Jump to content
Sign in to follow this  
วีโดราและมิเนอร์วา

[Original Fiction] Black Remember

Recommended Posts

ขอยึดพื้นที่แถบนี้เอาไว้เพื่อเขียนคำอธิบายอีกองค์กรหนึ่งนั่นคือฝ่าย Frontier of Freedom Treaty Revolutionaries (FFREET)

Edited by วีโดราและมิเนอร์วา

Share this post


Link to post
Share on other sites

แต่งค่อนข้างดีละครับ -0- มะก่อนผมก็แต่งนิยายนะ ตอนนี้ทำซับเลยไม่มีเวลา :emo (07):

Share this post


Link to post
Share on other sites

Black remember

Mission 4 วันที่สันติภาพถูกทำลาย

7 มกราคม 2052 นครรัฐนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา เวลา 9.00 PM

ในยุคปัจจุบันนี้เมื่อพูดถึงประเทศสหรัฐอเมริกากันแล้วล่ะก็ มันคือประเทศมหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเพียงหนึ่งเดียวในโลกที่เป็นทั้งต้นแบบและศูนย์กลางแห่งความเจริญในด้านต่างๆ ของมวลมนุษยชาติที่มีอยู่มากมายไม่ว่าจะเป็นทางด้านระบอบการเมืองการปกครอง ด้านสิทธิเสรีภาพ ด้านความมั่นคง ด้านแสนยานุภาพและกองกำลังทางทหาร ด้านเศรษฐกิจ การค้าและการลงทุน ด้านการท่องเที่ยว ทางด้านการสื่อสารและเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย รวมไปถึงความเป็นผู้นำทางด้านการสำรวจอวกาศ

นครรัฐ นิวยอร์ก คือมหานครที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ที่เป็นศูนย์กลางความเจริญในโลกธุรกิจและการเงิน สิ่งที่รายล้อมไปทั่วทั้งเมืองนั้นก็คืออาคารสูงเสียดฟ้าที่มีรูปทรงอันทัน สมัยของบริษัทเอกชนต่างๆ มากมายหลายพันแห่ง ที่ทำให้เมืองแห่งนี้ได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์แห่งความมั่งคั่งของโลกทุนนิยม ส่วนบนท้องถนนนั้นยังคงเต็มไปด้วยผู้คน และรถยนต์สุดไฮเทคที่มีรูปร่างแปลกตาจำนวนมากกำลังสัญจรผ่านไป-มาแม้จะอยู่ ในยามราตรีเช่นนี้

ท่ามกลางตึกสูงเสียดฟ้าที่มีให้เห็นอยู่ทั่วทั้งเมืองมีอาคารสูงเสียดฟ้าอยู่หลังหนึ่งซึ่งชื่อของมันก็คือ อาคารเวิลด์เอมไพร์เซนเตอร์ มันเป็นอาคารสูงเสียดฟ้าที่มีความสูงถึงสี่ร้อยเมตรยี่สิบเมตรและมีจำนวนแปดสิบสองชั้น และมันได้ตั้งตระหง่านอยู่ที่มุมหนึ่งของย่านธุรกิจแห่งหนึ่งของมหานครแห่งนี้

บนท้องถนนเบื้องล่างท่ามกลางฝูงชนจำนวนมหาศาลที่กำลังสัญจรผ่านไป-มากันอยู่ สาววัยรุ่นผมทองคนหนึ่งเธอมีผิวสีขาวซีดใบหน้าซีดเซียว ดวงตาสีฟ้าดูขุ่นมัวไร้ชีวิตชีวาของเธอคู่นั้นกำลังมองขึ้นไปยังฟ้าเบื้องบนสักพักราวกับมองมันเป็นครั้งสุดท้าย แล้วเลื่อนสายตาลงมามองอาคารสูงเสียดฟ้าที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้าอีกสักครู่หนึ่ง ก่อนที่อุปกรณ์บางอย่างที่ถูกฝังไว้ในสมองของหญิงสาวจะเริ่มทำงาน แล้วมันก็บังคับให้หญิงสาวคนนั้นค่อย ๆ ก้าวเท้าเหยียบย่ำไปบนพื้นถนนอย่างช้า ๆ แล้วเดินตรงไปยังประตูทางเข้า-ออกของตัวอาคารหลังดังกล่าวโดยที่ไม่มีใครสนใจ

เมื่อ เข้ามาถึงภายในตัวอาคารแล้วหญิงสาวผมทองคนนั้นได้กวาดสายตามองไปรอบๆ ที่มีเหล่าผู้คนและพนักงานกำลังทำงานของพวกเขากันอยู่ แล้วหญิงสาวก็เดินไปยังเสาต้นหนึ่งที่อยู่มุมหนึ่งของตัวอาคารโดยที่ไม่มี ผู้ใดสังเกตเห็น ก่อนที่จะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วพิมพ์รหัสลงไป เพื่อให้กลไกบางอย่างที่ถูกฝังเอาไว้ภายในร่างกายตรงบริเวณหัวใจของเธอทำงาน ในทันที

บึ้ม !!! บึ้ม !!! บึ้ม !!!

ในชั่วพริบตานั้นเองการระเบิดได้เกิดขึ้น แรงระเบิดของมันทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งตัวอาคาร ก่อนที่จะตามมาด้วยการระเบิดอีกหลายสิบครั้ง ส่งผลให้ทั่วทั้งตัวอาคารต้องสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงก่อนที่ตัวอาคารจะเริ่มพังทลาย เสียงของเศษซากคอนกรีตขนาดใหญ่ของตัวอาคารที่พังถล่มทับถมกันลงดังกึกก้องสะท้อนสะท้านจนได้ยินไปทั่วทั้งเมือง เปลวเพลิงของปีศาจร้ายได้พวยพุ่งทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้า เพลิงไฟบนท้องนภาได้ก่อตัวกันเป็นรูปสัญลักษณ์หนึ่งซึ่งมันก็คือ พญามังกรกำลังพ่นไฟออกมาจากปากก่อนที่เปลวเพลิงเหล่านั้นจะรวมตัวกันเป็นรูปดาบเพลิงทมิฬ กลุ่มควันสีดำทมิฬได้แผ่กระจายเข้าปกคลุมทั้งสี่ทิศของมุมเมือง เสียงไซเรนของรถพยาบาลและเสียงร้องขอความช่วยเหลือดังระงม บรรดาฝูงชนที่อยู่ตามสถานที่ต่าง ๆ ทั่วทั้งเมืองต่างตกตะลึงและประหวั่นพรั่นพรึงถึงเหตุการณ์อันน่าสะพรึงกลัว ที่เกิดขึ้น

ทว่าเหตุการณ์ที่จะสะเทือนขวัญคนทั้งโลกนี้ไม่ได้เกิด ขึ้นที่นิวยอร์กเพียงแค่ที่เดียวเท่านั้น แต่มันเกิดขึ้นพร้อมกันทั้งหกมหานครทางเศรษฐกิจของโลก

บึ้ม !!! บึ้ม !!! บึ้ม !!!

ที่ กรุงลอนดอนอาคารสูงเสียดฟ้าอีกแห่งหนึ่งที่มีนามว่า ลอนดอนเอมเพอเรอร์ทาวเวอร์ อาคารสูงสี่ร้อยเมตรจำนวนเจ็ดสิบสี่ชั้นและแต่เดิมนั้นมันเป็นเหมือน สัญลักษณ์ของโลกการเงินในประเทศอังกฤษ ต้องพังถล่มลงมาจากการระเบิดที่เกิดขึ้นหลายครั้ง กลุ่มควันสีดำทมิฬได้แผ่ขยายเข้าปกคลุมทั้งสี่ทิศของเมือง เพลิงมรณะที่พวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าได้ก่อตัวปรากฏเป็นภาพสัญลักษณ์ พญามังกรไฟกำลังคาบดาบพระเพลิงอยู่ ส่วนบนท้องถนนเต็มไปด้วยเศษซากคอนกรีตขนาดยักษ์ที่ถล่มทับถมกันลงมาจนกลาย เป็นกองซากภูเขาแห่งความวินาศ บรรดาผู้คนต่างก็หนีตายจากการระเบิดครั้งนี้ เสียงไซเรนของรถพยาบาลดังกันทั่วทั้งเมือง ทำให้มหานครลอนดอนในเวลานี้ต้องตกอยู่ในสภาพที่เลวร้ายอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

ที่กรุงปารีสในตอนนี้นั้นได้เกิดการระเบิดขึ้นที่โรงแรมหรูระดับโลกนามรอยัลคริสตัลโฮเตล ซึ่งเดิมทีนั้นมันเป็นโรงแรมหรูระดับโลกที่ถูกตกแต่งด้วยคริสตัลทั่วทั้งตัวอาคาร และมีความสูงสามร้อยแปดสิบเมตรจำนวนเจ็ดสิบสองชั้น แต่ทว่าตอนนี้มันได้ถล่มลงมาจากแรงระเบิด เหลือไว้เพียงแค่เศษซากปรักหักพังของตัวอาคารและเศษคอนกรีตที่เกิดจากแรง ระเบิด ซึ่งมันก็ทำให้คนทั่วทั้งเมืองต้องตกตะลึงกับสิ่งที่เห็น และต้องหวาดหวั่นต่อสิ่งเปลวเพลิงอันชั่วร้ายที่ปรากฏอยู่บนท้องฟ้า ก่อนที่เพลิงมฤตยูเหล่านั้นจะรวมตัวกันเป็นรูป พญามังกรคาบดาบอยู่บนท้องนภา

ในย่านธุรกิจแห่งหนึ่งที่อยู่ในกรุงเบอร์ลินเมืองหลวงของประเทศเยอรมัน ได้เกิดการระเบิดขึ้นที่หอคอยสูงเสียดฟ้าแห่งหนึ่งนามของมันคือ เบอร์ลินสกายทาวเวอร์ แต่เดิมนั้นมันเป็นหอคอยลอยฟ้าที่มีความสูงสามร้อยหกสิบเมตร แต่ทว่าในตอนนี้มันเหลือเพียงแค่เศษซากคอนกรีตขนาดใหญ่ของตัวอาคาร ที่ถล่มทับถมกันลงมาจากการระเบิดที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่ กลุ่มควันสีดำทมิฬและเถ้าถ่านจากแรงระเบิดได้แผ่ขยายเข้าปกคลุมไปทั่วทั้ง เมือง ตามท้องถนนหนทางทุกสายนั้นบรรดาเจ้าหน้าที่กำลังอพยพผู้คนที่กำลังตื่น ตระหนกจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยความเคร่งเครียด เหนือท้องฟ้าขึ้นไปนั้น เพลิงมรณะได้ก่อตัวขึ้นแล้วรวมตัวกันเป็นรูป พญามังกรกำลังคาบดาบไว้ในปาก

.เวลาเดียวกันที่ย่านธุรกิจแห่งหนึ่งภายในกรุงโรมเมืองหลวงของอิตาลี การะเบิดได้เกิดขึ้นอีกครั้งที่ พอคอยสูงเสียดฟ้าอีกแห่งหนึ่งนามของมันคือ จูเลียสสกายไลน์ แต่เดิมนั้นมันเป็นหอคอยที่มีความสูงถึงสามร้อยห้าสิบเมตรและยังเป็นจุดชม วิวที่สำคัญแห่งหนึ่งของประเทศ แต่ตอนนี้มันเหลือเพียงซากปรักหักพังของตัวอาคารที่โดนถล่มลงมาจากแรงระเบิด เมื่อสักครู่ กลุ่มควันสีดำพวยพุ่งแผ่กระจายไปทั่วทั้งเมือง บนท้องถนนเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังหนีตายจากเหตุวินาศกรรมที่เกิดขึ้น บนท้องฟ้าเพลิงมฤตยูจากการระเบิดได้ก่อตัวขึ้นและรวมตัวกันเป็นรูปสัญลักษณ์ หนึ่งนั่นคือภาพของ พญามังกรเพลิงกำลังคาบดาบเอาไว้อยู่ในปาก

ใน เวลาไล่เลี่ยกันนั้นเสียงระเบิดได้ดังขึ้นในย่านธุรกิจแห่งหนึ่งที่อยู่ใน กรุงมอสโควประเทศรัสเซีย การระเบิดหลายสิบครั้งได้เกิดขึ้นที่ มอสโควไฟแนนเชียล อาคารสูงเสียดฟ้าที่มีความสูงสามร้อยเจ็ดสิบเมตร และยังเป็นสัญลักษณ์ของโลกธุรกิจและการเงินที่สำคัญที่สุดของรัสเซีย ทว่าตอนนี้มันเหลือเพียงซากคอนกรีตที่กระจายกันเกลื่อนกราดจากแรงระเบิดที่ เกิดขึ้นเมื่อครู่ กลุ่มควันสีดำทมิฬลอยคละคลุ้งอยู่ในอากาศส่งกลิ่นเหม็นไหม้ไปทั่ว เสียงหวีดร้องที่ดังขึ้นนั้นมาจากเสียงของเหล่าผู้คนที่กำลังหนีตายด้วยความ หวาดกลัวต่อวินาศกรรมสะเทือนขวัญที่เกิดขึ้น บรรดาเจ้าหน้าที่ต่างก็กำลังอพยพผู้คนให้ออกไปจากบริเวณที่เกิดเหตุ เหนือท้องฟ้าของกรุงมอสโคว เปลวเพลิงมรณะจากการระเบิดพวยพุ่งขึ้นไปรวมตัวกันบนท้องฟ้าก่อนจะรวมตัวกัน เป็นรูป พญามังกรเพลิงคาบดาบทมิฬอยู่ในปาก

