายคำพูดของ เค ไปไกลเหมือนกัน บรรยากาศตอนนี้จะบอกว่า มันเป็นใจให้ หรือเป็นบรรยากาศที่ดูถ้าจะตึงเครียดกว่าเดิมกันแน่

"เฮ้~ เค ขอแรงทางนี้หน่อยเซ่ ชั้นยกคนเดียวไปไม่หมด" โจเซฟตะโกนเรียกเพื่อนจากที่ข้างลำธาร ดั่งเสียงสวรรค์ที่ช่วยมาทำลายบรรยากาศอึดอัดแบบนี้ เค คิด

"เออ..ถ้างั้น ฟาร่าครับ รอตรงนี้ซักครู่นะครับผมขอตัวซักประเดี๋ยว" เขารีบลุกขึ้นพลางกล่าวอึกๆอักๆ แล้วรีบสาวเท้าก้าวออกไป

ครู่ต่อมา เคเดินเข้ามาพร้อมปลาขนาดเล็กใหญ่มากมายเต็มแผนหินที่ดูเหมือนขัดจนสะอาดเอี่ยมเรียบเป็นเงา พร้อมกันนั้นโจเซฟเดินถือหินที่ร้อนแดงแผ่นใหญ่เข้ามา เมื่อ ฟาร่าเห็นอย่างนั้นแล้วก็กล่าวขึ้น

"ตายแล้ว! ทำอย่างนั้นเดี่ยวมือก็พองหมดหรอกนะคะ"

"ไม่ต้องเป็นห่วงครับ เพราะผมไม่ได้ใช้มือสัมผัสโดยตรงหรอกนะครับ" ว่าแล้ว โจเซฟ ก็ยกหินสูงขึ้นระดับสายตา ทำให้เห็นได้ว่า ก้อนหินร้อนแดงนั้นลอยต่ำๆอยู่เหนือฝ่ามือของเขา ท่าทางเขาคงใช้พลังเวทย์ในการช่วยยกสิ่งนี้แน่ๆ

"เอาหละ ไหนๆนี้ก็เป็นมื้อแรกหลังจากอดมานาน ผมเลยเตรียมเมนูสุดพิเศษ สไตล์ท่านโจเซฟ ผู้นี้มาซะเลย แต่ถึงจะเป็นเมนูพิเศษแต่ก็คงไม่ต่างจากย่างบาร์บีคิวกลางป่าเท่าไรอะนะ ทานได้เต็มที่ปลามีเหลือเฟือ ถ้าไม่พอเดี๋ยวไปช๊อตเอาเพิ่มก็ได้ " โจเซฟ วางหินร้อนแดงลงกลางวง แล้วยืนกล่าวดั่งประธานในพิธี

"เอ๊ะ? ไปช๊อตเอาเพิ่มเหรอคะ" ฟาร่าเอ่ยถามอย่างสงสัย

"โอ้เรื่องนั้นไม่ต้องสนใจก็ได้ครับ เอาเป็นว่ามีให้เต็มที่ก็แล้วกันนะครับ" โจเซฟ รีบบอกปัดทันใด พลางเริ่มหยิบปลาที่เตรียมไว้ วางบนหินร้อน ท่าทางหินแผ่นนั้นคงร้อนจัดมากแน่ๆ เพราะเพียงวางปลาไปครู่เดียวก็ส่งเสียงฉี่ฉ่า ส่งกลิ่นน่าทานออกมาเป็นสัญญาณว่าสุกพร้อมกินแล้ว

ทั้งหมดรับประทานปลาย่างอย่างสำราญ แต่ชั่วครู่ ฟาร่าก็เอ่ยทำลายความสงบขึ้นมา

"เออ คือว่า ต้องขอโทษที่ขัดจังหวะระหว่างที่ทานอาหารนะคะ อาจจะเสียมานยาทไปสักนิดแต่ว่า ฉันยังไม่รู้จักชื่อคุณทั้งสองคนเลยคะ" ฟาร่าเอ่ยท้วงขึ้นขณะที่สองคนที่เหลือกำลังกินอาหารกันอยู่ถึงกับชะงัก

"โอ๊ะ! ตายละสิ ดันลืมเรื่องสำคัญอย่างนี้ไปได้ยังไงเนี้ย" โจเซฟ เอามือก่ายหน้าผากพูดออกมา "ต้องขอโทษคุณผู้หญิงด้วยนะครับ เรียกผมว่าโจเซฟ ก็ได้ครับ ส่วนหมอนี้ คู่หูเพื่อนร่วมทางของผมเองครับ เขาชื่อว่า เค" โจเซฟกล่าวพลางชี้ไปทางเพื่อนเขา "คุณผู้หญิง ชื่อ คุณฟาร่า สินะครับ" เขาถามเพื่อความมั่นใจ

"คะ เรียกฟาร่าเฉยๆก็ได้คะ ฉันไม่ถือ " เธอกล่าวรับคำ

"โอเคครับ ฟาร่า ครับ คุณมาจากเมืองไหนหรือครับ " โจเซฟ ถามอย่างสุภาพ ทำให้เค เพื่อนเขาต้องคิดว่า 'ไอหมอนี้ ทีเวลาคุยกับเรานี้ เป็นคนละคนกับเวลาคุยกับผู้หญิงเลยให้ตายสิ'

"จะว่าไปตะกี้ผมก็พึ่งถามไปนินายังไม่ได้ตอบเลยสิน่ะครับ" เคพูดแล้วส่งยิ้มหวานไปหาเธอทำเอาให้หน้าขึ้นสี

"เออ...ฉันกำลังจะเดินทางกลับเมือง ดิมลอส คะแต่ก็โดนตามล่าจนหลงมาถึงที่นี้" ฟาร่ากล่าวตอบ

"ดิมลอส อย่างงั้นหรือ พอดีเลย นั้นเป็นเมืองต่อไปตามเส้นทางของเราเลยนี้นา งั้นพวกเราจะไปส่งคุณที่เมืองก็แล้วกันนะครับ จะได้เดินซื้ออุปกรณ์จำเป็นอะไรด้วย" โจเซฟกล่างพลางตบมือเป็นเชิงว่า โป๊ะเช๊ะเลยจริงๆ

'ดิมลอสงั้นเหรองั้นก็ไม่ผิดแน่นอน' เคกล่าวคิดในใจเหมือนรู้อะไรบางอย่าง

"แต่ถ้าจากตรงที่เราอยู่นี้กว่าจะเดินทางไปถึงก็คงจะราวพรุ่งนี้ตอนเย็น หรือถ้าเดินทางทั้งคืนคงถึงตอนเช้าๆ เอาไงดีละ" เค กล่าวตัดขึ้นมาหลังจากเงียบไปนาน

"อืม...นั่นสิน่ะยังไงพวกเราเองก็มีเวลาไม่มาก งั้นตอนนี้ท้องก็อิ่มแล้ว แรงก็พร้อม เอาหละเก็บของ ออกเดินทางต่อได้" โจเซฟ ยืนขึ้นบิดขี้เกียจทีนึงแล้วก็เดินไปเก็บอุปกรณ์ของเขา กลับลงใน ฟาเรฟ ดังเดิม

"เออ คือว่าขอถามอีกอย่างนะคะ แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรคะ ว่าต้องเดินไปทางไหนเพราะถ้าหลงป่าขึ้นมานี้แย่แน่นะคะ" ฟาร่ากล่าวถามเพราะไม่มั่นใจ

"เรื่องนั้นไปต้องเป็นห่วงหรอกครับ ฟาร่า เรามีผู้เชี่ยวชาญเส้นทางอยู่แล้วทั้งคน" โจเซฟพูดพร้อมกระดิกนิ้วโป้งชี้ไปทางเพื่อนของเขาที่กำลังเก็บสัมพาระลงเป้ของเขา

พวกเขาออกเดินทางขึ้นเหนือมาเรื่อยๆโดยโดดข้ามต้นไม้ไปที่ละต้นๆทางเคที่เป็นผู้นำทางก็รีบเร่งอย่างไม่รอช้า ส่วนคู่หูเค้าก็รับบทหนักไม่แพ้กันโดยต้องอุ้มสตรีอีกคนนึงไว้ด้วย จนตะวันเริ่มคล้อยต่ำ ความมืดเริ่มเข้าครอบคลุมพื้นที่ป่า

"ชั้นว่าวันนี้เราคงต้องค้างแรมที่นี้ซักคืนแล้วหละพรุ้งนี้เช้าค่อยออกเดินทางต่อดีกว่า" เคพูดขึ้นและหยุดเมื่อเห็นว่าโดยรอบเริ่มมืดและเสียงร้องต่างๆของสัตว์ป่าก็เริ่มเปลี่ยนเป็นเสียงร้องของเหล่าแมลงนานาพันธุ์ไปแทนแล้ว

