Jump to content
Sign in to follow this  
falconzero

The Endless Story

Recommended Posts

สวัสดีครับ ผมเด็กใหม่สายนักเขียน ชื่อฟอลคอน วันนี้นำงานที่ฝึกเขีียนมาแปะครับ

อนึ่ง งานนี้ทำขึ้นเพื่อฝึกเขียนมุมมองบุคคลที่1 และแต่งเอามันส์ อาจจะเละๆ เทะๆ บ้างก็ขออภัย

ปล. เนื่องจากคนเขียนวาดรูปไม่เก่ง ดังนั้นจึงเปิดรับแฟนอาร์ตจากทุกๆ คน TwT

-------------------------------------------

สารบัญ

บทนำ My link

ตอนที่ 1 ชื่อของฉันคือ!?My link

ตอนที่ 2 ผู้มาเยือน My link

ตอนที่ 3 ความลับแตก? My link

ตอนที่ 4 เพื่อนใหม่ My link

ตอนที่ 5 ตรวจร่างกาย My link

ตอนที่ 6 กลับบ้าน + แถมพิเศษย้อนหลัง My link

ตอนที่ 7 น้องสาว My link

ตอนที่ 8 สิ่งที่เรียกว่าน้องสาว My link

ตอนที่ 9 ฟิลด์ VS วิลลา!! My link

ตอนที่ 10 เรื่องของสองเรา My link

ตอนที่ 11 ผู้สร้างและผู้ถูกสร้าง My link

ตอนที่ 12 เลนเน่ My link

ตอนที่ 13 Relvier, The Angel of Hope

ตอนที่ 14 หญิงสาวผู้รักการต่อสู้

ตอนที่ 15 เปิดม่านการเดินทางครั้งใหม่

ตอนที่ 16 มาเยือนครั้งแรก

ตอนที่ 17 การเดินทางอันแสนลำบาก

Edited by falconzero

Share this post


Link to post
Share on other sites

ภายในห้องทดลองอันมืดมิด มีหลอดแก้วใสขนาดสองเมตรตั้งเรียงกันอยู่เป็นจำนวนมาก ภายในนั้นมีร่างของสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งบรรจุอยู่

สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า"เทพเจ้า"

ชาย คนหนึ่งเดินวนไปมาภายในห้องนั้น นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มสอดส่องสายตาไปตามหลอดแก้วทีละหลอด จนมาถึงหลอดสุดท้าย หรืออีกนัยหนึ่งคือหลอดแรกที่เขาสร้างขึ้น ภายในหลอดนั้นบรรจุร่างของหญิงสาวเอาไว้ และเป็นร่างที่สมบูรณ์ที่สุดกว่าทุกๆ ร่างที่เขาเดินผ่านมา

กึก...เพล้ง!!

หลอดแก้วนั้นแตกออก พร้อมๆ กับของเหลวข้างในที่ทะลักออกมาเป็นจำนวนมาก เมื่อไร้สิ่งปดปิด ร่างของเธอคนนั้นก็ประจักสู่สายตาของเขาเป็นครั้งแรก ผมสีทองยาวสลวยถึงกลางหลัง เรือนร่างเล็กอรชรกับผิวสีขาวนวลอันน่าสัมผัส แสงสีขาวสว่างวาบขึ้นรอบกายของเธอ ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นชุดลองเดรสสีขาวสะอาด ทำให้ความงดงามของเธอดูหน้าหลงไหล นัยน์ตาคู่สวยค่อยๆ เปิดออก เผยให้เห็นดวงตาสีทองนวลราวกับพระจันทร์ยามค่ำคืน ใบหน้ารูปไข่หันซ้ายขวา แล้วจึงกลับมาหยุดอยู่ที่ร่างของชายหนุ่มเบื้องหน้า ร่างของผู้ที่ให้กำเนิดเธอ

"สวัสดี ยินดีด้วยที่ได้เกิดมาบนโลกแห่งนี้..." เขาเอ่ยกับเธอ

"สวัสดีค่ะ ท่านฟอลคอน"

ฟอลคอน...ถึงแม้ว่าเธอจะเพิ่งเกิด แต่กลับรู้เรื่องของคนตรงหน้าเป็นอย่างดีราวกับสนิทชิดเชื้อกันมานาน

"รู้จักฉันสินะ?" เขาถามอีกครั้ง

"ค่ะ" ฉันพยักหน้า แล้วค่อยๆ คุกเข่าลงทำความเคารพ

"ดีมาก เอาล่ะ ตอนนี้ฉันมีงานให้เธอทำอย่างหนึ่ง..."ฉันค่อยๆ เงยหน้าขึ้นไปสบตากับเขา จิตใจของฉันสงบนิ่งดุจผิวน้ำเรียบลื่น พร้อมที่จะรับฟังคำสั่งของคนตรงหน้าทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดก็ตาม...

"เฝ้าบ้านให้หน่อยนะ"

หา?

"โอเคนะ ฉันคิดว่าเธอคงรู้ว่าที่นี่คือที่ไหน ข้อมูลของที่นี่ก็คงอยู่ในหัวเธอหมดแล้ว ไม่น่าจะหลงหรอก เอาล่ะ ฉันไปล่ะนะ เฝ้าบ้านดีๆ ล่ะ" ฉันมองตามท่านฟอลที่เดินไปลากกระเป๋าเดินทางใบโตตรงมุมห้องออกประตูไป เขาหันกลับมาโบกมือให้ฉัน ฉันเองก็โบกมือตอบเขากลับไป ก่อนที่ร่างของเขาจะหายไปจากห้องนี้

"ว่าแต่...ฉันชื่ออะไรล่ะ?"

Share this post


Link to post
Share on other sites

คือว่านะครับ ใช้editแก้ใส่ข้อมูลเพิ่มลงไปก็ได้นะครับ ผมเตือนเอาไว้ก่อนนะครับ

mod ท่านอื่นๆจะได้ไม่ต้องมาเตือนอีก ผมเตือนด้วยความหวังดีนะครับ

ไม่งั้นอาจโดนข้อหาปั้มเนียนนะครับ

Edited by HaDes

Share this post


Link to post
Share on other sites

อาครับ ไม่ต้องห่วงครับ จะไม่มีแบบนี้อีกแล้ว =v=

ผมตั้งใจทำแบบนี้เพื่อทำให้ผู้อ่านมาอ่านได้ง่าย และสะดวกในการค้นหาตอนต่างๆ นะครับ ถ้าทำเป็นเรปเดียวเลยมันก็จะยาวน่าเกลียดไปหน่อย

Share this post


Link to post
Share on other sites

จองแบบธรรมดาทั่วไป ไม่เป็นไรครับ จองทิ้งจองขว้าง ยิงทิ้ง โฮะๆ :emo (49):

Share this post


Link to post
Share on other sites

บรรยายได้ดีครับ

น่าจะปรับปรุงการเว้นบรรทัดของบทอธิบายยาวๆหน่อยนะครับ จะได้ดูสวยขึ้น

Share this post


Link to post
Share on other sites

บทที่ 1 ชื่อของฉันคือ!?

ฉันกำลังเดินทอดน่องอยู่ภายในบ้าน หรือจะบอกว่ากำลัง "เฝ้าบ้าน" ก็ได้ นี่เป็นงานแรกของฉันที่ได้รับมอบหมาย ดังนั้นฉันจะทำให้ดีที่สุด!!

ว่าแต่ไม่มีอะไรทำฆ่าเวลาเลยแฮะ น่าเบื่อจัง...

ท่านฟอลก็ยังไม่ได้ตั้งชื่อให้เราเสียด้วยสิ เรียกตัวเองไม่ถูกแฮะ...

อืม...เรื่อง ชื่อช่างมันก่อน ตอนนี้ขอเดินสำรวจตัวบ้านไปพลางๆ ดีกว่า บ้านอาไร๊~ มีตั้งร้อยห้องนอน ยี่สิบห้องน้ำ ห้าห้องครัว สามห้องนั่งเล่น แถมยังมีหอประชุม สระว่ายน้ำ สนามกีฬา สนามประลองยุทธิ์ แล้วก็ห้องลับ เอ๋? ห้องลับนี่มันห้องอะไรหว่า?

ฉันครุ่นคิด แต่สายตาก็มองสำรวบพื้นที่รอบๆ ไปด้วย ซึ่งตอนนี้ฉันอยู่ในคลังอาวุธที่เต็มไปด้วยอาวุธนานาชนิด ไม่ว่าจะดาบ หอก ธนู ปืน หน้าไม้ และอีกสารพัดอาวุธที่เรียงรายกันอยู่เต็มไปหมด ที่กำแพงด้านหนึ่งมีกระจกใสติดอยู่ ฉันมองลอดออกไปยังอีกห้องหนึ่ง ห้องข้างๆ กันนั้นเป็นพื้นที่โล่งกว้างพอสมควรมีหญ้าขึ้นแซมเล็กน้อย จากเรื่องบางอย่างในหัวของฉันทำให้ฉันจำได้ทันทีว่าที่นี่คือสนามประลอง ยุทธ์

นี่เราเดินเล่นมาถึงที่นี่เลยเหรอเนี่ย...แต่ไหนๆ ก็มาถึงสนามประลองยุทธ์ทั้งที ใช้บริการสักหน่อยจะดีกว่า

ฉันเดินไปที่กองอาวุธดาบ ก่อนจะเลือกหยิบบัสตาร์ดซอร์ดสีเงินสวยขนาดกระชับมือขึ้นมาเล่มหนึ่ง ไม่รู้ว่าทำไมฉันถึงได้รู้สึกคุ้นเคยกับมันมากพอควร แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่จะเอามาใส่หัวในตอนนี้

หลังจากที่ฉันเลือก อาวุธเสร็จ ฉันก็เดินลงไปยังสนามประลองที่ไร้ผู้คนแล้วเริ่มกวัดแกว่งดาบไปมาพร้อมกับ ขับขานท่วงทำนองไปด้วย สักพักหนึ่งท่วงท่าของฉันก็กลายเป็นท่าเต้นรำที่เข้าคู่กับอาวุธในมือเป็น อย่างดี เสียอย่างเดียวที่นี่ไม่มีคู่ต่อสู้ให้ทดสอบฝีมือ

วิ้ง!!

จู่ๆ เบื้องหน้าของเธอก็ปรากฎร่างของชายหนุ่มคนหนึ่ง ผมสีดำรกรุงรังราวกับไม่ได้รับการดูแลรักษา ปีกค้างคาวสีดำสนิทสยายออก นัยน์ตาทอประกายสีแดงมองลอดไรผมมายังตัวฉัน มันแสยะยิ้มราวกับเจอเหยื่ออันโอชะ

โฮก! เจ้าปีศาจคำรามลั่นแล้วพุ่งเข้าใส่ฉันด้วยความรวดเร็ว แต่เสียใจย่ะ ฉันเร็วกว่า! ดาบในมือของฉันตวัดไปมาเพื่อต้านการโจมตีของอีกฝ่ายได้อย่างทันท่วงที แล้วจึงก้มตัวลงพร้อมกับเสยดาบขึ้นฟันเจ้าปีศาจนั่นขาดเป็นสองส่วน! ร่างของมันสลายไปทันที

"โฮะๆๆ จะมาอีกร้อยตัวก็บ่ยั่นค่า~"

วริ๊ง~

ไวเท่าความคิด เจ้าปีศาจแบบเดิมก็โผล่ออกมาพร้อมๆ กันเป็นจำนวนมากจนฉันสะดุ้งเล็กน้อย นี่มันออกมาร้อยตัวจริงๆ เรอะเนี่ย!?

"หึๆๆ เข้ามาเลยเจ้าพวกปีศาจทั้งหลาย ไม่ว่าจะมีสักกี่ตัวฉันก็จะกำจัดให้หมดเอง!"

"โฮก!!"

หลาย ชั่วโมงผ่านไป กับฉันที่สังหารพวกปีศาจเหล่านั้นไปหลายตัวจนศพของพวกมันกองพะเนินเทินทึก ฉันตวัดดาบตัดคอเจ้าปีศาจตัวสุดท้ายให้ลงไปนอนอยู่กับเพื่อนๆ ของมันก่อนจะเดินออกมาจากสนามด้วยความเหนื่อยอ่อน เหงื่อท่วมตัว

ฮ้า~ ได้ออกกำลังกายแบบนี้บ่อยๆ ก็ดีเหมือนกันแฮะ

ฉัน เดินเข้าคลังอาวุธไปเพื่อที่จะเก็บบัสตาร์ดซอร์ด แต่ราวกับว่าเจ้าดาบนี่มันติดใจฉันเข้าเสียแล้ว เพราะไม่ว่าฉันจะเก็บยังไง มันก็มักจะหายวับมาอยู่ข้างกายฉันอยู่เรื่อย

"เฮ่อ.. งั้นแกก็มาอยู่กับฉันละกันนะ ว่าไง?" ราวกับมันตอบรับเสียงของฉันเป็นอย่างดี ใบดาบสีเงินเงาวับเป็นประกายยิ่งกว่าเก่า ฉันหัวเราะอย่างอารมณ์ดี

เอา ล่ะ หลังจากจัดการเรื่องดาบเสร็จเรียบร้อยแล้ว ในฐานะที่ฉันเป็นหญิงสาวอันแสนงดงาม หลังจากออกกำลังกายจนเหม็นเหงื่อแบบนี้ก็ต้องไปชำระล้างร่างกายให้สะอาดหมด จด สองขาของฉันจึงได้นำพาฉันให้มาหยุดอยู่ที่ห้องอาบน้ำรวมที่สามทันที

"ว้าว~" ฉันอุทานออกมาเมื่อพบว่าห้องอาบน้ำที่สามแห่งนี้ใหญ่ราวกับโรงอาบน้ำเลยที เดียว ที่กลางห้องมีสระว่ายน้ำขนาดใหญ่มากพอที่จะว่ายน้ำเล่นไปมาได้ น้ำในสระเป็นสีใสจนมองเห็นพื้นกระเบื้องสีขาวลายหินอ่อนด้านล่างได้อย่าง ชัดเจน ฉันไม่รอช้ารีบถอดเสื้อผ้าแล้วกระโดดลงแช่น้ำทันควัน

"ฮ้า~ สบายตัวดีจัง" ฉันพึมพำอย่างเป็นสุขแล้วว่ายน้ำไปมา ไม่ก็ดำน้ำเล่นสักพัก ฉันรู้สึกว่าน้ำในสระนี้ออกจะพิเศษนิดหน่อยตรงที่ว่าเมื่อลงไปแช่แล้วผิวของ ฉันจะเปล่งปลั่งเป้นประกายระยิบระยับสวยงามมาก เมื่อเอาน้ำมาล้างเส้นผมสีทองของฉัน มันก็จะยิ่งเงาสว่างเป็นประกาย เวลาต้องแสงไฟก็จะทอประกายรุ้งออกมาเลยทีเดียว

ฉันอาบน้ำอยู่เกือบ ชั่วโมงแล้วจึงขึ้นจากสระมาแต่งตัว น่าแปลกที่ชุดของฉันกลับมาสะอาดสะอ้านไร้กลิ่นเหงื่อเช่นกัน คงเพราะฉันอาบน้ำ เสื้อผ้าก็เลยสะอาดตามด้วยล่ะมั้ง?

เอาเถอะ ยังไงตอนนี้ก็ดึกแล้ว รีบเข้านอนดีกว่า ว่าแต่...นอนห้องไหนล่ะ?

ฉันเดินวนเวียนอยู่ในเขตพักผ่อนของบ้าน เดินสำรวจห้องนอนแต่ละห้อง ซึ่งทุกห้องที่ฉันเข้าไปดูนั้นจะโล่งโจ้ง ไม่มีอะไรอยู่ในห้องเลยจนฉันคิดว่าตัวเองจะต้องนอนพื้นเสียแล้ว สายตาของฉันก็มาหยุดอยู่ที่หน้าห้องนอนห้องสุดท้าย มันเป็นเพียงห้องนอนห้องเดียวที่มีป้ายชื่อเจ้าของห้องติดอยู่

"Falcon room"

ทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่านั่นเป็นห้องของใคร แต่ฉันก็ถือวิสาสะเปิดเข้าไป และเดินตรงไปที่เตียงใหญ่กลางห้องโดยไม่สนใจจะมองรอบข้างแม้แต่น้อย เมื่อหัวถึงหมอน นัยน์ตาของฉันก็หรี่ล่ง ก่อนจะเข้าสู่ห้วงนิทราอย่างรวดเร็ว

...สิ....

ต...สิ....

อืม...เสียงอะไรกัน อย่ามารบกวนการนอนของฉันสิ ฉันพลิกตัวหนีเสียงนั้นไปอีกทางหนึ่ง แต่ก็ยังไม่ว่าถูกตามรังควานอีก จนฉันทนไม่ไหวลุกขึ้นมามองต้นตอของเสียงรบกวนนั้น และก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง

"ท่านฟอล!!"

"อื้ม ผมเอง" เขายิ้มให้ฉันอย่างอารมณ์ดี จนฉันเผลอยิ้มตาม และก็ต้องหุบยิ้มลงอย่างรวดเร็วเมื่อนึกได้ว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องของใคร

"อ๊ะ เอ่อ...คือ..."

"ไม่ต้องเป็นห่วง ที่นี่เป็นในฝันของเธอ ไม่ใช่ที่บ้านหรอก"เขาพูดตอบอย่างรู้ใจ ฉันหัวเราะแหะๆ

"ว่าแต่บ้านเป็นยังไงบ้างล่ะ?"

"น่าอยู่มากค่ะ สบายดี" ฉันตอบ แต่เขากลับหัวเราะคิกคัก

"ไม่ใช่ๆ ที่ให้เฝ้าบ้านต่างหากล่ะ"

"อ๊ะ! เอ่อ... ก็ดีค่ะ เงียบสงบดี" ฉันหันหน้าหลบไปอีกทางหนึ่งเพื่อซ่อนสีแดงบนใบหน้าจากเขา แต่เขากลับฉวยโอกาสกอดฉันเสียนี่ แม้ฉันอยากจะสะบัดเขาให้หลุดออกไป แต่ร่างกายฉันกลับไม่ยอมทำตาม ใบหน้าร้อนผ่าวจนฉันรู้สึกได้

"เรลเวียร์"

"คะ? เรลเวียร์?"ฉันหันกลับไปถามเขา ซึ่งนั่นเป็นการกระทำที่ผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง เพราะมันทำให้ใบหน้าของเขากับฉันห่างกันไม่ถึงคืบ

"ชื่อ ของเธอยังไงล่ะ" เขาพูดย้ำอีกครั้งหนึ่งก่อนจะค่อยๆ ประทับริมฝีปากลงบนหน้าผากของฉัน ฉันหลับตาปี๋ ตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า ใบหน้านวลแดงระเรื่อถึงใบหู ยืนตัวเกร็งอยู่ในอ้อมกอดของเขา ฉันสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ของเขาที่แก้ม เสียงอันนุ่มนวลและอ่อนโยนกระซิบบอกที่ข้างหูของฉันอีกครั้ง

"ตั้งแต่นี้ต่อไป ชื่อของเธอคือ เรลเวียร์"

.....

...

พรึบ! ฉันสะดุ้งตัวโยนทันที สะบัดผ้าห่มสีขาวสะอาดหล่นลงกับพื้นห้องสีเดียวกัน และเริ่มกวาดสายตามองรอบๆ โต๊ะอ่านหนังสือหนึ่งตัว คอมพิวเตอร์หนึ่งเครื่อง ชั้นหนังสือ ตู้เสื้อผ้า ตู้เย็น ทั้งหมดนั่นเป็นข้าวของเครื่องใช้ที่ตั้งอยู่ภายในห้องนอนแห่งนี้

ห้องของฟอลคอน

"ฝัน...เหรอ?" ฉันพึมพำเบาๆ ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างเศร้าๆ

ยังไงเสียมันก็เป็นแค่เรื่องในฝัน ไม่ใช่เรื่องจริงสักหน่อย...

"อืม...ชัก หิวข้าวแล้วสิ ออกไปหาอะไรกินดีกว่า" ฉันเดินออกจากห้องของเขาไปโดยไม่สนใจจะเปิดดูตู้เย็นที่ตั้งอยู่ใกล้ๆกับ ชั้นหนังสือ หรืออีกนัยหนึ่งคือตอนนี้ฉันไม่คิดจะสนใจอะไรเลยสักนิด แต่กลับต้องมาสะดุดกับประตูห้องนอนที่อยู่ตรงกันข้ามกับห้องที่ฉันเพิ่งจะ เดินออกมา เมื่อคืนประตูห้องนี้ยังคงเป็นประตูไม้ปกติเหมือนทุกๆ ห้องอยู่ แต่ตอนนี้มันกลายเป็นประตูสีขาวสะอาดมีลายดอกไม้สีทองสวยประดับอยู่ที่มุม ประตูทั้งสี่ แต่ไม่ว่ามันจะงดงามสักเพียงใดก็ไม่สามารถดึงความสนใจฉันไปจากตัวอักษรสีทอง สั้นๆที่ติดอยู่ตรงกลางประตูได้

"Relvier room"

ฉันใช้มือไล้ ไปตามอักษรเหล่านั้นโดยไม่รู้ตัว น้ำใสๆ หลั่งออกมาอาบแก้ม แต่ฉันไม่สนใจที่จะเช็ดมันออก เพราะในหัวของฉันตอนนี้มีรับรู้ได้เพียงเรื่องเดียวเท่านั้น

มันไม่ใช่ความฝัน...

"ตั้งแต่นี้ต่อไป ชื่อของฉันคือเรลเวียร์"

Share this post


Link to post
Share on other sites

บทที่ 2 ผู้มาเยือน

สวัสดีจ้า เรลเวียร์เองนะ หลังจากห่างหายไปสักพักก็กลับมาสู่ชีวิตประจำวันภายในบ้านแห่งนี้แล้วล่ะ อิคนเขียนก็ยังจะหน้าด้านหน้าหน้าทนเขียนไปทั้งๆ ที่มีคนอ่านแต่ไม่มีคนเม้นเลย ไม่ได้คิดจะเบิลเรปแต่อย่างใดนะจ๊ะ

เอาล่ะ เข้าเรื่องกันดีกว่า นี่ก็ผ่านมาได้สัปดาห์กว่าแล้วหลังจากเหตุการณ์ในฝันวันนั้น ตอนนี้ฉันเองก็ใช้ชีวิตอยู่ในที่แห่งนี่ได้อย่างไม่หลงทางเหมือนตอนแรกๆ แล้ว(แม้จะไม่รู้สึกว่าตัวเองหลงทางก็เถอะ) การใช้ชีวิตแต่ละวันของฉันก็เป็นไปอย่างเรียบง่าย ซ้ำไปซ้ำมา และเริ่มที่จะน่าเบื่อ

“เฮ้อ... ไม่มีอะไรใหม่ๆ เข้ามามั่งเลยเหรอเนี่ย...”ฉันบ่นในขณะทานสเต็กเนื้อสุดหรูที่ถึงแม้จะรสชาติดีแค่ไหน แต่ฉันก็รู้สึกว่ามันช่างธรรมดาเสียเหลือเกิน

“เมื่อไหร่ฟอลจะกลับมากันนะ...” ฉันถอยหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง แล้วเริ่มกวาดสายตาไปรอบๆ ห้องเหมือนอย่างที่เคยทำอยู่ทุกวี่วัน ราวกับว่าจะมีใครสักคนโผล่มาในเวลานี้

ปึง!!

ฉันสะดุ้งเฮือกแล้วหันกลับไปมองประตูห้องอาหารที่ตอนนี้มีหญิงสาวผมสีแดงเพลิงคนหนึ่งในชุดกี่เพ้าสีครีมยืนหอบแฮ่กอยู่ นัยน์ตาสีเดียวกันหรี่ลงด้วยความเหนื่อยอ่อน มือบางค่อยๆ ยกขึ้นก่อนจะชี้มาที่...ฉัน?

“อา...” แล้วจู่ๆ ยัยนี่ก็พุ่งเข้าใส่ฉันอย่างรวดเร็ว ความรู้สึกแรกที่สัมผัสได้จากหญิงสาวปริศนาคนนี้คือ...ร้อน ร้อนมากจนฉันต้องกระโดดถอยหลังออกมาอยู่ห่างๆ พร้อมตั้งท่าเตรียมเข้าปะทะ ทว่า...

“งั่มๆๆ” เสต็คเนื้อที่เหลือถูกซัดโฮกลงคอของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว แถมยังหยิบน้ำส้มของฉันไปซดอีก น้ำส้มช้านนน~

“ฟู่...รอดแล้ว” มาร่งมารอดอะไรกันไม่ทราบ! เอาน้ำส้มฉันคืนมาเดี๋ยวนี้เลยนะ!!

“อ้าว หวัดดี เธอเป็นใครเหรอ?” กินอาหารชาวบ้านเขาหมดแล้วเพิ่งจะมาเห็นหัวรึไงฟระ!! ถึงจะอยากพูดออกไปแบบนั้นแต่ก็ต้องควบคุมสติทำตัวดีๆ เอาไว้ก่อน

“ฉันคือเรลเวียร์ คนที่รั...”