ไม่ นานนักที่ย่านธุรกิจแห่งหนึ่งที่อยู่ภายในเมืองเซี่ยงไฮ้ ได้เกิดการระเบิดขึ้นหลายสิบครั้งภายในตัวอาคารสูงเสียดฟ้าที่มีรูปทรงอัน ทันสมัยแห่งหนึ่งนามเซี่ยงไฮ้เวิลด์เซนเตอร์ ซึ่งเดิมที่นั้นมันเคยเป็นอาคารสูงสี่ร้อยสามสิบเมตรและมันยังเป็นเหมือนกับ สัญลักษณ์ของโลกแห่งการเงินและธุรกิจที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก เพียงแต่ว่าในตอนนี้นั้น มันหลงเหลือไว้เพียงแค่เศษซากคอนกรีตขนาดมหึมาของตัวอาคารที่ถูกถล่มทำลาย ด้วยแรงระเบิดที่มีพลังทำลายล้างมหาศาลที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่ กลุ่มควันสีดำทมิฬที่เกิดจากการระเบิดได้พวยพุ่งแผ่ขยายเข้าปกคลุมไปทั่ว ทั้งเมือง บนท้องถนนทุกสายในตอนนี้นั้นไปด้วยผู้คนที่กำลังหนีตายด้วยความตื่นตระหนก จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และบรรดาเจ้าหน้าที่จำนวนมากกำลังที่กำลังอพยพผู้คนด้วยความตรึงเครียดท่าม กลางกลุ่มควัน เพลิงไฟมฤตยูสีแดงฉานได้ปรากฏอยู่บนท้องฟ้ามันค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นแล้วรวมกันเป็นรูป พญามังกรไฟกำลังคาบดาบพระเพลิงไว้ในเศียร

โศกนาฏกรรมสะเทือนโลกที่จะเขย่าขวัญให้เหล่าผู้คนทั่วทั้งโลกต้องตกอยู่ในความ หวาดกลัวนี้ ได้เกิดขึ้นและจบลงพร้อมกันโดยเหลือไว้เพียงแค่ร่องรอยแห่งความหายนะและความ ตายที่มากมายเหลือคณานับ ราวกับเป็นการประกาศออกมาว่าสันติภาพของโลกและมวลมนุษยชาติกำลังจะจบสิ้นลง

ท่ามกลางวิกฤติการสะเทือนโลก เหนือน่านฟ้าแห่งหนึ่ง เวลา 5.00 AM

เหนือความสูงจากพื้นดินขึ้นไปยังน่านฟ้าสากลแห่งหนึ่ง มีอากาศยานอยู่ลำหนึ่งปรากฏอยู่มันคือ เครื่องบินส่วนตัวที่มีระบบการบินแบบอัตโนมัติ และในขณะนี้มันกำลังลอยลำอยู่กลางอากาศท่ามกลางหมู่เมฆบนท้องนภา

ในเครื่องบินลำนั้นบุรุษผู้มีนามว่า ซามาเอล วีโดรา (22 ปี) หนุ่มอิตาลีผู้มีรูปร่างสูงสง่าอยู่ในชุดโดดร่มสีดำ ผมสีเงินยาวสยาย ใบหน้าคมคาย ดวงตาคมตาสองชั้นมีสีที่ต่างกัน นัยน์ตาข้างซ้ายสีทองผิดกับนัยน์ตาข้างขวาสีแดงเข้มดั่งดอกกุหลาบ มีแววตาสุขุม และมีท่าทางที่เงียบขรึมน่าเกรงขามกำลังนั่งรอสัญญาณบางอย่าง

“ถึงที่หมายแล้วค่ะ” สิ้นเสียงประกาศทำให้ชายหนุ่มที่นั่งรออยู่ลุกขึ้นแล้วเดินไปตรงยังประตูทางเข้า-ออกของเครื่องบิน

ประตู อัตโนมัติเลื่อนเปิดออกสายลมที่พัดโหมกระหน่ำเข้ามาในตัวเครื่องนั้นมันทำ ให้ ผมสีเงินยาวของชายหนุ่มโบกสะบัดไปตามแรงลม แล้วชายหนุ่มก็ก้าวถอยหลังไปสักสามก้าวเพื่อเตรียมตัวก่อนที่จะถีบตัวออกไป จากเครื่องบินอย่างองอาจและสง่างามดุจพญาอินทรีร่อนลงจากฟากฟ้า ทันใดนั้นเองเครื่องบินก็แล่นต่อไปด้วยระบบการบินแบบอัตโนมัติ

วีโดราลอยตัวอยู่กลางอากาศ เขาสัมผัสถึงความเย็นยะเยือกที่เกิดจากแรงลมของชั้นบรรยากาศที่พัดผ่านเข้า มา และนั่นมันก็ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกตื่นเต้นเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา แล้วชายหนุ่มก็จัดการกระตุกเชือกเพื่อให้ร่มกางออก แรงดันมหาศาลของล่มที่กางออกทำให้ตัวของชายหนุ่มหยุดชะงักกลางอากาศชั่วขณะ และในจังหวะนั้นเองสายลมเย็น ๆ ที่พัดผ่านเข้ามาเบา ๆ นั้นทำให้บุรุษผู้มีผมสีเงินยาวรู้สึกสบายใจเป็นอย่างมาก ก่อนที่ตัวเขาจะค่อย ๆ ร่อนลงมาถึงพื้นอย่างเงียบสงบ

ทันทีที่ วีโดรา ร่อนลงมาถึงพื้นซึ่งจากจุดที่เขายืนอยู่นั้นมันไม่ใช่พื้นดินธรรมดาๆ เลยสักนิดแต่มันคือยอดเขาสูงชันลูกหนึ่งซึ่งอยู่สูงกว่าพื้นดินประมาณสี่ร้อยเมตร แล้วชายหนุ่มก็กวาดสายตามองไปรอบๆ เพื่อมองดูทัศนียภาพที่แสนงดงามตามธรรมชาติที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า

ทว่าตอนนั้นเองเสียงๆ หนึ่งก็ดังขึ้นมาและมันก็ทำให้ชายหนุ่มต้องล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเพื่อหยิบ โทรศัพท์มือถือผ่านดาวเทียมรุ่นพิเศษสำหรับเจ้าหน้าที่ SPHERE ออกมาวางไว้ที่มือแล้วหยิบแว่นตาดิจิตอลสีดำออกมาสวม ก่อนที่จะกดเข้าไปอ่านข้อความสามมิติที่ถูกซ่อนไว้อยู่

“วีโดราโดดร่มเสร็จแล้วอย่าลืมมาประชุม มีภารกิจฉุกเฉิน ลงชื่อ MI”

ข้อความนี้เป็นข้อความลับที่ถูกส่งมาจากสตรีนางหนึ่งซึ่งคำย่อนั้นมันก็มาจากชื่อเต็มๆ ของเธอผู้นั้น

“เดี๋ยวไป”

หลัง จากที่อ่านเสร็จวีโดราก็ปิดข้อความทันทีและนำโทรศัพท์มือถือเก็บเข้าไปใน กระเป๋า ถอดแว่นตาดิจิตอลสีดำออกมาใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อ ยืนรอสักพักเพื่อให้ร่างกายได้สัมผัสกับความอบอุ่นของดวงตะวันที่กำลังส่อง แสงสาดส่องลงมาบนท้องฟ้า ก่อนจะเดินลงจากเนินเขาลงไปยังเครื่องบินส่วนตัวของเขาที่จอดไว้อยู่

น่านฟ้าสากลแห่งหนึ่งเวลา 8.00 AM

อากาศยานสุดไฮเทคขนาดมหึมาที่กำลังลอยลำอยู่ท่ามกลางหมูเมฆเหนือน่านฟ้าสากลอยู่ใน เวลานี้ นามของมันคือ ยานอิคารอส มันเป็นฐานบัญชาการลอยฟ้าขนาดใหญ่ภายในนั้นมีเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย และมันก็ใช้พลังงาน Ion Thruster ใน การขับเคลื่อน พื้นที่ทางด้านทิศตะวันตกของฐานบัญชาการลอยฟ้าลำนี้มีลานจอดอากาศยานสำหรับ เครื่องบินส่วนตัวของเจ้าหน้าที่พิเศษ ส่วนตึกศูนย์บัญชาการและตึกที่ใช้ในการประชุมอยู่ทางด้านตะวันออกของยาน สำหรับศูนย์วิจัยด้านอวกาศและเทคโนโลยีทางทหารอยู่ทางด้านทิศเหนือ และสุดท้ายทิศใต้ของยานลำนี้คือ หอพักชายและหอพักหญิงที่มีลานออกกำลังกายขั้นระหว่างกลาง

ตึกศูนย์บัญชาการที่มีอาคารสีขาวและหลังคารูปโดม บนทางเดินที่ทอดยาวอยู่ภายในตัวอาคารซึ่งมีสีขาวสะอาดนั้น สายลับหนุ่มผมสีเงินยาว ‘ซามาเอล วีโดรา’ ที่อยู่ในชุดเสื้อคลุมและกางเกงยีนขายาวสีดำทั้งตัว เขาเป็น เจ้าหน้าที่พิเศษที่เชี่ยวชาญด้านการสู้รบทุกรูปแบบประจำกองกำลังพิเศษ SPHERE ได้เดินผ่านเจ้าหน้าที่ฝ่ายต่าง ๆ ที่กำลังทำงานอยู่ ตรงไปยังห้องประชุมที่อยู่เบื้องหน้า

ประคูเลื่อนอัตโนมัติของห้อง ประชุมถูกเปิดออก วีโดรา เดินเข้ามาข้างในอย่างช้าๆ แล้วมองดูรอบ ๆ ห้องที่มีเหล่าพรรคพวกของเขากำลังนั่งจิบกาแฟกันอยู่ ก่อนจะกล่าวคำทักทายกับทุก ๆ คน

“หวัดดี”

“ไง วีโดรา เป็นไงมั่ง”

บุรุษผู้อยู่ในชุดสูทสีดำที่ลุกขึ้นจากโต๊ะที่มีคนกลุ่มหนึ่งกำลังนั่งจิบกาแฟกัน อยู่ แล้วเดินมาทักทาย วีโดรา อย่างเป็นกันเองนั้น เขาคือ ฮันนิบาล เลสเตอร์ (26 ปี) หนุ่มฝรั่งเศสผู้มีรูปร่างสูงสง่า ผมสั้นสีดำประบ่า ใบหน้าเรียวคม ดวงตาคม นัยน์ตาสีแดงเพลิงคู่นั้นดูลึกล้ำเยือกเย็นเกินกว่าจะหยั่งถึง ท่าทางของเขาดูทรงอำนาจและมีความเป็นผู้นำสูงมาก เขาเป็นหนึ่งในผู้บัญชาการสูงสุดคนหนึ่งของกองกำลังพิเศษ SPHERE

“หวัดดี วีโดรา ท่าทางสบายดีนี่”

คำทักทายด้วยเสียงอันเย็นสงบของหญิงสาวดังขึ้นทำให้ วีโดรา หันไปมองสายลับสาวในชุดเสื้อโค้ดสีดำและใส่กระโปรงสั้นสีเดียวกันเธอคือ มิเนอร์วา เพรสซิเดนท์ (18 ปี) สาวอังกฤษผิวพรรณขาวนวล รูปร่างสูงเพรียวระหง หุ่นดีมาก ผมสีน้ำเงินยาวเงางาม ใบหน้าเรียวสวยได้รูปดูงดงามเป็นธรรมชาติ ดวงตาคม ตาสองชั้นเป็นประกายงดงามดั่งอัญมณีคู่นั้นมีสีที่ต่างกัน นัยน์ตาข้างซ้ายสีอความาลีนและมีนัยน์ตาข้างขวาสีมรกต เธอคือ ผู้เชี่ยวชาญด้านวัตถุระเบิด

“อรุณสวัสดิ์ค่ะ ตุณวีโดรา สบายดีมั้ยคะ”

สายลับสาวอังกฤษผู้มีผมสีบลอนด์ทองยาวสลวยที่ได้กล่าวคำทักทายสายลับหนุ่มด้วยเสียงสดใสนั้นนามของเธอคือ วิเนอรี เพรสซิเดนท์ (17 ปี) ที่หยุดเป่าควันจากถ้วยกาแฟร้อน ๆ ที่ถืออยู่ในมือเรียวเล็ก แล้วเงยหน้าขึ้นมามองสายลับหนุ่มด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน เธอเป็นสตรีผู้มีรูปร่างสูงหุ่นเพรียวบาง ผิวขาวอมชมพูอยู่ในชุดวันพีชลายลูกไม้สีขาวฟูฟ่องกระโปรงสั้นเปิดหัวเข่า กิริยามารยาทเรียบร้อยทำให้ดูมีเสน่ห์ ประกอบกับหน้าตาน่ารักสดใสใบหน้าเรียวรูปไข่ ดวงตากลมโตคู่สวยนั้นดูใสซื่อเหมือนเด็กผู้หญิง นัยน์ตาคู่นั้นแม้มีสีที่ต่างกันแต่เข้ากันได้เป็นอย่างดี นัยน์ตาข้างซ้ายสีมรกตรับกับนัยน์ตาข้างขวาสีฟ้าคราม ลักษณะท่าทางของเธอดูบอบบางน่าทะนุถนอม ในกองกำลังพิเศษ SPHERE เธอเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านคอมพิวเตอร์และเป็นวิศวกรทางทหารประจำยานอิคารอสอีกด้วย

“ไง วีโดรา”

น้ำเสียงเยือกเย็นที่แฝงไว้ด้วยความอบอุ่นเป็นของ สายลับสาวอีกนางหนึ่งที่อยู่ในชุดสูทสีดำและสวมกระโปรงสั้นสีเดียวกันนามของ เธอคือ นอร์มา เซรีน (22 ปี) สาวฝรั่งเศสรูปร่างสูงสง่า ผิวพรรณขาวนวลเนียนดุจหิมะ เรือนร่างสมส่วนเพรียวบาง ใบหน้าเรียวสวยได้รูปดูงดงามสะดุดตา เรือนผมสีเขียวยาวสยายไปถึงกลางหลัง นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนคู่นั้นดูลึกล้ำเยือกเย็น ท่าทางองอาจและดูสง่างาม เธอคือ เจ้าหน้าที่ด้านหน่วยข่าวกรองเพื่อความมั่นคงระหว่างประเทศ และเป็นที่ปรึกษาคนสำคัญของ ฮันนิบาล

หลังจากที่ทุก ๆ คนกล่าวคำทักทายกันเสร็จเรียบร้อย วีโดรา ก็ตอบพรรคพวกของเขากลับไปอย่างเป็นกันเอง แล้วเดินเข้ามานั่งที่โซฟาหนังแบบเนิบ ๆ อย่างไม่เกรงใจใคร