"อืม ชั้นเห็นด้วยนะ ที่นี้ก็เริ่มมืดมากแล้ว หาอะไรมาจุดไฟซะหน่อยดีกว่า" โจเซฟกล่าวตามมาก่อนที่จะโดดลงไปที่พื้นแล้ววางฟาร่าลงไป เขาเริ่มมองโดยรอบเพื่อหาอะไรซักอย่างมาจุดไฟ ว่าแล้วเขาก็มองไปเห็นต้นไม้แห้งขนาดย่อมๆยืนต้นตายอยู่

"เอาหละต้นนี้คงใช้ได้ เทมเพสต้า..." โจเซฟพูดพลางกางมือออกไปยังต้นไม้แห้ง

"เดี๋ยวๆ นี้นายคงไม่ได้กะจะถล่มพื้นที่แถบนี้ให้ราบกระจายใช่ไหมถึงได้จะร่ายเวทย์เนี่ย" เค ได้ยินโจเซฟพยายามร่ายเวทย์จึงได้ปรามขึ้นมา

"เถอะน่า ชั้นกะแค่จะผ่าเจ้าต้นนี้ทำฟืนไว้ก็เท่านั้นแหละ ไม่ต้องห่วงครั้งนี้ชั้นจะทำให้เบาที่สุดละกัน" โจเซฟหันมากล่าวอย่างเซ็งๆ

"เทพเพสต้า ลิลิค วารันด้า อิมเพลค(ศรเวทย์วายุคลั่งเชือดเฉือน) สายลมเริ่มก่อตัวขึ้นแล้วมารวมกันที่ฝ่ามือของโจเซฟ เมื่อเขาสะบัดมือเบาๆ วูบ ครานึง สายลมพัดออกไปอย่างรวดเร็ว บังเกิดเป็นคมมีดหลายคมพุ่งไปทางต้นไม้แห้งเบื้องหน้า

ฉัวะๆๆๆๆ! เสียงเหมือนของมีคมตัดผ่านสิ่งของดังขึ้นหลายครั้งแล้วต้นไม้แห้งก็ล้มครืนกลายเป็นท่อนไม้จำนวนนึงแทน

ฮูมมมมมมม!

"ชะเอ๋! เดี๋ยวนะ เออ...คุณเคครับ รู้สึกว่าผมจะเผลอใช้เวทย์ไปโดนตัวอะไรไม่รู้เข้าแล้วหละ ช่วยกรุณามาดูให้หน่อยสิจะได้ไหม"โจเซฟพูดขึ้นเมื่อได้ยินเสียงร้องดังขึ้นจากทิศทางที่เขายิงเวทย์ใส่ ทำให่คนที่ถูกเรียกถึงกับทำหน้าตาดุใส่

" ชั้นบอกแล้วไงว่าให้ระวังหน่อย ไหนขอดูหน่อยสิว่าตัวอะไรมาโดนเข้า" เคกล่าวอย่างระอา แต่ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นสัตว์ที่อยู่เบื้องหน้านั้นร่างที่ปกคลุมด้วยความมืด

"ซวยแล้วหละคุณโจเซฟเอ๋ย~นั้นมัน ไรโดทอส เป็นสัตว์ประเภทกลายพันธุ์เอาเป็นว่าเป็นสัตว์ครึ่งอสูร เจ้าพวกนี้ถึงจะสงบเสงี่ยม แต่เป็นพวกแค้นฝั่งลึกมากซะด้วยสิ ถ้ามันไม่สบอารมณ์อะไรเข้ามันจะตามล่าเป็นสัปดาห์เลยแหละ แถมมันยังมีแผงเกราะเต็มตัวที่แข็งขนาด ดาบชั้นดียังฟันไม่เข้าเลย แย่แน่งานนี้" เค พูดด้วยสีหน้าที่ดูแตกตื่นเล็กน้อยแต่ในใจว้าวุ่นไม่น้อยเลยเหมือนกัน

"ขอบใจสำหรับข้อมูลดีๆน่ะคงจะเป็นอย่างที่นายว่าไม่งั้นนายคงไม่อธิบายมาซะเสร็จสรรพแบบนี้" โจเซฟรีบพูดกลับไปแต่สีหน้าก็ดูไม่ดีเท่าไรพลางเหลือบไปมองฟาร่าที่ตอนนี้ยืนตัวสันอยู่ข้างหลัง

เบื้องหน้าของทั้งคู่มีสัตว์อสูรตัวเขื่องรูปร่างคล้ายแรดสามนอ แต่ตัวของมันใหญ่ยิ่งกว่าแรดสามตัวรวมกันซะอีก รอบตัวของมันมีแผ่นเกราะเรียงกันเป็นชั้นๆ ตาสีเหลืองสว่างใสยามอยู่ในที่มืด ซึ่งตอนนี้ ตาทั้ง สองคู่ ของมันหันมามองกลุ่มของพวก เค อย่างจะกินเลือดกินเนื้อ ฟังไม่ผิดหรอกครับ เพราะตาของมันมี 4 ตาจริงๆ ทำให้ฟาร่าที่ยืนกลัวอยู่แล้ว ตัวสั่นเป็นเจ้าเข้าไปยืนหลบอยู่หลังโจเซฟพลางกำชายเสื้อโจเซฟไว้แน่นโดยไม่กล้าพูดอะไรออกมาซักคำ

มันก้าวเท้าเข้ามาทำให้แผงเกราะชนกันเสียง คร้องแคร้งเหมือนโลหะกระทบกันเป็นลูกคลื่น เมื่อเห็นดังนั้นพวกเค เองก็เริ่มถอยหมายจะหนี แต่ด้วยสัญชาตญาณของสัตว์ หากพวกเขาวิ่ง มันจะวิ่งตามอย่างบ้าคลั่งทันใด

"เออ คุณเค ครับ พอจะมีวิธีที่เราจะหนีจากเจ้า ไรโดทอส นี้พ้นบ้างไหมครับ" โจเซฟ เอ่ยถาม อาจเพราะความกะทันหันและความสับสนที่ไปปลุกสัตว์ร้ายขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจถึงได้พูดกับ เค ด้วยเสียงสุภาพต่างจากปกติเหมือนเคย

"วิธีหนะ พอจะ มี แค่หนีขึ้นที่สูงมันก็จะตามมาไม่ถึง ดูท่าคืนนี้เราคงต้องเดินทางทั้งคืนซะแล้วหละถ้าถึงเขตเมืองคงจะปลอดภัย เพราะเจ้านี้หนะมันไม่ยอมเลิกราง่ายๆอยู่แล้วหละ" เค ตอบกลับด้วยเสียงเบาๆ แกม สั่นๆ

ฮู่มมมมมมม! ตึงๆๆๆๆๆ

ไรโดทอส ตัวเขื่องไม่รีรอ มันรีบวิ่งปรี่เข้ามาหมายจะขวิดผู้ที่มารังควาญมันทั้งสามให้ลอยไปยังอีกภพเลยกระมั้ง แม้ตัวของมันจะมีขนาดที่ใหญ่โต แต่นั้นไม่ได้ทำให้มันวิ่งได้เชื่องช้าเลย

"แย่หละสิ โธ่ว้อย เค โดดขึ้นยอดไม้เร็วเข้า" เมื่อเห็นดังนั้น โจเซฟเรียก ตะโกนเรียกสะติเพื่อนของเขา แล้วหันขวับไปคว้าร่างของฟาร่าขึ้นอุ้มแล้วเร่งพลังเวทย์ รวบรวมไว้ยังขาทั้งสองข้างจึงออกแรงถีบโดดขึ้นไปยังยอดไม้ใกล้เคียงทันใด เคเองเมื่อถูกเสียงเรียกกระตุ้นจึงรีบกระโดดไปยังต้นไม้เบื้องหน้าทันที

"ว้าย!" ทาง ฟาร่า ที่กำลังกลัวตัวสั่นอยู่รู้สึกตกใจยิ่งที่จู่ๆเธอก็ถูกอุ้มขึ้นแล้วทรรศนียภาพของป่าทึบก็เปลี่ยนเป็นหมู่ยอดไม้สูงของป่าอย่างรวดเร็ว

"ไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ ฟาร่า" โจเซฟ หันมาถามสภาพของหญิงสาวในอ้อมแขนที่ขณะนี้เพิ่งรู้ตัวว่าอยู่ที่ยอดไม้สูงของป่าแล้ว