“อ๋อ ท่านเรลน่ะเอง ฉันชื่อ เฟลม นะ ยินดีที่ได้รู้จักจ้า” เฟลมเดินมาจับมือเชคแฮนด์กับฉันอย่างเป็นมิตรโดยที่ฉันยังไม่ทันได้พูดจบ

“ว่าแต่ มีข้าวเหลืออีกไหมอ่ะ?”

ณ ห้องทดลองที่เคยเป็นสถานที่เกิดของฉัน บัดนี้กลายเป็นสนามรบไปเรียบร้อยแล้ว เนื่องจากมีสาวๆ สี่คนที่ไม่รู้ตายอดตายอยากมาจากไหน นั่งสูบเอ้ย! กินอาหารกันอย่างรวดเร็ว หนึ่งในนั้นเป็นเฟลม (นี่หล่อนยังกินได้อีกเรอะ?) อีกสามคนที่เหลือไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน แต่ทุกคนก็มีบางสิ่งบางอย่างที่คล้ายกัน

อย่างแรกเลยก็คือ ทุกคนต่างมีผมยาวถึงกลางหลังเหมือนกันหมด ต่างกันแค่สีผม

สองคือแต่ละคนมีนัยน์ตาสีเดียวกันกับเส้นผมตัวเองเป๊ะๆ

สามคือ ยัยพวกนี้มันกินล้างกินผลาญกันเหลือเกิน โอ้ย!! จะกินให้หมดบ้านเลยรึเปล่าฟระ!!

“อิ่มแล้วค่ะ” หญิงสาวผมฟ้ารวบอาวุธ(?)ของตน ก่อนจะหันมาใช้นัยน์ตาคู่โตมองฉันอย่างปลื้มปิติ

“ขอบคุณท่านเรลมากๆ เลยนะคะ” เธอลุกขึ้นยืนแล้วโค้งตัวเคารพฉันอย่างสุภาพ ก่อนจะจัดกิโมโนให้เรียบร้อย

“ไม่เป็นไรหรอก เอ่อ...”

“เฟียร์ ค่ะ” เธอยิ้มน้อยๆ ให้กับฉัน

“คิดว่าท่านอาจจะยังสับสนอยู่นิดหน่อย เดี๋ยวดิฉันจะอธิบายเรื่องราวทั้งหมดให้ฟังเองนะคะ” เฟียร์พูดขึ้นก่อนจะหันไปมองเพื่อนๆ ของตน

เฟลม ฟิลด์ โฟลว ดิฉันขอตัวไปพูดคุยเรื่องของพวกเรากับท่านเรลก่อนนะคะ” เฟลมและเพื่อนสาวอีกสองคนพยักหน้า แล้วหันไปสนใจกับกองอาหารต่อ นี่พวกเธอกะจะมากินกันอย่างเดียวหรือไงฟะ!?

“เอาล่ะค่ะ ดิฉันจะขอแนะนำตัวอีกรอบหนึ่งนะคะ ชื่อของดิฉันคือ เฟียร์ คนผมแดงชื่อ เฟลม คนผมเขียวชื่อโฟลว ส่วนคนผมสีน้ำตาลชื่อฟิลด์ พวกเราเป็นภูติแห่งธาตุทั้งสี่” ฉันหันกลับไปมองเฟลมที่กำลังกินสเต็กอย่างมูมมาม หญิงสาวผมสีเขียวในชุดเสื้อสายเดี๋ยวกับกระโปรงทรงเอที่กำลังกัดน่องไก่ทอด และคนผมสีน้ำตาลในชุดแบบไทยๆ ที่ยกชามต้มยำกุ้งขึ้นมาซดโฮกราวกับน้ำ ฉันพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ และจะจำเอาไว้ว่าพวกภูติกินจุกันขนาดไหน

“แล้วพวกเธอเข้ามาในนี้ได้ยังไงล่ะ? ”

“พวกเราไม่ได้เข้ามาในนี้ค่ะ พวกเราเกิดขึ้นที่นี่ต่างหาก” เฟียร์อธิบายเสียงเรียบ แต่คำตอบนั้นกลับทำให้ฉันเหวอไปเลย

“หมายความว่าพวกเธอ...” เฟียร์พยักหน้าเพื่อยืนยันคำพูดของฉัน แล้วจึงเอ่ยคำตอบที่อยู่ภายในใจฉันออกมาได้อย่างถูกต้อง

“ค่ะ ท่านฟอลเป็นผู้สร้างและมอบชีวิตให้กับพวกเรา เฉกเช่นเดียวกับตอนที่ท่านถือกำเนิดมานั่นเอง”

Share this post


Link to post
Share on other sites

สวัสดี นี่เรลเวียร์เหมือนเดิมนะ รู้ๆ กันอยู่ว่าเจอกันในฟิคสั้น ดังนั้นไม่ต้องถามอะไรมาก น่ารำคาญ

หา? ทำไมดูอารมณ์เสียผิดปกติ โอ้ย! ไม่ใช่วันนั้นของเดือนสักหน่อย ไอ้ที่ทำให้อารมณ์เสียน่ะ มันของตรงหน้านี่ต่างหาก

“ว้าย~ โฟลว อย่าสิ”

“อะไรกันเฟลม รู้สึกว่าเธอจะเกินหน้าเกินตาแล้วนะ”

“หนอย เธอก็เหมือนกันแหละย่ะ”

“หยุดเล่นกันสักทีได้ไหม ที่นี่มันห้องอาบน้ำนะ” ฉันเอ่ยเสียงเรียบแบบทุกที แต่ไม่รู้ทำไมเฟลมกับโฟลวถึงหน้าซีดลง แถมยังขานรับคำอย่างว่าง่ายก็ไม่รู้ มารู้ทีหลังก็ตอนที่เฟียร์บอกว่าสีหน้าของฉันตอนที่พูดออกไปนั่นมันน่าขนลุกขนาดไหน นี่ฉันน่ากลัวขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย?

แต่การที่ทั้งสองคนนั้นเล่นกันในห้องอาบน้ำไม่ใช่เรื่องที่ทำให้ฉันอารมณ์ไม่ดีหรอกนะ อะไรนะ? โธ่! ก็บอกว่าไม่ใช่วันนั้นไงเล่า!! นี่ฉันกำลังพูดถึงขนาดหน้าอกอยู่ต่างหาก! เฟลมกับโฟลวนี่รู้สึกจะ C ทั้งคู่ ฟิลด์ก็ใหญ่เกินหน้าเกินตา น่าจะ D แหงๆ ขนาดเฟียร์ที่ตัวเล็กสุดยังคัพ B เลย แล้วทำไม...

ทำไมถึงมีแต่ฉันที่คัพ A กันเล่า!! กว๊าซซ!!!!(หมายเหตุ:สตรีที่ดีไม่ควรกรีดร้องเช่นนี้) คอยดูนะ พอฟอลกลับมา ฉันจะต้องทำให้เขาเปลี่ยนบอดี้ฉันให้ยิ่งใหญ่กว่ายัยพวกนั้นหลายๆ เท่าเลย เอาสักคัพ H เลยดีกว่า ฮ่าๆๆ

“นี่ๆ โฟลวว่าวันนี้ท่านเรลแปลกๆ ไปรึเปล่าน่ะ?” เฟลมกระซิบถาม โฟลวพยักหน้า

“เดี๋ยวก็อารมณ์บูด เดี๋ยวก็หัวเราะคิกคักในลำคอ อารมณ์แปรปรวนอย่างนี้น่าจะวันนั้นของเดือนมั้ง”

“เอ๋? ท่านฟอลสร้างท่านเรลเหมือนจริงขนาดนั้นเลยงั้นเหรอ?”

“ไม่รู้สิ มันเป็นแค่การคาดเดาน่ะ”

“นี่! สองคนตรงนั้นน่ะ คุยอะไรกันอยู่ไม่ทราบ!!”เรลหันมาว้ากใส่พร้อมชี้มายังที่ๆ ทั้งสองคนยืนอยู่

“ป...เปล่าค่า!!!”

หลังจากเวลาอาบน้ำ ทุกๆ คนก็มักจะแยกย้ายกันเข้าห้องนอนของตัวเอง ฉันเองก็เป็นหนึ่งในนั้น

“ราตรีสวัสดิ์ค่ะ ท่านเรลเวียร์” สี่ภูติกล่าวอำลาพร้อมกัน ฉันโบกมือตอบทั้งสี่คนก่อนที่แต่ละคนจะแยกย้ายเข้าไปยังห้องนอนของตนเอง เหลือเพียงฉันคนเดียวเท่านั้น และในขณะที่ฉันกำลังจะเปิดประตูห้องตัวเอง ฉันกลับรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง

เสียง...เสียงร้องโหยหวนที่แว่วมาเพียงเล็กน้อยตามทางเดิน ฉันหันไปตามทิศทางของเสียงนั้น แต่มันก็เงียบลงโดยฉันพลัน

หูแว่วไปรึเปล่า?

ฉันสะบัดหน้าไปมาก่อนจะเปิดประตูห้องนอนของตนเองเพื่อเข้าไปพักผ่อน หืม? อะไรนะ? คิดว่าฉันจะเข้านอนงั้นเหรอ คิดง่ายไปม้าง~ ฉันเดินไปที่โทรทัศน์จอแบนขนาดสามสิบนิ้วเครื่องเดิม แล้วจึงกดเป็นโหมด “คาราโอเกะ” แล้วจึงนั่งเลือกเพลงไปพลางๆ

เห? ทำไมโทรทัศน์ถึงมีโหมดนี้งั้นเหรอ ก็เสกมาน่ะสิ ฮ่าๆๆ

เออ...คือจริงๆ แล้วก็แค่คิดว่าอยากมีอะไร พอนอนแล้วตื่นเช้ามามันก็มีของที่ต้องการมาตั้งอยู่ในห้องแล้วน่ะ เหลือแค่จัดให้เข้าที่ซึ่งฉันก็แค่ใช้พลังแห่งแสงนิดหน่อยก็ยกพวกนี้ได้สบายๆ แล้ว ดังนั้นตอนนี้ภายในห้องสีขาวของฉันจึงเต็มไปด้วยสิ่งบันเทิงใจนานาชนิด เช่นทีวีจอแบนอย่างที่บอก ชั้นหนังสือที่เต็มไปด้วยการ์ตูนและอนิเมชัน กระจกขนาดใหญ่ที่เพียงแค่ฉันนึกว่าอยากลองใส่ชุดอะไร ภาพของฉันตอนใส่ชุดนั้นก็จะปรากฏอยู่ในกระจก แล้วถ้าฉันเกิดอยากได้จริงๆ พอเช้าวันต่อมา ชุดนั้นก็จะเข้าไปอยู่ในตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่ของฉันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ตู้เสื้อผ้าของฉันก็เต็มไปด้วยชุดโลลิต้าติดระบายเสียส่วนใหญ่ เอ๊ะ? อยากเห็นฉันใส่เหรอ เรื่องสิ! ใครจะไปใส่ชุดน่าอายแบบนั้นลงกันเล่า!! โอ๊ะ เพลงที่ฉันเลือกมันครบร้อยเพลงแล้วงั้นเหรอ งั้นก็ร้องเลยก็แล้วกัน อ้อจะบอกอะไรให้ ห้องฉันเป็นห้องเก็บเสียงแหละ ดังนั้นฉันจะว้ากเท่าไหร่ก็ไม่รบกวนคนอื่นๆ เป็นแน่

“เอาล่ะ เพลงแรก...”

“เมื่อคืนท่านเรลไม่ได้นอนเหรอคะ?”โฟลวถามฉันในเวลาทานอาหารเช้า

“อื้ม ก็นั่งคิดนั่งลองวิชาดาบแบบใหม่อยู่น่ะ”ฉันตอบไปด้วยเหตุผลที่เตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว เฟลม กับโฟลวตาลุกวาวทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น ส่วนเฟียร์เองก็ทำหน้าเลื่อมใส มีแต่ฟิลด์นั่นแหละที่ยังคงนั่งอ่านหนังสืออยู่อย่างเงียบๆ ไม่สนใจใคร จะว่าไปแล้วยัยภูติธาติดินคนนี้ก็นิ่งๆ เงียบๆ ไม่พูดไม่จา นี่ถ้าไม่หันไปมองก็คงไม่รู้ว่ามีเธอนั่งอยู่ล่ะนะ

ฟิลด์หันมาประสานสายตากับฉัน เธอลุกขึ้นมาสะบัดผมสีน้ำตาลยาวก่อนจะเดินมากระซิบข้างๆ

“เสียงเธอก็ออกจะเพราะดีหรอกนะ แต่ช่วยร้องให้ถูกคีย์หน่อยจะดีมาก เพราะฉันไม่อยากให้เพลง หนึ่งพันคำ ต้องมัวหมองเพราะการร้องคาราโอเกะของเธอ” และเธอก็เดินจากไป ทิ้งฉันที่ยืนนิ่งค้างอยู่ตรงนั้น กับภูติอีกสามตัวที่เหลือที่ยังคงมีสีหน้ามึนงงเนื่องจากไม่รู้เรื่องราวอะไรเลย และฉันตอนนี้ก็ไม่รับรู้เรื่องราวรอบข้างเช่นกัน

น...นี่ยัยนั่นรู้ความลับของฉันได้ยังง๊ายยยยยยยยยยยยยยยยยยย!!!

Edited by falconzero

Share this post


Link to post
Share on other sites

แกรกๆ

ชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังนั่งจดบันทึกอะไรบางอย่างลงในสมุดบันทึกของตัวเอง แสงจากโคมไฟส่องกระทบ เผยให้เห็นใบหน้าเรียวหวาน ผมสีทองซอยสั้นระต้นคอ นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มดูนิ่งเฉยยามที่อ่านบันทึกตรงหน้า ก่อนจะมีสีหน้าครุ่นคิดโผล่ขึ้นมาเป็นระยะๆ

เฟลม (Flame) – ภูติแห่งไฟ

ลักษณะ – ผมสีแดงเพลิงยาวถึงกลางหลัง ตาสีเดียวกัน ผิวสีน้ำผึ้ง รูปร่างเล็ก เพรียว มีโค้งเว้า ส่วนสูง 155 ซม. คล้ายเด็กอายุ 14-15 ปี คัพ C

นิสัย – ร่าเริงแจ่มใสได้ตลอดเวลา ยิ้มได้ทุกวี่วัน กินเก่ง ชอบเล่นสนุก และมักจะชวนคนอื่นๆ มาสนุกด้วยกันเสมอๆ

การแต่งกายพื้นฐาน – ชุดกี่เพ้าผ่าข้างสีขาวครีมขลิบแดง เปิดไหล่ รองเท้าส้นสูงสีขาว

เฟียร์ (Phere) - ภูติแห่งน้ำ

ลักษณะ – ผมสีน้ำเงินเป็นประกายยาวกถึงกลางหลัง ตาสีเดียวกัน ผิวขาวอมชมพู รูปร่างเล็ก บอบบาง ส่วนสูง 151 ซม. คล้ายเด็กอายุ 13-15 ปี คัพ B

นิสัย – เรียบร้อยเหมือนผ้าพับไว้ ใจดี ชอบช่วยเหลือคนอื่น มีมารยาทมากที่สุดในภูติทั้งสี่

การแต่งกายพื้นฐาน – ชุดกิโมโนสีฟ้าลายดอกซากุระ รองเท้าเกี๊ยะไม้

ฟิลด์ (Field) - ภูติแห่งดิน

ลักษณะ – ผมสีน้ำตาลยาวเลยหลัง ตาสีเดียวกัน ผิวแทน รูปร่างสูง หุ่นดี ส่วนสูง 167 ซม. คล้ายวัยรุ่นอายุ 17-18 ปี คัพ D

นิสัย – พูดน้อย ต่อยหนัก เงียบขรึม ดูเหมือนไม่ค่อยพูดจา แต่มักสังเกตการกระทำของคนอื่นๆ อยู่เสมอ ชอบอ่านหนังสือ

การแต่งกายพื้นฐาน – ชุดไทยประยุกต์สีน้ำตาลขลิบทอง(ช่วงบนสวมเกาะอกทับด้วยผ้ารัดอกชายยาวพาดบ่า ปล่อยชายยาวเลยเอว เปิดหน้าท้อง กระโปรงโบราณยาวถึงข้อเท้า) ใส่รองเท้าแตะ

โฟลว (Flow) – ภูติแห่งลม

ลักษณะ – ผมสีเขียวซอยสั้น เลยต้นคอมานิดหนึ่ง นัยน์ตาสีเดียวกันกลมโต ผิวสีขาวนวล สูงพอประมาณ รูปร่างสมส่วน ส่วนสูง 159 ซม. คล้ายวัยรุ่นอายุ 15-17 ปี คัพ C

นิสัย – ร่าเริง แจ่มใส่ คล่องแคล่วว่องไว อยู่ไม่สุข ชอบเดินไปเดินมา หรือต้องหาอะไรทำสักอย่าง สนิทกับเฟลมมาก พูดเก่ง(พูดมาก) แต่งตัวเก่ง ซึนเดเระนิดๆ

การแต่งกายพื้นฐาน – ปกติจะอยู่ในชุดแนวสบายๆ แบบชุดอยู่บ้าน เช่นเสื้อยืดกางเกงขาสั้น รองเท้าแตะ หรือชุดเรียบๆ ที่เห็นกันได้ทั่วไป แต่ชุดหลักจริงๆ เป็นชุดฝรั่งเศสหลากสี ประดับลูกไม้มากมาย แถมยังมีหลายแบบหลายแนวเก็บเอาไว้เปลี่ยนในแต่ละวัน (แต่เจ้าตัวอายที่จะใส่โชว์เพื่อน จึงเก็บเอาไว้ใส่ดูเอง)

ชายหนุ่มเขียนบันทึกมาถึงตรงนี้ก็เริ่มขมวดคิ้ว เพราะโปรไฟล์ของคนต่อไปนั่นเอง

เรลเวียร์ (Relvier) - ??

ลักษณะ – ผมสีทองยาวเลยหลัง นัยน์ตาสีเดียวกัน ผิวขาวนวลอมชมพู รูปร่างเพรียว บาง สูงประมาณ 165 ซม. คล้ายหญิงสาวอายุ 18 ปี

นิสัย - ??

การแต่งกายพื้นฐาน – ชุดลองเดรสสีขาวติดระบาย

“แย่จริงๆ ด้วยแฮะ... ตอนสร้างก็ไม่ได้ใส่รายละเอียดอะไรเอาไว้มากด้วยสิ” ชายหนุ่มบ่นออกมาเบาๆ แล้วเริ่มครุ่นคิด จะเอายังไงกับเรลดี แก้ไขข้อมูล หรือว่าจะ...

ก๊อกๆ

“ยังไม่นอนอีกเหรอ พ่อหนูนักเดินทาง” เสียงพูดเจือความห่วงใยของหญิงสาววัยกลางคนดังมาจากอีกฟากของประตูห้อง

“อา...ขอโทษนะครับ พอดีต้องสะสางงานที่ยังค้างอยู่นิดหน่อยน่ะครับ”เขาตอบกลับไปอย่างอารมณ์ดี

“จ้า ป้าไม่ได้จะว่าอะไรหรอก แต่เห็นว่านี่ก็เที่ยงคืนแล้ว ไฟในห้องยังเปิดอยู่เลย ป้าเลยสงสัยว่าหนูหลับคาโต๊ะไปแล้วรึเปล่าน่ะ”

“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ เพราะเดี๋ยวผมก็จะเข้านอนแล้ว”

“จ้า พักผ่อนให้สบายนะจ๊ะ ฟอลคอน”

“ครับ” สิ้นเสียงขานรับ ก็มีเสียงก้าวเดินที่ค่อยๆ แผ่วลง ก่อนจะเป็นเสียงประตูเปิดออก และปิดลงอีกครั้ง ฟอลคอนเองก็แบอุปกรณ์เครื่องเขียนของตนเองลงกระเป๋า ก่อนจะมองสมุดที่ยังคงเปิดกางอยู่อย่างสับสน

เรล...ฉันจะแก้เธอยังไงดีนะ?

“นี่โฟลว”

“อะไรเหรอฟิลด์”

“รู้สึกถึงพลังของท่านเรลไหม?”หญิงสาวร่างสูงถามเพื่อนที่ยืนอยู่ข้างๆ ตน ในขณะที่ชมการประลองของเรลเวียร์กับเฟลม

“อื้ม ท่านเรลทักษะดีมากเลยล่ะ”

“ไม่ ฉันหมายถึงพวกอำนาจพิเศษน่ะ”

“เห? ก็น่าจะมีไม่ใช่เหรอ เป็นถึงท่านเรลเวียร์เลยนี่นา”โฟลวตอบก่อนจะหันไปสนใจการประลองตรงหน้า ฟิลด์ลอบถอนหายใจเล็กน้อย

ไม่มีใครรู้สึกเลยงั้นเหรอ... ว่าท่านเรลแทบจะไม่มีพลังอำนาจวิเศษอะไรติดตัวเลยแม้แต่นิดเดียว ราวกับเป็นเพียงคนธรรมดาๆ เท่านั้น แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น...เธอก็ยังมีพลังมากกว่าพวกเรารวมกันสี่คนเสียอีกนะ!

เคร้ง!

เสียงโลหะกระทบกันดังก้อง สองสตรีกำลังถือดาบเข้าห้ำหั่นกันอย่างเอาเป็นเอาตาย! แต่ที่จะตายมันเหมือนจะเป็นแค่ฝ่ายเดียวเสียมากกว่า

“ย้าก!” เฟลมกระโดดยกดาบของตัวเองขึ้นเหนือหัว หวังจะฟันฉัน หึ ฝันไปเถอะ!!

ฉันยกดาบขึ้นรับการโจมตีของเฟลม ก่อนจะปัดให้วิถีดาบเบนออกด้านข้าง ส่งผลให้เฟลมล้มกลิ้งลงมากองกับพื้นข้างๆ ฉันใช้ดาบจ่อไปที่ลำคอของอีกฝ่าย พร้อมยิ้มอย่างผู้มีชัย

“จบการต่อสู้ ท่านเรลเวียร์ชนะ” เฟียร์ยกธงเล็กๆ สีทองของฝั่งฉันขึ้นบ่งบอกชัยชนะ ฉันเก็บดาบเข้าฝักอย่างใจเย็น ต่างกับเฟลมที่โยนอาวุธของตนเองไปกองรวมกับอาวุธอื่นๆ ที่เจ้าตัวเคยใช้ในศึกก่อนหน้านี้

“โธ่! ท่านเรลอ๊ะ ทำตัวเก่งเกินไปแล้วนะ!!”

ฉันเก่งมาตั้งแต่เกิดแล้วย่ะ โฮ่ๆๆ ฉันหัวเราะลั่นภายในใจของตนเอง ก่อนจะหันไปมองอีกสามคนที่เหลือ

“มีใครจะประลองกับฉันอีกไหม?” เฟียร์กับโฟลวส่ายหน้าปฎิเสธ ส่วนฟิลด์ก็ส่งสายตามามองทีหนึ่ง ก่อนจะหันกลับไปสนใจหนังสือในมือต่อ

“หนูค่าๆ ขอหนูอีกรอบน้า” เฟลมยกมือขึ้นสุดเหมือนเด็กๆ ก่อนจะวิ่งไปหากองอาวุธที่ยังไม่ได้ใช้ และเริ่มรื้อมันออกมา ฉันถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนเมื่ออีกฝ่ายถือขวานที่ดูแล้วน่าจะใหญ่กว่าตัวเฟลมสักเท่าหนึ่งมาอย่างเก้ๆ กังๆ

“คราวนี้จะใช้ขวานนี่งั้นเหรอ?” ฉันถาม

“หึๆๆ ไม่ใช่ขวานธรรมดาด้วยนะ ดูนี่!!” พริบตานั้น ขวานเหล็กก็ติดไฟพรึบ! ฉันรู้สึกได้ทันทีว่าเปลวไฟนี้ร้อนขนาดไหน

“เริ่มคิดจะใช้เวทย์มนตร์แล้วสินะ? หึๆๆ” ฉันขำเล็กน้อยที่ได้เห็นอะไรสนุกๆ อะไรน่ะเหรอ? ก็เรื่องบางเรื่องที่เฟลมยังไม่รู้ตัวอีกน่ะสิ ว่าได้ทำอะไรลงไป...

“ถ้าไม่ใช่ถึงขนาดนี้ คงเอาชนะท่านเรลไม่ได้แน่...เอาล่ะ มาเริ่มกันเถอะ!!”

“เฟลม~” เฟียร์ส่งเสียงเรียกจากข้างสนาม ทำให้การต่อสู้ที่กำลังจะเริ่มต้องหยุดชะงักลง

“อะไรอีกเล่าเฟียร์!!”