“ฉันไม่เป็นไร ก่อนมานี่ก็พึ่งจะโดดร่มเสร็จพอดี”

“วีโดรา นายเป็นนักโดดร่มตั้งแต่เมื่อไหร่” มิเนอร์วา ถาม

“นานแล้ว” วีโดรา ตอบกลับเธอกลับไป

“OK ฉันรู้แล้ว”

“พวกนายล่ะ เป็นยังไงกันบ้าง:”

“ฉันก็สบายดี” ฮันนิบาล บุรุษผู้ทรงอำนาจ เป็นคนแรกที่ตอบชายหนุ่มกลับไปอย่างเป็นกันเอง

“ฉันเองก็สบายดี อย่างที่นายเห็น”

มิเนอร์วา ตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มเล็ก ๆที่ดูงดงามและเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวเหมือนทุกครั้งที่คุยกัน

“ฉันสบายดีค่ะ ขอบคุณนะคะที่เป็นห่วง”

วิเนอรี ผู้เป็นน้องสาวคนสำคัญและญาติเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ของ มิเนอร์วา ตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มสดใสดั่งดวงตะวันที่ทอประกายแสงลงมา

“ฉันน่ะสบายมาก” เซรีน ตอบกลับไปด้วยท่าทางสบาย ๆ

“อืม” วีโดรา ขานลับคำตอบของทุก ๆ คนด้วยคำพูดสั้น ๆ

“เห็นว่าพวกนายมีภารกิจด่วน ฉันเลยรีบมา”

แล้วชายหนุ่มก็ดึงคำถามเข้าสู่ประเด็นสำคัญทันที

“เรื่องนั้น เรามาจิบกาแฟกันก่อนไหม”

“อืม เอาสิ”

สิบนาทีผ่านไป หลังจากที่ วีโดรา และพรรคพวกของเขาทานกาแฟพร้อมกับพูดคุยกันในเรื่องต่าง ๆ กันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ฮันนิบาล จึงกล่าวเปิดประเด็นสำคัญที่เรียกทุก ๆ คนมาประชุมกันในวันนี้ทันที

“เอาล่ะ เรามาเข้าเรื่องงานกันเลยดีกว่า” ฮันนิบาล บุรุษผู้ทรงอำนาจของโลกกล่าวพร้อมกับมองไปรอบ ๆ โต๊ะประชุม ที่มีพรรคพวกของเขานั่งอยู่

“อืม/ค่ะ”

เมื่อชายหนุ่มผู้ทรงอำนาจพูดจบแล้ว เขาก็เดินไปกดปุ่มสีแดงเล็กๆ ปุ่มหนึ่งที่อยู่บนโต๊ะทำงานเพื่อให้จอมอนิเตอร์ปรากฏขึ้นมาพร้อมกับฉายภาพสามมิติออกมาในรูปแบบ โฮโลแกรมที่มีทั้งภาพและเสียงของ เหตุการณ์หนึ่งที่พึ่งเกิดไปเมื่อไม่นานนี้

“ในช่วงค่ำคืนของคืนวันที่ 7 มกราคม ที่ผ่านมานั้น ได้เกิดเหตุการณ์ การลอบวางระเบิดก่อการร้ายขึ้นที่อาคารสูงเสียดฟ้าถึง 7 แห่ง เป็นเวลาพร้อมๆ กันถึง 7 ประเทศทั่วโลก ทำให้มีผู้เสียชีวิตสูงถึง 13,000 คน และยังมีผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์นี้กว่า 30,000 คน”

แล้วจอ มอนิเตอร์ก็ฉายภาพของ เศษซากปรักหักพังของตัวอาคารที่พังถล่มลงมาจากการวางระเบิดของตัวอาคารสูงระฟ้าทั้ง 7 แห่งทั่วโลกออกมาให้เห็นนั่นคือ อาคารเวิลด์เอมไพร์เซนเตอร์ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา อาคารลอนดอนเอมเพอเรอร์ทาวเวอร์ที่ประเทศอังกฤษ โรงแรมรอยัลคริสตัลโฮเตลที่ประเทศฝรั่งเศส หอคอยเบอร์ลินสกายทาวเวอร์ที่ประเทศเยอรมัน หอคอยจูเลียสสกายไลน์ที่ประเทศอิตาลี อาคารมอสโควไฟแนนเชียลที่ประเทศรัสเซีย และ อาคารเซียงไฮ้เวิลด์เซนเตอร์ที่ประเทศจีน

ผ่านไปสักพักจอมอนิเตอร์สาม มิติก็ได้ฉายภาพและเสียงของปฏิกิริยาจากรัฐบาลประเทศต่าง ๆ ที่เกิดจากการก่อการร้ายครั้งนี้ ออกมาให้เห็นในรูปแบบ โฮโลแกรม

“หลังจากเหตุวินาศกรรมที่เกิดขึ้นทั่วโลก ที่ทำเนียบขาวทางรัฐบาลสหรัฐอเมริกาได้ส่งคำแถลงการณ์ออกมากล่าวประณามการ กระทำในครั้งนี้องค์กรก่อการร้ายเอาไว้ว่า เป็นการกระทำที่โหดร้ายและไร้มนุษยธรรมมากเกินไป พร้อมกันนี้ทางรัฐบาลสหรัฐยังประกาศออกมาอีกด้วยว่าจะตามล่าองค์กรก่อการร้าย OHRR ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์วางระเบิดครั้งนี้ รวมไปถึงกลุ่มบุคลใดก็ตามที่อยู่เบื้องหลังองค์กรก่อการร้ายองค์กรนี้ให้ได้”

“ทางด้านรัฐบาลรัสเซียและหน่วยงานด้านความมั่นคงของรัสเซีย ได้จัดการประชุมฉุกเฉินขึ้นมาทันที ก่อนที่จะส่งตัวแทนออกมาประกาศว่า จะประกาศภาวะฉุกเฉินไปทั่วทั้งเมืองมอสโคว โดยเฉพาะจุดเสี่ยงอันตรายต่อการโจมตีครั้งต่อไป พร้อมทั้งประกาศด้วยว่าจะไม่ยอมอ่อนข้อให้กับองค์กรก่อการร้าย OHRR อย่างเด็ดขาด”

“ส่วนทางด้านรัฐบาลจีนนั้นได้ส่งตัวแทนออกมาประกาศภาวะฉุกเฉินไปทั่วเมือง เซี่ยงไฮ้ และประกาศอพยพคนออกจากพื้นที่เสี่ยงภัยต่ออันตราย ก่อนที่หน่วยงานด้านความมั่นคงของประเทศจีนจะส่งตัวแทนออกมาประกาศว่า จะทำทุกอย่างเพื่อค้นหาและทำลายองค์กรก่อการร้ายที่อยู่เบื้องหลังเหตุระเบิดครั้งนี้ พร้อมกับบอกด้วยว่าจะดำเนินคดีกับกลุ่มธุรกิจกลุ่มใดก็ตามที่คอยให้การสนับสนุนองค์กรก่อการร้าย”

หลังจากที่จอมอนิเตอร์สามมิติประมวลภาพปฏิกิริยา ของรัฐบาลประเทศต่าง ๆ เสร็จสิ้น จอสามมิติก็ดับลงและหายไปความเงียบได้เกิดขึ้นในห้องประชุมทันที

สักพัก ฮันนิบาลได้มองไปยังเหล่าพรรคพวกเพื่อนร่วมทีมของเขาที่อยู่รอบ ๆ โต๊ะประชุม แล้วอธิบายรายละเอียดเพิ่มเติมด้วยเสียงน้ำเสียงเยือกเย็น

“นี่คือเรื่องสำคัญที่จะแจ้งให้ทุกคนทราบ”

“ในคืนที่ผ่านมา เจ้าพวกนั้นมันลงมือพร้อมกัน 7 ประเทศ”

ฮันนิบาลบุรุษผู้ทรงอำนาจของโลกพูดจบสายลับหนุ่มนาม วีโดรา จึงถามเพื่อนสนิทของเขาทันที

“เจ้าพวกนั้น OHRRรึ”

“ใช่ วีโดรา จากข้อมูลที่เราพอมีอยู่ ผู้ที่อยู่เบื้องหลังคดีวางระเบิดครั้งนี้คือพวกองค์กร OHRR”

“อืม”

“ภารกิจของเราในครั้งนี้คือ เราต้องไขคดีนี้ให้ได้ก่อนว่าพวกมันใช้วิธีไหนในการวางระเบิด และเราต้องค้นหาให้ได้ว่าฐานบัญชาการลับของพวกมันอยู่ที่ไหนบ้าง” ฮันนิบาลอธิบายรายละเอียดของงานอย่างชวนติดตาม แล้วมองไปรอบๆ โต๊ะประชุมก่อนที่จะถามความเห็นของพรรคพวกเพื่อนร่วมทีม

“มีใครสงสัยอะไรบ้างไหม”

“ไม่มี/ไม่มีค่ะ”

“อืม ดีเลย”

หลังจากที่ทุก ๆ คนเข้าใจในส่วนของภารกิจแล้ว ฮันนิบาล จึงมองไปที่สายลับหนุ่มนาม วีโดรา แล้วมองไปยังสายลับสาวนาม มิเนอร์วา ก่อนที่จะพูดออกมา

“วีโดรา”

“มิเนอร์วา”

“พวกนายสองคนไปช่วยกันค้นหาวัตถุระเบิด”

“เข้าใจล่ะ / เข้าใจแล้วค่ะ”

หลังจากที่คุยกันเสร็จเรียบร้อย ฮันนิบาล จึงหันไปถาม เซรีน ที่ปรึกษาคำสำคัญของเขา

“เซรีน เรื่องทางนั้นเป็นยังไงบ้าง”

“เป้าหมายของเรามันกำลังหุ้นตกค่ะ”

“ดีเลย เราคงต้องช่วยเขาแล้วล่ะ”

“เรื่องนั้น ฉันจัดการให้เองค่ะ”

ฮันนิบาล พูดเสร็จเขาก็มองไปยังรอบๆ โต๊ะประชุมอีกครั้งก่อนจะประกาศภารกิจในครั้งนี้ของเขาออกมาให้เพื่อนร่วมทีมทุก ๆ คนได้ยิน

“เอาล่ะ เริ่มปฏิบัติงานกันได้เลย”

“ตามสั่ง / ค่ะ ท่าน”

สายลับหนุ่มกับสายลับสาวตอบพร้อมกันก่อนที่ทุก ๆ คนจะแยกย้ายกันไปทำภารกิจของตน

ย่านธุรกิจแห่งหนึ่ง ภายในเมืองเซี่ยงไฮ้ ประเทศสาธารณะรัฐประชาชนจีน เวลา 10.00 AM

ใน ปัจจุบันนี้ นครเซี่ยงไฮ้ นับว่าเป็นมหานครที่มีใหญ่ที่สุดเมืองหนึ่งของโลกและมันยังเป็นเมืองที่มี ประชากรหนาแน่นมากที่สุดของสาธารณะรัฐประชาชนจีน ที่สำคัญมันยังเป็นสัญลักษณ์แห่งความมั่งคั่งของมวลมนุษยชาติและยังเป็น ศูนย์กลางความเจริญในด้านต่าง ๆ ของโลกมากมายไม่ว่าจะเป็นทางด้านระบบการเมืองการปกครอง ทางด้านระบบเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน การท่องเที่ยว ธุรกิจ การเงินและธนาคาร รวมไปถึงทางด้านแฟชั่นและการออกแบบ ทั่วทั้งเมืองนั้นถูกรายล้อมไปด้วยอาคารสูงเสียดฟ้าที่มีรูปร่างประหลาดที่ ดูอันทันสมัยของบริษัทเอกชนต่างๆซึ่งตั้งอยู่ในย่านธุรกิจจำนวนมาก ประกอบกับสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆ ทางประวัติศาสตร์ต่าง ๆ ที่มีอยู่อย่างมากมาย ทำให้นครเซี่ยงไฮ้ได้กลายมาเป็นมหานครที่มีการผสมผสานทางด้านวัฒนธรรมทั้ง ของจีนและตะวันตกได้อย่างกลมกลืนเลยทีเดียว

บรรยากาศโดยรวมของนครเซี่ยงไฮ้ในยามเช้านั้น ยังคงเหมือนเดิม บนท้องถนนคนเดินนั้นยังคงเต็มไปด้วยผู้คนหลากหลายจำนวนมากมายมหาศาลที่มาจากทั่วทุกสารทิศ ส่วนบนถนนทุกสายนั้นยังคงแน่นขนัดไปด้วยรถยนต์ส่วนบุคลของเหล่าผู้คนที่กำลังสัญจรผ่านไป-มาอย่างไม่ขาดสาย

แม้ บรรยากาศโดยรวมของนครเซี่ยงไฮ้ในวันนี้ยังคงเป็นเหมือนเมื่อวันวานที่ผ่านมา ทว่าตอนนี้กับมีบางสิ่งบางอย่างที่ผิดปกติเกิดขึ้นภายในย่านธุรกิจแห่งหนึ่ง ในเขตตัวเมืองนั่นคือ บนท้องถนนทุกสายที่เคยเต็มไปด้วยผู้คนในตอนนี้มันกลับเต็มไปด้วย เจ้าหน้าที่พิเศษจากหน่วยงานด้านความมั่นคงของทางรัฐบาลจีนที่ติดอาวุธครบ มือกำลังทำงานกันอย่างเคร่งเครียด พวกเขาทั้งหลายได้รับคำสั่งมาจากทางรัฐบาลว่า ให้อพยพคนออกไปจากพื้นที่บริเวณนี้ เพราะ จุดที่มีความเสี่ยงอันตรายจากเหตุวินาศกรรมที่เกิดขึ้นเมื่อคืนวาน