แสงจันทร์สว่างสาดแสงลงมา เผยให้เห็นหน้าตาหล่อเหลาไร้ริ้วรอย นัยน์ตาสีเงินที่ดูสุกสกาว ผมสีน้ำตาลอ่อนเหมือนดินเผา ร่างแข็งแรงโอบอุ้มเธอเอาไว้ จ้องมองมายังเธอ ทำให้หน้าของเธอเริ่มร้อนแดงขึ้นมา

"มะ ไม่ ไม่เป็นอะไรคะ เออ ขอบคุณมากนะคะ" ฟาร่า ก้มหน้าชิดอกชายผู้โอบอุ้มเธอเอาไว้ด้วยใบหน้าแดง ระเรื่อ ใจเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะ ท่าทาง คุณเธอ จะมีใจให้ โจเซฟของเราเข้าซะแล้วหละ

"ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว เฮ้ เค ดูจากสภาพอย่างนี้ คงต้องเดินทางทั้งคืนจนถึงเมืองจริงๆซะแล้วหละ ต้องไปทางไหนกันหละ ทีนี้" โจเซฟตะโกนถามเพื่อนของเขาที่อยู่บนยอดไม้เบื้องหน้า

"ไปทางทิศเหนือ เห็นนั้นไหม ที่ชายป่านั้นหนะ นั้นป้อมปราการที่อยู่บนกำแพงของเมืองดิมลอสจากระยะทางถ้าให้เดาถ้าเดินทางทั้งคืนชั้นว่าน่าจะถึงตอนเช้านะ" เค ตะโกนตอบกลับมา

ตึง! ฮูมมมมมมมมมมมม

"โอ๊ะ อะไรกันเนี้ย ท่าทางเจ้านี้จะเป็นพวกแค้นฝั่งลึกอย่างหนักซะด้วยสิ ไปกันเถอะ โจเซฟ งานนี้โดดอยู่บนยอดไม้ทั้งคืนแน่ๆ ไหวใช่ไหมหละ" เค รีบโดดออกจากยอดไม้ต้นเมื่อครู่ที่ถูก ไรโทดอสพุ่งชนด้วยแรงมหาศาล จนล้มลงราวกับไร้สิ่งค้ำจุนไปยังยอดใกล้เคียงกับโจเซฟ

"คิดว่ากำลังถามใครอยู่กันหละ ไปกันเถอะ" โจเซฟ ตอบกลับด้วยสายตากวนๆ แล้วออกโดดไปพร้อมหญิงสาวในอ้อมอก และ คู่หูของเขา

แสงสุริยันเริ่มโผล่พ้นขอบฟ้ามา ซุ่มเสียงนกนานาเริ่มดังเซงแซ่ไปทั่วเป็นสันญาณของเช้าวันใหม่ มีกลุ่มคนสามคนเดินมาตามทางเลียบลำธารเล็กใสสะอาด ไม่ใช่ใครอื่นกลุ่มของ เค โจเซฟ และ ฟาร่านั้นเอง

"โธ่เอ๊ย ถ้านายให้ชั้นทำอย่างนั้นตั้งแต่แรกก็ไม่ต้องเดินทางกันทั้งคืนอย่างนี้หรอกน่า" โจเซฟ พูดขึ้นด้วยเสียงเซ็ง

"ก็ใครจะไปรู้เล่าว่า ไรโดทอส จะแพ้ พลังของธาตุสายฟ้า ถ้ารู้อย่างงั้นแต่แรกแล้วชั้นไม่ยอมบอกนาย นายค่อยบ่นก็ได้ นี้นายพูดแบบนี้มาเป็นสิบรอบแล้วนะ" เคตอกกลับอย่างเหนื่อยหน่าย

"แต่ถึงอย่างนั้นก็สุดยอดมากเลยคะ ชั้นไม่เคยเห็นเวทย์โจมตีชนิดนี้มาก่อนเลยด้วยนะคะ" ฟาร่าที่เดินเกาะชายเสื้อ โจเซฟ พูดขึ้นบ้าง

ย้อนเรื่องไปซักแปป ราวชั่วโมงเศษ

ทั้งสามคนยังคงโดดไปตามยอดไม้แต่เมื่อเห็นว่าจะสุดเขตแดนป่าแล้วจึงหยุดที่ต้นไม้ต้นใหญ่ริมป่า

"ชิ โธ่ว้อยไหงมันมาสุดแค่นี้เนี้ย แล้วไอเจ้า ไรโดทอส บ้านั้นก็ตามไม่ลดละจริงๆ ชักน่ารำคาญขึ้นมาแล้วนะ"โจเซฟ กล่าวเสียงแข็งอย่างไม่สบอารมณ์

"ว้อย ทนไม่ไหวแล้ว ขอโทษที่นะ ฟาร่า เอ้า เค รับต่อที" โจเซฟ ยื่นฟาร่าให้ เค รับช่วงอุ้มต่อ

"เดี๋ยวสิ นั้นนายจะทำอะไรกันหนะ เดี๋ยวๆตั้งท่าแบบนั้น นายคงไม่" เค พยายามจะกล่าวห้ามแต่ไม่ประสพผล เพราะเจ้าตัวดีเตรียมตัวพร้อมไปแล้ว

โจเซฟ เปิดฝาครอบคริสตัล ของ รูนออฟซินวานาส ที่ข้อมือออก แล้วกล่าวร่ายเวทย์ออกมาทันทีพร้อมยื่นมือชี้ไปทาง ไรโนทอส ที่วิ่งตรงเข้ามาที่ต้นไม้ที่พวกเขาอยู่

"เทมเพสต้า ลิลิค ดัลกัสก้า ครีเจอร์(ศรเวทย์ อสุนีบาติ มลายสิ้น)ผสานรูนซินวานาส" ประจุไฟฟ้า มากมาย กระจายตัวออกมาจาก รูน แล้วมารวมตัวที่มือของ โจเซฟ เมื่อ โจเซฟ ชกหมัดออกไป ลูกศร นับสิบที่ถูกสร้างจากไฟฟ้า พุ่งออกไปด้วยความเร็วสูง มุ่งเข้าใส่ สัตว์อสูรบ้าคลั่ง

เปรี้ยงๆๆๆ

เสียงระเบิดของประจุไฟฟ้าดังขึ้นต่อเนื่อง เพราะแรงระเบิดทำให้ ฝุ่นคลีลอยคละคลุ้งไปทั่ว ทั้ง เค และ โจเซฟ ยืนอยู่บนยอดไม้ อย่างระแวดระวัง เพราะไม่อาจยืนยันสภาพของสัตว์อสูรนั้นได้

เมื่อฝุ่นควันหายไปแล้ว ทุกคนต้องตกใจ เมื่อเห็น สัตว์อสูร ยืนนิ่งราวกับไม่ได้รับบาดเจ็บใดใดเลย

"ชิ อึดจริงนะ งั้นเอาไปอีกซะชุดละกัน" โจเซฟ กล่าวขึ้น พร้อมเงื้อมือหมายจะยิงศรออกไปอีกชุด แต่ก็ต้องชะงักเมื่อ เค ยื่นมือมาขวางไว้

"อะไรกัน ทำอะไรของนายเนี้ย" โจเซฟ ตะโกนใส่เพื่อนที่มาขวางทางกำจัดตัวน่ารำคาญของเขา

"พอได้แล้ว เจ้านั้นโดนผลแทรกซ้อนของธาตุสายฟ้าเข้า คงเป็นอัมพาตไปแล้ว เท่าที่ดูมันคงทำอะไรไม่ได้ไปอีกทั้งวันเลยแหละมั้ง" เคพูดอธิบายเพื่อนของเขาเมื่อพิจารณาจากสิ่งที่เขาเห็น

"ชิ ก็ได้ แต่ถ้ามันยังตามมาอีกละก็ คราวนั้น ชั้นไม่ปล่อยมันไว้แน่ถึงนายจะห้ามก็เถอะ" โจเซฟสะบัดมือกลับแล้ว ปิดฝาครอบ คริสตัล ของไอเทมเวทย์มนต์บนข้อมือของเขา ทำให้สายฟ้าที่ครอบคลุมอยู่แตกตัวกระจายออกไปและทุกอย่างก็กลับเป็นปกติ