“ขวานติดไฟของเธอมันเริ่มละลายแล้วนะ” พูดจบ สายตาของเฟลมก็หันไปมองขวานของตัวเองที่คมขวานเริ่มละลายเพราะความร้อนจากเปลวไฟของเธอ กลายเป็นของเหลวหยดแหมะๆ ลงกับพื้นสนามประลอง

“ว...ว้าย!” เธอรีบโยนขวานนั้นทิ้งทันที ก่อนจะชี้มาที่ฉัน

“คอยเดี๋ยวก่อนนะ! เดี๋ยวฉันไปหาอาวุธที่ทนพลังไฟของฉันได้สักครู่!” พูดจบเธอก็วิ่งกลับไปรื้อกองอาวุธเช่นเดิม โดยที่ฉันยืนหัวเราะอย่างสนุกสนานอยู่กลางสนามประลอง ยัยเฟลมนี่ตลกดีแฮะ แต่ถ้ายัยนี่ยังหาอาวุธของตัวเองไม่เจอ สงสัยฉันคงจะต้องยืนรอจนเย็นแหงๆ คงต้องช่วยสักหน่อยแล้ว คิดได้ดังนั้นฉันจึงหร่ตาเล็กลงแล้วเพ่งสายตาไปที่เฟลม รอบๆ ร่างของเฟลมเริ่มมีออร่าสีทองขึ้นรอบๆ ก่อนจะมีเส้นบางๆ พุ่งออกมา มันไม่ได้วิ่งไปหาอาวุธใดๆ ในกองอาวุธนั้น แต่มันกลับวิ่งผ่านไปยังอีกห้องหนึ่งที่อยู่ด้านหลังของฉัน จำได้ว่ามันเป็นคลังเก็บข้อมูลของฟอล

ฉันเดินออกจากสนามประลองด้วยความมึนงงของอีกสี่คนที่เหลือ แต่ฉันไม่สนใจ เดินเปิดประตูเข้าห้องข้อมูล ภายในห้องนั้นสว่างโล่งจากหลอดไฟนีออนบนเพดาน รอบๆ ห้องเต็มไปด้วยฝุ่นและหยากไย่จำนวนมาก ตามมุมห้องมีชั้นหนังสือที่ว่างเปล่าเรียงรายอยู่ และที่เบื้องหน้าของฉันก็เป็นโต๊ะทำงานที่ฝุ่นจับหนา บนโต๊ะนั้นมีกล่องสี่ใบที่ถูกล็อคกุญแจไว้อย่างแน่นหนา โดยที่กล่องแรกนั้นมีเส้นบางๆ จากร่างของเฟลมอยู่

“ท่านเรลเวียร์ มีอะไรเหรอคะ?”เฟียร์เดินเข้ามาถามฉัน อีกสามคนที่เหลือก็เดินตามหลังมา และเริ่มสำรวจห้องไปทั่ว

“โห ฝุ่นอย่างหนาอ่ะ อุ้บ แค่กๆๆ” มือของเฟลมปัดไปโดนชั้นหนังสือ ส่งผลให้ฝุ่นฟุ้งกระจายเต็มหน้า

“ว่าแต่ท่านเรลมาทำอะไรในห้องนี้เหรอ?” โฟลวถามขณะที่มองสำรวจไปรอบๆ ห้อง และเริ่มบ่นเรื่องที่ห้องนี้ไม่มีหน้าต่างแม้แต่บานเดียว

“...”ฟิลด์มองสำรวจตามชั้นหนังสืออย่างตั้งใจราวกับว่าจะมีหนังสือสักเล่มโผล่ขึ้นมา

ตอนนี้สายตาของฉันจับจ้องไปที่ร่างของทั้งสี่คน และหันกลับมามองกล่องสี่กล่องตรงหน้าที่มีเส้นใยบางๆ เชื่อมต่อภูติทั้งสี่ น่าแปลกที่จู่ๆ ฉันก็รู้วิธีปลดผนึกกล่องเหล่านี้ ฉันจับแม่กุญแจแล้วเริ่มพึมพำเบาๆ

“ด้วยนามแห่งข้า เรลเวียร์ ผนึกเอย จงคลายออก!”

แกร๊ก แม่กุญแจปลดสลักออกอย่างง่ายดาย และฉันก็ทำเช่นนั้นกับอีกสามกล่องที่เหลือ ท่ามกลางสายตางุนงงของภูติทั้งสี่ ฉันหันกลับไปยิ้มให้พวกภูติเหล่านั้น ส่งผลให้พวกเธอสะดุ้ง นี่! รอยยิ้มฉันมันน่าตกใจขนาดนั้นเลยรึไง!?

“มีอะไรเหรอคะ?” เฟลมถามอย่างสุภาพ อะไรกัน ไม่สมกับเป็นเธอเลยนะเฟลม แต่ฉันไม่คิดจะตอบออกไป ฉันหยิบกล่องใบแรกให้เฟลม กล่องใบที่สองให้เฟียร์ กล่องสามให้ โฟลว และกล่องสุดท้ายให้ฟิลด์ ทั้งสี่หันมามองฉันอย่างแปลกใจ

“ของขวัญ” ฉันยักไหล่ตอบอย่างไม่ยี่หระ ภูติทั้งสี่มองหน้ากันไปมาแล้วจึงเปิดกล่อง ก่อนจะ...

กรี้ด!!!

ฉันอุดหูแทบไม่ทันกับเสียงกรีดร้องนรกของทั้งสาม(ฟิลด์แค่เบิกตากว้าง) ทุกๆ คนมีสีหน้าที่ดูแปลกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก ยิ้มปนเคลิ้มล่ะมั้ง? ว่าแต่ของในกล่องนั่นมันคืออะไรกันนะ ยังไม่ทันจะเดินไปดูของในกล่องก็ขยับตัวออกมาเอง

เฟลมมีนกสีแดงเพลิงตัวเล็กๆ น่ารักบินไปเกาะบนหัว

เฟียร์มีสัตว์แปลกๆ ตัวยาวๆ สีฟ้าๆ เลื้อยไปพันคอ อ๊ะ มันมีขาด้วยแฮะ

โฟลวโยนกล่องทิ้งแทบไม่ทันเมื่อเจ้าแมวตัวน้อยกระโดดใส่เธอ และเริ่มคลอเคลีย

ส่วนฟิลด์ ถือกล่องหันหลังเดินไปที่มุมห้อง ก่อนจะยกมือไปไว้ในกล่อง ทำอะไรของเธอน่ะ? ด้วยความสงสัย ฉันจึงเดินไปจะชำเลืองมองสิ่งที่อยู่ในกล่องของฟิลด์ แต่เนื่องจากหล่อนตัวสูงที่สุด ฉันจึงมองไม่เห็นว่ามันเป็นอะไร แต่เห็นเธอเอานิ้วแหย่เล่นในกล่อง และยิ้ม!

พระเจ้า! นี่สาวเงียบขรึมที่สุดในภูติ..เอ่อ..ในบ้านหลังนี้ยิ้มงั้นเหรอ!! ของในกล่องนั่นมันเป็นอะไรกันแน่นะ! เดี๋ยวๆ สามกล่องที่เหลือเป็นสัตว์หมดเลยนี่นา...งั้นในกล่องของฟิลด์ก็คงเป็นตัวอะไรสักอย่างสินะ แล้วมันเป็นตัวอะไรถึงได้ทำให้ฟิลด์ยิ้มได้กัน!!

ฉันที่ไม่ได้สนใจอีกสามคนที่เหลือ เพิ่งจะสังเกตว่าตอนนี้ทั้งสามก็มารุมอยู่รอบๆ ฟิลด์เหมือนกัน นี่ขนาดคนล้อมอยู่ขนาดนี้เธอยังไม่รู้สึกตัวอีกเรอะ! จะโลกส่วนตัวเกินไปแล้วนะเฮ้ย!!!

ฉันเห็นโฟลวลอยตัวขึ้นเหนือหัวฟิลด์ แล้วอุทานออกมา

“โห เต่าตัวเล็กน่ารักจังเลย”

ต...เต่างั้นเร้อ!!

ฟิลด์สะดุ้งโหยงและเพิ่งจะสังเกตว่าตอนนี้ทุกๆ คนกำลังเพ่งความสนใจมาที่เธอ(ความรู้สึกช้านะเราน่ะ) แล้วจู่ๆ หญิงสาวก็หน้าแดงขึ้นอย่างไม่มีสาเหตุ และวิ่งหนีหายออกไปจากห้องในทันที ปล่อยให้ฉันและอีกสามภูติที่เหลือยืนตะลึงด้วยความแปลกใจ ก่อนที่โฟลวจะพูดทำลายความเงียบนี้ออกมา

“ฟิลด์นี่ชอบอะไรแปลกๆ แฮะ”

หมายเหตุ ภาพประกอบฟิคเพื่อเพิ่มความเข้าใจ

ตัวอย่างชุดกี่เพ้า : http://www.toplaza.com/adpics/2/4b10658bd8573837edac15df9.jpg

ตัวอย่างชุดไทย : http://www.ree-wedding.com/images/Thai-wedding-dresses/tradition-8.jpg

ตัวอย่างชุดกิโมโน : http://203.151.232.193/~askmedia/book/upload_files/webboard/ask20071018141217_lg.jpg

ตัวอย่างชุดฝรั่งเศษ : http://img.photobucket.com/albums/v733/call_dahlia/fashion/anglish.jpg

หมายเหตุ2 ภาพประกอบนี้มิใช่ภาพที่นำไปใช้จริงในฟิค แต่มีความคล้ายคลึงกับชุดในฟิค จึงได้นำมาเป็นตัวอย่างครับ

Edited by falconzero

Share this post


Link to post
Share on other sites

สวัสดีค่ะ ดิฉันชื่อเฟียร์ค่ะ เป็นภูติธาตุน้ำที่ปัจจุบันกลายเป็นกรรมการตัดสินประจำสนามประลองเสียแล้ว ทุกๆ วันเฟลมกับโฟลวจะสู้กับท่านเรลเวียร์เสมอๆ แถมเดี๋ยวนี้ฟิลด์ก็ยังลงมาร่วมสู้ด้วยบ่อยครั้ง แต่...

“ท่านเรลออมมือบ้างไม่ได้เหรอคะ?” ฉันมองเพื่อนภูติทั้งสามที่นอนหมอบอยู่กับพื้นเนื่องจากประลองแพ้ท่านเรลเวียร์

“แหม ก็อุตส่าห์ให้เข้ามาพร้อมกันทั้งสามคนแล้วนี่นา เลยเผลอเอาจริงไปนิดหนึ่ง”

...นี่เอาจริงนิดหนึ่งสินะคะ...

“โอย...ท่านเรลขี้โกงอ่ะ...ใช้พลังอะไรก็ไม่รู้” เฟลมบ่นอุบ

“ใช่ๆ ขี้โกง จับเวทย์ของพวกเราได้ด้วยมือเปล่า” โฟลวเสริม

“...ต้องโจมตีลำคอ...”ฟิลด์พึมพำ เดี๋ยวสิฟิลด์ จะโจมตีลำคอทำไมน่ะคะ?

“อาราย~ พูดอย่างกับตัวร้ายไปได้”ท่านเรลยิ้มน้อยๆ ให้กับพวกที่สู้แพ้ ก่อนจะค่อยๆ เดินเข้ามาพยุงเพื่อนๆ ทีละคน

วืด...

“อ๊ะ ขอบใจนะจ๊ะ เซริว” ฉันรับขวดน้ำจากเซริว มังกรน้อยที่กลายมาเป็นสัตว์เลี้ยงของฉันตั้งแต่เรื่องในห้องลับเมื่อคราวก่อน แม้แต่ตอนนี้ขนาดตัวของเขาก็ยังไม่ใหญ่ไปกว่าฝ่ามือของฉันเลย ซึ่งสัตว์เลี้ยงของคนอื่นๆ ก็เป็นแบบเดียวกัน สึซาคุของเฟลมตอนนี้เริ่มบินได้คล่องมากขึ้นแล้ว เบียกโกะของโฟลวเองก็วิ่งซนไปทั่ว ที่เงียบที่สุดเห็นจะเป็นเกนบุของฟิลด์นั่นแหละ ไม่ค่อยได้เห็นตัวสักเท่าไหร่ แต่ก็คิดว่าคงจะสบายดี

“ท่านเรลบอกมาเดี๋ยวนี้เลยนะว่าใช้พลังอะไร!” เฟลมโวยวายขึ้นอีกรอบหลังจากที่ได้นั่งพักสักครู่

“ใช่ๆ บอกมาเลยนะ ว่าเป็นพลังอะไรกันแน่” โฟลวเสริมอีกแรง

“ไม่รู้” ท่านเรลยักไหล่ตอบอย่างไม่ยี่หระ แต่พวกเราที่เหลือเริ่มมีสีหน้าแปลกใจ ไม่รู้จักพลังที่ตัวเองใช้งั้นเหรอ?

“จะว่าไปแล้ว...ข้าจับพลังเวทย์ในตัวท่านเรลไม่ได้เลย”ฟิลด์ที่นั่งเงียบมาตลอดพูดออกมาประโยคหนึ่ง และยิ่งทำให้พวกเราเริ่มแปลกใจมากขึ้นไปอีก ท่านเรลใช้มือเปล่าจับพลังเวทย์โดยไม่ใช้พลังเวทย์เลยงั้นเหรอ?

“ท่านเรลคะ ฉันขอถามอะไรหน่อยได้ไหม?” ฉันยกมือขึ้น ท่านเรลพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต

“ท่านเรลเป็นเผ่าอะไรคะ?”

“ไม่รู้”

“...”

ปึง!

“ต่อไปนี้จะขอทำการตรวจสอบทุกอย่างของท่านเรลเวียร์ ตั้งแต่รูปร่าง พลัง ไปจนถึงความสามารถส่วนตัวนะคะ!” ฉันพูดขึ้นภายในห้องแลป ไม่สิ ห้องพยาบาลของบ้านหลังนี้ มันเป็นห้องที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ทันสมัย ท่านเรลพยักหน้าหงึกๆ แต่สีหน้ายังดูมึนงงกับเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นอยู่บ้าง แต่ฉันไม่สนใจเรื่องหยุมหยิมแค่นี้หรอกนะ!

“โฟลว ฟิลด์ เตรียมอุปกรณ์ให้หน่อย เฟลมเอาสายวัดตัวมา! เราจะตรวจร่างกายกันก่อน” ฉันสั่งด้วยความรวดเร็ว

“เอ่อ...ไม่ต้องทำถึงขนาดนี้ก็ได้มั้งเฟียร์” ท่านเรลทักท้วง ฉันหันกลับไปจ้องท่านเรลทันที ส่งผลให้ท่านสะดุ้งเล็กน้อย

“ไม่ได้ค่ะ! ถ้าไม่ทำอย่างนี้เราก็ไม่สามารถที่จะทราบได้สิคะว่าท่านเรลเป็นอะไรยังไงกันแน่ ที่สำคัญคือทั้งหมดที่ทำเพื่อให้ท่านเรลรู้จักตัวเองมากขึ้นอีกด้วย มันจะส่งผลให้ท่านสามารถเรียนรู้วิธีใช้พลังได้อย่างถูกต้อง รู้จุดอ่อนจุดแข็งของตนเอง และยังสามารถประยุกต์สิ่งต่างๆ ที่ท่านมีให้เป็นพลังใหม่ได้อีกด้วย!! เข้าใจไหมคะ?” ฉันพูดรัวไม่ยั้ง จนท่านเรลทำได้แค่พยักหน้ายอมรับชะตากรรม

“เอาล่ะค่ะ กรุณาถอดเสื้อออกด้วย”

“หา?” คราวนี้ไม่ใช่แค่ท่านเรลแล้ว เฟลมกับโฟลวก็ร้องขึ้นพร้อมกัน มีแต่ฟิลด์คนเดียวเท่านั้นที่ยังมีทท่าทีปกติ ฟิลด์ เธอเข้าใจฉันสินะ...

“ถ้าไม่ถอดเสื้อจะวัดตัวยังไงล่ะคะ?” และด้วยสายตาพิฆาตของฉันที่ภายหลังมีคนเล่าว่าเย็นยะเยือกยิ่งกว่าน้ำแข็งเสียอีก ก็ทำให้ทุกคนสงบลงได้ด้วยเหตุผล(?)

ท่านเรลถอดชุดลองเดรสของตนออก และนั่นเป็นอีกครั้งที่ทุกคนในห้องนิ่งค้างด้วยความตกใจ

รูปร่างอรชรสมส่วน ผมสีทองยาวเข้ากันกับผิวสีขาวนวลอมชมพูที่ดูนุ่มน่าสัมผัส แขนขาเรียวยาวราวกับนางแบบ หุ่นเพรียว บอบบางและราบเรียบ

นี่สินะที่เขาเรียกว่า “กระดาน”

“จะมองอะไรกันนักหนา รีบๆ วัดตัวสักทีสิ!” ท่านเรลตะโกน ทำให้พวกเราได้สติ และเริ่มทำการวัดตัวและตรวจสอบรูปร่าง

“อืม...” ฉันจ้องมองท่านเรล(ที่ตอนนี้กลับมาใส่เสื้อเหมือนเดิมแล้ว) อย่างถี่ถ้วนเพื่อสังเกตอวัยวะส่วนต่างๆ ว่าจะมีส่วนไหนที่พอจะระบุเผ่าพันธุ์ของท่านได้ เพราะการตรวจสอบรูปร่างเมื่อกี้นี้ทำให้เรารู้ว่าร่างกายของเธอแทบจะไม่แตกต่างไปจากมนุษย์ธรรมดาๆ เลย

“นี่เฟียร์ จะจ้องอีกนานไหมอ่ะ” ท่านเรลยกแขนสองข้างขึ้นกอดตัวเอง ราวกับกลัวว่าร่างกายตนจะบุบสลาย แหม..ฉันไม่ทำอะไรท่านหรอกค่ะ

“อืม...คิดว่าคงไม่มีอะไรแล้วล่ะ” ฉันพยักหน้า ท่านเรลถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง แหม...อย่าเพิ่งโล่งใจสิคะ... เอ๊ะ เดี๋ยว? นั่นอะไรน่ะ?

ทันทีที่ฉันสังเกตเห็นอะไรบางอย่างที่ผิดแปลกไป ฉันก็พุ่งไปหาท่านเรลแล้วใช้สองมือจับหัวของท่าน สามภูติที่เหลือต่างก็ตกใจกับการกระทำของฉันเช่นกัน

“น..นี่ เฟียร์ เธอจะทำอะไรน่ะ ตรวจสอบเสร็จแล้วไม่ใช่เหรอ?” ฉันไม่สนใจคำทักท้วงใดๆ มือบางสางผมของท่านเรลออกอย่างระมัดระวังไม่ได้ผมเสีย เพื่อยืนยันสิ่งที่ตนเห็น แต่แหม...ผมท่านเรลนี่นุ่มดีจัง อย่างกับผ้าไหมเลย อยากได้ผมแบบนี้มั่งจังน้า...

“เจอแล้ว ทุกคนดูสิ” ฉันอุทานออกมา ทุกคนต่างก็มามุงดูที่ข้างหัวท่านเรล อีกนัยหนึ่งคือใบหู

“ใบหูเรียวแหลม...”

“เอลฟ์งั้นเหรอ?”

“ผมท่านเรลหนาอยู่แล้ว ดังนั้นจึงทำให้ไม่เห็นใบหูนี่เอง...”

“เอ๋ อะไรๆ ฉันเป็นเอลฟ์งั้นเหรอ?” ท่านเรลพูดออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นระคนดีใจ ฉันหัวเราะคิกคักกับท่าทีของท่านเรล แหม ความจริงท่านก็อยากรู้เรื่องของตัวเองเหมือนกันนี่นา

วันนี้พวกเราตรวจสอบทุกสิ่งทุกอย่างของท่านเรล รวมไปถึงการวัดพลังต่างๆ อีกมากมาย แต่นอกจากใบหูแหลมเรียวราวกับเอลฟ์แล้ว ที่เหลือพวกเราก็ไม่เจออะไรเลย อาวุธก็เป็นบัสตาร์ดซอร์ดธรรมดา พละกำลังอยู่ในขั้นที่ปกติ(สำหรับเทพ) พลังเวทย์จับไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว ความยืดหยุ่นทางร่างกายเป็นเลิศ สงสัยที่พิเศษกว่าปกติอย่างจับพลังเวทย์ได้ด้วยมือเปล่าคงจะเป็นเพราะร่างกายที่มีมาตั้งแต่กำเนิดล่ะนะ แต่ตรวจสอบผิวหนังแล้วก็ไม่มีอะไรนี่นา...

“เอาล่ะค่ะ ต่อไปจะตรวจสอบความสามารถพิเศษของท่านเรลนะคะ ท่านเรลคิดว่าตัวเองมีความสามารถพิเศษในเรื่องอะไรบ้าง?” ฉันละสายตาจากกองกระดาษรายงานที่เต็มไปด้วยข้อมูลของท่านเรลที่รวบรวมมา หันมาเข้าสู่กระบวนการต่อไป

“อืม...ฉันคิดว่าฉันมีความสามารถด้านการร้องเพลงน่ะนะ”

ตุบ

ฟิลด์ทำหนังสือหล่น แต่เธอก็รีบเก็บขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ฉันตาฝาดไปรึเปล่าที่เห็นแขนของภูติดินสั่นนิดๆ

“อืม...ร้องเพลงเหรอคะ? งั้นช่วยร้องให้ฟังหน่อยจะได้ไหมคะ ตอนนี้เลย” ฉันถามท่านเรลอีกที ตอนนี้เฟลมกับโฟลวก็มานั่งอยู่ใกล้ๆ ฉันเช่นกัน ตาของทั้งคู่เป็นประกายราวกับเด็ก หึ... ฉันรู้จะว่าพวกเธออยากฟังท่านเรลร้องเพลงน่ะ คิดเหมือนฉันเลย

หืม การทดสอบเรอะ? นี่ก็เป็นหนึ่งในการทดสอบยังไงล่ะ ฮ่าๆๆ

“เอ๋...อย่าดีกว่านะ ค...คือฉันร้องไม่ค่อยเพราะน่ะ” ประโยคข้ออ้างสุดฮิตที่ใช้ได้ในหลายๆ สถานการณ์สินะคะ แต่แค่นี้มันหยุดฉันไม่ได้หรอกค่ะท่านเรล เพราะฉันคิดว่าเสียงของท่านจะต้องเพราะมากแน่ๆ เลย

ปึง! ฟิลด์ปิดประตูออกไปนอกห้องด้วยความเร่งรีบ สงสัยจะไปห้องน้ำล่ะมั้ง?

“ร้องออกมาเถอะค่ะ อย่าอายเลย” ฉันพูดให้กำลังใจท่านเรล ตอนนี้เธอเริ่มมีสีหน้าลังเลแล้ว ฉันหันไปส่งซิกให้อีกสองภูติที่เหลือช่วยเสริมทันที

“ท่านเรลร้องเพลงเพราะอยู่แล้ว” โฟลวเสริม

“ท่านเรลร้องเลย ท่านเรลร้องเลย” เฟลมส่งเสียงเชียร์

“แหะๆ งั้นร้องสักนิดนึงก็ได้” ท่านเรลเกาหัวแก้เขิน ส่วนพวกเราสามคนร้องเฮในใจ ท่านเรลจับปากกาควงแทนไมค์ แล้วจ่อปาก หลังจากนั้นพวกเราก็ได้รู้ซึ้งถึงสิ่งที่เรียกว่า “อาวุธคลื่นเสียง”

“นากาเรตุคุ โทคิ โนะ นาคา เดะ เดโม เคดารุซะ กะโฮระ กุรุกุรุ มาวัตตะ วาตาชิ คาระ...”

“อ๊าก!!” ทุกคนร้องลั่น ลงไปนอนดิ้นอยู่กับพื้น สองมือพยายามปิดหูตัวเองเต็มที่ แต่อานุภาพของมันรุนแรงมากจนไม่สามารถห้องกันได้ด้วยเรื่องแค่นี้ ส่วนท่านเรลตอนนี้เข้าโลกส่วนตัวไปแล้ว ขนาดพวกเรากรีดร้องลั่นขนาดนี้ยังคงร้องเพลงต่อไปอย่างสนุกสนาน แต่พวกฉันกำลังจะเห็นนรกนะค้า! อ๊า!! ใครก็ได้ช่วยด้วย! อะ...นั่นมันสำลีนี่นา!

ฉันกัดฟันทนเสียงทลายโสตและค่อยๆ คลานเข้าไปหากระปุกสำลีที่วางอยู่บนโต๊ะ ผ่านเฟลมที่กลิ้งไปมาอยู่กับพื้น และโฟลวที่นอนแผ่สงบนิ่งตาเหลือก ในที่สุดฉันก็ฝ่าฟันอุปสรรค์ทั้งมวลและคว้ากระปุกสำลีเอาไว้ในมือได้ อา...ช่วงเวลาเพียงพริบตา แต่สำหรับฉันมันเหมือนยาวนานหลายปีเลยล่ะ

ปึก!

เฟลมที่ดิ้นไปมาอยู่บนพื้นเมื่อกี้กลิ้งมากระแทกฉันเต็มรัก ทำให้ฉันเสียการทรงตัว และอ๊า! กระปุกสำลี กลิ้งไปโน่นแล้ว!!