ท่าม กลางความตรึงเครียดที่เกิดขึ้นไปทั่วทั้งเมือง ตรงมายังเศษซากปรักหักพังของตัวอาคารสูงเสียดฟ้าแห่งหนึ่งนามของมันคือ อาคารเซี่ยงไฮ้เวิลด์เซนเตอร์ ซึ่งสถานที่เกิดเหตุ บริเวณโดยรอบนั้นเต็มไปด้วยเจ้าหน้าที่พิเศษของทางรัฐบาลจีนหลายสิบคนที่ กำลังทำงานกันอยู่ และในพื้นที่บางส่วนนั้นก็มีเจ้าหน้าที่พิเศษที่ถูกส่งมาจากหน่วยงานต่างๆ ของทางองค์การสหประชาชาติ ที่ถูกทางองค์การสหประชาชาติส่งเข้ามาให้ความช่วยเหลืออีกแรงหนึ่ง เจ้าหน้าที่บางคนนั้นกำลังช่วยกันค้นหาเศษชิ้นส่วนวัตถุระเบิด ขณะที่เจ้าหน้าที่บางกลุ่มนั้นกำลังช่วยกันค้นหาผู้รอดชีวิตที่อยู่ใต้ซาก คอนกรีตขนาดใหญ่ของตัวอาคาร

ท่าม กลางเจ้าหน้าที่จำนวนหนึ่งที่ กำลังทำงานอยู่รอบ ๆ ซากปรักหักพังของตัวอาคารกันอยู่นั้น เข้าไปในจุดๆ หนึ่งที่มีชื่อเรียกว่า จุดกราวด์ซีโร่หรือบริเวณที่ได้รับความเสียหายมากที่สุดจากการระเบิด มีเจ้าหน้าที่พิเศษชาย-หญิงอยู่คู่หนึ่งที่ถูกส่งมาจากหน่วยงานลับระดับสุด ยอดของโลกอย่าง SPHERE พวกเขาทั้งสองคนก็คือ วีโดรา และ มิเนอร์วา ที่อยู่ในชุดป้องกันรังสีและสารเคมีสีขาวบริสุทธิ์ และขณะนี้ทั้งคู่กำลังใช้อุปกรณ์ค้นหาวัตถุระเบิดอัจฉริยะแบบพกพาที่มีขนาดเล็กไม่ต่างไปจากโทรศัพท์มือถือที่มีชื่อเรียกว่า “The Last Explosion” ในการค้นหาเศษชิ้นส่วนของวัตถุระเบิดที่อยู่ใต้ซากอาคารและเศษคอนกรีตขนาด ใหญ่ที่กระจัดกระจายไปทั่ว

ในขณะที่สายลับทั้งสองกำลังช่วยกันค้นหา เศษชิ้นส่วนของวัตถุระเบิดบนจุดกราวด์ซีโร่กันอยู่นั้น สัญญาณบางอย่างกระพริบขึ้นมาบนจอเรดาห์ของเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิด อัจฉริยะที่อยู่ในมือของทั้งคู่ ทำให้สายลับหนุ่มหันไปมองสายลับสาวแล้วพยักหน้าให้หนึ่งทีก่อนจะเดินนำไปยัง ซากคอนกรีตขนาดใหญ่กองหนึ่งที่อยู่บริเวณนั้น

เมื่อ วีโดรา และ มิเนอร์วา มาถึงพวกเขาจึงหยุดเดิน แล้วนำอุปกรณ์อีกชนิดหนึ่งที่ถูกเตรียมเอาไว้ออกมาจากกระเป๋า มันคือ หุ่นยนต์ค้นหาวัตถุระเบิดขนาดจิ๋วที่มีรูปร่างเหมือนกับแมงมุมซึ่ง Spider Bomb ก็คือชื่อของมัน แล้วพวกเขาทั้งสองก็นำหุ่นยนต์แมงมุมจำนวนเจ็ดถึงแปดตัวมาวางไว้บนพื้น ก่อนที่เจ้าแมงมุมหุ่นยนต์กลุ่มนั้นจะเริ่มเคลื่อนไหวแล้วตรงเข้าไปในกองซาก คอนกรีตขนาดยักษ์กระจัดกระจายเกลื่อนกราด

ในความมืดมิดภายใต้กองเศษ ซากคอนกรีตขนาดใหญ่ของตัวอาคารแมงมุมหุ่นยนต์กลุ่มหนึ่งกำลังค้นหาเศษชิ้น ส่วนวัตถุระเบิดกันอยู่ ทางด้านนอกนั่นสายลับหนุ่มนาม วีโดรา และสายลับสาวนาม มิเนอร์วา ก็กำลังรอผลลัพธ์จากการค้นหาครั้งนี้อย่างใจเย็น

เวลาผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมงนาฬิกาบอกเวลา 10.30 AM ดวงตะวันส่องแสงแรงกล้าอากาศร้อนเริ่มขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อใกล้เวลาเที่ยง ขณะที่สองสายลับหนุ่มสาว วีโดราและมิเนอร์วากำลังรอผลการค้นหาเศษชิ้นส่วนวัตถุระเบิดอยู่อย่างใจเย็น สัญญาณบางอย่างก็ปรากฏขึ้นซึ่งมันเป็นเวลาสิ้นสุดการรอคอยเกือบสามสิบนาที ของทั้งคู่ เพราะ ตอนนี้กลุ่มแมงมุมหุ่นยนต์จำนวนเจ็ดถึงแปดตัวที่พวกเขาทั้งสองส่งให้ไปค้นหา วัตถุระเบิดเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนนั้นกลับมาแล้ว พวกมันไม่ได้กลับมามือเปล่าแต่พวกมันเก็บเอาของบางสิ่งซึ่งเป็นสิ่งที่พวก เขาสองคนต้องการมากที่สุดซึ่งมันคือ เศษชิ้นส่วนวัตถุระเบิด ที่พวกเขาตามหากันอยู่นั่นเอง

“เจอแล้ว”

สายลับหนุ่ม วีโดรา กล่าวด้วยเสียงเงียบขรึมผ่านทางหูฟังขณะที่กำลังก้มลงไปหยิบเศษชิ้นส่วนของ อุปกรณ์บางอย่างที่มีรูปร่างเหมือนไมโคชิพชิ้นเล็ก ๆ ขึ้นมาพิจารณาอย่างใจเย็น

“ดีจัง มาดูกันซิว่าเราเจออะไรบ้าง”

สายลับสาวนาม มิเนอร์วา ตอบกลับด้วยน้ำเสียงอันเย็นสงบที่แฝงไว้ด้วยความยินดีอย่างลึก ๆ

“อืม”

“วีโดรา”

“อะไรรึ”

“เราไปทานมื้อเที่ยงกันก่อนไหม” มิเนอร์วา กล่าวคำเชิญชวนชายหนุ่ม

“แล้วแต่” วีโดราตอบหญิงสาวกลับไป

“โอเค งั้นเราไปกันเลยวิเนอรีคงไปรอที่ร้านแล้ว”

หลังจากที่ทั้งสองคุยกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว วีโดรา และ มิเนอร์วา ก็ช่วยกันเก็บเศษชิ้นส่วนของวัตถุระเบิดทั้งหมดที่พวกเขาทั้งคู่พึ่งค้นหา เจอไม่ว่าจะเป็น ชิ้นส่วนไมโคชิพของอุปกรณ์บางอย่าง เศษชิ้นส่วนของแผงวงจรแบตเตอรี่ไฟฟ้าที่มีไว้เพื่อใช้งานอะไรสักอย่าง และซากโทรศัพท์มือถือที่ถูกวางกลไกลบางอย่างเอาไว้ ขึ้นมาให้หมดแล้วนำพวกมันเก็บใส่ไว้ในถุงพลาสติกใส ก่อนที่พวกเขาทั้งคู่จะเดินผ่านพวกเจ้าหน้าที่ทั้งหมดออกไปจากบริเวณที่เกิดเหตุทันที

กรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมัน

กรุง เบอร์ลิน เมืองหลวงของสหพันธ์สาธารณะรัฐเยอรมันมันเป็นเมืองที่ตั้งอยู่บนแม่น้ำสปรี และฮาเฟลทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศห้อมล้อมด้วยรัฐบรานเดนบวร์ก ในปัจจุบันนี้เบอร์ลินเป็นหนึ่งในมหานครที่ยิ่งใหญ่และทรงอิทธิพลที่สุดแห่ง หนึ่งของโลกทั้งในด้านระบบการเมืองการปกครอง ด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน การท่องเที่ยว วัฒนธรรม การสื่อสารและเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย เป็นศูนย์กลางที่สำคัญในการคมนาคมทั้งทางบกและทางอากาศของยุโรป ที่สำคัญมันยังเป็นศูนย์รวมของอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ในระดับโลกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นวิศวกรรมจราจร ออปโตอิเล็กทรอนิกส์ ไอที อุตสาหกรรมยานยนต์ ทางด้านสุขภาพ และวิศวกรรมชีวการแพทย์ รวมถึงเทคโนโลยีชีวภาพ

ณ.ภัตตาคาร อาหารแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ใจกลางย่านธุรกิจแห่งหนึ่งของกรุง เบอร์ลิน มันเป็นภัตตาคารลอยฟ้าที่ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางอาคารสูงเสียดฟ้าที่มีรูปทรงอันทันสมัยรายล้อมมัน

ภาย ในห้องอาหารส่วนตัวห้องซึ่งอยู่ใน ภัตตาคารแห่งนี้ สุภาพสตรีนางหนึ่งซึ่งอยู่ในชุดสูทสีดำกระโปรงสั้นสีเดียวกันเธอคือ นอร์มา เซรีน สุดยอดซีอีโอชั้นนำระดับโลกประจำกลุ่มธุรกิจเลสเตอร์แฟมิลี่ ที่ตอนนี้กำลังรอใครบางคนที่เธอนัดเอาไว้ว่าจะมาคุยเรื่องธุระสำคัญบางอย่าง

“สวัสดีครับคุณเซรีน”

เสียงที่ดังขึ้นเป็นของชายผู้หนึ่งที่เปิดประตูเดินเข้ามาเขาคือ ลูเซียส คาเมนี (31 ปี) มหาเศรษฐีพันล้านชาวอิหร่านผู้มีรูปร่างภูมิฐานอยู่ในชุดสูทสีขาวผูกเนกไทสี ดำ ผมสีน้ำตาลจัดทรงมาอย่างดี ดวงตาสีดำสนิท กล่าวคำทักทายสตรีที่อยู่เบื้องหน้า

“สวัสดีค่ะคุณลูเซียส”

เซรีนตอบกลับด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นพร้อมเผยรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยไมตรีจิต

“ยินดีที่ได้พบคุณอีกครั้งนะครับคุณเซรีน หลังจากที่ไม่ได้พบกันซะนาน”

“ยินดีที่ได้พบคุณอีกครั้งเช่นกันค่ะ คุณลูเซียส”

เซรีนตอบกลับแล้วเชิญให้ ลูเซียสนั่งลงในฝั่งตรงข้ามกับตัวเธอ

“ทานอะไรกันก่อนดีกว่ามั้ยคะ”

“เป็นเกียรติอย่างยิ่งครับ”

ครึ่งชั่วโมงต่อมาหลังจากที่ เซรีน กับ ลูเซียส ร่วมโต๊ะทานอาหารกันเสร็จแล้ว ทั้งสองจึงเปิดประเด็นคุยเรื่องธุระสำคัญกัน

“คุณเซรีน คุณคงมีธุระสำคัญมาถึงได้เชิญผมมาทานอาหารด้วยกันสินะครับ”

“ใช่ค่ะ”

“ไม่ทราบว่าคุณจะคุยธุระเรื่องอะไรหรือครับ”

“คุณลูเซียส เรามาทำธุรกิจร่วมกันดีกว่าไหมคะ”

เซรีน สุดยอดซีอีโอชั้นนำของโลกยื่นข้อเสนออย่างเป็นทางการให้แก่ ลูเซียส มหาเศรษฐีหลายพันล้านผู้เป็นเจ้าของธุรกิจสัมปทานการท่องเที่ยวและโรงแรม หลายแห่งในอิหร่านและตะวันออกกลาง

“ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งเลยล่ะครับ คุณเซรีน”

ด้วยข้อเสนออันยิ่งใหญ่ของ เซรีน ทำให้ ลูเซียส ตื่นตะลึงไปชั่วขณะก่อนกล่าวคำชื่นชมออกมา

“เราเองก็รู้สึกยินดีเช่นกันค่ะ”

“แล้วเราจะลงทุนทำธุรกิจประเภทไหนร่วมกันดีล่ะครับ”

“ด้านอวกาศและเมืองพลังงานแสงอาทิตย์ค่ะ”

“ยอดเยี่ยมไปเลยครับ ทางผมรู้สึกยินดีมากที่ได้ลงทุนทำธุรกิจร่วมกับบริษัทของคุณ”

“คุณรู้ไหมครับว่า ผมเฝ้ารอวันนี้มานานเท่าไหร่ วันที่ผมจะได้เป็นเจ้าของเมืองพลังงานแสงอาทิตย์สักเมืองหรือสถานีอวกาศสักแห่ง” ลูเซียส เก็บอาการไว้ไม่อยู่แล้วเผยความทะเยอทะยานของตนออกมาให้ เซรีนได้รับรู้ว่าเขาต้องการอะไรกันแน่

“ใจเย็นก่อนค่ะคุณลูเซียส เรายังไม่รู้เงื่อนไขกันเลย”

เซรีน กล่าวอย่างเยือกเย็นพร้อมเผยรอยยิ้มที่แสดงถึงความเป็นมิตรออกมา

“ขอโทษครับ ผมคงใจร้อนไปหน่อย”

“เรื่องเงื่อนไขผมเองก็เตรียม “ข้อมูลบางส่วน”ไว้ให้คุณเรียบร้อยแล้วครับ”

ลูเซียส พูดจบเขาก็หยิบเอกสารบางอย่างที่อยู่ในซองสีน้ำตาลออกแล้วยื่นไปให้ เซรีน

“ขอบคุณค่ะ คุณลูเซียส”

“ไม่เป็นไรครับเรื่องแค่นี้ ยังไงตอนนี้เราก็เป็นหุ้นส่วนกันแล้ว”

“คุณเซรีน ผมยังมีเรื่องสำคัญอีกอย่างอยากจะบอกกับคุณนอกจากเรื่องเงื่อนไขการลงทุน”