"งั้น ตอนนี้พวกเราคงลงไปเดินได้อย่างปกติแล้วหละนะ ลงไปกันเถอะ" เค พูดจบแล้วก็ โดดลงจากยอดไม้ลงสู่พื้นอย่างนุ่มนวลแต่ที่แปลกคือ เขาลอยอยู่เหนือพื้นเล็กน้อย "รีส วานเดเรีย อารุนฮีดัส (ปลดออก โล่วายุคุ้มภัย)" เมื่อ เค พูดจบ สายลมก็แตกตัวออกมารอบตัวเขา แล้วเขาก็ลงสู่พื้นอย่างปกติดังเดิม เขา ค่อยๆปล่อยฟาร่า ลงจากการถูกอุ้ม เป็นเวลาเดี่ยวกับที่โจเซฟ โดดตามลงจากยอดไม้ แต่ดูถ้าเขาคงไม่ได้ใช้วิธีเดียวกับ เค เป็นแน่ เพราะดูจาก พื้นดินที่ยุบลงไปเล็กน้อยแล้ว เขาคงโดดลงแบบดื้อๆอย่างนั้นเลย แต่เขาก็ไม่ได้รับผลกระทบใดๆ ว่าแล้ว เขาก็ออกเดินตาม เค และ ฟาร่า ที่เดินนำไปเล็กน้อยแล้ว

"ชิ ชั้นยังไม่หายคันมือเลย อยากจะกลับไป แล้วย่างเจ้าบ้านั้นอีกซักรอบจริงๆ" โจเซฟ พูดขณะ ถูมือไปมาเป็นเชิงบอก

"พูดดีไปเถอะนาย เอาเถอะ ยังไงเราก็มาถึงแล้ว นั้นไงประตูเมือง" เค พูดขึ้นแลวก็ชี้ไปยังป้ายเหนือประตูเมือง "ยินดีต้อนรับ นักเดินทางทุกท่านสู่ ดิมลอส ดินแดนแห่งนักล่าสมบัติ"

"แต่อย่างนี้ก็ถือ ว่าพวกคุณช่วยฉันไว้ สอง ครั้งแล้วสินะคะ และ ฉันยังติดหนี้ที่ไปทำร้าย คุณเค เข้า ซะด้วยสิ" ฟาร่าที่เดินเกาะชายเสื้อโจเซฟ กล่าวด้วยเสียงสดใส ดูเหมือนเธอจะอารมณ์ดีขึ้นแล้วเมื่อมาถึงเมืองของเธอ

"เออ จริงสิ จะว่าไปแล้วเราจะเข้าเมืองยังไงดีหละ ได้ข่าวว่าที่นี้ ตรวจคนเข้าเมืองเข้มงวดมากซะด้วยสิ" เค เปรยออกมาด้วยสีหน้าที่คร่ำเคร่งกับสถาณการณ์

"เรื่องนั้น ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกคะ ถ้าพวกคุณมากับฉันหละก็" ฟาร่า ปล่อยชายเสื้อโจเซฟแล้ว ออกมาเดินนำทั้งคู่ทันทีทำเอาสองหนุ่มถึงกับต้องหันมามองกันอย่างสงสัย

เมื่อ ทหาร เฝ้าประตูเมืองเห็นกลุ่มคนเดินมาจึงเดินเข้าไปเพื่อจะขอตรวจสัมพาระ แต่เขาก็ต้องตกใจและพูดขึ้นเสียงดังเมื่อเห็นว่าผู้ใดเดินนำหน้ามา

"องค์หญิง! โอ้ ขอบคุณท่านฑูตศักดิ์สิทธิ์ ไม่นึกว่าท่านจะรอดมาได้ พวกเรานึกว่า นึกว่า" ทหารนายนั้นอุทานออกมาเสียงดังลั้น จนผู้คนบางส่วนเริ่มหันมามอง

ทันทีที่ทหารนายนั้นพูดจบทั้งสอบคนก็มีคำๆนึงผุดขึ้นมาในหัวทันที 'องค์หญิง!' ทำเอาทั้งสองคนสีหน้าดูซีดลงไปอย่างเห็นได้ทั้งโดยที่องค์หญิงที่กำลังคุยกับทหารอย่างสบายใจไม่รู้ตัวเลยสักนิด

"นึกว่าเราจะ ตายไปแล้วสินะ ไม่เป็นไรเราไม่โทษพวกเจ้าหรอก ขอข้าเข้าเฝ้าเสด็จพ่อได้ไหม" ฟาร่า เดินมากล่าวกับทหารประจำประตูทั้งสองนาย

"ครับผม! เราจะจัดรถม้าให้ทันที เออ คือสองคนที่ตามท่านมานั้นใครกันหรือ ขอรับ" ทหารยามกล่าวถามด้วยความสงสัยพลางชี้ไปทางชายหนุ่มสองคนที่เดินตามนายหญิงมา

"เขาเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตข้าไว้เอง" ฟาร่า กล่าวกับทหารด้วยเสียงสดใสพร้อมส่งยิ้มไปหาเด็กหนุ่มทั้งสองคน

"รถม้าพร้อมแล้วครับ องค์หญิง เชิญทางนี้เลยขอรับ ท่านทั้งสองด้วยขอรับ" ทหารนายหนึ่งเดินเข้ามาค้อมศรีษะแล้วเดินนำทุกคนไปยัง รถม้าสีขาวสะอาด เทียมด้วยอาชาพันธุ์ดีดูแข็งแรง เมื่อทั้งสามก้าวขึ้นรถม้าไปแล้ว สารถีจึงสบัดบังเหียนม้าให้เริ่มออกเดินมุ่งหน้าไปยังราชวังใจกลางเมืองทันที

"อืม ไม่นึกเลยนะว่า เธอจะเป็นเจ้าหญิงของดิมลอสไปซะได้ ไอ้ชั้นก็นึกว่าเป็นชนชั้นสูงซะอีก แต่นี้ดันสูงกว่านั้นไปอีก" โจเซฟ กล่าวออกมาลอยๆ

"ไม่ตกใจเลยหรือคะ" ฟาร่าถามขึ้นพร้อมกับส่งสายตาออกมาอย่างวิตกกังวล

"อืม...ก็ตกใจสิ แต่ก็ไม่ค่อยมากเท่าไรหรอกนะ ยังไงพวกเราก็เจอเรื่องราวไม่คาดฝันมานักต่อนักแล้วหละ" เค กล่าวตอบออกไป โจเซฟ พยักหน้าเป็นเชิงสนับสนุน

โจเซฟ นั่งรถม้ามานานเริ่มรู้สึกเบื่อๆ จึงได้มองไปยังนอกหน้าต่างของตัวรถ ไปเห็นธงผืนหนึ่งบนรถม้าคันหนึ่งเข้าจึงได้เอ่ยถามเคขึ้นมาด้วยความไม่มั่นใจ "เฮ้ เค นั้นหนะ ธงสัญลักษณ์ของตระกูล โซเรียว ใช่เปล่า ตระกูลที่เป็นหัวเรือของป้อมนักฆ่านั้นหนะ"

เมื่อ เค ได้ยินดังนั้นจึงรีบเร่งยื่นหน้าไปดู "อา ถูกแล้วหละ หืม..ซะ..โซเรียว? เอ๊ะ! เดี๋ยวนะ นั้นคงไม่ใช่..." เค เริ่มหน้าถอดสีเมื่อมองไปเห็นหญิงคนหนึ่งกำลังก้าวลงจากรถม้าคันนั้น แล้วก็เอามือกำบางสิ่งที่อยู่ตรงอก

โจเซฟ เห็นอย่างเดียวกันนั้นเลยพูดขึ้น "อะไรกัน เค นี้ นายรู้จักเธอคนนั้นด้วยเหรอ"

"เออ...คือ...ใครจะไม่รู้จักละ ฮะฮะฮะ ก็สูกสาวของ โซเรียว ซาเรส ฮารูดัส ที่เป็นผู้นำสูงสุดของป้อมนักฆ่ายังไงละ ฮะฮะฮะ" เครีบเอามือปิดผ้าม่านแล้วกลับมานั่งอย่างรวดเร็วหน้าตาที่ถอดสีอย่างชัดเจนกับแววตาที่ดูซึมเศร้าของเค้าทำให้โจเซฟเพื่อนของเค้าหันมามองอย่างสงสัยก่อนที่จะเอ่ยต่อขึ้น

"อืม เอาเถอะ เห็นนายเป็นแบบนี้ก็คงพอเข้าใจแล้วหละว่าเป็นไงมาไงถึงจะผิวเผินก็เถอะนะ"โจเซฟ พูดอย่าง เห็นใจเมื่อมองสภาพของเพื่อนของเขาตอนนี้

"ช่างมันเถอะ ว่าแต่ ฟาร่า เออมันก็นานมากแล้วนะนี้ เมื่อไรจะถึงที่ซะทีนะเนี่ย พวกเราเองก็มีการเดินทางที่ต้องเร่งรีบเหมือนกันนะ" เครีบเอ่ยขึ้นกับสีหน้าที่ดูซีดลงจนโจเซฟถึงกับเหงื่อตกว่าเพื่อนเราคงต้องมี ความหลังอะไรกับ ตระกูลนั้นเป็นแน่