“ยุเมะ มิเตรุ นานิ โมะ มิเตนะอิ คาทะรุ โม มุดา นะ จิบุอุน โนะ โคะโตะบะ...” อึก...ส...สำลีอยู่ตรงหน้า ฉันเอื้อมมือไปจนสุดแขน หมายจะคว้าไว้ให้ได้ แต่มันไม่ถึง โธ่! ทำไมไม่เกิดมาแขนยาวกว่านี้นะ อ..อ๊า! อีกนิด... อีกนิดเดียว...

“ส...สำลี...คร่อก...”

ตุบ

เฟลม เฟียร โฟลว สถานนะ : หมดสภาพ

Share this post


Link to post
Share on other sites

ภายในกลุ่มก้อนเมฆที่อยู่สูงเหนือภูเขาใดๆ ในโลกนี้ ยังมีเกาะขนาดใหญ่แห่งหนึ่งลอยอยู่เหนือเมฆเหล่านั้น มันเป็นเกาะลอยฟ้าที่ไม่มีใครเคยเห็น ไม่มีใครเคยพบเจอ และไม่มีใครรู้ว่ามันมีอยู่จริงหรือไม่ แต่กลับมีชายหนุ่มคนหนึ่งบินตัดผ่านก้อนเมฆเบื้องล่าง พุ่งตรงมายังเกาะลอยแห่งนี้ ปีกนกสีขาวสะอาดที่ข้างขวาและปีกค้างคาวสีดำสนิทข้างซ้ายของเขาไม่น่าจะพา เขาบินมาได้สูงถึงขนาดนี้ แต่การที่ร่างของเขาอยู่เหนือเมฆก็เป็นหลักฐานยืนยันได้ว่ามันสามารถบินได้ ผมสีทองสุกสกาวยามต้องแสงแดดดูเป็นประกายงดงาม นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มมองไปที่คฤหาสน์สี่ชั้นสีขาวสะอาดกับหลังคาสีเหลือง อ่อนที่ตั้งอยู่บนเกาะลอยนั้นอย่างโหยหา ในไม่ช้า ร่างของเขาก็ร่อนลงที่หน้าประตูสีทองบานใหญ่ยักษ์ มือหนาเอื้อมไปผลักประตูให้เปิดออก ก่อนที่จะนำพาร่างของตัวเองเข้า “บ้าน”

ทันทีที่เขาก้าวข้ามธรณีประตู ปีกทั้งสองที่กลางหลังก็หายวับไป ชุดเดินทางที่ใส่มาเนิ่นนานก็พลันเปลี่ยนเป็นเสื้อเชิ๊ตแขนสั้นกับกางเกงขา ยาว ชายหนุ่มเดินเท้าเปล่าไปทั่วห้องโถงขนาดใหญ่ที่เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างทาง เดินทั้งมวล ในขณะที่เขากำลังลังเลว่าจะเดินไปห้องไหนก่อนดี ประตูทางซ้ายก็เปิดดังปัง! พร้อมๆ กับที่ร่างของหญิงสาวคนหนึ่งกระโดดกอดเขาอย่างไม่ทันตั้งตัว

“ฟอลลลล~ กลับมาแล้วเหรอ” เรลเวียร์เอ่ยต้อนรับพร้อมรอยยิ้ม

“จ้า ผมกลับมาแล้ว บ้านเป็นยังไงบ้างล่ะ”

“ก็ดีนะ ครึกครื้นดี” เรลเวียร์ซบลงไปที่อกของชายหนุ่ม กลิ่นหอมๆ จากร่างของอีกฝ่ายเริ่มทำให้ความอดทนของเขาน้อยลง ฟอลคอนซบหน้าลงกับเรือนผมของอีกฝ่าย

“ดูสิๆ พอกลับมาถึงก็สวีทกันอย่างที่บอกจริงๆ ด้วย”

“ชู่ว์ โฟลวอย่าส่งเสียงสิ เดี๋ยวสองคนนั่นก็รู้ตัวหรอก” เฟลมเอ่ยเตือน ส่วนเฟียร์กับฟิลด์ส่ายหน้า เพราะคู่หวานทั้งสองผละออกจากกันอย่างรวดเร็ว แถมทั้งคู่ยังหน้าแดงอีกต่างหาก แหม่ น่ารักจริงๆ

“ใครใช้ให้พวกเธอแอบดูกันไม่ทราบ หา!?” เรลเวียร์ตวาดใส่ภูติทั้งสี่ด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ จนเหล่าภูติหัวเราะร่าแทนที่จะเกรงกลัวอย่างทุกที ขนาดฟิลด์ยังหัวเราะหึๆ ออกมานิดนึงเลยนะ!!

“ไง เฟลม เฟียร์ โฟลว ฟิลด์” ชายหนุ่มเดินเข้าไปจะทักทายเหล่าภูติ แต่ก็ต้องชะงักเมื่อสัตว์เลี้ยงของภูติทั้งสี่ประกฎตัวทางด้านหลังเจ้าของ แถมแต่ละตัวยังมีขนาดพอๆ กับเจ้าของแล้วด้วย

“พวกนั้นมัน...”

“อ๋อ นี่สัตว์เลี้ยงของพวกเราเองค่ะ ท่านเรลเป็นคนมอบให้ นี่เป็นมังกรของดิฉัน ชื่อเซริว” เฟียร์ลูบหัวเจ้ามังกรสีฟ้าที่ตัวสูงกว่าเธอ

“ของหนูเป็นฟีนิกซ์ค่ะ ชื่อสึซาคุ น่ารักไหมคะ?” เฟลมอวดวิหกอมตะของตนเองที่ตัวใหญ่มากพอที่เธอจะขึ้นไปนั่งขี่ได้แล้ว

“ส่วนเบียกโกะของหนูเป็นเสือโคร่งเผือก ตอนนี้มันเป็นคู่หูที่ดีที่สุดของหนูทั้งยามปกติและยามต่อสู้เลยค่ะ”โฟลวยืดอกอย่างมั่นใจ

“...เกมบุ...”ฟิลด์เอ่ยชื่อสัตว์เลี้ยงของตนเงียบๆ ก่อนจะอ่านหนังสือต่อบนหลังของเกมบุที่บัดนี้กลายเป็นพาหนะส่วนตัวของเธอไปแล้ว

“งั้นเหรอ...”ชายหนุ่มมองเหล่าสัตว์เลี้ยงสลับกับมองเรลเวียร์ที่ยืนหันหลัง ให้ รู้นะว่าหน้าแดงอยู่ อย่าซ่อนฉันเสียให้ยากเลย ชายหนุ่มยิ้มเล็กน้อยก่อนจะค่อยๆ เดินเข้าไปหา

ชิ...จู่ๆ ฟอลก็กลับมา ทำตัวไม่ถูกเลย แล้วนี่ฉันจะทำยังไงกับหน้าที่กำลังร้อนนี่ดีล่ะเนี่ย~

ฉันกรีดร้องในใจแต่ก็พยายามทำตัวนิ่งๆ เอาไว้ ไม่ให้คนอื่นรู้สึกถึงความผิดปกตินี้

“ว...ว้าย!” ลำแขนแกร่งรวบร่างของฉันเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของเขาอีกครั้งหนึ่ง หัวใจของฉันเริ่มเต้นแรงจนรู้สึกได้ ใบหน้าที่ร้อนมากอยู่แล้วยิ่งร้อนขึ้นไปอีก และฉันก็เริ่มคุมสติไม่อยู่เสียแล้ว

“ฟ...ฟอล ปล่อยนะ” ฉันพยายามดิ้นเพื่อให้หลุดจากอ้อมกอดของเขา ให้ตายสิ! เรี่ยวแรงหายไปไหนหมดนะ

“ไม่ปล่อย...”

“ปล่อยเถอะ ม...ไม่งั้น....”ฉันเริ่มเคลิ้มไปกับไออุ่นที่ได้รับจากเขา ร่างของฉันก็เริ่มหยุดนิ่งราวกับเลิกที่จะต่อต้าน

“ไม่งั้นจะทำไมงั้นเหรอ” เขายังแกล้งถามฉันราวกับไม่รู้เรื่องราวใดๆ

“ไม่งั้น...ฉันจะ...อุ้บ!” สมองยังหาเหตุผลที่ดีพอไม่ได้ เขาก็ประกบริมฝีปากลง ฉันเห็นแววตาตกใจของภูติทั้งสี่แวบหนึ่ง แล้วสติของฉันก็เริ่มเลื่อนลอยไปกับความหอมหวานที่ได้รับ แขนของฉันโน้มไปกอดคอของเขาเองโดยไม่รู้ตัว และค่อยๆ หลับตาลง หูของฉันได้ยินเสียงกรี๊ดกร๊าดจากเหล่าภูติ แต่ทำไมเสียงของทั้งสี่ถึงได้เบาเหลือเกินราวกับพวกเธออยู่อยู่ห่างจากตรง นี้ไปหลายร้อยเมตร สัมผัสอันอ่อนหวานผสมปนเปกับความร้อนแรงของชายหนุ่มทำให้ขาของฉันหมดเรี่ยว แรงในทันที มีเพียงแค่ลำแขนแกร่งของอีกฝ่ายเท่านั้นที่ทำให้ฉันยืนอยู่ได้ ไม่นานนัก ฟอลคอนก็ถอยออกไป ร่างของฉันทรุดฮวบลงทันทีอย่างที่คาดเอาไว้ โชคดีที่ฟอลเข้ามาพยุงไว้ได้ทัน

“ฟ...เฟียร์ เมื่อกี้นี้นานเท่าไหร่อ่ะ?” โฟลวถามด้วยความตกตะลึง ซึ่งภูติตนอื่นๆ ก็มีสีหน้าไม่ต่างจากเธอเช่นกัน

“ป...ประมาณสี่ถึงห้านาทีล่ะมั้ง...”เฟลมตอบแทนเฟียร์ที่ยืนนิ่งค้างจนเซริวเริ่มสะกิด แต่เธอก็ยังไม่รู้สึกตัว

เวลาอาหารเย็น

“งั้นเหรอ ฟอลไปเดินทางรอบโลกมางั้นเหรอ”

“อืม ไปมาหลายที่เลยล่ะ” ท่านฟอลกับท่านเรลเวียร์คุยกันอย่างสนุกสนาน ส่วนฉัน เฟียร์กับผองเพื่อนที่ตอนนี้เริ่มชินกับการกระทำของทั้งสองคนขึ้นมาบ้างแล้ว นิดหน่อย....ก็นิดหน่อยน่ะนะ

“นี่เฟียร์ ทำไมฉันรู้สึกว่ากับข้าววันนี้มันหว๊าน หวานจังเลยล่ะ...” เฟลมบ่นขณะส่งสเต็กเข้าปากด้วยใบหน้าซีดเซียว

“นั่นสิ อย่างกับคู่แต่งงานใหม่แน่ะ” โฟลวเอ่ยเสริมด้วยใบหน้าที่ไม่ต่างกัน

“ยัยบ้า กับข้าวมันมีรสแต่งงานใหม่ที่ไหนกันล่ะ”ฉันท้วงกลับเล่นๆ เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ แต่ไม่ได้ผลเลยสักนิดเดียว

“...”ฟิลด์นั่งเงียบทานสลัด แต่สีหน้าของเธอมันบ่งบอกว่าจะแย่อยู่แล้วนะ แต่ที่แย่ยิ่งกว่านั้นน่ะ...

“เฟียร์ ผมขอข้าวอีกจานครับ”

“อ๊ะ ฉันด้วยจ๊ะ”

เอ่อ...นี่สองชั่วโมงแล้วนะคะ..ยังจะกินกันได้ลงอีกเหรอ... ถึงจะคิดอย่างนั้นแต่ฉันก็พูดออกไปอีกอย่าง

“ได้เลยค่ะ สักครู่นะคะ”

“โอย...ถึงจะกินเยอะขนาดไหน แต่กินข้าวตลอดสองชั่วโมงโดยความเร็วไม่ตกเลยนี่มันไม่ใช่คนแล้ว” เฟลมบ่นอุบในสภาพที่แม้แต่จะเดินยังลำบาก ซึ่งคนอื่นๆ เองก็ไม่แพ้กัน จะสบายสุดก็ฟิลด์นี่แหละ นั่งเกมบุกลับห้องไปอย่างสบายๆ ส่วนฉันคงขอตัวนั่งพักอยู่แถวนี้สักครู่ก่อนละกัน ไม่ไหวแล้ว...

“อ้าว เฟียร์ไม่กลับห้องเหรอ”เฟลมถาม ฉันพยักหน้าแทนคำตอบ แล้วค่อยๆ ทรุดลงกับพื้นระเบียงชั้นสอง นั่งพิงกำแพงมองสวนดอกไม้หน้าคฤหาสน์ เฟลมกับโฟลวเห็นดังนั้นจึงนั่งลงข้างๆ ฉัน พวกเราทั้งสามทอดสายตามองธรรมชาติหน้าคฤหาสน์ ทั้งท้องฟ้ายามค่ำคืนที่ไม่มีเมฆมาคอยบดบังดวงจันทร์ และสวนดอกไม้ที่เปล่งประกายยามต้องแสงจันทร์ เหล่ามวลพฤกษาโอนเอนไปมาตามกระแสลมอ่อนๆ ยามค่ำคืนราวกับกำลังเต้นรำอยู่บนฟลอร์ขนาดใหญ่

“สวยเนอะ....”ฟิลด์ที่มานั่งอยู่ด้วยกันตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้เอ่ยทำลายความเงียบ

“อืม...สวยมาก”

“ข้างนอกจะสวยอย่างนี้ไหมนะ...”ฉันพึมพำเบาๆ แต่ในความเงียบยามค่ำคืนเช่นนี้ มันก็ดังมากพอที่อีกสามคนจะได้ยินอย่างชัดเจน

“เฟียร์ นี่เธอ...”โฟลวเอ่ยด้วยสีหน้าตกตะลึง เฟลมก็มีสีหน้าไม่ต่างกัน ยกเว้นก็แต่ฟิลด์ที่ยังคงสีหน้านิ่งเอาไว้ได้ ฉันหันไปยิ้มตอบ

“วันนี้ฟอลเองก็เล่าเรื่องโลกภายนอกให้ฟังตั้งเยอะนี่นา” ฉันเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์บนท้องฟ้าราวกับเห็นความฝันของตนลอยเด่นอยู่ตรง หน้า

“ฉันเอง...”

“ฉันก็เหมือนกัน” ครั้งนี้ภูติที่พูดน้อยที่สุดอย่างฟิลด์เอ่ยขึ้นมา พวกเราสามคนหันไปมองเธอด้วยความแปลกใจ แถมเธอยังสร้างความประหลาดใจสองต่อด้วยการส่งรอยยิ้มมาให้

“ฉันเองก็อยากลงไปเห็นโลกภายนอกบ้างเหมือนกัน จะได้รู้ว่ามันเหมือนกับในหนังสือที่อ่านรึเปล่า”

“ฉ...ฉันก็เหมือนกัน!” โฟลวพูดขึ้นมาบ้าง

“ฉันด้วยๆ” เฟลมยกมือขึ้นราวกับเด็กๆ ความเงียบครอบงำพวเราทั้งสี่ทันที ก่อนที่ทั้งหมดจะพากันหัวเราะร่าไม่เว้นแม้แต่ฟิลด์

“งั้นสัญญากันไหม?” อีกสามคนที่เหลือมองฉันด้วยความสงสัย

“สักวัน พวกเราจะลงไปโลกเบื้องล่างด้วยกัน และเมื่อได้พบหน้ากันอีกครั้ง พวกเราจะมาเล่าเรื่องราวที่แต่ละคนได้ไปเจอมากัน” ฉันยื่นมือไปข้างหน้า ฟิลด์ยื่นมือมาประสานกับมือฉัน พวกเราสองคนส่งสายตาไปให้อีกสองคนที่เหลือ เฟลมกับโฟลวไม่รอช้า ทั้งคู่ต่างก็ยื่นมือมาประสานกับพวกฉัน ก่อนที่พวกเราจะพูดขึ้นพร้อมๆ กัน

“สัญญาภายใต้ดวงจันทร์ สักวันพวกเราทั้งสี่ จะลงไปยังโลกเบื้องล่าง และเมื่อเจอหน้ากันอีกครั้ง พวกเราแต่ละคนจะถ่ายทอดเรื่องที่ตนได้พบเจอให้คนอื่นได้ฟัง”

แถมพิเศษ

เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม

ภายใต้แสงจันทรายามค่ำคืน ในสวนดอกไม้หลากสีสัน ฟอลคอนยืนมองพระจันทร์สีเหลืองนวลพลางหวนคิดถึงเรื่องราวต่างๆ ในอดีต

พระจันทร์...ดาวเคราะห์ที่งดงามที่สุดและอยู่ใกล้กับโลกมากที่สุด ไม่ว่าใครก็อดที่จะชื่นชมไปกับความงามของมันไม่ได้ แม้ว่าพื้นผิวจะไม่ได้เป็นอย่างที่ตาเห็นก็ตามที

“ท่านฟอล”ชายหนุ่มหันกลับไปตามเสียงเรียก และพบกับหญิงสาวในชุดโลลิต้าสีขาวสลับชมพูติดระบายลูกไม้ เรือนผมสีทองยาวปลิวไสวไปตามแรงลมที่พัดมา นัยน์ตาสีทองสุกสกาวจ้องมองมายังชายหนุ่มเพียงคนเดียวในสวน มือสองข้างถือบางสิ่งบางอย่างมาด้วย

“สุขสันต์วันเกิดอายุครบ 21 ปีค่ะ” เรลเวียร์ยื่นเค้กมาตรงหน้าเขา หน้าเค้กถูกตกแต่งด้วยครีมอย่างลวกๆ ตรงกลางมีตัวอักษรหวัดๆ เขียนว่า “HBD Falcon” ติดอยู่ รอบๆ เค้กมีเทียนจำนวน 21 ดอกปักเรียงราย ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ

“คิกๆ ทำเองเหรอ?” ใบหน้าของหญิงสาวขึ้นสีระเรื่อ ก่อนจะค่อยๆ พยักหน้าลงด้วยความเขินอาย

“ม...มันอาจจะไม่ดีเท่าที่ควร แต่...”

“ดีแล้วล่ะ” ฟอลคอนยิ้มรับ ส่งผลให้เรลเวียร์หน้ายิ่งแดงมากขึ้นไปอีก

“ง...งั้นก็...” เธอสูดลมหายใจเข้าเพื่อตั้งสติ ก่อนจะค่อยๆ ร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ทเดย์ออกมาโดยมีเสียงลมเป็นเครื่องดนตรีและแสงจันทร์ เป็นดวงไฟส่องสว่าง ท่วงทำนองที่ขับขานออกมานั้นไพเราะเสนาะหูราวกับเมโลดีชั้นดี บทเพลงถูกขับขานจากรอบที่หนึ่งไปสู่รอบที่สอง และจบลงด้วยท่วงทำนองที่เชื่องช้า

“เอ้า ร้องจบแล้ว เป่าเทียนสิ...” หญิงสาวผมทองเบือนหน้าหนีหลังร้องเพลงจบ เธอเขินและเป็นกังวลมากว่าจะร้องผิดเพี้ยนหรือร้องได้ไม่ดีพอ

ฟอลคอนยิ้มน้อยๆ ก่อนจะเป่าเทียนให้ดับหมดในครั้งเดียว และรับเค้กมาถือเอง ก่อนจะสบตากับหญิงสาวตรงหน้า

“ชุดนั่น...”

“น...นานๆ ใส่ทีน่ะ”หญิงสาวบิดตัวไปมาด้วยความเขินอาย ก้มใบหน้าลงหลบสายตาของชายหนุ่ม ฟอลคอนยิ้มน้อยๆ ก่อนจะเสกเค้กก้อนสำคัญให้ลอยขึ้นกลางอากาศ และรวดตัวหญิงสาวมากอดด้วยความรวดเร็ว

“อะ...ฟอล...”

“ขอบใจนะ...” เรลเวียร์ชะงักกับคำพูดของอีกฝ่าย ก่อนจะค่อยๆ กอดตอบชายหนุ่มอย่างอ่อนโยน ทั้งสองหันไปสบตาอีกฝ่าย ก่อนจะค่อยๆ โน้มหน้าเข้าหากัน เพื่อมอบความหวานล้ำที่ยิ่งกว่าของหวานใดๆ เป็นของขวัญในยามค่ำคืนนี้

อัน ดวงจันทร์บนฟากฟ้านั้นอยู่ห่างไกล ไม่ว่าใครๆ ก็หมายปอง แต่ฉันไม่จำเป็นจะต้องไปไขว่คว้าดาวดวงใดๆ เพราะจันทราที่งดงามที่สุดได้อยู่ที่นี่แล้ว

Share this post


Link to post
Share on other sites

สวัสดีครับ ผมนาย A นามสมมติ จะมาแจ้งข่าวว่า ตอนนี้ได้มีฟิคสั้นขยันเป็นพิเศษเรท 18+ แล้วนะครับ สามารถส่ง PM ไปขอได้ที่พร้อมยืนยันอายุก่อนขอ...

โป้ก!

ร่างของชายหนุ่มปริษนาค่อยๆ ล้มลง ก่อนจะสลายกลายเป็นผุยผงด้วยฝีมือของหญิงสาวเจ้าของเรือนผมสีทองในชุดเสื้อยืดคอเต่าสีขาวกระโปรงยาวสีชมพูและสุดยอดอาวุธที่ใครๆ ต่างก็เกรงกลัว

“ท่านเรลอยู่นี่เอง อ้าว แล้วนั่นถือช้อนทำอะไรอยู่เหรอคะ?” เฟลมวิ่งมาแล้วถามฉันที่กำลังใช้ผ้าสีขาวเช็ดอาวุธ(?)ในมืออย่างใจเย็น

“เปล่าจ้า แค่ออกมาเดินเล่นนิดหน่อยน่ะ แล้วมีอะไรเหรอ?”

“ท่านฟอลเรียกค่ะ ขอให้ท่านเรลไปที่ห้องกำเนิดด้วย” เฟลมพูดอย่างใจเย็นกว่าทุกครั้ง ฉันที่ได้ยินดังนั้นก็โยนช้อนเหล็กนั่นทิ้งลงถังทันที

“งั้นเหรอ...งั้นไปกันเถอะ!” ฉันเดินก้าวพรวดๆ ไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานฉันก็เดินทางมาถึงห้องกำเนิด หรือถ้าจะให้พูดอีกอย่างหนึ่ง “ห้องที่ฉันและภูติทั้งสี่ได้ถือกำเนิดขึ้นมา”

ภายในห้องนั้นเปลี่ยนไปมากกว่าที่จำได้ หลอดแก้วใสสูงสองเมตรบัดนี้เหลืออยู่เพียงหลอดเดียวตั้งอยู่ใจกลางห้องบรรจุของเหลวสีใสอยู่ภายใน ที่หน้าหลอดนั้นมีเครื่องอะไรสักอย่างที่เต็มไปด้วยปุ่มและสวิตช์มากมาย ฟอลคอนยืนครุ่นคิดอยู่ที่หน้าแป้นนั้นเอง ส่วนภูติอีกสามตนที่เหลือก็หลบออกไปยืนข้างๆ ในชุดประจำตัวของตนเอง เฟลมเองก็เข้าไปยืนอยู่ข้างๆ เฟียร์

“มีอะไรเหรอฟอล” ฉันส่งเสียงเรียกและเดินเข้าไปยืนสำรวจเจ้าเครื่องนั้นข้างๆ ท่านฟอล

“มาแล้วงั้นเหรอ งั้นเดี๋ยวผมอธิบายอะไรสักหน่อยแล้วค่อยเริ่มละกันนะ”

เริ่ม...งั้นเหรอ มาที่ห้องกำเนิดนี่คงจะสร้างใครขึ้นมาอีกสักคนสินะ อย่างนี้คงจะทำอะไรเล่นๆ ไม่ได้ชัวร์

“ผมคิดว่าทุกคนน่าจะรู้กันอยู่แล้วกับการที่ก้าวเข้ามาภายในห้องกำเนิดแห่งนี้ ผมจะสร้างเพื่อนคนใหม่ให้กับพวกคุณนั่นเอง เพียงแต่ว่าการจะสร้างเพื่อนคนนี้นั้น ผมต้องการความร่วมมือจากทุกๆ คนนั่นเอง เฟลม เฟียร์ ฟิลด์ โฟลว ผมขอแบ่งพลังเวทย์จากทุกคนหน่อย ใส่ในลูกแก้วนี้นะ” ท่านฟอลยื่นลูกแก้วทรงกลมใสขนาดเท่าฝ่ามือสี่ลูกให้ภูติทั้งสี่ และต่างคนต่างก็เริ่มตั้งสมาธิอัดพลังเวทย์ลงในลูกแก้วเหล่านั้น

“ส่วนเรล ผมขอเลือดเธอหน่อยนะ” เขายื่นมีดเล็กๆ มาให้ ฉันรับไว้แล้วมองหน้าของฟอลคอนด้วยความแปลกใจ แต่สายตาที่จริงจังของเขาก็ทำให้ฉันไม่คิดจะถามอะไร มือซ้ายของฉันถือมีดควงไปมา ก่อนจะตวัดฉับ! ใส่ข้อมือขวาของตน เลือดสีแดงสดไหลริน ฟอลคอนเอาหลอดแก้วใสมารองเลือดจากข้อมือฉัน เมื่อได้ตามที่ต้องการแล้วเขาจึงร่ายเวทย์รักษาให้

ฟอลคอนกดปุ่มสีฟ้าที่อยู่บนเครื่อง และท่อขนาดใหญ่ก็โผล่ขึ้นมาจากพื้นห้อง เขาทิ้งหลอดบรรจุเลือดของฉันลงไปในท่อนั้น ฉันเห็นของเหลวสีแดงจางๆ ปะปนอยู่ภายในหลอดแก้ว อันที่จริงก็เกือบจะไม่เห็นเลยน่ะนะ พอฉันหันกลับมา ก็เห็นฟอลค่อยๆ หยิบแผ่นกลมบางอะไรสักอย่างขึ้นมา และค่อยๆ ใส่ลงไปเรื่อยๆ

“นั่นอะไรน่ะฟอล?”