“เรื่องอะไรเหรอคะ”

“จากข้อมูลที่ผมพอจะมีอยู่บ้างเจ้า เกเบรียล ไซเรน จากกลุ่มธุรกิจ“ไซเรนไนท์อินดัสตรี้”มันจะเข้ามาประมูลโครงการเมืองพลังงาน แสงอาทิตย์ที่อิหร่านด้วยน่ะสิครับ”

ลูเซียส เล่าในสิ่งที่ตนเองพอรู้มาบ้างด้วยสีหน้าเคร่งเครียด น้ำเสียงของเขาแฝงไว้ด้วยความกังวลไว้อย่างชัดเจน

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณลูเซียส เดี๋ยวเรื่องนี้ทางเราจัดการให้เอง”

เซรีนที่ดูท่าทีของ ลูเซียสอยู่จึงตอบเขากลับไปด้วยเสียงเยือกเย็น

“รบกวนด้วยนะครับ คุณเซรีน”

“ไม่เป็นไรค่ะ คุณลูเซียส”

“เอาล่ะ ผมคงต้องขอตัวก่อนนะครับ เพราะ ตอนนี้มันถึงเวลาประชุมกลุ่มผู้บริหารของบริษัทผมแล้ว”

“แล้วพบกันใหม่ค่ะ คุณลูเซียส”

“เช่นกันครับคุณเซรีน วันนี้ผมรู้สึกเป็นเกียรติมากที่จะได้ลงทุนทำธุรกิจร่วมกันกับพวกคุณ”

สิบนาทีผ่านไปหลังจากที่ลูเซียสเดินทางกลับ นอร์มา เซรีน สตรีผู้ทรงอำนาจของโลกธุรกิจ หยิบกาแฟมาดื่มเป็นครั้งสุดท้ายพลางทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่างแล้วคิดในใจ ว่า “ทุกอย่างเป็นไปตามแผน” ก่อนจะวางแก้วกาแฟลง

“คงได้เวลาไปแล้ว”

หลังจากที่ทานกาแฟเสร็จแล้ว เซรีน สตรีผู้ทรงอำนาจของโลกธุรกิจ ก็เดินผ่านพวกนักธุรกิจและนักท่องเที่ยวที่กำลังทานอาหารอยู่ออกไปจากภัตตาคาร

เหนือน่านฟ้าสากลแห่งหนึ่งซึ่งไม่เป็นที่รู้จัก เวลา 16.00 AM หรือประมาณสี่โมงเย็น

ณ.ตึก ศูนย์บัญชาการบนยานอิคารอส ที่เป็นอาคารรูปโดมสีขาวภายในห้องประชุมมีบุรุษและสตรีทั้งหมดห้าคนกำลัง นั่งอยู่พวกเขาล้วนแล้วแต่เป็นสุดยอดสายลับระดับยอดฝีมือบนยานอิคารอสลำนี้

“ทุกคนพร้อมแล้วนะ”

ฮันนิบาล บุรุษทรงอำนาจผู้บัญชาการสูงสุดของ SPHERE หันไปมองรอบ ๆ โต๊ะประชุม แล้วถามพรรคพวกกับเพื่อนร่วมทีมของเขา

“อืม/ค่ะ”

“โอเค เริ่มได้เลยมิเนอร์วา”

“ค่ะท่าน”

สายลับสาวผู้มากด้วยความสามารถนามมิเนอร์วา พูดจบเธอก็ยื่นมือไปกดปุ่มสีแดงเล็กๆ ที่อยู่บนโต๊ะจอมอนิเตอร์สามมิติก็ปรากฏขึ้นพร้อมกับฉายภาพของ ไมโคชิพขนาดเล็ก แผงวงจรแบตเตอรี่ไฟฟ้า และโทรศัพท์มือถือแบบพับได้ ขึ้นมาให้ทุก ๆ คนเห็น

“สิ่งที่ทุกคนเห็น มันเป็นระเบิดฝังหัวใจที่สามารถบังคับได้ในระยะไกลด้วยไมโคชิพที่ถูกฝังไว้ในสมอง แล้วใช้โทรศัพท์มือถือเป็นตัวจุดชนวนระเบิด”

สายลับสาวเปิดฉากคำอธิบายเรื่องระเบิดด้วยน้ำเสียงเย็นสงบลึกล้ำ แววตาของเธอแฝงไว้ด้วยความมุ่งมั่นแน่วแน่

“ที่สำคัญมันยังเป็นระเบิดที่ผิดต่อหลักกฎหมายสากลที่มีพลังทำลายล้างสูงมาก”

เมื่อสายลับสาวอธิบายเรื่องระเบิดเสร็จแล้ว เธอก็กดปุ่มสีน้ำเงินเล็ก ๆ อีกปุ่มหนึ่งให้จอภาพมอนิเตอร์สามมิติฉายภาพของ ชายใส่แว่นอยู่ในชุดนักวิทยาศาสตร์สีขาว ผมสีม่วงเข้ม ดวงตาสีเหลืองทอง เขาคือ

“ราโดสลาฟ ลูเธอร์ (44 ปี) มหาเศรษฐีรัสเซียผู้เป็นเจ้าของธุรกิจสัมปทานด้านเคมี-เวชภัณฑ์ ในหลายๆ สิบประเทศทั่วโลกแต่มีเบื้องหลังเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่คอยทำการทดลองเรื่องอาวุธเคมี-ชีวภาพ และอาวุธนิวเคลียร์ให้แก่องค์กรก่อการร้าย OHRR และเขายังเป็นสมาชิกระดับผู้บริหารสูงสุดขององค์กร OHRR คนหนึ่งอีกด้วย ที่สำคัญในปัจจุบันนี้ตัวเขานั้นกำลังถูกทางองค์การสหประชาชาติ และ SPHERE ตามล่าในฐานะ Highly Dangerous Criminal หรือ บุคลที่อันตรายที่สุดคนหนึ่งของโลก”

หลังจากที่ภาพฉายชายในชุดวิทยาศาสตร์เสร็จแล้ว จอมอนิเตอร์ก็มืดลงแล้วหายไป

“เจ้านั่นมันคือผู้อยู่เบื้องหลังการประดิษฐ์อาวุธทั้งหมดของ OHRR”

มิเนอร์วา อธิบายเพิ่มเติมด้วยสีหน้าจริงจัง แล้วเธอก็มองไปรอบๆ โต๊ะเพื่อถามความเห็นของทุก ๆ คน

“มีใครสงสัยอะไรไหมคะ”

สายลับสาวนาม มิเนอร์วา เห็นว่าไม่มีพรรคพวกเพื่อนร่วมทีมคนไหนสงสัยอะไรอีกต่อไป เธอก็เดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ทันที

“เซรีน ทางนั้นล่ะ”

ฮันนิบาลหันไปถาม เซรีน ผู้เป็นทั้งเพื่อนสนิทและที่ปรึกษาคนสำคัญของเขาด้วยเสียงเยือกเย็น

“เป้าหมายของเราตอบตกลงมาแล้วค่ะ”

เซรีนตอบกลับพร้อมยื่นซองเอกสารสีน้ำตาลอ่อนที่ภายในบรรจุ“เงื่อนไขการลงทุน” และ“ข้อมูลส่วนหนึ่งของกลุ่มธุรกิจคู่แข่ง” เอาไว้ให้แก่ฮันนิบาล

“อืม ดีเลย”

“วีโดรา ฉันอยากเห็นนายไขคดีนี้”

ฮันนิบาล หันไปมองสายลับหนุ่มผู้เงียบขรึมน่าเกรงขามนาม วีโดรา แล้วกล่าวอย่างเป็นกันเอง

“ได้เลยเพื่อน”

สายลับหนุ่มผู้น่าเกรงขามตอบกับไปอย่างเป็นกันเอง แล้วใช้ความคิดทั้งหมดไปกับการวิเคราะห์คดีอย่างมีสมาธิ

“ระเบิดฝังหัวใจ ควบคุมคนจากระยะไกลด้วยไมโคชิพในสมอง กดชนวนระเบิดด้วยโทรศัพท์มือถืองั้นรึ อืม”

“แบบนี้นี่เองพวกมันคงใช้วิธีนี้ในการลงมือ…”

เพียงชั่วพริบตานั้นความคิดบางอย่างก็เข้ามาในสมองของสายลับหนุ่ม

“ฉันรู้แล้ว”

สายลับหนุ่มผู้น่าเกรงขามนามนาม วีโดรา ก็เอ่ยขึ้นอย่างเงียบขรึมแล้วเงียบไปสักพักอย่างลุ้นระทึก

“พวกมันควบคุมคนจากระยะไกลด้วยไมโคชิพที่ถูกฝังไว้ในสมอง แล้วบังคับให้คนเหล่านั้นระเบิดฆ่าตัวตายด้วยโทรศัพท์มือถือ”

สายลับหนุ่มนาม วีโดรา กล่าวปิดคดีด้วยการเปิดเผยวิธีที่คนร้ายใช้ในการวางระเบิดลงอย่างมั่นใจ

“มีใครสงสัยอะไรรึเปล่า”

สายลับหนุ่ม วีโดรา มองไปรอบ ๆ โต๊ะที่มีพรรคพวกของเขานั่งอยู่ก่อนถามขึ้น เมื่อชายหนุ่มเห็นว่าเพื่อนของเขาไม่มีใครสงสัยอะไรแล้วจึงเงียบไป

“เอาล่ะ เรามาสรุปสถานการณ์กันดีกว่า”

ฮันนิบาล บุรุษผู้ทรงอำนาจที่สุดคนหนึ่งของโลกเอ่ยขึ้น

“อืม / ค่ะ”

“คอนนี้เรารู้วิธีลงมือของพวกมันแล้ว แต่เรายังไม่รู้ว่าพวกมันจะใช้วิธีไหนลงมืออีก และที่สำคัญเรายังไม่รู้ว่าฐานบัญชาการลับของพวกมันอยู่ที่ไหน เพื่อเป็นการไม่ประมาทฉันอยากให้พวกนายระวังตัวไว้ด้วย”

ฮันนิบาล สรุปสถานการณ์ที่เกิดขึ้นโดยรวมเสร็จแล้วกล่าวเตือนเพื่อนของเขาด้วยความเป็นห่วงทันที

“เค / ทราบแล้วค่ะ”

“ถ้าอย่างนั้น เลิกงานกันได้เลย”

หลังจากที่วิเคราะห์สถานการณ์กันเสร็จแล้ว ฮันนิบาล จึงกล่าวปิดการประชุมลงทันที แล้วเขาก็บอกให้เพื่อนของเขาอยู่คุยเรื่องสนุก ๆ กันคลายเครียดสักพัก ก่อนที่ทุกคนจะกล่าวคำล่ำลาประจำวันกัน

“Adios”

สายลับหนุ่มผู้เงียบขรึมนาม วีโดรา เป็นคนแรกที่กล่าวคำลา แล้วก้าวท้าวออกจากประตูไป

“แล้วเจอกันนะ / แล้วพบกันใหม่นะคะ”

สายลับสาวผู้มากด้วยความสามารถนาม มิเนอร์วา และวิศวกรทางทหารนาม วิเนอรี ผู้เป็นน้องสาวของเธอเป็นคนกล่าวคำลาพร้อมกัน ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินออกจากห้องไป

หลังจากที่ทุกคนเดินทางกลับกันไปหมดแล้ว ภายในห้องประชุมเหลือเพียงแค่ ฮันนิบาล และ เซรีน เพียงสองคน

“เซรีน เราไปดินเนอร์กันมั้ย”

ฮันนิบาล ลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่งแล้วหันไปมอง เซรีน ดวงตาสีแดงเพลิงที่ดูเยือกเย็นราวน้ำแข็งของเขาคู่นั้นมองลึกเข้าไปยังดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของหญิงสาว ก่อนกล่าวคำเชิญชวน

“เอาสิ”

“โอเค แล้วเราไปเจอกันที่ร้านนะ”

หลังจากที่ ฮันนิบาล คุยกับ เซรีน เสร็จแล้วพวกเขาก็จัดการเก็บเอกสาร ปิดห้องประชุมให้เสร็จเรียบร้อยเสียก่อนจะเดินออกจากห้องนี้ไป

หมู่เกาะสาธารณะรัฐอิสระเทลูเบีย เมืองคอนดูรัส เวลา 10.00 PM หรือประมาณสี่ทุ่ม

กลางมหา สมุทรแอนตาร์กติกอันกว้างใหญ่แห่งนี้นั้นยังมีหมู่เกาะขนาดมหึมาอยู่เกาะ หนึ่งซึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางหมู่เกาะขนาดน้อย-ใหญ่ที่รายล้อมมันอยู่นามของมัน คือ “หมู่เกาะสาธารณะรัฐอิสระเทลูเบีย” ซึ่งแต่เดิมนั้นมันเป็นทวีปผืนน้ำแข็งขนาดกว้างใหญ่ไพศาล แต่ต่อมาในปี 2030 ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศของโลกขึ้นจากสภาวะ “โลกร้อน” จนทำให้ภูเขาน้ำแข็งและหุบเขาหิมะละลายหายไปจนหมดสิ้นเหลือไว้เพียงผืนแผ่นดินอันกว้างใหญ่ที่รวมตัวกันเป็นหมู่เกาะต่าง ๆ มากมาย

เมืองคอนดูรัส เมืองหลวงของสาธารณะรัฐอิสระเทลูเบีย มันเป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศและยังเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศนี้ พื้นที่ส่วนสำคัญต่าง ๆ ภายในเมืองแบ่งออกเป็น ด้านทิศตะวันออกที่ถูกรายล้อมไปด้วยอาคารสูงเสียดฟ้าที่มีรูปทรงอันทันสมัยนั้นเป็นย่านธุรกิจ ทางด้านทิศตะวันตกซึ่งเป็นแหล่งที่มีผู้คนอาศัยอยู่มากมายนั้นเป็นแหล่งชุมชน ทางด้านทิศเหนือของเมืองนี้เป็นแหล่งชนบทที่มีทรัพยากรทางธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ และด้านทิศตะวันตกของเมืองซึ่งเป็นด้านที่ติดอยู่กับชายทะเลนั้น เต็มไปด้วยสถานที่พัก ที่ท่องเที่ยว บ้านพักตากอากาศ และโรงแรมจำนวนมากที่มีไว้เพื่อต้อนรับบรรดานักท่องเที่ยว