"ใกล้แล้วละค่ะ แค่ผ่านทางข้างหน้านี้ไป" ฟาร่าพูดพลางชี้ไปที่พื้นที่โล่งๆที่มีประตูสูงใหญ่ตั้งอยู่ ทำเอาทั้งสองคนที่มองไปถึงกับงง แต่แล้วรถม้าก็ควบเข้าไปที่ประตูที่เปิดโล่งทุกสิ่งกลับมืดมิดเหมือนกับว่าดวงตะวันนั้นหายไป

"อ๊ะ! ถึงแล้วหละคะ ที่นี้แหละค่ะ ราชวังหลวงของ ดิมลอส" เธอกล่าวตอบพร้อมเปิดม่านผายมือออกไปทำให้เห็นส่วนดอกไม้ที่ปลูกอย่างเป็นระเบียบ สวยงามไปด้วยดอกไม้นานาพรรณ ที่อยู่ด้านหลังไปนั้นเป็น ปราสาทขนาดใหญ่โตจนต้องเงยหน้าจนคอตั้งบ่าถึงจะเห็นส่วนที่สูงขึ้นไปได้

"นี่นะหรือเอควาซาส ป้อมแห่งตะวัน..." เคพูดออกมาอย่างแผ่วเบา

"เอ๊ะ! เคเมื่อตะกี้นายพูดอะไรหรือเปล่า" โจเซฟหันไปถามเคที่ตอนนี้เงยหน้าขึ้นไปจ้องปราสาทด้วยสายตาที่ดูไม่เป็นมิตรเอาซะเลย

"เอ๊ะ อ้อเปล่าหรอกไม่มีอะไร" เคหันไปตอบแล้วชักสีหน้ากลับมาเป็นปกติ โดยทิ้งความมึนงงให้กับโจเซฟ

"ว่าแต่ว่าน่ะปราสาทใหญ่ขนาดนี้ทำไมตอนเข้าเมืองมาไม่ยักจะเห็นแฮะ แปลกจริงๆ" โจเซฟรีบหันกลับมายิงคำถามด้วยความสงสัย

"เออ...คือว่า" ฟาร่าพยายามจะบอกอะไรบางอย่างแต่แล้วก็มีเสียงหนึ่งขัดขึ้นมา

"เวทย์อำพรางสิน่ะ" เคเอ่ยขึ้นออกมาจนทำให้ทั้งสองคนถึงกับหันมามองที่เค

"อะ...ใช่แล้วค่ะ" ฟาร่ารีบเอ่ยรับอย่างตระหนกกับสิ่งที่เคเอ่ยขึ้น "ถ้ายังไงเราเดินไปคุยไปจะดีกว่าไหมค่ะ" ฟาร่าเอ่ยซักขึ้นมาอีกครั้งจนทั้งสองคนต้องผงกหัวขอโทษ

"จะว่าไปมันสุดยอดไปเลยน่ะเนี่ย ใช้เวทย์อำพรางซ่อนปราสาทขนาดใหญ่แบบนี้ไว้ได้" โจเซฟเอ่ยทักขึ้น

"ก็ไม่เชิงหรอกน่ะ ชั้นว่าไม่ใช่แค่เวทย์อำพรางอย่างเดียวแน่นอน เท่าที่ชั้นเคยได้ยินมาแม้แต่ที่ตั้งของปราสาทแห่งนี้มีเพียงแค่ขุนนางกับราชวงศ์เท่านั้นที่รู้ว่าตั้งอยู่ที่ไหน" เคตอบกลับแต่ก็ยังทำหน้าสงสัยอยู่

"เรื่องนั้นเป็นความจริงค่ะ ฟาร่ายืนยันให้เองเลย" ฟาร่า อมยิ้มเฉลยข้อสงสัยของทั้งคู่ให้กระจ่าง "เอาหละ ถึงแล้วหละ ทั้งสองคน ตามมาให้ทันหละเดี๋ยวหลงทางจะแย่เอา เพราะที่นี้หนะกว้างมากเลยนะแถมยังซับซ้อนมากด้วย"

"พะย่ะค่ะ องค์หญิง" เค กับ โจเซฟ ตอบรับพร้อมกันพร้อมกับยิ้มกริ่มเป็นเชิงแหย่เล่นจนคนที่ถูกแหย่เล่นถึงกับสะดุ้ง "ตายละ ทั้งสองคนไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้ค่ะ ฉันไม่ถือตัวหรอก คุยกันปกติเหมือนที่ผ่านมาก็ได้คะ" ฟาร่า โบกมือตีสีหน้าแหยงๆเป็นพัลวัน

"ฮ่าๆ ก็แกล้งเล่นนิดๆหน่อยๆเป็นอะไรไป นั่งมาตั้งนานเบื่อเหมือนกันนะเนี้ย" โจเซฟเอ่ยตัดขึ้น "คนบ้า เลิกเล่นได้แล้วไปกันเถอะถึงแล้วหละ" ฟาร่าทำหน้ามุ่ยตอบแล้วลุก เดินออกจากรถม้าไป แล้วสองหนุ่มจึงเดินตาม

ทั้งสองเดินตามมานานแล้ว จนถึงประตูบานใหญ่บานหนึ่งที่ทั้งบานเป็นสีทองอร่าม ขอบของประตูเป็นสีเงินที่ขัดจนมันเงาสะท้อนเยี่ยงกระจก "เอาหละ ทั้งสองคนไปรอที่ห้องพักทางนั้นก่อนเลยนะแล้วเดี๋ยวฉันค่อยให้คนไปตามทีหลังนะ" ฟาร่าบอกและชี้ไปที่ประตูฝั่งตรงข้าม

"เดี๋ยวก่อนสิฟาร่า ให้เรามาทำอะไรในที่นี้งั้นเหรอ" เคเอ่ยขึ้นเพื่อหยุดฟาร่าก่อนที่เธอจะเดินจากไป

"ชั้นอยากตอบแทนพวกคุณทั้งสองคนที่ช่วยเหลือมาตลอดค่ะ เลยอยากให้พวกคุณได้เข้าพบท่านพ่อของชั้นแล้วก็ให้สิ่งตอบแทนกับพวกคุณ" ฟาร่าตอบกลับอย่างทันทวงที

"พะ...พบท่านพ่อเธอเหรอ!!" ทั้งสองตำโกนออกมาพร้อมกันราวกับว่านัดกันมา

"เดี๋ยวน่ะเธอเป็นองค์หญิงแห่ง เอควาซาส งั้นพ่อเธอก็ต้องเป็นราชาแห่งป้อมตะวันนี้สิ" เคพูดบอกไปกับฟาร่า

"ก็ถูกต้องตามนั้นนั่นแหละค่ะ" ฟาร่าเอ่ยยิ้มออกมาตอบรับ

"เออ...คือฟาร่าถ้ายังไงเราขอแค่ใบผ่านทางแล้วก็เสบียงติดตัวไปก็พอแล้วหละ เรื่องพบพ่อเธอยังไงพวกชั้นขอผ่านก็แล้วกัน" โจเซฟพูดตัดขึ้นมาหลังจากที่ต้องยืนนิ่งไปแล้วหันไปที่เคที่พยักหน้าเห็นด้วยกับสิ่งที่โจเซฟพูด

"เอ๋~ ทำไมละค่ะ ชั้นว่าท่านพ่อต้องอยากพบพวกคุณแน่นอนเลยน่ะค่ะ" ฟาร่าเอ่ยตอบแล้วมองไปยังทั้งสองคน

"คือพวกชั้นน่ะไม่ค่อยถูกกับคนใหญ่คนโตอะไรพวกนี้ซักเท่าไรอ่าน่ะ ยังไงก็ขอร้องแล้วกันน่ะฟาร่า" เคพูดตัดบทพลางเอามือมาประกบกับแสดงท่าทางขอร้อง ซึ่งทำให้ฝ่ายถูกขอร้องเองก็ลำบากใจไปไม่น้อย

"ถ้าจะเอาอย่างงั้นชั้นก็ไม่ว่าอะไรน่ะค่ะ ยังไงก็ขอบคุณสำหรับที่แล้วมามากๆน่ะค่ะทั้งคู่ ถ้ายังไงก็รออยู่ที่ห้องพักก่อนแล้วจะให้พวกทหารมาเรียกอีกทีน่ะค่ะ" ฟาร่าตอบรับแต่สีหน้าดูไม่ค่อยเต็มใจซักเท่าไรแล้วเดินจากไป