“บลูเรย์ดิส”

“บลูเล?”

แกร๊ง

“Blue ray disk แผ่นบรรจุข้อมูลระดับสูงของโลกเบื้องล่างที่จุข้อมุลได้มหาศาล”ฟิลด์ใส่ลูกแก้วพลังของตนลงไปในท่อนั้นแล้วอธิบายให้ฉันฟัง

“ก็ประมาณนั้นแหละนะ” ท่านฟอลยืนยันก่อนจะใส่แผ่นบลูเรย์ที่ว่าลงไปเป็นจำนวนมาก และค่อยๆ เสกโน๊ตบุคขึ้นมาทีละห้าเครื่องและโยนลงไปทั้งอย่างนั้น เอ่อ...นี่ท่านฟอลจะสร้างหุ่นยนต์เรอะ?

หลังจากที่ยืนคุยกันอยู่สักพัก เฟียร์ก็นำลูกแก้วพลังของตนมา ตามด้วยเฟลมและโฟลว ตอนนี้ภายในหลอดแก้วจึงมีลูกแก้วทั้งสี่ธาตุ โน๊ตบุคยี่ห้อดีจำนวนมาก แผ่นบลูเรย์อีกหลายร้อย และเลือดสีแดงของฉันที่ตอนนี้จางลงไปมากจนมองแทบจะไม่เห็นอยู่แล้ว ไอ้ของในหลอดนี่มันดูรกๆ ยังไงก็ไม่รู้แฮะ...

“เอาล่ะ จะสร้างล่ะนะ” ท่านฟอลกดปุ่มต่างๆ บนเครื่องนั้นอย่างรวดเร็วจนฉันเริ่มสับสน สิ่งต่างๆ ในหลอดแก้มเริ่มหมุนไปมาและค่อยๆ หลอมรวมกัน ไม่นานนัก ของภายในหลอดแก้วก็สว่างวาบจนพวกเราทั้งห้าต้องยกมือขึ้นบังใบหน้า พอแสงนั้นจางลงของภายในเครื่องก็หายไปหมดแล้ว ปรากฎร่างของหญิงสาวคนหนึ่งขึ้นแทน ผมสีม่วงอ่อนเป็นประกายเงาแปลกตา รูปร่างบอบบางอรชร ตัวเล็ก ท่าจะน่ารักใบหน้าเรียวยาว ผิวสีขาวอมชมพู ดูเป็นเด็กเล็กๆ ที่สดใสร่าเริง ฟอลคอนกดปุ่มสีเขียวให้หลอดแก้วเปิดออก ร่างของเธอค่อยๆ ร่วงลงมา ฉันวิ่งเข้าไปรับเธอทันที อีกฝ่ายค่อยๆ ลืมตาขึ้น นัยน์ตาสีม่วงอ่อนเป็นประกายนั้นสบตาฉันอยู่สักพัก

“พี่...”

พี่?

ฉันที่ยังแปลกใจกับสรรพนามใหม่ที่ถูกเรียก ก็ได้ถูกสาวน้อยคนนั้นโผเข้ากอดเสียเต็มรักจนเซ

“พี่เรล~” อีกฝ่ายกอดฉันแน่นพลางซุกไซ้ไปมาราวกับลูกแมวน้อย จนฉันเผลอยันเธอลอยขึ้นกลางอากาศ แต่อีกฝ่ายก็ยังทำให้ฉันตกใจได้อีกเมื่อเธอคนนั้นลอยค้างอยู่กลางอากาศแถมยังร่อนไปมาทั่วห้องอีกต่างหาก

แต่ฉันว่าเธอน่าจะใส่เสื้อก่อนนะ...

“เอ่อ...หนูไม่ใส่เสื้อสักหน่อยเหรอจ๊ะ...”เฟียร์ทักขึ้น นั่นแหละเฟียร์ เยี่ยมเลย!

“นั่นสินะคะ งั้นหนูเรียกข้อมูลเสื้อผ้าขึ้นมาก่อนละกัน” เด็กใหม่ปรบมือหนึ่งที ร่างของเธอก็สว่างวาบ และปรากฎชุดลองเดรสสีม่วงอ่อนประดับลูกไม้มากมาย และทิ้งตัวลงมายืนบนพื้น ก่อนจะหมุนตัวไปมา สะบัดกระโปรงพลิ้วไสว

“พี่เรลๆ ชุดนี้เป็นไงมั่ง หนูน่ารักม๊า~”

“เอ่อ...ก็น่ารักดี” ดูเหมือนนอกจากฉันแล้ว สี่ภูติที่เหลือก็ยังคงยืนตะลึงกับความสามารถของเด็กใหม่ตรงหน้า

วิลลา เล่นพอแล้วล่ะ แนะนำตัวก่อนสิ”ฟอลคอนเตือน

“ค่า~” หญิงสาวผมม่วงรับคำ เธอถอนสายบัวทีหนึ่งแล้วกล่าวแนะนำตัว

“สวัสดีอีกครั้งค่ะ หนูชื่อ วิลลา เป็น AI มีชีวิตและมีตัวตน หนูสามารถเข้าไปอยู่ในโลกไซเบอร์อย่างอินเตอร์เน็ตได้ แต่ก็สามารถจับต้องสิ่งของต่างๆ ได้เหมือนทุกๆ คนเพราะหนูมีตัวตนค่ะ และที่สำคัญ...”วิลลาหันมาส่งยิ้มแป้นให้ฉัน

“หนูเป็นน้องสาวของพี่เรลด้วยค่ะ!”

Share this post


Link to post
Share on other sites

สวัสดีค่ะ นี่เรลเวียร์เหมือนเดิมนะ ตอนนี้มีน้องสาวแล้วล่ะค่ะ ชื่อวิลลา เธอเป็น AI ระดับสูงที่มีชีวิตและจิตใจ แถมยังทำอะไรต่อมิอะไรได้เหมือนคนจริงๆ อีกต่างหาก ไม่ว่าจะกินข้าว อาบน้ำ หรือจะนอนก็สามารถทำได้เช่นกัน

เอ๋? ทำไม AI แบบนั้นถึงกลายมาเป็นน้องสาวของฉันได้น่ะเหรอ?

“เพราะผมใช้เลือดของเรลเป็นส่วนผสมในการสร้างน่ะสิ”

นั่นเป็นเหตุผลที่ฟอลบอกฉัน ซึ่งมันก็ไม่ได้ช่วยให้ฉันเข้าใจอะไรมากขึ้นเลยสักนิด แต่ว่านะ ถ้าเธอเป็นน้องสาวของฉันจริงๆ ล่ะก็...

“พี่เรลจ๋า~ หนูเบื่ออ๊ะ ไปแบทเทิลกันเถอะ”

“พี่เรลจ๋า~ หนูหิวแล้วอ๊ะ พาไปกินข้าวหน่อยสิ”

“พี่เรลจ๋า~ หนูนอนไม่หลับอ๊ะ ขอหนูนอนด้วยคนนะ”

“พี่เรลจ๋า~...”

“พี่เรลจ๋า~...”

ทำไมเธอถึงได้เป็นคนเช่นนี้~ ไม่เห็นจะเหมือนกับฉันที่เป็นหญิงสาวพราวสเน่ห์ มาดเท่ เงียบขรึม และแสนจะเพอร์เฟคเลยสักนิด!! (หมายเหตุ: คิดเอาเองล้วนๆ)

ยกเว้นก็แต่เรื่องมนุษย์สัมพันธ์เนี่ยแหละที่สุดยอดยิ่งกว่าใครๆ วิลลาใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมงในการตีสนิทภูติทั้งสี่และไปไหนมาไหนด้วยกันจนฉันแอบเรียกว่าภูติทั้งห้าแล้วด้วยซ้ำ ขนาดคนที่เงียบที่สุดอย่างฟิลด์ยังเดินเข้ามาทักทายวิลลาก่อนเลย สุดยอดใช่ไหมล่ะ!!

“นี่ๆ พี่เรลจ๋า วันนี้ก็ไปแบทเทิลกันอีกนะ”

“จ้าๆ แต่ก่อนอื่นน่ะ ลงมาเดินแบบปกติเถอะ” ฉันเงยหน้าขึ้นไปมองน้องสาวตัวน้อยที่ลอยตัวอยู่เหนือหัวของฉัน

“ค่า~” เธอพยักหน้าแล้วลอยตัวลงมายืนข้างๆ ฉัน ก่อนจะเข้ามาควงแขนราวกับเด็กติดพี่ ฉันมองน้องสาวตัวน้อยที่เตี้ยที่สุดในบ้านหลังนี้ด้วยสายตาอ่อนโยน พลางคิดว่าวิลลานี่เหมือนเด็กเอามากๆ เลย ไม่ว่าจะรูปร่างเล็กที่เตี้ยที่สุดในบ้าน ตาสีม่วงกลมโตที่จะทอประกายวาวเมื่อตัวเองดีใจ นิสัยติดพี่และชอบอ้อน แถมยังเข้ากับคนอื่นได้อย่างรวดเร็ว ถึงบางครั้งจะดูน่ารำคาญ แต่ก็ดูน่ารักในแบบเด็กๆ ล่ะนะ

“ไปประลองกันเถอะ วิลลา” หญิงสาวผมม่วงกระโดดตัวลอย ก่อนจะจับแขนฉันลากไปสนามประลองอย่างรวดเร็ว

“เฮ่อ...หมดวันสักที” ฉันกลิ้งตัวไปมาบนเสียงสีขาวสะอาดภายในห้องนอนของตนเอง สายตาเงยหน้ามองเพดานห้อง ก่อนจะเหลือบไปมองที่เครื่องคาราโอเกะที่ไม่ได้ใช้มาพักหนึ่งแล้ว

“อืม...คืนนี้วิลลาคงไม่มาล่ะมั้ง ร้องเพลงดีกว่าเรา” คิดได้ดังนั้นฉันจึงลุกไปเซ็ตเครื่อง ให้ตายสิ! แค่ไม่ได้ต่อมานานทำไมสายไฟมันพันกันยุ่งอย่างนี้ล่ะ? โอ้ย! แก้แล้วต่อใหม่หมดเลยละกัน

ฉันนั่งต่อสายเครื่องคาราโอเกะอยู่พักหนึ่งจึงเสร็จ เอาล่ะ ดูไม่รกละ เปิดเครื่องเลือกเพลงเลยดีกว่า โห อะไรกัน แค่ฉันไม่ได้เปิดใช้มานาน เพลงอัพเดตใหม่โผล่มาเพียบเลย แล้วอย่างนี้ฉันจะต้องนั่งรอมันอัพเดตใหม่อีกนานไหมเนี่ย อ๊าก!!! อยากร้องเกะ หนูอยากร้องเกะ~

“เอ๋ อัพเดตนานจังเลยอ๊ะ เครื่องรุ่นเก่าเหรอพี่?” ฉันสะดุ้งเฮือก และหันกลับไปอย่างรวดเร็ว และพบกับน้องสาวตัวน้อยที่ถือวิสาสะบุกเข้าห้องของฉันมาทั้งชุดปาจามะสีชมพูอ่อน แต่ฉันกลับไม่ได้ยินเสียงประตูเปิดปิดเลยสักนิด แสดงว่ายัยนี่เอาอีกแล้วสินะ...

“วิลลา! พี่บอกกี่รอบแล้วว่าให้เคาะประตูก่อนเข้าห้อง ไม่ใช่ให้ลอยทะลุประตูเข้ามาเลยน่ะ!!”

“หนูขอโทษค่ะ...” อึ๋ย อย่าทำหน้าจ๋อยอย่างนั้นสิน้องเอ๋ย! พี่เห็นแล้วรู้สึกสงสารจับใจเลยนะนั่น

“โอ๋ๆ พี่ขอโทษนะจ๊ะ แต่วันหลังอย่าลืมเคาะประตูอีกล่ะ” ฉันลูบหัววิลลาอย่างเบามือ อีกฝ่ายยิ้มแป้นกับความอบอุ่นที่ได้รับ

แม้จะเป็นเพียงแค่มือ...แต่ก็สื่ออะไรได้มากมายนัก...

“นี่พี่ วิลลาช่วยอัพเดตให้เอาไหม?” จู่ๆ วิลลาก็โพล่งขึ้นมาอย่างกระทันหัน เอ๋ อัพเดต? อัพเดตอะไรหว่า...อ๊ะ!! คาราโอเกะฉัน!!

ฉันหันกลับไปมองจอภาพที่แสดงแถบโหลดเพลงอยู่ และอยากจะร้องกรี้ดดังๆ เพราะตัวเลขใต้แถบนั้นขึ้นมาไม่ถึงหนึ่งเปอเซ็นต์เสียด้วยซ้ำ อ้าก!!! แล้วคืนนี้ฉันจะได้ร้องเพลงไหมเนี่ย~ แต่เอ๊ะ เมื่อกี้วิลลาบอกว่าจะอัพเดตให้นี่นา? ฉันหันกลับไปหาความหวังสุดท้ายและจับไหล่ทั้งสองของน้องสาวแน่น

“วิลลา...อัพเดตเครื่องนี้ให้พี่ได้สินะ”

“อื้ม!” พูดจบเธอก็พุ่งตัวเข้าไปในเครื่องคาราโอเกะข้างหลังฉัน หลอดแสดงการดาวโหลดพุ่งปี๊ดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเสร็จภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งนาทีด้วยซ้ำ โอ้สุดยอดมาก น้องสาวฉัน! น้องสาวบันไซ~

“อัพเดตเพลงและโปรแกรมต่างๆ ในตัวเครื่องเป็นเวอร์ชันล่าสุดแล้วค่ะ” วิลลาโผล่หน้าออกมาจากจอทีวี และค่อยๆ มุดออกมา เอ...ทำไมฉันถึงรู้สึกเหมือนกำลังดูหนังสยองขวัญสักเรื่องเลยล่ะ ช่างเหอะ ตอนนี้ฉันจะร้องเกะ~

“งั้นเดี๋ยวหนูขอฟังพี่ร้องเพลงอยู่ตรงนี้ละกันนะคะ” วิลลาพูดจบก็ลอยไปอยู่เหนือหัวข้างหลังฉันแบบที่ทำเป็นประจำทุกวัน ฉันที่ปกติจะร้องเพลงอย่างสนุกสนานเริ่มรู้สึกกดดันนิดๆ เพราะวันนี้มีผู้ชมด้วย อันที่จริงก่อนหน้านี้เฟลม เฟียร์ โฟลวก็เคยฟังที่ฉันร้องเพลงล่ะนะ แต่ทำไมพอฉันร้องเสร็จพวกนั้นถึงนอนหลับเป็นตายกันเลยล่ะ?

“เอาล่ะ งั้นพี่จะร้องล่ะนะ~”

“เย้~” วิลลาปรบมือ ฉันรู้สึกคึกจัดจึงกดเพลงโปรดของฉัน “หนึ่งพันคำ” เป็นเพลงแรก และเริ่มร้องอย่างสนุกสนานพร้อมกับเต้นตามเอ็มวีไปด้วย ไม่! มันไม่พอ อย่างนี้ต้องร้องอีกสักหลายๆ รอบเลย!! ฉันร้องเพลงอย่างอัดอั้นมานานที่ไม่ได้ร้อง เปล่งพลังเสียงอย่างเต็มพิกัดโดยไม่กลัวว่าจะมีใครมาได้ยิน ฉันร้องเพลงอยู่นาน และพึ่งจะนึกได้ว่าวิลลาเองก็อยู่ในห้องด้วย

“วิลลา เสียงพี่เป็นไงมั่ง?” ฉันหันกลับไปถาม แต่ก็พบว่าร่างของน้องสาวนั้นนอนกางแขนกางขาอยู่กับพื้น ใบหน้าขึ้นสีฟ้าพร้อมตัวอักษรแปลกๆ เต็มไปหมด แถมยังมีควันพวยพุ่งออกจากหูอีกต่างหาก

“เฮ้ย! วิลลา เป็นอะไรไปน่ะ วิลลา วิลลา!!!”

Villa Status: Blue Screen Of Dead

Share this post


Link to post
Share on other sites

สวัสดีค่ะทุกท่าน ฟิลด์เองนะคะ ตอนนี้ฟิลด์มีกิจวรรตประจำวันใหม่แล้วล่ะค่ะ

“ท่านวิลลา กรุณาต่อสู้กับดิฉันด้วยเถอะค่ะ” ฉันโค้งตัวลงต่อหน้า AI สาวที่กำลังนั่งเล่นคอมพิวเตอร์อยู่

“ไม่เอาอ่ะ บอกหลายรอบแล้วนี่นาว่าฟิลด์สู้หนูไม่ได้หรอก เสียเวลาเปล่าๆ” ท่านวิลลาพูดโดยไม่หันกลับมามองฉันด้วยซ้ำ

“ค่ะ...” ฉันเดินออกจากห้องของท่านวิลลาที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์อิเล็คทรอนิกส์(ส่วนมากเป็นเครื่องเล่นเกม)โดยไม่แสดงสีหน้าผิดหวังใดๆ ออกมา เมื่อออกจากห้อง ฉันก็พบกับเพื่อนทั้งสามที่มายืนรอหรือดักฟังฉันอยู่นอกห้องมองมาด้วยสายตาเป็นห่วง ฉันสบตากับทั้งสามก่อนจะเดินกลับห้องของตัวเองไปอย่างไม่สนใจ

“เดี๋ยวสิฟิลด์” ฉันที่กำลังจะปิดประตูห้องชะงักด้วยเสียงของเพื่อนสนิท นัยน์ตาสีน้ำตาลหันไปมองอีกฝ่ายแทนคำถามว่า “มีอะไรเหรอ?”

“ทำไมพักนี้ฟิลด์ถึงพยายามจะท้าสู้กับท่านวิลลาตลอดเลยล่ะ เธอก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าท่านวิลลาไม่คิดจะสู้กับใครนอกจากท่านเรล” เฟียร์เอ่ยออกมา นัยน์ตาสีฟ้าฉายแววของความเป็นห่วงและความสงสัย ฉันส่ายหน้าแทนคำตอบ

“เธอไม่เข้าใจหรอกเฟียร์...”

ปึง

ฉันปิดประตูลงโดยไม่เหลียวมองสีหน้าของภูตน้ำที่มีต่อคำพูดประโยคนั้น ภูตดินถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งก่อนจะเดินเข้าห้องที่เต็มไปด้วยชั้นหนังสือจำนวนมากตั้งเรียงรายอยู่รอบๆ ห้อง โต๊ะไม้อย่างดีพร้อมโคมไฟสีขาวสะอาดและตั้งหนังสือที่ฉันยังอ่านค้างอยู่หลายสิบเล่ม ด้านตรงข้ามคือเตียงสี่เสาขนาดสี่คนนอน ซึ่งบนเตียงก็มีหนังสืออีกสามสี่เล่มวางระเกะระกะอยู่ แต่เวลานี้ฉันไม่ได้อยากอ่านหนังสือเลยสักนิด ร่างของฉันตรงดิ่งไปที่อ่างดินขนาดเล็กที่ตั้งอยู่มุมห้อง ภายในอ่างประกอบไปด้วยหินประดับชิ้นใหญ่ที่ตั้งชันราวกับหน้าผา หินเล็กๆ หลากสีหลายก้อนวางเรียงกันเป็นฝั่ง ทรายสีขาวสะอาดดั่งหาดทราย น้ำสีฟ้าใสที่มองทะลุไปเห็นสาหร่ายต้นเล็กๆ ข้างใต้ได้ และนั่น อ๊า~ เกมบุของฉันกำลังว่ายน้ำเล่นอยู่ น่าร๊าก~

“สวัสดีจ้าเกมบุ” ฉันทักทายอย่างร่าเริง

“สวัสดีฟิลด์” เกมบุพูดตอบ แต่เอ...มันไม่เชิงว่าพูดหรอกนะ เพราะเจ้าเต่าน้อยของฉันใช้เทเลพาธีน่ะ กรี้ด~ ทำไมเกมบุของฉันถึงเก่งขนาดนี้หนอ~

“นี่ๆ เกมบุ วันนี้วิลลาก็ปฏิเสธฉันอีกแล้วอ๊ะ” ฉันทำปากยู่บ่นให้เกมบุฟัง

“เหตุผลเหมือนเดิมล่ะสิ” เจ้าเต่าน้อยตอบฉัน ก่อนจะค่อยๆ เดินขึ้นหาดทรายอย่างเชื่องช้าโดยมีสายตาของฉันมองตามทุกย่างก้าว อา...ทำไมเขาถึงได้น่ารักเช่นนี้นะ... เอ๋? ฉันยังไม่ได้บอกเหรอว่าเกมบุน่ะเป็นตัวผู้

“อื้ม วิลลาบอกว่าฉันสู้เขาไม่ได้เหมือนเดิม และเขาก็ปฏิเสธที่จะสู้กับพวกเราทุกคนเลย สู้แต่กับท่านเรลคนเดียวเอง” ฉันบ่นอย่างไม่พอใจ

“หึๆๆ”

อา~ แม้แต่เสียงหัวเราะก็น่ารัก เอ้ยไม่ใช่!

“หัวเราะอะไรยะเกมบุ!” ฉันจับอ่างเขย่าไปมาเป็นการแก้แค้น ทำให้เกมบุกลิ้งไปมาอยู่ในอ่าง เอ๋? ฉันไม่ได้แกล้งสัตว์น้า ก็เขามุดเข้ากระดองไปแล้วนี่นา ไม่เป็นอะไรหรอกเนอะ

“เฮ้ยๆ หยุดก่อนฟิลด์ เดี๋ยวข้าก็ไม่ให้ยืมพลังหรอก ว้าก!”

แหม...เกมบุของฉันช่างน่ารักจริงๆ เลย ทั้งรูปร่างที่ดูน่ารัก เสียงพูดก็ไพเราะ แถมยังจะให้ฉันยืมพลังอีก...

เอ๋ เมื่อกี้ว่าอะไรนะ?

ฉันหยุดการกระทำทันที แล้วหันไปมองเกมบุที่ค่อยๆ โผล่หัวออกมาจากกระดองทั้งๆ ที่หงายท้องอยู่

“หมายความว่าไงเหรอ ที่จะให้ยืมพลังน่ะ?” ฉันจับเกมบุที่หงายท้องดิ้นไปมาให้ยืนเป็นปกติ เจ้าเต่าก้มหัวลงเล็กน้อย เอ๊ะ? นั่นท่าถอนหายใจงั้นเหรอ กรี้ดๆ คราวหน้าต้องหากล้องมาถ่ายให้ทันให้ได้เลยคอยดู!

“ก็อย่างที่พูดไปนั่นแหละ” ฉันกลับมามีสติเช่นเดิมเมื่อเกมบุพูดเข้าประเด็น

“อธิบายหน่อยสิ” เกมบุก้มลงดื่มน้ำในอ่างพลางอธิบาย

“ผมสามารถให้ฟิลด์ยืมพลังของผมไปใช้ได้ เพราะแต่เดิมผมก็เกิดมาเพื่อมอบพลังให้ใครสักคนอยู่แล้ว” เกมบุเงยหน้าขึ้นมาสบตาฉันที่กำลังยืนค้างด้วยความตกตะลึง

“เกมบุ...”

“อะไรรึ?”

“ฉัน...ไม่เข้าใจอ่ะ” เต่าน้อยแทบอยากจะตบหัวตัวเองตาย แต่เสียดายที่แขน(?)สั้นไป จึงทำเช่นนั้นไม่ได้

“งั้นเดี๋ยวทำให้ดูเลยละกัน เอามือมาแตะที่หัวผมสิ” ฉันยืนมองเจ้าเต่าน้อยที่หมอบตัวลงและยื่นหัวออกมามากพอควร ภายในใจฉันตอนนี้กำลังลังเลอยู่นิดหนึ่ง และก็ตัดสินใจยื่นมือไปสัมผัสหัวของเขา...

เช้าวันรุ่งขึ้น

“ท่านวิลลา เราไปสู้กันเถอะ”

“หนูบอกไปหลายรอบแล้วไงว่า...” วิลลาชะงักทันทีที่เธอสัมผัสอะไรบางอย่างได้ AI สาวหันกลับไปมองภูตดินที่ไม่มีอะไรต่างไปจากเดิมเลยแม้แต่น้อย แต่เธอกลับสัมผัสได้ถึงอะไรบางสิ่งบางอย่างที่ซุกซ่อนอยู่ภายใน

“ฟิลด์ไปทำอะไรมาน่ะ?”