ณ แมนชั่นหลังหนึ่ง ตั้งอยู่ห่างออกไปจากย่านธุรกิจในเขตตัวเมืองบนเกาะ ซึ่งเป็นสถานที่พักอาศัยชั่วคราวของสองสตรีผู้งดงามนามของพวกเธอคือ มิเนอร์วาและวิเนอรี แห่งตระกูลเพรสซิเดนท์ เมื่อมองจากภายนอกแล้วทั้งคู่ไม่ต่างจากนักศึกษาสาวในมหาวิทยาลัยทั่ว ๆ ไป แต่ความจริงแล้วทั้งสองเป็นสายลับสาวที่ทำงานให้กับหน่วยงานลับสุดยอดของโลกที่มีชื่อว่า “SPHERE” ที่ซึ่งตัวตนเบื้องหลังของพวกเธอนั้นถูกปกปิดไว้เป็นความลับโดยองค์กรเพื่อไม่ให้คนธรรมดาทั่วทั้งโลกได้ล่วงรู้

ภาย ในห้องนอนสีฟ้าที่ถูกตกแต่งอย่างเป็นระเบียบและดูสะอาดตานั้น มิเนอร์วาในชุดนอนสีฟ้าแบบเรียบง่ายสบายตา และ วิเนอรีในชุดนอนสีชมพูลายลูกไม้ กำลังเข้าสู่ห้วงนิทราอย่างสงบอยู่บนเตียงอันอบอุ่นที่มีผ้าห่มสีน้ำเงิน คลุมไว้อยู่ ใบหน้ายามหลับใหลของพวกเธอทั้งสองในเวลานี้ ดูผ่อนคลาย บอบบางน่าทะนุถนอม และยังเปี่ยมไปด้วยความสุขที่แสนบริสุทธิ์อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน

แต่ลึกเข้าไปในความฝันนั้น ปรากฏความจริงที่ไม่ได้เป็นดั่งภาพที่เห็น มีแค่เพียงความทรงจำที่แตกสลาย ความปวดร้าวและเจ็บปวดที่ฝังลึกอยู่ภายในจิตใจของทั้งสองคน

10 ปีก่อน ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง นอกเขตตัวเมืองในกรุงลอนดอนประเทศอังกฤษ

ภายในรถเมอร์เซเดสเบนซ์สีดำคันหนึ่ง ที่มีครอบครัวที่แสนจะอบอุ่นนั่งไปด้วย พวกเขาคือ มิเนอร์วาและวิเนอรีที่ยังอยู่ในวัยเยาว์ และที่นั่งอยู่ด้านหน้ารถก็คือพ่อกับแม่ของพวกเขา เรมิงตัน และ ฟาติมา เพรสซิเดนท์

เรมิงตัน (30 ปี) ผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวซึ่งเป็นนักลงทุนอิสระ ทำธุรกิจหลาย ๆ อย่าง เขาเป็นบุรุษผู้มีรูปร่างสูงสง่าในชุดสูทสีดำ ผมสีน้ำเงินเงาวับ ใบหน้าเรียวคม ดวงตาสีฟ้าน้ำทะเล ส่วนฟาติมา (28 ปี) ผู้เป็นภรรยาของเรมิงตันนั้นเป็นสาวอังกฤษผู้มีผิวพรรณขาวนวล รูปร่างสูงเพรียวระหงได้สัดส่วน ผมสีบลอนด์ทองยาวสลวย ดวงตาสีเขียวมรกตสดใส

เด็ก ผู้หญิงที่มีรูปร่างงดงามราวกับเทพธิดาที่นั่งอยู่ที่เบาะหลังของรถคันนี้ คือ มิเนอร์วา และ วิเนอรี นั่นเอง มิเนอร์วา คือบุตรสาวคนโตของตระกูลในวัย 8 ขวบ เธอเป็นเด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารัก รูปร่างงดงามผุดผาด ผมสีน้ำเงินยาวเงางาม ดวงตากลมโตที่เปล่งประกายงดงามดั่งอัญมณีคู่นั้นมีสีที่ต่างกัน นัยน์ตาข้างซ้ายสีอความาลีนและมีนัยน์ตาข้างขวาสีเขียวมรกตที่เข้าคู่กันได้ เป็นอย่างดี

วิ เนอรี น้องสาวของ มิเนอร์วา บุตรสาวคนสุดท้ายของตระกูล เธอเป็นเด็กผู้หญิงที่สุภาพเรียบร้อย ท่าทางสดใสร่าเริง เธอมีผมสั้นสีบลอนด์ทองราวกับแสงตะวันยามรุ่งอรุณ ดวงตากลมโตเป็นประกายสดใสดูมีชีวิตชีวาตลอดเวลาคู่นั้นมีสีต่างกันแต่เข้า กันได้เป็นอย่างดี นัยน์ตาข้างซ้ายสีมรกตและมีนัยน์ตาข้างขวาสีฟ้าคราม

ในตอนนี้พวกเขาต่างก็กำลังมุ่งหน้าออกจากหมู่บ้านเพื่อไปท่องเที่ยวในวันหยุดพักผ่อนสำหรับครอบครัว บรรยากาศภายในรถนั้นเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ ความอบอุ่นและอ่อนโยน จนกระทั่ง...

“โครม !!!”

เสียง หัวเราะได้หายไปซึ่งถูกกลบด้วยเสียงอัดกระแทกของเครื่องยนต์ตามด้วยเสียง ก้องกัมปนาทจากการระเบิดดังกึกก้องสะท้อนสะท้านจนได้ยินไปทั่วทั้งเมือง ภาพที่ปรากฏให้เห็นในชั่วพริบตานั่นคือ รถบรรทุกสีขาวคันหนึ่งพุ่งเข้ามาชนกับรถเมอร์เซเดสเบนท์สีดำของตระกูลนัก ธุรกิจอิสระ เพรสซิเดนท์ ที่นั่งอยู่อย่างสุดแรงจนเกิดการระเบิดขึ้น เศษซากชิ้นส่วนของรถกระจุยกระจายเกลื่อนกราดไปตามพื้นถนนจากการประสานงากับ รถบรรทุกเมื่อครู่ เป็นเหตุให้คนทั้งสี่ได้รับบาดเจ็บสาหัสปางตาย

สักพักเสียงไซเรนดังขึ้นตามมาด้วยรถพยาบาลจำนวนหนึ่งที่แล่นเข้ามาจอดบริเวณที่เกิดเหตุ เหล่าเจ้าหน้าที่หน่วยรักษาพยาบาลพากันวิ่งออกจากรถ มุ่งไปอพยพผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัสทั้งสี่ที่นอนสลบไศลไม่ได้สติอยู่บนพื้นถนนขึ้นมาบนเปลที่เตรียมไว้อย่างบรรจง แล้วนำพวกเขาขึ้นรถก่อนมุ่งหน้าไปยังโรงพยาบาล

เมื่อถึงโรงพยาบาล เป็นเวลาไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้น พ่อและแม่ของมิเนอร์วาและวิเนอรี ก็ได้จากไปอย่างไม่มีวันกลับ ส่วนสาวน้อยทั้งสองนั้นรอดตายมาได้อย่างปาฏิหาริย์

แม้เหตุการณ์นี้จะไม่ใช่เหตุการณ์สะเทือนขวัญคนทั้งโลกแต่อย่างใด แต่มันเป็นเหตุการณ์ที่เลวร้ายอันน่าเศร้าสลดใจที่จะตราตรึงอยู่ในใจของใครบางคนไปอย่างมิอาจลืมเลือน

ปัจจุบัน 9 มกราคม 2052 หมู่เกาะสาธารณะรัฐอิสระเทลูเบีย เมืองคอนดูรัส เวลา 5.00 AM

วิเนอรีลืมตาตื่นขึ้นพร้อมกับความฝันที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่ ใบหน้าขาวนวลของเด็กสาวในยามนี้ชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อที่ค่อย ๆ ไหลย้อยลงมาแล้วสักพักหนึ่งมันก็เหือดแห้งหายไปเมื่อต้องกับอากาศเย็นสบายภายในห้อง เด็กสาวค่อย ๆ เอามือชันตัวลุกขึ้นนั่งข้างเตียงอย่างช้า ๆ เพื่อไม่ให้รบกวนยามหลับของ มิเนอร์วา ผู้เป็นพี่สาวคนสำคัญและญาติเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ของเธอ

“ทำไมเราถึงต้องฝันถึงเห็นเหตุการณ์ในวันนั้น ตอนนี้ด้วยนะ”

วิเนอรี ครุ่นคิดถึงสิ่งที่ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในความฝันมันเป็นความจริงอันโหดร้ายสำหรับตัวเธอเมื่อครั้นยังวัยเยาว์ เพราะ เหตุการณ์ในวันนั้นมันคือวันที่เด็กสาวต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักยิ่งของเธอไปถึงสองคนซึ่งพวกเขาก็คือ พ่อและแม่ของเธอเอง

“วันนั้นคือวันที่เราต้องสูญเสียพ่อแม่ของเราไป”

วิเนอรี กำลังนึกถึงเหตุการณ์ในวัยเด็ก วันที่เธอต้องตื่นขึ้นมาที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง แล้วพวกเจ้าหน้าที่รักษาพยาบาลกลุ่มหนึ่งได้เดินเข้ามาหาเธอแล้วบอกว่า “เสียใจด้วย พ่อแม่ของคุณเสียชีวิตแล้ว” และคำพูดนั้นก็ทำให้ตัวเธอในวันนั้นรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก

“เป็นอะไรไป วิเนอรี ฝันร้ายเหรอ ทำไมถึงทำหน้าเศร้าแบบนั้นล่ะ”

มิเนอร์วา ลืมตาตื่นขึ้นเพราะได้ยินเสียงหายใจของน้องสาวคนสำคัญที่นั่งอยู่ข้างกาย

“พี่คะ ตื่นแล้วเหรอคะ”

“พี่ตื่นตั้งนานแล้วล่ะ”

น้ำเสียงอันเย็นสงบลึกล้ำที่แฝงไว้ด้วยความอบอุ่นและอ่อนโยนที่ดังขึ้นนั้นทำให้ วิเนอรี หันไปมอง

มิเนอร์วา ผู้เป็นพี่สาวคนสำคัญของเธอ

“วิเนอรี มีอะไรก็บอกพี่มาได้เลยนะ”

มิเนอร์วา เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนราวกับล่วงรู้ถึงสิ่งที่อยู่ในความคิด สิ่งที่เกิดขึ้นในความฝัน และสิ่งที่อยู่ภายในใจของน้องสาวคนสำคัญของเธอในเวลานี้

“พี่คะฉันฝันร้ายค่ะ ฉันฝันเห็นวันที่พ่อแม่ของพวกเราเสียชีวิตไปค่ะ”

วิเนอรี ตอบพี่สาวของเธอกลับไปด้วยน้ำเสียงอันเศร้าสร้อยแม้น้ำตาของเด็กสาวจะไม่ได้หลั่งรินออกมาให้เห็นก็ตาม แต่มิเนอร์วาก็สามารถสัมผัสได้ว่าน้องสาวรู้สึกเช่นใด เพราะ ตอนนี้เธอเองก็รู้สึกเสียใจเหมือนกัน

“ไม่เป็นไรวิเนอรี พี่อยู่นี่แล้ว” พูดจบเธอก็สวมกอดน้องสาวของเธออย่างอ่อนโยน

“พี่จะดูแลเธอจะปกป้องเธอเอง”

มิเนอร์วาใช้มือเรียวเล็กของเธอค่อย ๆ ลูบไล้ไปตามเส้นผมสีทองยาวสลวยของวิเนอรีอย่างนุ่มนวลเป็นการปลอบโยน

“ขอบคุณค่ะพี่ ตอนนี้ฉันไม่เป็นไรแล้วค่ะ”

วิเนอรี กล่าวแสดงคำขอบคุณด้วยรอยยิ้มสดใสขณะที่กำลังอยู่ในอ้อมกอด นาทีนี้เด็กสาวรู้สึกอุ่นใจและมีความสุขมากจนบรรยายไม่ถูก

“วิเนอรี ยังจำคำมั่นสัญญาในวันนั้นได้มั้ย”

มิเนอร์วาพี่สาวเห็น วิเนอรีน้องสาวคนสำคัญกลับมาสดใสร่าเริงดังเดิมอีกครั้งจึงเอ่ยถามเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งเมื่อกาลก่อน เพราะ เธอเชื่อว่าน้องสาวต้องจำได้

“จำได้ค่ะ”

วิเนอรี ตอบพี่สาวของเธอกลับไปด้วยรอยยิ้มสดใสดุจแสงตะวัน

“ตั้งแต่วันนั้นเราก็สาบานเอาไว้แล้วว่า จะไม่ร้องไห้อีก”

นาทีนี้เด็กสาวทั้งสอง มิเนอร์วา และ วิเนอรี ต่างก็นึกถึงวันที่ พวกเธอทั้งสองไปเยี่ยมหลุมศพของพ่อแม่หลังจากที่พวกท่านจากไป ซึ่งวันนั้นเป็นวันที่พวกทั้งสองได้ให้คำมั่นสัญญาอันบริสุทธิ์กับพ่อแม่ไปว่า พวกเธอทั้งสองจะเข้มแข็งขึ้น และ จะตามล่าคนที่ทำให้พวกท่านต้องเสียชีวิตลงให้ได้

สักพักแสงแดดยามเช้าอันอบอุ่นลอดผ่านหน้าต่างของห้องนอน นาฬิกาดิจิตอลที่วางไว้บนหัวเตียงบอกเวลา 7.00 AM ซึ่งเป็นเวลาสำคัญที่สองพี่น้อง มิเนอร์วา และ วิเนอรี จะกล่าวคำพูดหนึ่งให้กันและกัน

“พี่คะ เช้าแล้วค่ะ”

“อรุณสวัสดิ์นะ วิเนอรี”

“อรุณสวัสดิ์ค่ะพี่”

หลังจากที่ มิเนอร์วา และ วิเนอรี กล่าวคำทักทายยามเช้ากันเสร็จแล้ว เด็กสาวทั้งสองก็ช่วยจัดห้องนอนให้เรียบร้อย ลุกขึ้นจากเตียงมาเปลี่ยนเสื้อผ้า ก่อนที่พวกเธอทั้งสองจะเดินออกจากห้องนอนลงบันไดตรงไปยังห้องครัว เพื่อช่วยกันทำอาหารมื้อเช้า

“ไม่ว่าจะอับจนหนทางขนาดไหน

ไม่ว่าจะโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงาสักเพียงใด

แม้ว่าคนเราจะไม่สามารถย้อนอดีตกลับไปได้

แต่ทุกอย่างย่อมมีทางออกเสมอ

ตราบใดก็ตามที่เรายังมีศรัทธา

ฉันเชื่อเช่นนั้น”

“How much it blind or lonely way, but everything always has a result.