ภายในห้องที่ทั้งสองเข้ามาตกแต่งอย่างหรูหรา โซฟายาวสามตัวเรียงกันเป็นรูปตัวยู ที่โต๊ะตรงกลางเป็นโต๊ะไม้แข็งเนื้อดี ด้านบนวางด้วยถาดผลไม้ พื้นห้องที่ปูด้วยผมเนื้อนิ่มที่เดินได้สบายเท้า โคมระย้าสีทองสดสุกสว่างอยู่กลางห้อง สองหนุ่มที่ยืนอึ้งชั่วครู่เมื่อตั้งสติได้จึงเดินไปนั่งที่โซฟา

"เกร็งยังไงไม่รู้เนอะ ไม่ชอบเลยความรู้สึกแบบนี้ นายว่าไหมโจ" เคเอ่ยถาม ก่อนที่จะล้มตัวลงไปนั่งบนโซฟาและปิดตาหลับไปพลางหยิบสร้อยคอขึ้นมาและกำมันไว้

"อืม ชั้นก็เข้าใจอะนะ ใช่ว่าชั้นไม่รู้สึกเท่าไร อีกอย่างชั้นไม่ค่อยถูกกับคนใหญ่คนโตเท่าไรซะด้วยสิ" โจเซฟตอบเสียงเรียบๆ แต่ทำหน้าเซ็งๆ แล้วเดินไปยังประตูห้องพลางเหลือบมองคู่หูเค้า จนคนที่แกล้งนั่งหลับถึงกับเหล่ตามองอย่างสงสัย

"นั่นนายจะทำอะไรน่ะโจเซฟ!" เครีบพูดดักคู่หูของเค้า จนทำให้ผู้ถูกทักถึงกับสะดุ้งโหยง

"จะให้ชั้นมานั่งอยู่เฉยๆในห้องแบบนี้จะเป็นไปได้ยังไงละ แถมไหนๆได้เข้าปราสาทใหญ่แบบนี้มันต้องสำรวจซะหน่อยสิ" เจ้าตัวดีพูดแล้วไม่รอช้ารีบเปิดประตูออกไปอย่างรวดเร็วโดยไม่สนใจคู่หูเค้าเลย

"บ้าชิบ เฮ้ย! หยุดน่ะโจ" เคพูดแล้วรีบดีดตัวเองออกจากโซฟาแล้วรีบตามโจเซฟไป

"โถ่เว้ยดีแต่สร้างเรื่องวุ่นๆ" เคบ่นอุบอิบพร้อมกับวิ่งไปตามโจเซฟ

ก๊อกๆ! เสียงเคาะประตูดังขึ้น "เอาหละ ทั้งสองคนมาได้แล้วหละ เอ๊ะ!" ฟาร่าที่เดินมาเรียกทั้งสองหนุ่มก็ต้องตกใจเมื่อไม่พบใครอยู่ในห้องนั้นเลย หญิงสาวที่เท้าเอวพลางหันไปดูรอบๆอีกครั้งแต่ก็ไม่มีวี่แววทั้งคู่เลย

"เฮ้อ~ เอาแต่ใจกันจริงเลยนะพวกผู้ชายเนี่ย แต่หายไปไหนทั้งคู่เลยเนี่ย" ฟาร่าเอ่ยเสร็จก็รีบไปบอกทหารให้ออกตามหา ก่อนที่จะเหลือบเจออะไรบางอย่างตกอยู่ที่พื้น "นี่มัน...สร้อยคอของคุณเคนินา"

"ถอนหายใจแบบนี้มีเรื่องอะไรเหรอ องค์หญิงลาล่าลิน ไอริส ฟาเรเซีย" เสียงๆหนึ่งเอ่ยขึ้นถามอย่างสงสัย

"เอ๊ะ! เธอคือ..." ฟาร่าหันไปตามเสียงที่ดังขึ้นมา น้ำตาเธอก็ได้เอ่อล้นออกมาราวกับความปิติยินดีที่ได้พบกับคนเบื่องหน้าเธอ "มาชิโระจัง ใช่เธอจริงๆสิน่ะ ชั้นคิดถึงเธอจังเลย" ฟาร่าไม่ปล่อยให้ฝ่านตรงข้ามได้พูดอะไรรีบพุ่งเข้าไปโผกอดอย่างรวดเร็ว

"ฟาร่าจัง..." เจ้าของเสียงหวานเอ่ยขึ้นแล้วลูบเข้าที่หัวของเจ้าหญิงที่โผกอดเธอ ก่อนที่จะเหลือบไปเห็นของบางสิ่ง "ฟาร่า! ที่เธอกำไว้ที่มือเธอนั่นมันอะไรเหรอ" มาชิโระเอ่ยถามขึ้นหลังจากที่เหลือบไปเห็น

"เอ๊ะ! จริงด้วยสิ" ฟาร่าผละตัวออกจากมาชิโระแล้วแบของที่กำเอาไว้อยู่ออกมา "ชั้นกำลังตามหาคนอยู่อ่าน่ะ มาชิโระช่วยชั้นหน่อยได้ไหมจะได้เอาของที่เค้าทำหล่นไว้คืนด้วย" ฟาร่าพูดแล้วหันไปมองที่หน้าเพื่อนของเธอแต่ว่าเหมือนเธอจะไม่ได้ฟังอะไรจ้องมาที่สร้อยคอเส้นนั้นเพียงอย่างเดียว

"ฟาร่า บอกมาทีคนที่มีสร้อยนี้ชื่ออะไรเหรอแล้วเค้ามีลักษณะอย่างไรบ้าง" มาชิโระเอ่ยขึ้นแล้วรีบเข้าไปจับที่ไหล่ของฟาร่า ทำเอาฟาร่าถึงกับงงจนทำอะไรไม่ถูก

"คะ...เค้าชื่อว่า เค น่ะมีผมสีแดงแล้วก็สวมผ้าปิดตาไว้ที่ตาข้างซ้าย จะว่าไปหล่อเอาเรื่องเลยน่ะ" ฟาร่าที่ตั้งตัวไม่ทันได้แค่พูดออกไปตามที่คิดออกเท่านั้น แต่ผลที่ได้กับเกินคาดมาชิโระนั่งทรุดลงไปกับพื้นแล้วก็กุมสร้อยเส้นนั้นไว้ ใบหน้าของเธอตอนนี้แดงก่ำและเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา "เธอทั้งสองคนรู้จักกันด้วยเหรอเนี่ย..."

"เมื่อตะกี้เธอบอกว่ากำลังตามหาคนที่มีสร้อยนี้ใช่ไหม แสดงว่าตอนนี้เค้าคงยังอยู่ในปราสาทนี่สิน่ะ..." มาชิโระปาดคราบน้ำตาแล้วรีบวิ่งออกไปทันทีปล่อยทิ้งให้ฟาร่ายืนงงเพียงคนเดียว

"เอ๋~ เดี๋ยวสิรอชั้นด้วยมาชิโระจัง" ฟาร่าที่ได้สติรีบตะโกนบอกพื่อนเธอพลางวิ่งตามไปด้วย

ขณะนั้นเอง สองหนุ่มของเรา หนึ่งนายเดินมองฮัมเพลงสบายใจเฉิบ อีกหนึ่งนายวิ่งตามมาด้วยท่าทางรีบร้อนอย่างชัดเจน

"แฮกๆ เฮ้ โจเซฟนั้นนายจะไปไหนกันหนะ" เค เอ่ยถามขณะวิ่งตามหลังมา

"แน่อยู่แล้ว เดินสำรวจทางซะหน่อยไง ไม่ต้องห่วงหรอกชั้นจำทางทาเราเดินมาได้อยู่แล้วเห็นหยั่งเงี้ยแต่ชั้นเป็นพวกความจำดีนะ โอ๊ะ นั้นไงเห็นแล้วประตูทางที่เราเข้ามาตอนจะเข้าปราสาท" โจเซฟตอบขึ้น ทางที่เดินกันไปเป็นทางตรงไปยังประตูไม้บานใหญ่ที่เปิดไว้หนึ่งข้างทำให้เห็นแสงส่องเข้ามาเป็นทาง มองแล้วคล้ายประตูสู่โลกใหม่

"แฮกๆ ถึงซะที โอย วิ่งตั้งนาน ทางเดินนี้ไกลจริงๆเลยนะเนี้ย ไม่รู้คุณเจ้าหญิงเค้าจะว่ายังไงมั้งนะที่พวกเราเดินออกมาโดยไม่ได้ขอเนี้ย" โจเซฟที่เดินออกมาคนแรกเอ่ยบ่นขึ้นลอยๆ