“นิดหน่อยน่ะ...”

“งั้นเหรอ...พลังของเกมบุสินะ” ฟิลด์ขมวดคิ้วแต่ก็ไม่ได้ตกใจที่อีกฝ่ายรู้เรื่องพลังใหม่ของเธอ เพราะวิลลาเคยใช้สายตาแสกนพลังของพวกเธอมาแล้ว กลับเป็นวิลลาเสียอีกที่แปลกใจ เพราะนอกจากพลังของฟิลด์และเกมบุแล้ว เธอยังสัมผัสได้ถึงพลังอะไรอีกอย่างที่มีรูปร่างคล้ายกับฟิลด์ แต่ก็ไม่สามารถระบุได้ว่าคืออะไร

แปลก...ในโลกนี้มีสิ่งที่เธอระบุไม่ได้อยู่ด้วยงั้นเหรอ

อย่างนี้ถ้าไม่สู้ด้วย...ก็คงไม่รู้สินะ...

“ตกลงค่ะ วิลลาจะสู้กับพิลด์เอง”

ณ สนามประลองประจำบ้าน หญิงสาวและเด็กสาวกำลังยืนเผชิญหน้ากัน โดยมีเฟลม เฟียร์ โฟลม มาชมการต่อสู้กันสามคน ท่านเรลน่ะเหรอ? เดทกับท่านฟอลอยู่สักแห่งในบ้านหลังนี้ล่ะมั้ง

“ฟิลด์ เอาจริงเหรอ?” เฟียร์ที่เป็นกรรมการให้สัญญาณถาม ฉันพยักหน้าแทนคำตอบ ภูตน้ำจับแขนของฉันแน่น นัยน์ตาสีฟ้าแสดงความเป็นห่วงออกมาอย่างชัดเจน ฉันถอนหายใจแล้ววางมือลงบนแพรไหมสีฟ้าบนหัวและยีเล่น

“คิดมากน่า ยังไงก็แค่การประลอง” ภูตน้ำพยักหน้าอย่างเข้าใจ เธอปล่อยมือออกและเดินกลับไปประจำที่ของตน แต่ก็ส่งสายตาที่เต็มไปด้วยความห่วงใยมาเป็นระยะๆ ก่อนจะเริ่มทำหน้าที่ของตน

“ฟิลด์ หนูขอถามอะไรหน่อยสิ” วิลลาเอ่ย

“การต่อสู้ระหว่างภูตดินฟิลด์...”

“ว่ามาสิ”

“และท่านวิลลา”

“ทำไมฟิลด์ถึงอยากจะสู้กับหนูนักล่ะ?” ฉันยิ้มให้กับคำถามนั้น

“ก็แค่...”

“เริ่มได้!!” พริบตาที่เฟียร์ให้สัญญาณเริ่ม ฉันก็เงื้อหมัดพุ่งเข้าใส่อีกฝ่ายทันที!

“คิดว่าสู้กับเธอแล้วมันคงจะสนุกน่าดูน่ะสิ!!”

ตูม!!

“เป็นเหตุผลที่ไร้สาระดีจังนะคะ” วิลลาปล่อยมือที่รับหมัดของฉันได้ทันท่วงที ฉันไม่รอช้าปล่อยหมัดเสยคางอีกฝ่ายด้วยความรวดเร็ว ซึ่งอีกฝ่ายก็หลบได้ตามที่คาดไว้ คราวนี้ AI สาวพุ่งเข้าปะทะกับฉันในระยะประชิดแทน ฉันปล่อยหมัดแย็ปใส่อีกฝ่ายหลายครั้งซึ่งวิลลาก็หลบได้ทั้งหมด และคราวนี้เธอก็ชกสวนกลับมา ฉันปัดหมัดของเด็กสาวออกทางด้านข้างและชกสวนเข้าที่สีข้างของเธออย่างแรงจนอีกฝ่ายกระเด็นถอยไปไม่น้อย ฉันส่งยิ้มให้วิลลาที่กำลังลุกขึ้นยืนแล้วกวักมือเรียกอย่างท้าทาย

“ไหนว่าฉันสู้เธอไม่ได้ไงล่ะ”

“เดี๋ยวก็รู้...” พูดจบร่างของวิลลาก็ลอยขึ้นจากพื้นและพุ่งเข้าหาฉันด้วยความเร็วสูง ฉันชกสวนออกไปแต่อีกฝ่ายกลับพุ่งทะลุร่างของฉันไปอย่างไม่มีอะไรเกิดขึ้น ฉับพลันนั้น ฉันก็รู้สึกเจ็บแปล๊บที่สีข้างด้านซ้าย เมื่อก้มลงไปมองก็พบว่ามีมีดเล่มเล็กๆ เสียบอยู่จนมิดด้าม

“ตอนแรกหนูสู้ด้วยร่างคนหรอก ถึงถูกโจมตีได้ แต่ตอนนี้หนูอยู่ในร่างของโปรแกรม ดังนั้นการโจมตีต่างๆ ที่ไม่ใช่ไวรัสหรือโปรแกรมด้วยกันจะทำอะไรหนูไม่ได้หรอก และอีกอย่างหนึ่ง...” วิลลาแบมือออก และมีดแบบเดียวกับที่เสียบสีข้างเธออยู่ก็ปรากฎขึ้น จากหนึ่ง กลายเป็นสอง สี่ แปด สิบหก สามสิบสอง จนกระทั่งรอบๆ ตัวของ AI น้อยมีแต่มีดลอยวนอยู่รอบๆ

“ถึงมีดพวกนี้จะเสกมาด้วยโปรแกรม แต่มันก็เป็นของจริงนะ” ฉันดึงมีดที่ปักสีข้างออกมาโยนทิ้งไปอย่างไม่ใยดี แล้วยิ้มออกมาด้วยความตื่นเต้นจนวิลลาแปลกใจ

“ยิ้มอะไรกันคะ?” ฉันไม่ตอบ แต่กวักมือเรียกเป็นเชิงท้าอีกครั้ง

“ก็ได้ค่ะ” พูดจบ เด็กสาวก็ปล่อยมีดจำนวนมากให้พุ่งเข้าจู่โจมฉันทันที ส่วนตัวฉันก็ค่อยๆ ก้าวเดินไปข้างหน้าโดยไม่เกรงกลัวอาวุธของอีกฝ่ายที่ทิ่มแทงร่างของฉันมากขึ้นเรื่อยๆ จนทั่วทั้งร่างของฉันถูกปักด้วยมีดเต็มไปหมด ฉันได้ยินเสียงเพื่อนทั้งสามอุทานออกมาด้วยความตระหนก แต่สองขาของฉันก็ยังคงก้าวไปข้างหน้าเรื่อยๆ จนวิลลาถึงกับชะงักการโจมตีของตน

“โดนเสียบขนาดนั้นทำไมยังเดินได้อยู่อีกล่ะ?”

“หึ...ลืมแล้วหรือไงวิลลา” ฉันค่อยๆ ดึงมีดที่ปักอยู่ออกทีละเล่มๆ จนหมด ท่ามกลางสายตาตกตะลึงของ AI ตัวน้อยและเพื่อนๆ ด้านหลัง

“ฉันคือภูตแห่งดิน มีร่างกายเป็นดิน ถึงจะถูกฟันหรือแทงก็ไม่เป็นอะไรหรอกนะ”

“แต่ก็มีความเจ็บปวดนี่นา...”

“ของแบบนั้นก็กัดฟันทนเอาสิ!!” ฉันพุ่งตัวเข้าไปหาอีกฝ่ายหมายจะชกให้กระเด็น แต่วิลลากลับยืนนิ่งไม่ยอมหลบไปไหน

“ลืมแล้วเหรอว่าตอนนี้หนูอยู่ในร่าง...”

ผัวะ!!

“เฮ้ย!!” เฟลม เฟียร์ โฟลว ที่นั่งอยู่ข้างสนามอุทานออกมา แม้แต่วิลลาเองก็ตกใจไม่น้อยที่ร่าง AI ของตนถูกชกจนกระเด็น แต่อีกฝ่ายก็ยังสามารถยันพื้นเอาไว้ได้อย่างทันท่วงที และกลับมาลอยอยู่เหนือพื้นเล็กน้อย

“ทำไม?” วิลลาขมวดคิ้วด้วยความสงสัย

“เธอก็น่าจะรู้นี่นา...” ฉันยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ วิลลาเองก็ประหลาดใจกับความสามารถของอีกฝ่ายที่จู่ๆ ก็สัมผัสร่าง AI ของเธอได้ ทั้งๆ ที่ปกติก็ไม่มีใครแตะได้... เดี๋ยวสิ! มีอยู่คนหนึ่งนี่นา ฉับพลัน สมองของเธอก็คำนวนถึงความเป็นไปได้ที่จะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น และได้คำตอบออกมาอย่างรวดเร็ว

“หรือว่าพลังเมื่อตอนนั้น...พลังของพี่เรล?” ฉันยิ้มน้อยๆ แต่ไม่ตอบคำถามของอีกฝ่าย และพุ่งเข้าไปรัวหมัดใส่อย่างไม่ยั้งมือ วิลลาที่รู้ตัวแล้วว่าฉันสามารถโจมตีร่างโปรแกรมของเธอได้ก็เริ่มระแวงการโจมตีของฉันทั้งทางกายภาพและพลังเวทย์มนตร์ ฉันเสกหอกดินขึ้นมาหมายจะเสียบร่างของอีกฝ่าย แต่เด็กน้อยก็ยังคงหลบได้อย่างง่ายดาย และลอยตัวขึ้นฟ้าไป

“ถึงกับไปขอยืมพลังมาจากพี่เรลเลยงั้นเหรอฟิลด์...” ฉันไม่ตอบ และยืนกอดอกรอดูท่าทีของวิลลา

“งั้นเหรอ...เงาเมื่อตอนเช้าก็เป็นพลังของพี่เรลนี่เอง...” เด็กสาวกางมือทั้งสองข้างของตนออก และรอบๆ ตัวเธอก็ปรากฎอาวุธสังหารระยะไกลจำนวนมากขึ้น

“ปืนงั้นรึ? แถมยังแทบจะไม่ซ้ำกันเลยด้วย” ฉันจ้องมองอาวุธสังหารสีดำทะมึนเหล่านั้นที่ล้อมรอบเด็กสาวผมม่วงจนราวกับเป็นป้อมปราการสักแห่งหนึ่ง

“ตอนโดนมีดแทง ฟิลด์บอกว่ากัดฟันทนเอาสินะ...” ฉันพยักหน้า

“งั้นลองกัดฟันทนการโจมตีนี่ดูสิ!!” สิ้นประโยค ปืนทุกกระบอกก็ลั่นไกใส่ฉันจนต้องเสกพื้นดินขึ้นมาเป็นโล่ ซึ่งก็ดูเหมือนจะต้านทานได้ไม่นานนัก

“ฟิลด์!!” เฟลม เฟียร์ โฟลว ทำท่าจะวิ่งออกมาช่วย ฉันจึงยกมือไว้เป็นเชิงห้ามไม่ให้ทั้งสามวิ่งเข้ามา

“ฉันยังไม่แพ้สักหน่อย อ๊ะ!” กระสุนบางส่วนเริ่มเจาะทะลุกำแพงดินมาโดนฉันแล้ว แม้พวกเราจะไม่มีเลือดก็จริงแต่ทั้งสามก็อดเป็นห่วงไม่ได้

“เชื่อฉันสิ” ฉันพูดด้วยรอยยิ้ม แล้วจึงหันกลับไปหาวิลลาที่ดูคลุ้มคลั่ง

“วิลลา!!” ฉันเรียกชื่อของอีกฝ่ายห้วนๆ แล้วเดินออกจากโล่กำบัง ฝ่าดงกระสุนเข้าไปหาอีกฝ่ายจนร่างฉันเป็นรูพรุนเต็มไปหมด

“นี่เอาจริงแล้วงั้นเหรอ?” วิลลาชะงักเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่สั่งให้ยกเลิกการยิง ฉันที่เริ่มรำคาญจึงเสกแท่งดินขนาดมหึมาให้พุ่งไปทำลายปืนพวกนั้น แถมยังได้ผลดีอีกด้วย

“โกรธล่ะสิ ที่ฉันเอาพลังของพี่สาวที่เธอรักมาใช้....” ฉันเดินเข้าไปใกล้วิลลาอีกนิดหนึ่งและค่อยๆ ทำลายปืนเหล่านั้นไปเรื่อยๆ แต่เมื่อเข้าไปในระยะห้าเมตร อีกฝ่ายก็หยุดยิงเอาเสียดื้อๆ จนฉันต้องขมวดคิ้วด้วยความสงสัย

“ไม่ใช่...” ฉันซ่อมแซมร่างกายของตนด้วยพื้นของสนามประลอง และเอากระสุนที่ฝังอยู่ในร่างออก

“ถึงฟิลด์จะสัมผัสร่างโปรแกรมของวิลลาได้ แต่นั่นไม่ใช่พลังของพี่เรล...” วิลลาลอยตัวลงมายืนที่พื้น และตวัดนัยน์ตาสีม่วงนั้นมามองฉัน

“ออร่าพลังที่สัมผัสได้มันใกล้เคียงกับฟิลด์มากกว่า...พลังของเกมบุสินะ” ฉันพยักหน้ารับโดยไม่สนใจเสียงฮือฮาของเพื่อนๆ ทั้งสาม

“ไม่น่าเชื่อว่าเกมบุจะทำให้ฟิลด์มีพลังแบบเดียวกับพี่เรลได้...แล้วทำไมฟิลด์ถึงไม่ปฎิเสธล่ะว่าพลังนั่นไม่ใช่พลังของพี่เรล” วิลลาถามด้วยสีหน้าจริงจัง

“ฉันคิดว่าถ้าหลอกให้เธอเชื่อได้ว่าฉันยืมพลังจากท่านเรลมาแล้วเธอจะโกรธจนเอาจริงน่ะสิ แต่ดูท่าจะไม่ได้ผลแฮะ” ฉันเกาหัวแกรกๆ ที่แผนของตัวเองไม่ได้ผล

“ทั้งหมดนี่เพื่อให้หนูเอาจริงงั้นเหรอคะ?” ฉันพยักหน้า AI สาวมองฉันอย่างไม่เชื่อสายตาอยู่สักพักแล้วจึง...

ยิ้ม!?

“ตอนนี้หนูเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดแล้ว ว่าแต่พี่ฟิลด์ยังพอจะมีแรงเหลืออยู่อีกไหม?” วิลลาเอ่ยอย่างร่าเริงจนฉันแปลกใจ รวมถึงสรรพนามใหม่ของฉันด้วย

“พี่?”

“ค่ะ หนูยอมรับในตัวพี่ ดังนั้นต่อไปนี้หนูจะเรียกพี่ฟิลด์ว่าพี่ค่ะ” ฉันพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ และกวักมือเรียกเป็นเชิงท้าทาย

“แสดงว่ายังมีแรงเหลือสินะคะ หนูจะได้เอาจริงตามที่พี่ต้องการ...”จบประโยค ฉันก็ขนลุกวาบขึ้นทันที แลเห็นรอยยิ้มของอีกฝ่ายดูน่ากลัวขึ้นทันตาราวกับเป็นยิ้มสยองยังไงยังงั้น

“เกมบุ!!”

“รับทราบ!” ทันทีที่เกมบุขานรับ ทั่งทั้งร่างของฉันก็เปล่งแสงเจิดจ้าจนคนอื่นๆ ต้องยกแขนขึ้นบัง และเมื่อแสงจางลง ก็ปรากฎร่างของฉันในชุดเกราะเหล็กสีน้ำตาลทั้งตัวพร้อมหมวกเฮลเมทรูปคล้ายหัวเต่า มีโกเมนหกเหลี่ยมขนาดพอประมาณประดับอยู่ที่กลางหน้าผากและหัวเข่าทั้งสองข้าง ส่วนที่หลังเท้าและหลังมือเป็นโกเมนแปดเหลี่ยมขนาดใหญ่ ฉันได้ยินเสียงอุทานจากภูตทั้งสามแต่ตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างของฉันกำลังจดจ่ออยู่กับ AI สาวตรงหน้าที่ถือดาบเรเพียไว้ที่มือซ้ายและปืนกลเบาในมือขวา

“เข้ามาเลย วิลลา!” พูดจบ อีกฝ่ายก็รัวปืนกลใส่ทันที ฉันปัดกระสุนออกด้วยสนับมือโกเมน แล้วเธอก็พุ่งเข้ามาใช้ดาบฟันตรงรอยต่อของเกราะได้อย่างพอดีแต่ฉันใช้มืออีกข้างป้องกันได้ทัน และเตะสวนกลับไป แต่วิลลากลับใช้ขาของฉันเป็นฐานเหยียบแล้วถีบตัวออกห่างอย่างรวดเร็ว ในขณะที่เธอลอยอยู่กลางอากาศ ฉันก็เปลี่ยนพื้นที่ข้างล่างเธอเป็นแท่งหินแหลมจำนวนมาก แต่ AI สาวก็ไม่สะทกสะท้าน เปลี่ยนอาวุธในมือเป็นดาบคาตานะแล้วฟันแท่งหินพวกนั้นจนกระจุยและเปลี่ยนอาวุธในมืออีกครั้งเป็นแกทลิ่ง ฉันเสกพื้นขึ้นมากันกระสุนเอาไว้ได้ทันพร้อมๆ กับแอบมุดลงดินไปอย่างรวดเร็ว ตอนแรกฉันกะจะลอบโจมตีจากทางด้านหลังแต่คงจะไม่ได้ผล จึงเปลี่ยนแผนจับพื้นดินรอบกายแยกออกจากกันเป็นสองซีกแทน และมันได้ผล! วิลลาพลาดตกลงมาในรอยแยกที่ฉันสร้างขึ้น ฉันปล่อยหมัดใส่อีกฝ่ายด้วยความรวดเร็วแต่มันกลับพลาดเสียนี่! เพราะ AI ตัวน้อยใช้แส้จับเสาข้างบนเอาไว้แล้วโหนตัวหลบทันการ แถมยังใช้อีกมือที่ว่างอยู่รัวปืนใส่ฉันโดยไม่หันกลับมามองเลยแม้แต่นิดเดียว ฉันที่มัวแต่ปัดป้องกระสุนปืนจึงพลาดท่าปล่อยให้อีกฝ่ายกลับไปยืนบนพื้นเหมือนเดิมได้ ฉันที่รีบร้อนกระโดดตามขึ้นไปอย่างไม่ยั้งคิด เมื่อโผล่พ้นรอยแยกนั้นขึ้นมาจรวดนำวิถีหลายสิบลูกก็มาอยู่ตรงหน้าฉันเสียแล้ว...

ตูม!!!

ฉันโยนเครื่องยิงจรวดนำวิถีทิ้งอย่างไม่ใยดีหลังจากเสร็จเรื่องราว และหันกลับมาหาสามภูตที่ยังคงมีสีหน้าตกตะลึงกับการต่อสู้เมื่อครู่ และเมื่อมองเลยพวกนั้นไป ฉันก็พบกับพี่สาวแท้ๆ ของตนที่ยืนอยู่กับคนรัก

“พี่เรล ท่านฟอล มาดูการต่อสู้ของหนูด้วยเหรอคะ?” ฉันโบกมือทักทายทั้งสองที่เดินเข้ามาหาฉัน

“เปล่าเลย พี่แค่ได้ยินเสียงระเบิดเลยมาดูว่าเกิดอะไรขึ้นน่ะ” โถ พี่อ๊ะ พูดแบบนี้หนูงอนนะ บุ่ๆ

“ผลการต่อสู้ล่ะ” ท่านฟอลมองทิวทัศน์ข้างหลังฉันที่คงจะเละเทะมากมายเป็นแน่ ดูท่าจะต้องเก็บกวาดอีกยาวเลยทีเดียว

“หนูชนะขาดลอยค่า~”

“อ้าว ไม่ใช่แพ้เขาเหรอ?” พี่เรลยิ้มน้อยๆ ให้กับฉัน

“โธ่พี่ สภาพอย่างนี้หนูจะแพ้ได้ยั...” จู่ๆ โลกของฉันก็หมุนติ้ว ทุกคนเปลี่ยนเป็นยืนกลับหัวกันหมด และทันทีที่หลังของฉันสัมผัสพื้น ก็พบพี่ฟิลด์ที่บาดเจ็บหนักนั่งคร่อมร่างของฉันอยู่ และกำลังง้างหมัด สัญญาณเตือนภัยในหัวดังขึ้นทันที ฉันคิดคำนวนหาวิธีหลบการโจมตีนี้ด้วยความเร็วสูงสุดเท่าที่ AI อย่างฉันจะทำได้ และพบว่าถ้าเปลี่ยนตัวเองเป็นร่างโปรแกรมแล้วดำดินลงไปจะรอดจากหมัดนี้ได้ ฉันที่ได้คำตอบแล้วจึงทำตามทันที พอดีกับที่พี่ฟิลด์ออกหมัด แต่มันช้าไปแล้วล่ะ! กว่าหมัดพี่จะมาถึงตัว หนูก็...

“FISSURE PUNCH!!” (หมัดแยกแผ่นดิน)

ตูม!!!

อ้อก!! ม...ไม่จริง....นอกจากจะออกหมัดเร็วกว่าที่คำนวนไว้แล้วยังรุนแรงมากจนทำลายพื้นที่รอบๆ ได้อีกด้วย... อย่างนี้ถึงจะดำดินลงไปก็หลบไม่...พ้น...

เฮือก!

ฉันสะดุ้งตื่นขึ้นและกวาดสายตามองรอบๆ ห้องที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์เล่นเกมมากมายที่ยังวางระเกะระกะอยู่เต็มห้องไปหมด รวมไปถึงคอมพิวเตอร์เครื่องโปรดที่กำลังถูกใช้งานโดยพี่สาวของเธอ

“พี่เรล อุบ...”ฉันเอามือกุมท้องด้วยความเจ็บปวด และพบว่าที่หน้าท้องของฉันถูกพันแผลเอาไว้

“อย่าเพิ่งขยับตัวมากจะดีกว่านะวิลลา เดี๋ยวแผลจะไม่หายเอา” พี่เรลพูดโดยไม่หันมามองฉันเลยแม้แต่นิดเดียว

“บ๊ะ อย่านะเฟ้ย อ๊า~ ตายอีกแล้ว” พี่กุมขมับแล้วกรีดร้องออกมา หลังจากนั้นจึงเดินมาหาฉันที่เตียง

โหพี่... เห็นเกมสำคัญกว่าน้องงั้นเหรอ ฉันสะบัดหน้าหนีพี่สาวทันทีที่อีกฝ่ายเข้าใกล้

“โอ๋~ พี่แค่เล่นเกมนิดหน่อยเองน่า อย่าโกรธพี่เลยน้า” พี่เรลลากฉันเข้าไปกอด ความอบอุ่นที่ได้รับจากอีกฝ่ายทำให้ใจฉันสงบลงเหมือนทุกครั้งที่กอดฉัน

“นี่พี่...”

“หืม?”

“หนู...แพ้ใช่ไหม?”

“อื้ม แพ้ฟิลด์หมดท่าเลยล่ะ” จบประโยค ความเงียบก็เข้าครอบงำพวกเราทั้งคู่ ส่วนฉันก็ตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเอง

แพ้...นี่เราแพ้จริงๆ สินะ...

“รู้สึกยังไงกับความพ่ายแพ้ครั้งนี้ล่ะวิลลา” พี่เรลถามฉันด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ฉันที่ตกอยู่ในภวังค์ความคิดก็ถูกคำถามของพี่สาวให้ต้องคิดตามทันที

เจ็บใจไหม? ไม่นะ

โกรธไหม? ก็ไม่อีก

แค้นไหม? ก็ยังไม่ใช่

“แล้ว...สนุกไหมล่ะ?” จู่ๆ พี่สาวก็โพล่งขึ้นมา แต่ฉันกลับคิดทบทวนถึงประโยคนั้น

สนุกเหรอ? ก็นะ...มันก็สนุกดีแหละ

สนุกว่าการ์ตูนเรื่องไหนๆที่เคยอ่าน

สนุกกว่าเกมอื่นๆ ที่เคยเล่นมา

สนุกกว่าตอนสู้กับพี่เรลที่ทำอะไรไม่ค่อยได้

เป็นครั้งแรกที่รู้สึกสนุก...มากกว่าครั้งไหนๆ เสียอีก

“ก็สนุกดีนะ...”ฉันตอบพี่สาวไป ใบหน้าของฉันยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัวกับคำตอบของตัวเอง แล้วนั่งพิงพี่สาวด้วยความสุข พี่เรลหันมายิ้มให้ฉัน ฉันเองก็ยิ้มตอบพี่ และนั่นก็เป็นรอยยิ้มที่สวยกว่าครั้งไหนๆ

“คราวหน้าจะเล่นแบบนั้นอีกไหม?” พี่เรลถามฉันทั้งๆ ที่น่าจะรู้คำตอบดีอยู่แล้ว

“แน่นอนค่ะ”

Share this post


Link to post
Share on other sites

อืม...รู้สึกปวดหัวจัง

เกิดอะไรขึ้นกับเรานะ

จริงสิ เราสู้กับวิลลาอยู่นี่นา!!