As long as we trusted in faith, I believe that. ”

กรุงสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน เวลา 19.00 PM

กรุงสตอกโฮล์ม คือเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศสวีเดนนครหลวงที่แสนสวยงามแห่งแสกนดิเนเวีย ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น ความงามบนผิวน้ำ หรือ ราชินีแห่งทะเลบอลติก มันเป็นมหานครที่แสนยิ่งใหญ่และงดงามตระการตาที่ถูกประกอบด้วยเกาะน้อยใหญ่จำนวนทั้งสิ้น 14 เกาะ และถูกโอบล้อมด้วยทะเลบอลติก และทะเลสาบมาลาเร็น และที่สำคัญ กรุงสตอกโฮล์ม นั้นยังขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองหลวงที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของโลกในยุคปัจจุบัน

บรรยากาศยามค่ำคืนของ กรุงสตอกโฮล์ม นั้นยังคงสว่างไสวไปด้วยแสงไฟสีเหลืองทองอร่ามงามตาที่ส่องแสงสาดส่องลงมาจากอาคารทรงยุโรปที่มีให้เห็นอยู่ทั่วทั้งเมือง บนถนนคนเดินยังคงเต็มไปด้วยผู้คนและนักท่องเที่ยวที่หลากหลายจำนวนมากมายมหาศาลที่มาจากทั่วทุกสารทิศทำให้เมืองดูมีชีวิตชีวา

ที่ ภัตตาคารอาหารริมระเบียงของโรงแรมหรูทรงยุโรปโบราณหลังหนึ่ง ภายในนั้นมีสุภาพบุรุษผู้หนึ่งนามเขาคือ ฮันนิบาล เลสเตอร์ เขาคือ บุรุษผู้ทรงอำนาจแห่งโลกธุรกิจและการเมืองที่อยู่ในชุดทักซิโด้สีขาวผูกโบว์ หูกระต่ายสีดำกำลังเดินควงแขนเรียวสวยของสุภาพสตรีนางหนึ่งนาม นอร์มา เซรีน ที่ปรากฏตัวในชุดราตรีสีดำกระโปรงยาวผ่าด้านข้างสูงเผยผิวพรรณขาวนวลเนียนดุจดั่งหิมะและเรียวขางาม เข้ามายังห้องอาหารห้องหนึ่งที่อยู่ในภัตตาคาร ท่ามกลางความตื่นตะลึงของบรรดาผู้คนที่จ้องมองมายังทั้งสองในยามที่ทั้งคู่ก้าวเดิน

เมื่อบุรุษและสตรีผู้ทรงอำนาจทั้งสองเดินเข้ามาในห้องอาหารส่วนตัวที่ถูกจองเอาไว้ล้วงหน้าแล้ว ทั้งสองได้นั่งลงบนเก้าอี้ โดยที่ ฮันนิบาล และ เซรีน ต่างก็นั่งอยู่ในฝั่งตรงกันข้ามของกันและกัน แต่ดวงตาของทั้งคู่นั้นกำลังจ้องมองอีกฝ่ายอย่างไม่ละสายตาไปจากกัน

“เซรีน เรามากินอะไรกันก่อนดีกว่าไหม”

“เอาสิคะ ให้ฉันเลี้ยงไหม”

“ไม่เป็นไร มื้อนี้ผมเลี้ยงเอง”

“ขอบคุณค่ะ”

“ไม่เป็นไร”

ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมงหลังจากที่ ฮันนิบาล และ เซรีน ทานอาหารเสร็จแล้ว ทั้งคู่กำลังเดินออกมาจากห้องอาหารส่วนตัว เพื่อมายืนพิงระเบียงชื่นชมบรรยากาศยามราตรี

“เซรีน เรื่องนั้นเป็นยังไงบ้าง” ฮันนิบาล หันไปมอง เซรีน แล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น

“ทุกอย่างฉันเตรียมไว้พร้อมแล้วค่ะ”

เซรีน ตอบกลับพร้อมกับส่งเอกสารชุดหนึ่งที่อยู่ในซองสีน้ำตาลไปให้ ฮันนิบาล

“ถ้าอย่างนั้น เรามาดูกันซิว่าคู่แข่งของเรามีอะไรบ้าง”

“ได้ค่ะ”

ฮันนิบาล หยิบเอกสารชุดหนึ่งออกมาจากซองสีน้ำตาลขึ้นมาอ่าน ดวงตาสีแดงเพลิงทว่าเยือกเย็นราวถูเขาน้ำแข็งของชายหนุ่ม กำลังจับจ้องมองไปยังข้อความหนึ่งที่ถูกเขียนไว้บนเอกสารชุดหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับ บริษัทคู่แข่งที่เข้าร่วมประมูลโครงการเมืองพลังงานแสงอาทิตย์ ขึ้นมาอ่าน

“บริษัทไซเรนไนท์อินดัสตรี้ คือ กลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ระดับโลกที่เป็นเจ้าของธุรกิจสัมปทานด้านพลังงาน การสื่อสาร และการท่องเที่ยวด้านอวกาศ ที่มีมูลค่าการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ที่ไม่ต่ำไปกว่าปีละหนึ่งล้านล้านเหรียญอาเมโร (ประมาณสิบล้านล้านเหรียญสหรัฐ) และมีนาย เกเบรียล ไซเรน นักธุรกิจชาวอเมริกันเชื้อสายยิวมหาเศรษฐีผู้ร่ำรวยเป็นอันดับสามของโลกเป็นเจ้าของ”

ฮันนิบาล อ่านเสร็จเขาก็เอกสารชุดนั้นลงไปในซองสีน้ำตาลพร้อมกับหยิบเอกสารชุดใหม่ที่เกี่ยวข้องกับ เงื่อนไขการลงทุนโครงการเมืองพลังงานแสงอาทิตย์ ขึ้นมาอ่านอย่างละเอียด

“เงื่อนไขการลงทุนโครงการเมืองพลังงานแสงอาทิตย์

ห้ามใช้พลังงานที่ก่อให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม”

เมื่ออ่านเสร็จชายหนุ่มก็จัดการเก็บเอกสารทั้งหมดที่มีอยู่ในมือเข้าซองสีน้ำตาล แล้วพิจารณาถึงเงื่อนไขทั้งหมดที่มีอยู่ “ถ้ามีข้อมูล เพียงเท่านี้ล่ะก็...อืม”

ฮันนิบาลไตร่ตรองอย่างเยือกเย็นหันไปมองเซรีนแล้วกล่าวออกมา

“เซรีน เราควรเสนอราคาไปเท่าไหร่ดีล่ะ” ชายหนุ่มหันไปถามหญิงสาว เพราะ เขาเชื่อว่า เซรีน ต้องให้คำตอบออกมาในแบบที่เขาคิดไว้

“สิบเปอร์เซ็นต์ที่มันเสนอดีไหมคะ” เซรีนวิเคราะห์ถึงสิ่งที่ ฮันนิบาลถามอยู่ครู่หนึ่งก่อนตอบกลับ

“ดีเลย เดี๋ยวเราไปเสนอราคาด้วยกันนะ เซรีน”

“อืม ได้เลยค่ะ”

ลึกเข้าไปในป่าแห่งหนึ่งที่ไม่มีคนรู้จัก เวลา 8.00 PM

ลึกเข้าไปในป่าที่ไม่มีคนรู้จักและอยู่ห่างออกไปจากสายตาของเหล่าผู้คน ยังมีเคหะสถานขนาดใหญ่หลังหนึ่งตั้งอยู่ใจกลางป่าลึก มันคือคฤหาสน์ทรงยุโรปโบราณที่ดูหรูหราโออ่าและถูกทาด้วยสีดำทั้งหลังราวกับรัตติกาลรอบ ๆ คฤหาสน์หลังนี้เต็มไปด้วยเจ้าหน้าที่หน่วยรักษาความปลอดภัยที่ติดอาวุธครบมือกำลังลาดตระเวนอยู่ในส่วนต่าง ๆ ของคฤหาสน์เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยภายใน

ในห้องทำงานของคฤหาสน์สีดำทมิฬ ราโดสลาฟ ลูเธอร์ (44 ปี) นักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซียเชื้อสายยิว รูปร่างสูงโปร่งอยู่ในชุดสูทสีขาวบริสุทธิ์ผูกเนกไทสีดำ เขามีรูปโครงใบหน้าแหลมเรียว ผมสั้นประบ่าสีม่วงจัดทรงเอาไว้อย่างดี ดวงตาสีเหลืองทองบริสุทธิ์ที่ดูสุภาพคู่นั้นกลับแฝงไว้ด้วยความหื่นกระหายในบางสิ่ง กำลังนั่งรอใครสักคนที่จะมาเยี่ยมเยือนที่นี่เพื่อพูดคุยธุระเรื่องสำคัญในค่ำคืนนี้

“ท่านศาสตราจารย์ครับ ผมขออนุญาต”

“เชิญเข้ามา”

“ท่านศาสตราจารย์ครับ คุณวิคเตอร์ ที่นัดท่านไว้กำลังรอท่านอยู่ที่ห้องรับรองครับ”

ผู้ที่เดินเข้ามาในห้องแล้วโค้งคำนับอย่างสุภาพเขาคือ รอนดา นิโคเลวิช (38 ปี) ชาวรัสเซียร่างสูงใหญ่อยู่ในชุดสูทสีขาวผูกเนกไทสีเดียวกันและสวมแว่นตาสีดำ เขาคือผู้ช่วยทั้งในงานและนอกงานของ ราโดสลาฟ

“เขามาถึงแล้วรึ” ราโดสลาฟ เอ่ยปากถามผู้ช่วยคนสนิทของเขาที่เดินเข้ามา

“ใช่ครับ เขาพึ่งมาถึงเมื่อสักครู่” นิโคเลวิช ตอบศาสตราจารย์ของเขากลับไปอย่างนอบน้อม

“อืม ดูท่าผมคงต้องลงไปต้อนรับเขาซะหน่อย” ศาสตราจารย์นาม ราโดสลาฟ พูดจบเขาก็ลุกขึ้นหยิบไม้เท้ามาพยุงร่างกายทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ขาพิการ แล้วเดินออกไปจากห้องทำงานอย่างสุภาพชน

ใน ห้องรับรอง วิคเตอร์ โรมานอฟ (33 ปี) มหาเศรษฐีรัสเซียร่างสูงใหญ่ในชุดสูทสีดำ ผมสีเทาแสกกลางมาอย่างดี ใบหน้าคมเข้ม นัยน์ตาสีดำสนิทมีแววตาที่ดูแข็งกร้าวจนน่ากลัวกำลังนั่งทานอาหารรอ ราโดสลาฟผู้เป็นเจ้าของคฤหาสน์ที่นัดเขาไว้ให้มาคุยเรื่องธุระสำคัญกัน

“สวัสดี ดอกเตอร์” วิคเตอร์ โรมานอฟ กล่าวคำทักทาย ราโดสลาฟ ที่ได้เปิดประตูเดินเข้ามา

“สวัสดีครับ มิสเตอร์โรมานอฟ ไม่ได้เจอกันเสียตั้งนาน” ราโดสลาฟ ตอบกลับด้วยรอยยิ้มแบบผู้ดีที่เปี่ยมไปด้วยความสุภาพและมีมนต์เสน่ห์

“ฉันมีธุระสำคัญที่จะคุยกับแก ขอเข้าเรื่องเลยละกัน” โรมานอฟเอ่ยถึงเรื่องสำคัญที่เขาจะมาแจ้งให้อีกฝ่ายหนึ่งทราบ

“เชิญว่ามาได้เลยครับ” ราโดสลาฟ ยื่นมือมาข้างหน้าเพื่อเชื้อเชิญให้อีกฝ่ายพูด

“ผลงานที่แกทำออกมานั้นมันดีกว่าที่เราคิดเอาไว้เสียอีก”

“ขอบคุณที่ชมครับมิสเตอร์โรมานอฟ ผมรู้สึกเป็นเกียรติมากเลยที่คุณพูดแบบนั้น”

“ผมเองก็เคยคิดเอาไว้แล้วเหมือนกันว่า ผลงานของผมนั้นมันยิ่งใหญ่และมีค่าเกินกว่าที่จะให้พวกสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำอย่างเจ้าพวกนั้นมันเชยชม”

ราโดสลาฟ พูดขึ้นอย่างอ่อนน้อมถ่อมตนแต่ยังไม่วายที่จะชื่นชมตนเอง พร้อมกับกล่าวคำดูถูกเหยียดหยามต่อสิ่งใดก็ตามที่เขาต้องการจะเอ่ยถึง

“คุณรู้อะไรไหมครับ มิสเตอร์โรมานอฟ” ราโดสลาฟ เอ่ยถามถึงบางสิ่งขณะที่ โรมานอฟ นั้นยังคงนั่งฟังอย่างเงียบ ๆ

“การทดลองวิทยาศาสตร์ เพื่อให้ได้มาซึ่งผลงานที่ยิ่งใหญ่และสมบูรณ์แบบออกมาให้คนทั้งโลกต้องจดจำนั้น มันต้องมีผู้เสียสละกันบ้าง”