"โจ นายจะรีบไปไหนรอกันมั้งสิ" เคพูดออกไปเป็นเชิงให้เพื่อนเค้ารู้ตัวว่าตัวเองนั้นเดินเร็วมาก แต่แล้วร่างกายเค้าก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่างภายในตัว ตุบ!ๆ เสียงสัญญาณบางอย่างที่ดังขึ้นมาจากภายในตัวเขา 'บ้าน่า...ทำไมถึงมาเป็นเวลานี้ได้' เคคิดบ่นภายในใจแต่แล้ว

"เหวอ!" พลัก! ครืดดดด ตุบ! โครม! เคที่วิ่งมาเผลอสะดุดปลายเท้าตัวเองเข้าจึงล้มกลิ้งครูดฝุ่นตลบไปกับพื้นเป็นทางยาว เนื่องจากวิ่งมาเร็ว แค่นั้นยังไม่พอไปชนเข้ากับกล่องเก็บเครื่องประดับที่ตั้งไว้ระหว่างทางจนตกลงมาทับและกระจุยกระจายเต็มพื้น

"อุ๊บ กร๊ากกกฮ่าๆๆๆ ทำบ้าอะไรของนายนั้นหนะ ทางตรงไร้สิ่งกีดขวางแค่นี้ยังอุตสาห์ล้มให้ดูได้อีกนะ ฮ่าๆ" โจเซฟ ที่เห็นท่าทางล้มของ เค เลยปล่อยก๊ากออกมาชุดใหญ่ "มานี่เดี๋ยวชั้นช่วยนายก็แล้วกัน" ว่าแล้วโจเซฟก็หยิบพวกเครื่องประดับที่กองระเกะระกะอยู่ที่พื้นขึ้นมา

"เอ๊ะ!" เสียงพูดใส่ๆกระจ่างดังขึ้นด้านหลัง โจเซฟจึงรีบหันไปดูว่าเป็นใคร แต่แล้วก็ต้องตะลึงเมื่อหันไปเห็น หญิงสาวในชุดกรุยกรายสีดำประดับด้วยลูกไม้สีแดง ผมสีน้ำตาลอิฐ ดวงตาสีม่วงมีหูที่แปลกประหลาดเหมือนหูสุนัขจิ้งจอก ใบหน้าที่โค้งมนสวยสง่ารูปร่างที่ผอมเพรียวจนหน้าหลงไหล สายตาที่อ่อนหวานจนน่าปกป้องที่กำลังจ้องมาทางสองหนุ่ม

"หืม? เธอที่เห็นอยู่ที่รถม้าของตระกลูโซเรียว ที่เราเห็นระหว่างทางนี้นา" โจเซฟเอ่ยขึ้นอย่างทันทีเมื่อได้ยินเสียงจากข้างหลัง และชี้นิ้วเอ่ยขึ้นอย่างอึ้งๆ

"อูย~ เจ็บ! โจนายนะนายยังมาหัวเราะเยาะกันได้นะ!" เค ลุกขึ้นปัดฝุ่นออกจากตัว แต่ก็ต้องชะงักเมื่อเงยหน้ามาเห็นหญิงสาวที่คุ้นเคย 'มาโระ...' เคได้แค่พูดออกมาเพียงในใจ ภาพในความทรงจำเริ่มหลั่งไหลเข้ามาก่อนจะเบือนหน้าหลบไป

"เอ๋ เกิดอะไรขึ้นเนี่ย" ฟาร่าที่รีบวิ่งมาเห็นถึงกับตกใจ แต่ก็เหมือนจะดีใจไปด้วยที่ได้พบพวกโจเซฟอีกครั้ง

"พวกนายเป็นใครกันน่ะ! " มาชิโระเอ่ยถามขึ้นอย่างสงสัย

"เออ...คือ พวกเราเป็น" โจเซฟเอ่ยเป็นแนวว่าจะอธิบายแต่ยังไม่ทันที่จะได้พูดบอก มาชิโระก็พูดออกมาตัดบท

"พวกนายเป็นขโมยอย่างงั้นเหรอ" มาชิโระเอ่ยขึ้นพร้อมสีหน้าที่ดูเปลี่ยนไป ทำเอา ฟาร่า โจเซฟ เค ได้ยินถึงกับต้องร้องในใจ

"ดะ...เดี๋ยวก่อนสิมาชิโระจัง" ฟาร่าพยายามที่จะพูดบอกเพื่อนของเค้า

"ฟาร่าไม่ต้องพูดอะไรหรอกเดี๋ยวชั้นจัดการเอง หลักฐานเห็นทนโท่แล้วที่นายถือกับเจ้าคนที่เอาผ้าพันหัวน่าสงสัยตรงนั้นทำมันบ่งบอกชัดๆ เตรียมรับมือได้เลย ฟาเรฟ" มาชิโระตอบกลับอย่างทันทีว่าแล้วก็มีแสงบางอย่างส่องสว่างที่มือของเธอทันใดนั้นก็มีหินสีฟ้าก้อนเล็กๆโผล่ออกมา

"ชิ! อะไรวะเนี่ย อีแบบนี้คงต้องลุยอย่างเดียวแล้วสิ" ว่าแล้วโจเซฟก็ตั้งท่าเตรียมโจมตี

"รับไป! ผลึกลบศูนย์" มาชิโระเอ่ยเสร็จก็ปาก้อนหินสีฟ้าพุ่งมายังโจเซฟแต่ทางโจเซฟเองก็ไม่อยู่เฉยๆรีบกระโดดพุ่งตัวเองเข้าไปหา

"ไอ้ของเด็กเล่นแบบนี้ชั้นจะซัดให้กระจุยเลย เทมเพสต้า..." โจเซฟร่ายเวทย์เตรียมจะซัดเข้าใส่แต่แล้วก็มีแสงวาปสว่างขึ้นที่ผลึก

"โจเซฟหลบไป!" เคตะโกนบอกโจเซฟทั้งๆที่ตัวเองอยู่ในสภาพที่ไม่สู้ดีนัก แล้วจู่ๆร่างของเค้าก็...

ตู้ม! ควันสีขาวกระจายไปทั่วทุกอย่างโดนบดบังจนมองอะไรไม่เห็น

"กรี๊ด!" เสียงกรีดร้องที่คุ้นเคยดังขึ้นจะเป็นใครไม่ได้นอกจากฟาร่าดูท่าเธอจะเห็นอะไรที่น่าตกใจ

"บ้าชิบ... นี่มันอะไรกันเนี่ย" เสียงที่ดูอ่อนระทวยของโจเซฟดังขึ้นมาราวกับว่าต้องมีอะไรเกิดขึ้น

กลุ่มควันเริ่มจางลงภาพที่ปรากฏชวนให้น่าตกใจนักร่างของโจเซฟถูกน้ำแข็งเกาะไปครึ่งนึงกำแพงข้างๆถูกระเบิดจนย่อยยับภาพที่เห็นต้องหน้าทำเอาฟาร่าถึงกับทรุดลงไปตอนนี้เหมือนว่าจะกำหนดผู้ชนะได้แล้ว มาชิโระยืนยิ้มอย่างว่ารู้ผลตั้งแต่แรก

"ดูท่าจะรู้ผลแล้วน่ะ...ยิ่งไม่มีเวลาอยู่ด้วยสิ" มาชิโระเอ่ยออกมาอย่างกับว่ารู้ผลแล้ว พลางเอามือกำสร้อยคอเส้นนั้นไว้

"เสียงกรีดร้องแห่งวายุ..." เสียงเรียบแต่ดูอ่อนหวานกว่าเดิมเอ่ยขึ้นมา เพียงแค่กล่าวจบน้ำแข็งที่เกาะอยู่ที่ร่างของโจเซฟรวมทั้งผลึกน้ำแข็งก็แต่กระจายออกเป็นชิ้นๆ "โจเซฟ...ห.....ด...ไ" เสียงอ่อนหวานนั้นเอ่ยบางอย่างกับโจเซฟก่อนที่จะเดินไปข้างหน้าโจเซฟ

"ดูท่าจะไม่จบง่ายๆ สิน่ะ...รับไป!" แววตาที่อ่อนหว่าของมาชิโระเปลี่ยนไปเป็นแววตาที่ดุดัน และแล้วหินสีฟ้าก็ถูกปาออกมาอีกรอบ

เป็นการโจมตีที่รวดเร็วมากแต่หินที่มาชิโระปาไปกลับถูกตัดออกเป็นชิ้นๆและระเบิดออก ร่างของเคก็หายไปเช่นกันจากการโจมตีระยะไกลกลับมาเป็นระยะใกล้เมื่อร่างของเคปรากฏออกมาข้างหลังของมาชิโระ แรงอัดจากพลังเวทย์ที่มือซ้ายซัดไปยังร่างบางจนถึงกับกระเดนจนกระแทกกับกำแพง

อัค!