ฟิลด์เบิกตาโพลงและก็ต้องหยีตาลงเนื่องจากแสงสว่างที่มีมากเกินไป เธอจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ แสงที่เคยสว่างจ้าก็ค่อยๆ จางลงจนเห็นผืนผ้ากำมะหยี่สีน้ำตาลลอยอยู่ตรงหน้า ภูตดินหันซ้ายหันขวาไปมองรอบๆ ห้องที่มีเต็มไปด้วยชั้นหนังสืออันคุ้นเคย

นี่เรากลับมาอยู่ในห้องตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?

หญิงสาวค่อยๆ ชันกายขึ้นนั่ง ผ้าห่มสีน้ำตาลผืนหนาร่วงหล่น เผยให้เห็นผิวสีแทนสวยที่ไร้สิ่งใดปกปิดนอกเสียจากผ้าพันแผลสีขาวสะอาดที่ถูกพันไว้แทบจะทั้งร่าง

“ฟื้นแล้วเหรอ?” เสียงของเพื่อนสาวอันคุ้นเคยดังขึ้นพร้อมๆ กับที่เรือนร่างเล็กในชุดกิโมโนสีฟ้าอ่อนเดินเข้ามาหาอย่างเร่งรีบ

“เฟียร์...” ฉันเรียกอีกฝ่ายที่ค่อยๆ ปลดผ้าพันแผลออก แล้วพันมันกลับเช่นเดิมหลังจากตรวจบาดแผลตามร่างกาย

“อืม...บาดแผลดีขึ้นเยอะเลยล่ะ ถ้างั้น...”

เผียะ!!

ใบหน้าหวานด้านชาขึ้นมาทันทีด้วยแรงฝ่ามือของอีกฝ่าย เฟียร์ทำหน้าบึ้ง น้ำใสๆ ไหลออกมาจากนัยน์ตาสีฟ้าครามทั้งสองข้าง

“ค...คราวหลังอย่าทำอะไรแบบนี้อีกนะ!!” ภูตวารีโผเข้ากอดฉัน ก่อนจะปล่อยโฮออกมาราวกับเด็กๆ ฉันถอนหายใจออกมากับความเป็นห่วงมากเกินไปของอีกฝ่ายเล็กน้อย ก่อนจะกอดร่างเล็กในอ้อมกอดให้แน่นขึ้นเพื่อให้ความอบอุ่นปลอบโยนอีกฝ่าย

“ฉันสลบไปสามวันเลยเหรอ?”

“ใช่” เฟียร์ตอบทั้งๆ ที่ยังอยู่ในอ้อมกอดของฉัน เพียงแต่ตอนนี้เธอหยุดร้องไห้แล้ว เหลือเพียงรอยแดงๆ ใต้ตาเท่านั้นเอง

“อืม...” ฉันครุ่นคิด ก่อนจะลูบหัวภูตวารีอย่างแผ่วเบา จนอีกฝ่ายหน้าขึ้นสีและเป็นฝ่ายถอยออกไปก่อน

“อะ...ขอโทษ...ตัวฉันเย็นน่ะ” สาวน้อยกิโมโนโดดตัวลงไปยืนข้างๆ เตียงแล้วหันหน้าหนีเพื่อซ่อนอาการเขินอายของตน

“เดี๋ยวฉันไปหยิบเสื้อมาให้นะ...”

“ไม่หรอก...” ฉันจับมืออีกฝ่ายไว้ และดึงเธอเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดอีกครั้งหนึ่ง ส่งผลให้แก้มทั้งสองของเฟียร์ร้อนผ่าว

“ด...เดี๋ยวสิฟิลด์ ไม่หนาวเหรอ?” สาวน้อยดิ้นไปมาในอ้อมกอดของอีกฝ่ายด้วยความเขินอาย แต่ภายในใจของเธอก็อยากจะอยู่แบบนี้ต่อไปอีกสักพักเช่นกัน

“ไม่หรอก.... เพราะแผ่นดินจะต้องโอบอุ้มผืนน้ำอยู่แล้ว” อีกฝ่ายชะงักทันทีที่ได้ยิน เฟียร์เงยหน้าขึ้นมาสบตากับภูตแห่งดินที่ส่งสายตาตอบกลับมาในหลายๆ ความหมาย ทั้งสองมองตากันอยู่สักพัก

“ฟิลด์...” เธอเรียกชื่อของอีกฝ่ายก่อนจะค่อยๆ หลับตาลง ผู้ถูกเรียกก็ตอบสนองความต้องการได้เป็นอย่างดีโดยการหลับตาลงเช่นกัน และค่อยๆ โน้มหน้าลงไปหาหญิงสาวในอ้อมกอดเพื่อรับรสของกุหลาบแรกที่ไม่เคยถูกแตะต้องโดยผู้ใดมาก่อน ลมหายใจอุ่นเป่ารดใบหน้าของอีกฝ่าย อ้อมกอดกระชับเข้าหากันแน่นขึ้นเพื่อเพิ่มความอบอุ่น ฟิลด์ส่งมอบความหวานของตนให้ สาวร่างเล็กเองก็ตอบรับเป็นอย่างดีจนความหอมหวานของทั้งคู่รวมเข้ากันเป็นหนึ่ง เสียงหัวใจที่แต่เดิมเต้นระรัว กลับยิ่งเต้นแรงและเร็วขึ้นไปอีกราวกับจะหลุดออกมาเสียให้ได้ ก่อนที่ทุกอย่างจะค่อยๆ หายไป เหลือเพียงรสหวานที่ติดค้างอยู่ตรงริมฝีปากสีกุหลาบที่ช้ำไปเล็กน้อยเท่านั้น

เฟียร์ก้มหน้าลงซบอก ส่วนฟิลด์กลับยิ่งกอดร่างบางให้กระชับขึ้น ต่างฝ่ายต่างก็อยากอยู่กันแบบนี้ไปนานๆ จนไม่มีใครขยับไปไหนเลยแม้แต่น้อย

ปึง!!

“ฟิลด์ พวกเรามาเยี่ยมแล้ว!!” เฟลมร้องตะโกนเสียงดัง ตามด้วยโฟลวที่เดินตามเข้ามาอย่างเงียบๆ

“อ้าว ฟิลด์ยังไม่ฟื้นเหรอ?” เฟลมถามภูตวารีที่ตอนนี้นั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างๆ เตียง ส่วนภูตธรณีกลับไปนอนเช่นเดิม และหันหลังให้กับประตูห้อง

“เอ่อ...ใช่จ๊ะ ยังนอนอยู่เลย” เฟียร์ยิ้ม แต่ภายในใจกลับเต้นระรัวด้วยความหวั่นวิตก ไม่ต่างจากคนที่นอนอยู่บนเตียงในตอนนี้

หวังว่าคงไม่เห็นนะ...

“งั้นเหรอๆ” เฟลมเดินผ่านสาวน้อยในชุดกิโมโนไป แล้วมองสำรวจชั้นหนังสือต่างๆภายในห้อง หญิงสาวแอบลอบถอนหายใจ แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งเฮือกเพราะถูกสายตาอันเฉียบคมของโฟลวจ้องมองจนเธอรู้สึกหวั่นๆ

“ม...มีอะไรเหรอโฟลว” แย่ล่ะ ปั้นหน้าเข้าสิเฟียร์ ยิ้มเข้าไว้ อีกฝ่ายจะได้จับไม่ได้!!

“อืม...” โฟลวเดินเข้ามาหาฉันและค่อยๆ มองสำรวจใบหน้าอย่างเพ่งพินิจ กรี้ด~ อย่าจับได้เชียวนะ!

“ช่างเหอะ” โฟลวพูดแบบนั้นแล้วเดินไปวางตะกร้าของฝากที่ข้างหัวเตียง เฟียร์ถอนหายใจอย่างโล่งอก

เฮ่อ...รอดสักที

“นี่ๆ คราวนี้ฉันจะเอาพวกนี้ไปนะ ถ้าฟิลด์ฟื้นแล้วก็ฝากบอกด้วยล่ะ” เฟลมแบกหนังสือในมือที่มีจำนวนมากมายมหาศาลจนโฟลวต้องใช้เวทย์ลมช่วยขน

“เฟลม แล้วหนังสือคราวที่แล้วที่เธอเอาไปล่ะ” ภูตวารีถามด้วยความสงสัย

“ยังอ่านไม่จบ” เฟลมตอบแบบยิ้มๆ แล้ววิ่งหวือออกไปนอกห้องอย่างร่าเริง ส่งผลให้โฟลวต้องเดินตามไปอย่างเร่งรีบ แต่พอถึงหน้าประตู เธอกันหันกลับมาราวกับนึกอะไรบางอย่างออก

“อย่าเพิ่งทำอะไรกับคนป่วยมากไปล่ะเฟียร์” โฟลวเอานิ้วชี้ไปที่ปากของตนเอง และส่งสายตายิ้มๆ แบบที่ว่า ฉันรู้นะว่าพวกเธอทำอะไรกัน มาให้ ก่อนจะเดินออกจากห้องไปโดยไม่ได้หันกลับมามองภูตวารีที่หน้าขึ้นสีจนเป็นสีแดงแปร๊ดแถมยังมีไอสีขาวลอยออกมาอีกด้วย

สรุปแล้วเธอรู้หมดเลยสินะ ยัยบ้า!!!

Share this post


Link to post
Share on other sites

“ฉลองที่ฟิลด์หายดีแล้ว เอ้าเฮ!!” เฟลมตะโกนดังลั่น ก่อนที่ภูตทั้งสี่และอีกหนึ่งคนจะชนแก้วกันด้วยสีหน้าคนละแบบ

เฟลมสนุกสนานกับปาร์ตี้เล็กๆ ที่ตัวเองจัดขึ้น

โฟลวเหล่สายตามองของกินจำนวนมากพลางกลืนน้ำลาย

เฟียร์เหลียวมองไปยังเจ้าภาพงานด้วยความเป็นห่วง

วิลลากำลังคำนวนอยู่ว่างานแบบนี้ตอนนี้ จะแสดงอารมณ์แบบไหนออกมาดี

ส่วนภูตดินที่ถูกเชิญมาเป็นเจ้าภาพขมวดคิ้วสงสัยว่าทำไมงานปาร์ตี้น้ำชาแบบนี้ต้องชนแก้วกันด้วย

แต่ก็ช่างเถอะ...เขาอุตส่าห์จัดงานให้เรานี่เนอะ

ฟิลด์หยิบนักเก็ตขึ้นมาทานหนึ่งชิ้น ส่งผลให้ภูตลมที่รอเวลาอยู่แล้วสตาร์ทเครื่องโซ้ยอาหารทันใด ภูตไฟเองก็ไม่ยอมแพ้ เริ่มเข้าคลุกวงในแย่งน่องไก่กับอีกฝ่าย ท่ามกลางสายตาระอาปนขำของอีกสามคนที่เหลือ

“สองคนนั่นเป็นแบบนี้ประจำเลยนะ” วิลลาจิบน้ำหวานพลางดูการต่อสู้ของภูตทั้งสองที่ตอนนี้เลื่อนมาอยู่ตรงอาหารจานหลักแล้ว

“ก็เป็นแบบนี้ประจำแหละ...” ฟิลด์เอ่ยเสริมแล้วยิ้มออกมา

“ไม่คิดจะเข้าไปขัดหน่อยเหรอ”

“ไม่หรอกค่ะ เดี๋ยวสองคนนั่นก็เลิกทะเลาะกันไปเอง” ครั้งนี้ภูตวารีเป็นคนตอบ เธอยืนพิงฟิลด์ราวกับเด็กน้อย ทำให้อีกฝ่ายอดไม่ได้ต้องยกมือขึ้นมายีหัวเล่น

“จะว่าไปพักนี้พวกเธอสองคนก็ดูสนิทกันมากขึ้นนะ” วิลลาพูดขึ้นแล้วจ้องมองการกระทำของทั้งสองอย่างตั้งอกตั้งใจ

“ก็สนิทกันแบบนี้อยู่แล้วล่ะค่ะ” สาวน้อยตอบด้วยรอยยิ้มอันสดใส

“งั้นเหรอ?” วิลลาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะมองหาตัวช่วยประจำของตนเอง แต่มองหาเท่าไหร่ก็ดันหาไม่เจอนี่สิ

พี่เรลหายไปไหนนะ?

สวัสดีค่ะทุกคน ฉันเรลเวียร์เองนะคะ รู้สึกเสียใจนิดๆ ที่พักนี้ตัวเองไม่ค่อยจะมีบทเด่นๆ เลย ตอนนี้จึงอยู่ในช่วงเก็บตัวเงียบค่ะ ฮือ...นี่ฉันเป็นนางเอกนะ ให้ฉันเด่นๆ กว่านี้ไม่ได้หรือไง...

จะว่าไปแล้ว...ฟอลเองก็กำลังทำอะไรอยู่ในห้องกำเนิดก็ไม่รู้สิ แถมยังสั่งว่าห้ามเข้าไปดูอีกด้วย แต่คงไม่พ้นสร้างใครขึ้นมาอีกสักคนแหละนะ

แต่ท่านฟอลจะสร้างใครขึ้นมากันนะ...อยากรู้จัง...

แอบไปดูดีกว่า หึๆๆ

และด้วยเหตุนี้ ฉันจึงมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องกำเนิดที่ถูกปิดสนิท ฉันลองแนบหูเข้ากับประตูดู แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรนอกจากเสียงเครื่องยนต์ที่ดังเป็นจังหวะเท่านั้น ไม่มีเสียงเดินไปมาหรือกระทั่งเสียงพึมพำคนเดียวด้วย

หรือตอนนี้ฟอลจะไม่อยู่ในห้องกำเนิด?

ด้วยความอยากรู้ที่เพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ ฉันจึงลองจับลูกบิดสีเงินและค่อยๆ ขยับมัน โอ๊ะ ไม่ได้ล็อคแฮะ! ฉันแง้มประตูนิดหนึ่งแล้วยื่นหน้าเข้าไปมองรอบๆ ห้องที่ไม่แตกต่างไปจากเดิมเมื่อครั้งที่วิลลาเกิด สายตาของฉันสะดุดเข้ากับเรือนร่างของหญิงสาวคนหนึ่งในตู้กระจกใบเดิม ฉันมองสำรวจรอบๆ ห้องอีกครั้ง เมื่อแน่ชัดแล้วว่าไม่มีคนอยู่ ฉันจึงเดินเข้าไปมองเธอคนนั้นใกล้ๆ

อา...รูปร่างสวยจังแฮะ...ผมสีทองยาวพลิ้วไหวไปตามแรงน้ำภายในหลอดทดลอง ผิวสีขาวอมชมพูดูเปล่งปลั่ง รูปร่างผอมสูง แต่หุ่นก็ดีไม่น้อย และนั่นเริ่มทำให้ฉันอิจฉา หนอยแน่ะ...เอาพวกที่หุ่นดีกว่าฉันมาอีกแล้วเรอะ เรื่องอะไรฉันจะยอมเล่า!!!

ตัดสินใจได้ดังนั้นสาวเจ้าก็ลงมือกดแป้นควบคุมเป็นการใหญ่ เพื่อเปลี่ยนรูปร่างของสตรีในหลอดแก้ว ว่าแต่ปุ่มไหนมันทำอะไรได้บ้างเนี่ย? โอ้ย กดมั่วไปเลยก็แล้วกัน!!

“นี่แน่ะๆ ปุ่มนี้กับปุ่มนี้ แล้วก็ตรงนี้ด้วย แถบนี้เลื่อนขึ้น อ๊ะ อันนี้เลื่อนลงละกัน เอ...เอาปุ่มนี้ด้วยดีกว่า” จากที่แค้นนักแค้นหนา กลับกลายเป็นความสนุกสนานราวกับกำลังเล่นเกมกดอยู่อย่างไรอย่างนั้น หลังจากปรับเสร็จ ฉันก็เงยหน้ามองผลงานของตนเองอย่างพอใจ บัดนี้ร่างของหญิงสาวในหลอดแก้วดูสูงในระดับคนทั่วไป ผมสีเงินยวงยาวเลยหลังไป ผิวกายเป็นสีขาวสะอาด รูปร่างสะโอดสะอง แขนขาเรียวยาว ที่สำคัญคือหน้าอกของเธอดูจะเล็กพอๆ กับฉันเลยทีเดียว ฮะฮ่า!

“อาวล่ะ...จะกดล่ะนะ...” ฉันรู้สึกใจจดใจจ่ออย่างบอกไม่ถูก นิ้วชี้ของฉันค่อยๆ เงื้อขึ้นเหนือปุ่มสีเขียวปุ่มใหญ่นั้น ก่อนที่จะ...

หมับ!

“ทำอะไรอยู่น่ะเรล...” ฉันยืนค้าง ก่อนจะหันไปมองคนที่บังอาจมาหยุดยั้งการสร้างของฉัน แต่ก็นะ...คนที่จะหยุดฉันได้ก็มีคนเดียวเท่านั้นแหละ...

“ท...ท่านฟอล...” ฉันยิ้มแหยๆ แล้วยกมือข้างที่ยังว่างอยู่ขึ้นมาโบกมือทักทาย

“แล้วนี่...” เขาหันไปมองหญิงสาวในหลอดแก้ว และหันกลับมามองฉันด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่ดูน่าขนลุก

“อ...เอ่อคือ...มือมันไปเองอ่ะ...”

“ผมบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่ามาแอบดูน่ะ” ไม่ได้แอบนะค้า~ แค่เข้ามาดูเลยต่างหาก

“แล้วนี่ยังมาเปลี่ยนงานของผมอีกนะ” ก็...ก็เค้าใหญ่กว่าอ๊ะ เลยไม่ทันได้คิด...

“อย่างนี้ผมก็ต้องสร้างขึ้นมาใหม่อีกรอบน่ะสิ”

“ก...ก็...” พูดออกไปสิ! ไอ้ที่อยู่ในใจทั้งหลายแหล่น่ะพูดออกไปเซ่!!

“แล้วกับเธอคนนี้ จะทำยังไงต่อ?” ฉันชะงักแล้วหันไปมองหญิงสาวในหลอดแก้ว ก่อนจะหันกลับมาสบตากับฟอลอีกครั้ง

“หมายความว่ายังไง?”

“ตอนแรกผมเป็นคนสร้างเขาขึ้นมา แต่เธอเอาไปปรับจนกลายเป็นคนใหม่แล้วนี่ ดังนั้นผมถึงถามเรลว่า จะทำยังไงกับคนๆ นี้ต่อ”

“ทำยังไงเหรอ...” ฉันเหลียวไปมองหญิงสาวที่อยู่ในหลอดแก้วคนนั้น หญิงสาวที่ยังคงหลับไหลอยู่ หญิงสาวที่ไม่แม้แต่จะลืมตาขึ้นมามองสิ่งที่อยู่รอบๆ ข้าง

“ถ้าไม่เอา ผมก็จะลบเธอคนนี้ออกไปนะ ไม่งั้นผมทำงานต่อไม่ได้” ลบเหรอ...นั่นสิ ยังไงก็เป็นแค่ผลงานที่เกิดจากความไม่ทันคิดของฉันอยู่แล้วนี่นา...แต่ว่า...

ฉันลดมือลงและยืนนิ่งอยู่กับที่ โดยมีฟอลที่ยืนกอดอกคอยมองดูอยู่เคียงข้าง แต่ในหัวของฉันกลับเต็มไปด้วยคำถามมากมาย

ลบ...ใช่ มันไม่ใช่เรื่องยากเลยจริงๆ ที่จะทำ แต่ทำไมฉันถึงได้ลังเลขนาดนี้กันนะ ถ้าเกิดฉันลบไป...ลบออกไป...ก็คง...

“ท่านฟอลคะ...” ฉันเงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้ามาดมั่น และเรียกคนที่อยู่ข้างตัวโดยไม่หันไปมอง เพราะสายตาของฉันตอนนี้จับจ้องไปที่หญิงสาวในหลอดแก้วคนนั้น

“ว่ายังไงล่ะ?”

“สร้างเธอขึ้นมาเลยค่ะ”

“แน่ใจเหรอ?"

“การที่เธอคนนี้ถูกสร้างขึ้นมานั้นเป็นเพราะฉัน แต่การจะทิ้งเธอไปเพียงแค่ไม่ต้องการแล้วนั้น ฉันทำไม่ได้ค่ะ” หญิงสาวตอบอย่างมั่นใจ

“ดูท่าผมคงไม่ต้องถามซ้ำสินะ” ท่านฟอลพูดก่อนจะกดปุ่มสร้างแทนฉัน ฉับพลันนั้น ร่างของหญิงสาวในหลอดแก้วก็เปล่งประกาย และแปรเปลี่ยนเป็นอาภรณ์สีขาวสะอาดแบบเดียวกันกับฉัน เธอค่อยๆ ลืมตาขึ้น เผยให้เห็นนัยน์ตาสีเงินยวงเฉกเช่นเดียวกับเส้นผมอันเงางาม หลอดแก้วได้เปิดออก เพื่อให้เธอคนนั้นได้ก้าวออกมาสู่โลกภายนอกเป็นครั้งแรก และมาหยุดอยู่เบื้องหน้าของสตรีสูงศักดิ์เพียงคนเดียวในบ้านหลังนี้

“ตั้งชื่อให้เธอสิเรล” ฟอลคอนบอก

น่าแปลก...ทั้งๆ ที่ไม่ได้คิดเตรียมไว้ล่วงหน้าเลยแม้แต่น้อย แต่ฉันกลับมีคำตอบอยู่ภายในใจเรียบร้อยแล้ว

“เลนเน่ ( Lenne ) นั่นคือชื่อของเธอ”

Share this post


Link to post
Share on other sites

“ไม่เป็นไรแน่เหรอคะพี่เรล?” สาวน้อยผมสีม่วงเงางามถามด้วยน้ำเสียงเจือความเป็นกังวล ผู้ถูกถามเพียงแค่หันมายิ้มให้กับเธอ และตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานแต่แฝงความเชื่อมั่นเอาไว้ภายใน

“ไม่หรอก เชื่อพี่สิ...”

วิลลามองพี่สาวของตน ก่อนจะถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนพร้อมกับภูตทั้งสี่ที่ยืนอยู่ใกล้ๆ กัน ทั้งหมดเบนสายตาไปยังสตรีผมสีเงินเงาวาววับที่นั่งอยู่บนโซฟาสีดำสนิทใกล้ๆ กับโต๊ะกระจกกลางห้อง

เป็นเวลาสามวันแล้วที่เลนเน่ได้เกิดมา

และก็เป็นเวลาสามวันแล้ว ที่หญิงสาวผมเงินคนนี้ไม่พูดอะไรเลย! ที่สำคัญคือนอกจากเวลากินข้าว อาบน้ำ และเวลาเข้านอนแล้ว เธอจะเข้ามานั่งอยู่ภายในห้องสมุดแห่งนี้ตลอด

เพียงแค่นั่งจริงๆ...

“พี่แน่ใจนะว่าไม่ได้สร้างคนใบ้ขึ้นมาน่ะ?” วิลลาถามย้ำอีกครั้งหนึ่ง แต่คำพูดที่อีกฝ่ายตอบกลับมายังคงเป็นเช่นเดิม

“ไม่หรอก เชื่อพี่สิ” อันที่จริงหนูก็อยากจะเชื่อในคำพูดของพี่อยู่หรอกนะ แต่สีหน้าปุเลี่ยนๆ แบบชักไม่มั่นใจเสียแล้วเนี่ยสิ ที่ทำให้หนูไม่อยากจะเชื่อสักเท่าไหร่

“ตลอดสามวันนี่ทั้งหนูทั้งพวกพี่ฟิลด์ก็ลองเข้าไปคุยกันมาหมดแล้ว แต่เลนเน่ก็ยังทำแค่พยักหน้ากับส่ายหน้าอยู่สองอย่างเหมือนเดิม จนพวกหนูไม่รู้จะทำยังไงดีแล้วล่ะค่ะ” เรลเวียร์พยักหน้ายอมรับ แต่ในหัวกลับครุ่นคิดไปถึงเรื่องของสาวน้อยคนล่าสุดที่เธอสร้างขึ้นมากับมือ

สรุปแล้วนี่เธอสร้างคนใบ้ขึ้นมาจริงๆ เรอะเนี่ย?

“เดี๋ยวสิ...”

“อะไรเหรอคะพี่เรล” วิลลาส่งยิ้มหวานมาให้พี่สาวของตนเหมือนทุกครั้ง

“ไหงจู่ๆ ก็จะมาสู้กันล่ะเนี่ย!” เรลเวียร์กรีดร้อง แล้วใช้ดาบปัดป้องการโจมตีด้วยดาบแบบเดียวกันในมือของวิลลาไปด้วย

“ก็พี่สัญญาว่าจะสู้กับหนูนี่นา~”

“จู่ๆ ตัดฉากมาแบบนี้เดี๋ยวคนอ่านก็งงหรอกเฮ้ย!”