“แน่นอนว่าผู้เสียสละย่อมต้องเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำที่อ่อนด้อยทางสติปัญญาหาความรู้ไม่ได้ เพราะ ไม่ว่าจะอยู่ในยุคใดสมัยใดก็ตามพวกมันก็เกิดมาเพื่อเป็นสัตว์ทดลองพันธุ์ผสมที่ไร้ค่าอยู่แล้ว”

“ใช่ไหมล่ะ คุณคงคิดเหมือนผมใช่ไหม มิสเตอร์โรมานอฟ”

ราโดสลาฟ แสดงความคิดเห็นอันร้ายกาจของตนจนจบ เขาก็เอ่ยปากถามชายหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามทันที

“ใช่ ฉันเห็นด้วยกับแก” โรมานอฟ ตอบกลับไปอย่างเคร่งขรึมโดยไม่รู้สึกอะไร

“ดีทีเดียวที่คุณเห็นด้วยกับผม มิสเตอร์โรมานอฟ”

ราโดสลาฟ เอ่ยด้วยรอยยิ้มอย่างมีเลศนัยเมื่อมีคนเห็นด้วยกับความคิดของเขา สิ่งที่อยู่ในใจเขาตอนนี้ไม่มีใครล่วงรู้ และความคิดของเขานั้นก็ลึกล้ำเกินกว่าจะคาดเดา

“แกคงหมดเรื่องจะพูดแล้วใช่ไหม ราโดสลาฟ”

คราวนี้เป็นทีของโรมานอฟเอ่ยปากถามบ้างหลังจากที่เขาต้องทนฟังราโดสลาฟพูดจนจบ

“ใช่ครับ สิ่งที่ผมจะพูด ผมก็พูดจบแล้ว”

“ดี ถ้าอย่างนั้นฉันขอตัวก่อนล่ะ” โรมานอฟ ลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินตรงไปยังประตูห้องรับรอง

“ขอโทษที คุณจะกลับแล้วเหรอครับ”

น้ำเสียงนุ่มนวลดังขึ้นทำให้ โรมานอฟ หยุดชะงักที่หน้าประตู แล้วหันไปมอง ราโดสลาฟ ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้

“แกมีอะไรอีก”

“ไม่มีอะไรหรอกครับมิสเตอร์โรมานอฟ แต่ถ้าคุณจะกลับแล้วล่ะก็ผมคงต้องฝาก “ของสิ่งนี้” ให้คุณไปมอบให้กับ มิสเตอร์เดเมียน เจ้านายของพวกเราด้วยแล้วกันครับ” นักวิทยาศาสตร์ประจำองค์กรOHRRราโดสลาฟ ล้วงมือเข้าไปหยิบจดหมายฉบับหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อ แล้วส่งมันไปให้ โรมานอฟ มหาเศรษฐีหมื่นล้านชาวรัสเซียผู้ส่งข่าวสารจากองค์กรเดียวกัน

“ฝากบอก มิสเตอร์เดเมียน ด้วยนะครับว่า ผมยังรักและเคารพเขาอยู่เสมอ” นักวิทยาศาสตร์ผู้ทรงอำนาจแห่งโลกอาชญากรรมนาม ราโดสลาฟ เผยรอยยิ้มเล็ก ๆ บนริมฝีปากบางเฉียบราวกับใบมีดคมกริบที่สามารถเชือดเฉือนได้ทุกสรรพสิ่ง

“ได้แล้วฉันจะบอกเขาให้” โรมานอฟ ตอบกลับด้วยท่าทางเงียบขรึม แล้วเอื้อมมือไปหยิบจดหมายที่อีกฝ่ายส่งมาเก็บเข้ากระเป๋าเสื้อของตน ก่อนจะเดินออกจากห้องรับรองไป

“อืม ขอบคุณนะครับ มิสเตอร์โรมานอฟ คุณนี่ช่างมีน้ำใจเสียเหลือเกิน”

ปึง !

สิ้นเสียงประตูห้องรับรองที่ถูกปิดลงนั่นหมายความว่าการสนทนาแบบปากปราศรัยน้ำใจเชือดคอก็จบลงพร้อมกันทันที วิคเตอร์ โรมานอฟ มหาเศรษฐีหมื่นล้านชาวรัสเซีย เดินออกจากห้องรับรอง ลงไปยังบันไดวน ออกไปจากคฤหาสน์ ตรงไปยังรถลีมูซีนที่จอดอยู่และก็มีชายใส่สูทสีดำลงมาจากรถต้อนรับเขาจำนวนหนึ่ง ก่อนจะขับรถออกไป

ในห้องรับรอง ราโดสลาฟ ที่ยังคงนั่งอยู่ เขาได้หยิบไวน์ชั้นเลิศมาเทลงใส่แก้วแล้วค่อย ๆ จิบมันลงไปในลำคออย่างช้า ๆ เพื่อสัมผัสกับรสชาติอันหอมละมุนของไวน์จนหมดแก้วแล้ววางลง ก่อนจะเผยรอยยิ้มเล็ก ๆ บนริมฝีปากบางเฉียบราวกับใบมีดคมกริบอย่างมีเลศนัยให้เห็นอีกคราหนึ่ง

ที่เหมืองเพชรแห่งหนึ่งในแอฟริกาใต้ เวลา 16.00 AM

เขาคือชายผู้หลงรักโลกที่ตกอยู่ในภาวะ “อนาธิปไตย” เสมอมา

เขาคือบุรุษผู้หลงใหลในโลกที่ไร้การควบคุม สังคมที่ปราศจากกฎเกณฑ์ใด ๆ ทั้งปวง

เขาคือ เดเมียน โดมินิค ธอร์น ผู้ที่กำลังยืนอยู่กับนักฆ่าคนสนิทของเขาผู้มีนามว่า อลองโซ คาลิเวียลา บนเหมืองเพชรเหมืองหนึ่งในแอฟริกาใต้ขณะนี้

ด้วยวัย 43 ปี เดเมียน ธอร์น นั้นยังคงเป็นบุรุษผู้มีรูปร่างสูงสง่าในชุดสูทสีดำผูกเนกไทสีแดง เขามีผมสั้นสีแดงเข้ม ใบหน้าเรียวยาว ดวงตาคมสีน้ำเงินที่ดูลึกล้ำและเปี่ยมล้มไปด้วยความเมตตากรุณาราวกับทวยเทพบนสรวงสวรรค์ แต่กลับแฝงเร้นไว้ด้วยความโหดร้ายเลือดเย็นดั่งดวงเนตรแห่งพญามาร คู่นั้นได้จ้องมองไปยังเหล่าคนงานทั้งหลายที่กำลังทำงานอยู่ที่พื้นเบื้องล่าง

บุรุษ ลึกลับที่ยืนอยู่เคียงข้าง เดเมียน ธอร์น เขาคือ อลองโซ คาลิเวียลา (42 ปี) มือสังหารชาวฝรั่งเศสผู้มีรูปร่างสูงใหญ่ในชุดสูทสีดำสนิท เขามีผมสั้นสีทองประบ่า และสวมแว่นดำปกปิดดวงตาสีแดงเข้มดั่งโลหิตที่ดูลึกลับจนน่าสะพรึงกลัวเอาไว้ อยู่ เขาคือนักฆ่าคนสนิทของ เดเมียน ผู้ที่กำลังยืนอยู่บนเหมืองเพชรเช่นเดียวกัน

เหมืองเพชรแห่งนี้มีนามว่า “โกลเด้นซัน” มันเป็นเหมืองเพชรที่มีขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดยที่เหมืองเพชรแห่งนี้มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1.40 กิโลเมตร และมีความลึกถึง 540 เมตรเลยทีเดียว และ ผู้ที่เป็นเจ้าของเหมืองเพชรเหมืองนี้นั่นก็คือ “บริษัท คามอร์ราคอเปอเรชั่น” กลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ระดับโลกผู้เป็นเจ้าของธุรกิจสัมปทานทางด้านพลังงาน เหมืองแร่ทองคำ เหมืองเพชร และธนาคารในหลายๆ สิบประเทศทั่วโลก ที่มีนักธุรกิจมหาเศรษฐีชาวอเมริกันเชื้อสายยิวผู้ร่ำรวยเป็นอันดับห้าของโลกอย่าง เดเมียน ธอร์น เป็นเจ้าของ

“สวัสดีค่ะ คุณเดเมียน”

เสียงทักทายอย่างสุภาพดังขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของสตรีผู้หนึ่งนาม ดอลฟา ไฮเลอร์ (24 ปี) สาวเยอรมันผิวพรรณขาวนวลร่างสูงเพรียวระหงได้สัดส่วน ผมสีขาวราวหิมะยาวสยายรับดับใบหน้าแหลมเรียวเป็นธรรมชาติดูสง่างาม ดวงตาคมนัยน์ตาสีม่วงคู่นั้นฉายแววเย่อหยิ่ง กำลังเดินเข้ามาหาบุรุษทั้งสองที่ยืนอยู่

“มีเรื่องมาแจ้งให้คุณทราบค่ะ”

ทนายความสาวผู้ทรงอำนาจแห่งโลกอาชญากรรม เอ่ยขึ้นในขณะที่สายตาของเธอยังคงมองไปยังบุรุษที่ยืนหันหลังให้เธออยู่

“พูดมาสิ” เดเมียน ธอร์น ตอบกลับด้วยเสียงเงียบขรึมโดยไม่หันกลับไปมอง

“บทละครที่คุณสร้างมันกำลังเริ่มแล้วค่ะ”

ทนายความสาวรายงานเรื่องสำคัญบางอย่างที่พวกเขาเตรียมเอาไว้ให้เดเมียนได้รับรู้

ผ่านไปสักพักท่ามกลางบรรยากาศเงียบงันอันน่าสะพรึง เดเมียน ธอร์น นักค้าอาวุธผู้ทรงอำนาจแห่งโลกอาชญากรรมได้เอ่ยถึงบางสิ่ง

“มิสไฮเลอร์”

“มิสเตอร์อลองโซ”

เดเมียน นักค้าอาวุธผู้ทรงอำนาจได้เอื้อนเอ่ยถึงนามของ อลองโซ นักฆ่าที่อันตรายที่สุดในโลกอาชญากรรม และ ดอลฟา ไฮเลอร์ ทนายความคนสำคัญของโลกอาชญากรรม

“ครับ / ค่ะ” ทนายความสาวคนสำคัญและนักฆ่าคนสนิทของเขา ตอบกับไปพร้อมกัน

เดเมียน ได้หันหลังกลับไปมอง อลองโซ นักฆ่าคนสนิท และ ดอลฟา ไฮเลอร์ ทนายความคนสำคัญ โดยมีแสงตะวันยามเย็นสีแดงเข้มราวกับโลหิตปรากฏให้เห็นเป็นฉากหลัง

“บทละครของผมมันพึ่งโหมโรงขึ้น”

“สิ่งที่ผมจะแสดงให้โลกนี้ได้เห็น มันพึ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น”

เดเมียน เอ่ยขึ้นอย่างสุภาพน้ำเสียงนุ่มนวล

ใบหน้าสงบนิ่งของเขาปรากฏรอยยิ้มเล็ก ๆ ที่ดูอ่อนโยน แต่กลับแฝงเร้นไว้ด้วยความชั่วร้ายเลือดเย็น

คำพูดของเขาสั่นสะเทือนโลกนี้ได้ทั้งใบ กลืนกินได้ทุกสรรพสิ่ง ทำลายล้างได้ทุกอย่าง

คำพูดของเขานั้นทำให้ อลองโซ คาลิเวียลา เผยรอยยิ้มเล็ก ๆ แห่งความน่าสะพรึงกลัวออกมาให้เห็น

คำพูดนั้นทำให้ ดอลฟา ไฮเลอร์ ผุดรอยยิ้มงดงามน่าลุ่มหลงแต่แฝงไว้ด้วยความอำมหิตเลือดเย็นดั่งอสรพิษร้าย

เมื่อคำพูดนั้นจบลงทั้งสามก็ได้แยกย้ายกันไปโดยไม่หลงเหลือร่องรอยใด ๆ เอาไว้ให้เห็นอีกเลย

To Be Continued

ขอบคุณทุก ๆ คนที่ติดตามอ่านนะครับ

Edited by วีโดราและมิเนอร์วา

Share this post


Link to post
Share on other sites

เป็นนิยายเกี่ยวกับสงครามหรอครับemo%20(01).gif

ใช่แล้วครับ ฟิคแนวสงครามนั่นแหละ

Edited by วีโดราและมิเนอร์วา

Share this post


Link to post
Share on other sites

วีวี่ซังผมกลับมาแล้วน่ะ >w< จะมาแต่งต่อตามที่บอกไว้แล้ว

วีวี่ซังแต่งออกมายาวเช่นเคย :emo (03):

:emo (60): ตามไม่ทันแล้ว ช่วงนี้งานเยอะเหลือเกินจะแต่งไล่ทันไหมเนี่ย ฮะฮะฮะ

Share this post


Link to post
Share on other sites

ตัดสินใจกลับมาแต่งใหม่แล้วครับ คราวนี้ว่าจะแต่งไปเรื่อย ๆ ไม่รีบร้อนอะไร และตอนนี้กำลังคิดเทคโนโลยีใหม่ ๆที่จะนำมาใช้ในฟิคตอนต่อ ๆ ไป

Edited by วีโดราและมิเนอร์วา

Share this post


Link to post
Share on other sites

สนุกค่ะ เนื้อเรื่องน่าสนใจดีค่ะ แต่มันดูจริงจัง

และแข็งไปนิด เหมือนว่าจะพยามให้น่าค้นหาแต่

มันก็ยังดูทื่อๆอยู่นิดหน่อย โดยรวมดีค่ะ สนุกใช้ได้

Share this post


Link to post
Share on other sites

จะรออ่านนะครับ :emoother_08:

Share this post


Link to post
Share on other sites

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

Guest
Reply to this topic...

×   Pasted as rich text.   Paste as plain text instead

  Only 75 emoji are allowed.

×   Your link has been automatically embedded.   Display as a link instead

×   Your previous content has been restored.   Clear editor

×   You cannot paste images directly. Upload or insert images from URL.

Loading...
Sign in to follow this  

×
×
  • Create New...