"มะ...ไม่เลวเลยนิ..." มาชิโระเอ่ยขึ้นแล้วพยุ่งตัวขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับมองไปยังชายหนุ่มตรงหน้า

"เทมเพสต้า ลิลิค ดัลกัสก้า ครีเจอร์(ศรเวทย์เวทย์อัสนีย์บาท) เสร็จชั้นหละ" โจเซฟใช้จังหวะที่มาชิโระพุ่งความสนใจไปยังเคโจมตีเข้าใส่

"เล่นทีเผลองั้นเหรอ แต่ว่ายังอ่อนหัดน่า" มาชิโระกัดฟันอย่างโมโห แล้้วกระโดดหลบได้ทันควันโดยพุ่งออกมาจากพื้นที่ที่โจเซฟยิงใส่

"ขอโทษทีน่ะคุณหนูโซเรียวทางพวกชั้นคงต้องลาตรงนี้หละน่ะ" โจเซฟพูดแล้วหันไปหามาชิโระก่อนที่จะไปคว้าร่างของเคแล้วโดดออกไป

แต่แล้วเรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อบรรยากาศรอบๆประตูที่พวกเขาโดดออกไปนั้น เกิดการบิดเบี้ยวของสภาพอากาศอย่างรุนแรง กระแสไฟฟ้าแตกกระจายแล่นเปรี๊ยะๆไปทั่วบริเวณ

ทหารนายหนึ่งที่วิ่งตามมาหลังจากได้ยินเสียงระเบิดเข้า เมื่อเห็นสิ่งที่เกิดจึงรีบตะโกนบอกองค์หญิงทั้ง 2 อย่างร้อนลน “องค์หญิงรีบถอยออกมาก่อนเร็ว พะย่ะค่ะ อาคมย้อนกลับที่ลงไว้กับประตูทางเข้าเริ่มเกิดการบิดผันอย่างหนักจากการระเบิดของประจุมนต์ตรา ทำให้มันกลายเป็นประตูวาปที่ไม่สามารถกำหนดที่ทางได้เลย เร็วเข้ารีบถอยออกมาก่อนเถอะพะย่ะค่ะ”

ฝ่ายมาชิโระเมื่อได้ยินเรื่องที่เกิดจึงรีบคว้ามือเพื่อนสาวของเธอแล้วโดดออกมาอย่างรีบร้อน ฝ่ายฟาร่าเมื่อหลบออกมาได้ตั้งสตินึกถึงเรื่องที่เกิดแล้วก็ต้องตกใจพูดขึ้น “เดี๋ยวนะ ถ้ามันกำหนดจุดหมายไม่ได้ แล้วสองคนนั้นหละจะไปโผล่ที่ไหนกัน”

“คงไปไหนไม่ไกลเกินทวีปนี้หรอก พะย่ะค่ะ ไปหลบในที่ปลอดภัยกันก่อนเถอะ พะย่ะค่ะ จนกว่าการแปรปรวนของเวทย์ที่ลงไว้จะกลับเป็นปกติตามเดิม” ฝ่ายทหารบอกตอบพลางออกเดินหลบไปยังทางด้านใน องค์หญิงทั้งสองเห็นดังนั้นจึงเดินตามไป

‘ทั้งสองคนขอให้ปลอดภัยด้วยเถอะ’ ฟาร่าที่หันกลับไปยังประตูที่ยังคงมีสภาพแปรปรวนรุนแรงอยู่ได้แต่ภาวนาในใจให้สองหนุ่มไม่เป็นอะไร

มาชิโระเองเดินนำมาอย่างเงียบๆพร้อมกับกำสร้อยคอที่ยังถืออยู่ในมือแน่นด้วยสีหน้าที่ไม่อาจอธิบายได้ว่าสับสน หรือเศร้าสร้อยกันแน่ ‘เมื่อกี้หรือว่าจะใช่คนคนนั้นกันแน่’ คิดพลางส่ายหน้าไปมา ‘ถ้าเป็นเค้าคนนั้นหละก็ ต่อให้ต้องพลิกแผ่นดินหาก็ต้องหาตัวให้พบให้ได้’ คิดพร้อมกับสายตาที่กลับมาเศร้าสร้อยพลางยื่นมือมาลูบกำไลข้อมือสีทองที่ดูเรียบๆและหากมองดีๆจะเห็นว่าด้านในสลักตัวอักษรไว้แต่ก็ดูเลือนลางแล้ว ‘จะต้องตามหาให้เจอให้ได้ เค’

:emo (37): ในที่สุดบทที่1ก็จบไปซะทีครับ

ต้องยกความดีความชอบให้กับจ๊อด หรือปิกะไซย่านั้นเองที่ได้นำเนื้อหาส่วนท้ายมาให้ผม :emo (22): ผมจึงสามารถพูดได้เต็มปากเลยว่าถ้าหาขาดนายจ๊อดไปละก็บทที่1ก็คงยังไม่เสร็จสิ้น ยังไงก็ขอให้ติดตามพวกเราในบทที่2ด้วยน่ะครับ :emo (70): ทางพวกผมเองก็จะพยายามเต็มที่เพื่อให้ผลงานออกมาดีที่สุด

Update บทที่1(จบบทที่1)วันที่ 18/11/10

Edited by B★RS

Share this post


Link to post
Share on other sites

หลังจากที่อ่านตอนที่ 1 เสร็จเรียบร้อย ต้องบอกว่า คำบรรยายนั้นทำออกมาได้ดีพอสมควรเลย และ เนื้อเรื่องก็ทำออกมาได้เข้าใจง่าย และ น่าตื่นเต้นดีจริง ๆ รออ่านตอนต่อไปอยู่นะครับ

Share this post


Link to post
Share on other sites

บทนำกะบทที่ 1 มันคนละตัวกันเหรอด้ง ด้านบนยังมีแยกว่าเกริ่นนำอีกนะ :emo (53):

เห็นด้วยกะด้งเลยทีเดียวเชียว

แบบนี้มันต้อง แก้ แก้ แก้ คำผิดเพียบ ยังเรียงคำไม่ดีพอ อ่านแล้วเหมือนจะเร่งๆ สรุปเอาไปแก้ใหม่ซระ @3@

Edited by naru-s

Share this post


Link to post
Share on other sites

บทนำกะบทที่ 1 มันคนละตัวกันเหรอด้ง ด้านบนยังมีแยกว่าเกริ่นนำอีกนะ :emo (53):

เห็นด้วยกะด้งเลยทีเดียวเชียว

แบบนี้มันต้อง แก้ แก้ แก้ คำผิดเพียบ ยังเรียงคำไม่ดีพอ อ่านแล้วเหมือนจะเร่งๆ สรุปเอาไปแก้ใหม่ซระ @3@

:emo (00): รับแซป

Share this post


Link to post
Share on other sites

ยังไงก็ขอขอบคุณที่ชี้แจงมาน่ะครับเดี๋ยวจะรีบเอาไปแก้อย่างด่วน

ส่วนของพื้นที่นี้ผมขอเอาไว้ลงส่วนอาวุธในเรื่องครับ :emo (00):

Edited by B★RS

Share this post


Link to post
Share on other sites

:emo (55): แง๊~ จ๊อดนายหายไปไหนมาช่วยฉันแต่งเร็ว :emo (55):

:emo (69): โปรดอภัยให้ข้าน้อยด้วย อันเนื่องมาจากภารกิจทางโรงเรียน(มันเยอะจนท่วมหัว)จึงไม่มีเวลาเปิดคอมเลย(+กับพ่อแม่ไม่อยู่ต้องเฝ้าบ้าน ก็คอมมันอยู่อีกบ้านอะไปไม่ได้) ขอน้อมรับความผิดทั้งหมดแต่โดยดี

- - ขอซักช่วงสัปดาห์สิ้นเดือนกรกฎา นะ ตอนนี้ช่วงสอบไม่มีเวลาทำไรเลยเจงๆ :emo (30):

:emo (47): อยากตาย

Share this post


Link to post
Share on other sites

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

Guest
Reply to this topic...

×   Pasted as rich text.   Paste as plain text instead

  Only 75 emoji are allowed.

×   Your link has been automatically embedded.   Display as a link instead

×   Your previous content has been restored.   Clear editor

×   You cannot paste images directly. Upload or insert images from URL.

Loading...
Sign in to follow this  

×
×
  • Create New...