“เรื่องนั้นน่ะช่างมันเถอะค่า~” วิลลาตวัดดาบในมือของตนไปมา มืออีกข้างก็เสกรีวอลโวสีเงินแล้วจ่อเข้าที่สีข้างพี่สาว แต่ยังไม่ทันจะได้ลั่นไก ปืนกระบอกนั้นก็ขาดเป็นสองท่อนพร้อมๆ กับที่ดาบในมือเธอถูกกระแทกออกจนหลุดมือไป

“เสร็จพี่ล่ะ!”

“กรี้ดดด~ ซะเมื่อไหร่ล่ะคะ~” วิลลาโค้งตัวลงในท่าสะพานโค้ง หลบท่าแทงดาบของอีกฝ่ายได้อย่างหวุดหวิด แล้วตวัดขาสองข้างขั้นด้วยความรวดเร็วหมายเตะเสยคาง แต่ก็ยังช้าเกินไปสำหรับหญิงสาวผมทองคนนี้ เธอเพียงแค่ก้าวถอยหลังมาหนึ่งก้าวเท่านั้น พร้อมๆ กับตวัดดาบรุกไล่น้องสาวของตนที่เรียกดาบและโล่หลากชนิดขึ้นมากันและพยายามสวนกลับ ท่ามกลางสายตาของภูตแห่งธาตุทั้งสี่

“แปลกจัง ทำไมวิลลาถึงไม่ใช้อาวุธหนักแบบที่เคยสู้กับฟิลด์เลยล่ะ?” โฟลวหันไปถามเฟลมที่ยืนอยู่ข้างๆ กัน แต่พอเห็นนัยน์ตาสีแดงแป๋วแหววคู่นั้นแล้วเธอก็หนักใจ ดูเหมือนจะถามผิดคนสินะ

“เข้าใจละ...” ฟิลด์ที่จ้องมองการต่อสู้ตั้งแต่ต้นอย่างไม่วางตาโพล่งขึ้น เรียกความสนใจจากสามคนที่เหลือได้เป็นอย่างดี

“เข้าใจอะไรเหรอฟิลด์?”

“วิลลาไม่ได้ไม่ใช้อาวุธหนัก แต่ใช้ไม่ได้ต่างหาก” พูดจบเธอก็ชี้ไปที่วิลลา อีกสามคนที่เหลือก็หันไปมองตามทันที ที่มือขวาของ AI สาวมีแสงสว่างเล็กๆ กำลังพยายามรวมตัวกันเป็นรูปร่างของอาวุธชนิดหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นอาวุธที่รุนแรงพอสมควร แต่พอเรลเวียร์ฟาดดาบใส่ กลุ่มแสงเหล่านั้นก็แตกกระจายออกเป็นจุดเล็กๆ ทันที

“มันเป็นเพียงจุดเล็กๆ จึงไม่ค่อยจะมีใครสังเกตเห็น แต่นั่นคงเป็นวิธีการสร้างอาวุธเฉพาะกิจของวิลลาแน่ๆ” ฟิลด์เอ่ยเสริม

“แล้วทำไมอาวุธบางอย่างถึงใช้ได้ล่ะ” ภูตวายุชี้ไปที่ดาบโค้งในมือของวิลลา

“คงเป็นเพราะอาวุธพวกนั้นไม่มีรายละเอียดยิบย่อยมากล่ะมั้งจ๊ะ วิลลาถึงได้สร้างเสร็จก่อนที่ท่านเรลจะทำลายมันน่ะ” ครั้งนี้เฟียร์เป็นคนตอบแทบ โฟลวพยักหน้าอย่างเข้าใจ ก่อนจะหันกลับไปสนใจฉากต่อสู้เบื้องหน้าต่อ

ถ้าเกิดวิลลาเรียกอาวุธหนักออกมาได้สำเร็จ ท่านเรลจะรับมือยังไงกันนะ?

แฮ่ก...แฮ่ก...

“อ้าว หอบแล้วเหรอ AI นี่เหนื่อยเร็วกว่าที่คิดไว้เยอะเลยนะเนี่ย” เรลเวียร์พูดล้อน้องสาวของตนอย่างร่าเริง ผิดกับคนโดนล้อที่ต้องใช้ดาบในมือต่างไม้ค้ำเอาไว้ไม่ให้ล้ม

จะทำยังไงต่อดีล่ะ? ถึงการเปลี่ยนไปใช้ร่าง AI จะทำให้หายเหนื่อย แต่การเคลื่อนไหวก็จะช้าลงกว่าเดิมอีกจนคราวนี้คงกลายเป็นเป้านิ่งให้พี่เรลเล่นแทน แถมอาวุธที่เรียกออกมาก็มีดีแค่ปริมาณ คุณภาพแย่ๆ แบบนั้นทำอะไรพี่เรลไม่ได้ชัวร์ สงสัยงานนี้จะต้องวัดดวงเสียแล้วแฮะ

ชิ รู้งี้ใช้ร่างมนุษย์มาออกกำลังกายมั่งดีกว่า...

“จะสู้ต่อเหรอ?” พี่สาวถามน้องของตนด้วยความเป็นห่วง ก่อนจะต้องเก็บมันกลับไปเมื่อเห็นสายตาจริงจังของอีกฝ่ายที่ส่งกลับมาแทนคำตอบ วิลลายกเรเพียในมือของตนเองขึ้นเหนือหัว ก่อนจะตัดสินใจปามันใส่อีกฝ่ายด้วยความรวดเร็ว และเร่งพลังทั้งหมดไว้ที่มือขวาของตน เพื่อสร้างอาวุธหนักที่พอจะต่อกรกับอีกฝ่ายได้แน่ๆ ขึ้นมา

ถ้าเธอสร้างทัน ก็พอจะโต้กลับได้ ถ้าไม่ทันก็จบกันแค่นี้ล่ะ!

“วัดดวงเลยงั้นเหรอ? AI นี่ก็ทำอะไรแบบไม่ต้องคำนวนก็เป็นเหมือนกันแฮะ” เรลเวียร์พุ่งตัวสวนเรเพียเข้ามาหาเป้าหมายได้อย่างง่ายดาย และยกดาบตวัดใส่กลุ่มลำแสงนั้นอย่างรวดเร็ว เอาล่ะ ยับยั้งการสร้างอาวุธได้แล้ว!

แกร๊ง! ดาบเหล็กฟาดเข้าใส่ท่อนเหล็กในมือของวิลลาอย่างแรง ไม่สิ นี่มันมิสไซล์นี่นา!

ตูม!!

ผลจากการที่วัตถุระเบิดถูกกระแทกอย่างแรง ทำให้มันเกิดระเบิดขึ้นกลางคัน ภูตทั้งสี่ต้องยกมือขึ้นมาบดบังฝุ่นควันและกระแสลมแรงที่เป็นผลกระทบมาจากแรงระเบิดนั้น คนที่ตั้งตัวได้ก่อนคือภูตดิน เธอกวาดสายตามองหาสองพี่น้องทั่วทั้งลานประลอง ซึ่งเธอพบเพียงแค่ท่านเรลเวียร์ที่ยืนนิ่งอยู่ริมสนามประลอง เสื้อผ้าที่ใส่เต็มไปด้วยฝุ่นควันและรอยไหม้เป็นหย่อมๆ ตามร่างกายมีเพียงแผลถลอกเล็กน้อยเท่านั้น แต่วิลลาล่ะ?

“เมื่อกี้อะไรอ่ะ ระเบิดพลีชีพเรอะ?” เฟลมถามหลังจากที่ตั้งสติได้ ตามมาด้วยคนอื่นๆที่เริ่มมองหาอีกคนหนึ่งอย่างจ้าละหวั่น แต่มองไปทางไหนก็หาไม่เจอใคร นอกจากท่านเรลเวียร์ที่ยังดูสบายดี หลุมระเบิดขนาดใหญ่ กลุ่มควันดำขโมง และเศษดินเศษหินจำนวนมากที่กระจัดกระจายกันไปอยู่เต็มสนาม

หืม กลุ่มควัน? ระเบิดแค่นี้มีควันดำเยอะขนาดนี้เลยเหรอ?

“แย่ล่ะสิ!” เรลเวียร์พุ่งตัวเข้าไปหากลุ่มควันนั้นอย่างรวดเร็ว แต่ไปได้เพียงครึ่งทางก็มีลูกตะกั่วจำนวนมากพุ่งแหวกม่านควันสีดำออกมา หญิงสาวกระโดดหลบการโจมตีนั้นได้อย่างเฉียดฉิว และถอยตัวกลับไปตั้งหลัก ม่านควันค่อยๆ จางลง เผยให้เห็นร่างของหญิงสาวเรือนผมสีม่วงยาวที่มีร่างกายบอบช้ำไม่น้อย โดยเฉพาะขาซ้ายของเธอที่คืนกลับไปเป็นโครงร่างแบบ 3D เสียแล้ว

แต่แลกขาข้างเดียวกับแกทลิ่งแบบตั้งป้อม พร้อมกองอาวุธหนักข้างหลังเธออีกจำนวนหนึ่งก็คุ้มแล้ว!

“โทษทีนะคะพี่เรล ที่การกระทำของหนูไม่ใช่การวัดดวงเสียทั้งหมด” วิลลาขยิบตาให้พี่สาว ซึ่งมันจะดูน่ารักมากถ้าเบื้องหน้าเธอไม่ใช่อาวุธหนักอย่างแกทลิ่ง

“โฮ่...แสดงว่าจงใจให้เกิดระเบิดสินะ”

“แล้วแต่จะคิดค่ะ” พูดจบสาวน้อยของเราก็เปิดฉากยิงใส่อีกฝ่ายอย่างไม่ยั้ง เรลเวียร์พยายามกระโดดหลบออกจากวิถีกระสุน และพยายามเคลื่อนที่วนเป็นวงกลมเข้าไปใกล้ แต่ป้อมปืนของวิลลาเองก็หมุนได้สามร้อยหกสิบองศาเช่นกัน หญิงสาวพยายามจะฝ่าดงกระสุนเข้าไปใกล้ๆ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่คิด เพราะตอนนี้ป้อมปืนของวิลลาได้อัพเกรดเพิ่มขึ้นอีกขั้นหนึ่งแล้ว เพราะเหนือหัวของ AI สาวนั้นมีเครื่องยิงจวรดต่อสู้รถถังลอยอยู่ และกำลังเล็งมาที่เธอด้วยนี่สิ!

“ชิ...คงต้องเหนื่อยกันหน่อยล่ะนะ...” เรลเวียร์บ่นพึมพำและวิ่งวนไปรอบๆ ป้อมเพื่อให้อีกฝ่ายเล็งเป้าหมายได้ยาก จังหวะไหนที่หลบไม่ทันจริงๆ ก็ใช้ดาบในมือปัดป้องกระสุนออกไป ส่วน RPG ที่ดูเหมือนจะจัดการยากในตอนแรกกลับไม่เป็นปัญหาแม้แต่น้อย เพราะมันช้ายิ่งกว่าลูกตะกั่วนับพันลูกเสียอีก แค่เคลื่อนไหวออกห่างให้มากก็หลบแรงระเบิดได้แล้ว

“สมแล้วที่เป็นท่านพี่ ของแค่นี้จัดการไม่ได้จริงๆ ด้วย แต่หนูเองก็ไม่ได้ประมาทหรอกนะคะ” AI สาวยิ้มร่า ก่อนที่จำนวนกระบอกปืนแกทลิ่งจะมากขึ้น และเริ่มยิ่งสะเปะสะปะไปทั่ว แม้แต่จรวด RPG เองก็เช่นกัน บ้างก็ยิงลงพื้น บ้างก็ยิงโดนกระสุนด้วยกันเอง บ้างก็ตรงไปที่เป้าหมาย แต่กระนั้นก็ยังไม่สามารถสร้างบาดแผลให้กับเรลเวียร์ได้แม้แต่น้อย

“แปลกจัง...ทำไมจู่ๆ วิลลาถึงได้โจมตีมั่วซั่วแบบนั้นล่ะ” โฟลวขมวดคิ้วสงสัยขณะที่นั่งหลบอยู่หลังรั้วเหล็กของสนามประลอง เธอลองโผล่หัวขึ้นไปดูแวบหนึ่ง แล้วก็ต้องก้มลงอย่างรวดเร็วเมื่อกระสุนจำนวนหนึ่งเฉี่ยวหัวเธอไปเพียงนิดเดียวเท่านั้น ถึงโดนแค่นี้จะไม่ตายก็เหอะ แต่มันก็หวาดเสียวอยู่นะ...

“ก็เพราะโจมตีแบบนั้นแล้วจะทำให้ท่านเรลลำบากขึ้นน่ะสิ” ฟิลด์เองก็ยังคงตอบคำถามของภูตสาวจำไมเช่นเคย

“หมายความว่าไงอ่ะ?”

“เพราะการโจมตีที่ดีที่สุด คือการโจมตีแบบคาดไม่ถึงไงล่ะจ๊ะ” ภูตน้ำเอ่ยเสริม แต่เมื่อสบตากับนัยน์ตาสีเขียวกลมโตที่ดูซื่อๆ คู่นั้นแล้วก็แอบถอนหายใจ ก่อนจะอธิบายขยายความเพิ่มเติม

“ตอนแรกท่านเรลหลบการโจมตีของท่านวิลลาได้ เพราะว่าท่านเรลมองออกว่าอีกฝ่ายจะโจมตีมาแบบไหน แต่ตอนนี้ท่านวิลลาเปลี่ยนรูปแบบการโจมตีเป็นแบบสุ่ม และเน้นปริมาณกระสุนที่มากจนยากจะหลบให้ได้ทั้งหมด ทำให้ท่านเรลไม่สามารถคาดเดารูปแบบและทิศทางการโจมตีได้น่ะ”

“อ๋อ ไอ้ที่เขาเรียกว่าดันมาคุใช่ไหม?” ภูตไฟเอ่ยแทรก

“ไม่หรอกเฟลม เพราะดันมาคุจะยิงเป็นระบบมากกว่านี้ แม้มันยากที่จะหลบเหมือนกันก็ตามที...” เฟลมกับโฟลวพยักหน้าหงึกๆ อย่างพร้อมเพรียง เฟียร์ถอนหายใจเล็กน้อยกับสองภูตที่ภายนอกดูจะโตกว่า แต่กลับกลายเป็นเธอที่มีความเป็นผู้ใหญ่มากกว่าเสียอีก

เอาเหอะ...ตอนนี้ท่านเรลกับท่านวิลลาจะเป็นยังไงกันบ้างแล้วนะ...

แฮ่ก...แฮ่ก...

“หอบแล้วเหรอคะพี่เรล...” วิลลายิ้มแป้นให้กับพี่สาวตัวเองที่ยังคงโดดหลบไปมาและพยายามหาทางเข้าประชิดตัวเธอแต่ก็ยังไม่สามารถย่นระยะห่างเข้ามาได้สักที

“วิลลานั่นแหละ ใช้พลังงานมากไปหรือไง หน้าถึงได้ซีดลงตั้งเยอะ” อึก...นึกว่าซ่อนสีหน้าเอาไว้ได้ดีแล้วแท้ๆ นะเนี่ย

“ถึงจะรู้ แต่กว่าพลังงานหนูจะหมด คงเป็นฝ่ายพี่ที่หมดแรงก่อนแน่ๆ ค่ะ”

“ก็ต้องดูกันต่อไป...” เรลเวียร์เริ่มเร่งฝีเท้าของตนเองขึ้น แล้วกวัดแกว่งดาบปัดกระสุนปืนรอบข้าง นัยน์ตาสีทองคู่สวยจับจ้องไปตามวิถีกระสุน รวมถึงหลบหลีกลูกระเบิดอีกหลายครั้ง จนในที่สุด เธอก็พบช่องว่างของการโจมตีนั้น หญิงสาวไม่รอช้า พุ่งฝ่าเข้าไปทางขวาด้านหลังของน้องสาวตนเอง ก่อนจะก้มตัวลงวิ่งสุดฝีเท้าเข้าประชิดป้อมอีกฝ่ายได้ในที่สุด!

“เสร็จพี่ล่ะ!!” หญิงสาวยิ้มเยาะและฟาดดาบเข้าไปที่ร่างของอีกฝ่ายเต็มแรง เธอเห็น AI สาวหันหน้ามามอง และยิ้ม!!

เคร้ง!!

ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นเหมือนภาพสโลวโมชัน ดาบเหล็กในมือกระทบเข้ากับกำแพงกระจกที่บางใสเข้าอย่างแรง ตามมาด้วยเสียงของวัตถุที่แตกหัก เศษชิ้นส่วนสีเงินกระจัดกระจายไปตามแรง และค่อยๆ ร่วงลงสู่สนามต่อสู้แห่งนี้ ท่ามกลางสายตาตกตะลึงของผู้ชมทั้งสี่ คู่ต่อสู้ของเธอ และตัวเธอเองด้วยเช่นกัน

ดาบหัก...ไม่จริงน่า...

หญิงสาวมองอาวุธในมือของตนที่ใช้มาจนเคยชินตั้งแต่วันแรกที่เธอมาอยู่ที่นี่ ภาพความหลังครั้งเก่าค่อยๆ ผุดขึ้นมาภายในหัวของเธอเรื่อยๆ ตั้งแต่ครั้งแรกที่เธอได้สัมผัสมัน ใช้มันต่อสู้กับคู่ต่อสู้นับไม่ถ้วน ใช้หั่นผัก หั่นเนื้อ ตัดกระดาษ ขีดกำแพงเล่น บลาๆๆ เอ๊ะ ไหงหลังๆ มันถึงเป็นเรื่องไร้สาระล่ะ แต่ช่างมันเหอะ

เรลเวียร์โยนอาวุธในมือทิ้งอย่างไม่ใยดี (แล้วที่ทำซึ้งระลึกความหลังเมื่อกี้ล่ะเฮ้ย!?) ก่อนจะรีบกระโดดเว้นระยะห่างออกมาจากวิลลาพอตัว

“อาวุธไม่มีแล้วนะคะพี่ ยังจะสู้ต่ออีกเหรอ?” วิลลาถามพี่สาวของเธอ

“แน่นอนอยู่แล้ว...” หญิงสาวกำหมัดของตนแน่น ก่อนจะชูมันขึ้นฟ้า ราวกับจะประกาศก้องว่าจะใช้หมัดของตนพิชิตอีกฝ่าย จนน้องสาวอย่างเธอถึงกับอดยิ้มไม่ได้

“งั้นก็มาจบการต่อสู้ครั้งนี้กันดีกว่าค่ะ พี่เรล” และแน่นอนว่าด้วยชัยชนะของหนูนะคะ

วิลลาลั่นกระสุนปืนใส่ทันที แต่หญิงสาวก็โต้ตอบด้วยการใช้มือเปล่ารับมันได้อย่างง่ายดาย และดีดมันกลับไปด้วยความแรงและเร็วที่มากกว่าเดิมจนป้อมปืนของวิลลาเริ่มพังลงไปพอสมควรแต่ถึงกระนั้นห่ากระสุนก็ไม่ได้ลดลงแม้แต่น้อย กลับกัน พลังโจมตีของปืนกลยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นเรลเวียร์เสียเปรียบเสียเอง

ลดจำนวนป้อมปืนเพื่อเพิ่มคุณภาพงั้นเรอะ?

หญิงสาวเริ่มเปลี่ยนจากการตั้งรับมาเป็นการหลบหลีกแทน ทว่าด้วยร่างกายที่อ่อนล้าเนื่องจากต่อสู้มาเป็นเวลานานก็ทำให้เธอหลบไม่พ้นอยู่หลายครั้ง ของเหลวสีแดงเปรอะเปื้อนชุดขาวเป็นหย่อมๆ แต่ถึงกระนั้นก็ไม่มีท่าทีว่าจะยอมแพ้ในการต่อสู้ครั้งนี้เลยแม้แต่น้อย

“สุดยอด...” โฟลวอุทานออกมาด้วยความทึ่ง ไม่ต่างจากภูตอีกสามตนที่เหลือที่ยังคงยืนนิ่งด้วยความรู้สึกเช่นเดียวกัน

แม้สนามประลองนี้จะถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้ฝึกซ้อม แต่หลายครั้งหลายคนที่มันกลายเป็นการต่อสู้อันดุเดือด รุนแรง ยากที่จะเข้าไปยับยั้งหรือขัดขวางได้ จนท่านฟอลต้องตั้งระบบรักษาความปลอดภัยขั้นสูงเอาไว้ เพื่อไม่ให้เกิดการสูญเสียขึ้นในที่แห่งนี้

เมื่อใครได้รับบาดแผลรุนแรง ก็มักจะถูกวาร์ปไปห้องพยาบาลและเข้ารับการรักษาอย่างเร่งด่วน ก่อนจะถูกส่งกลับห้องของตนเองเพื่อให้ได้รับการพักผ่อนอย่างเต็มที่ เหมือนครั้งที่ฟิลด์ต่อสู้กับวิลลาอย่างเอาเป็นเอาตายเมื่อครั้งนั้น ซึ่งการต่อสู้ครั้งนี้ก็น่าจะจบลงที่ใครคนใดคนหนึ่งถูกส่งไปที่ห้องพยาบาลอย่างแน่นอน

“ยังไหวอยู่อีกเหรอคะพี่?” วิลลาถามพี่สาวของตนที่มีบาดแผลทั่วกาย แม้จะไม่มีบาดแผลที่รุนแรง แต่เลือดที่ไหลออกมาก็มากอยู่ น่าจะครองสติได้ไม่นานนัก แต่อีกฝ่ายจะหมดสติก่อนที่พลังงานเธอจะหมดหรือเปล่านี่สิ

“หึๆ พลังงานใกล้จะหมดแล้วล่ะสิ การโจมตีหลังๆ ถึงได้ขาดความเฉียบคมไปเยอะเลย” หญิงสาวยิ้มตอบด้วยท่าทีมั่นใจ ทั้งๆ ที่ขาทั้งสองข้างเริ่มสั่น

“งั้นหนูจะทุ่มพลังที่เหลืออยู่ทั้งหมดเพื่อปิดฉากก็แล้วกันค่ะ” วิลลาชูมือซ้ายขึ้น เครื่องยิงจรวดขนาดกะทัดรัดก็ปรากฎขึ้น หญิงสาวจับมันตั้งประทับบ่า เล็งเป้าหมายที่มีเพียงหนึ่งเดียว ก่อนจะลั่นไกออกไปด้วยพลังงานทั้งหมด

ปัง!!

ลูกเหล็กสังหารรูปหัวปลีพุ่งเข้าใส่หญิงสาวอีกคนหนึ่งเป็นเส้นตรง ด้วยระยะและความเร็วระดับนี้ เธอควรจะหลบมันได้สบายๆ แต่ขาเจ้ากรรมกับทรยศเสียนี่ เธอจึงทำได้แค่หลับตารอรับชะตากรรม

เฮ้อ...ไปนอนเล่นในห้องพยาบาลสักพักก็แล้วกัน

“ท่านเรล ระวังค่ะ!!” เสียงหวานใสอันไม่คุ้นเคยดังขึ้น ร่างบางลืมตาขึ้นเพื่อมองดูที่มาของเสียงนั้น ซึ่งเธอไม่ต้องไปมองหาไกลที่ไหลเลย เพราะเจ้าของเสียงได้ยืนอยู่เบื้องหน้าเธอแล้ว

“เลนเน่!?” เรลเวียร์เรียกชื่ออีกฝ่ายด้วยความตกตะลึง แต่ผู้ถูกเรียกไม่หันกลับมามองตาม เพราะนัยน์ตาสีเงินทั้งสองข้างของเธอจับจ้องไปที่กระสุนเหล็กที่ใกล้เข้ามาทุกที มือบางค่อยๆ ยกขึ้นอย่างช้าๆ วาดผ่านลูกระเบิดขนาดย่อมนั้นอย่างง่ายดาย ก่อนที่มันจะขาดเป็นสองท่อน และลอยผ่านตัวทั้งสองไประเบิดที่ด้านหลัง ทำให้เหล่าภูตที่ยืนตะลึงอยู่ต้องวิ่งหลบกันจ้าละหวั่น แต่ดูเหมือนว่าสตรีผมสีเงินคนนี้จะไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย

“ท่านเรลเป็นอะไรรึเปล่าคะ?” เลนเน่หันกลับมาถามด้วยความเป็นห่วง

“ม...ไม่เป็นไร ว่าแต่เมื่อกี้เธอทำอะไรน่ะ แล้วเธอเข้ามาขวางทำไม นี่เป็นการต่อสู้ตัวต่อตัวนะ”

“ทีละคำถามนะคะ ข้อแรก ข้าเพียงแค่ตัดสิ่งที่เป็นอันตรายต่อท่านไปเท่านั้นเอง”

ด้วยฝ่ามือเนี่ยนะ!?

“ข้อสอง ถึงมีข้าเข้ามาร่วมการต่อสู้ด้วย ก็ยังคงเป็นการต่อสู้ตัวต่อตัวเช่นเดิมค่ะ”

“หา?”

“เพราะว่าข้าคือของของท่านไงล่ะคะ”

“หา!!?” คราวนี้ไม่เพียงแต่เธอเท่านั้น เหล่าภูตที่ซุ่มอยู่หลังที่กำบังก็อุทานออกมาเหมือนกัน ทั้งการที่เลนเน่พูด และเรื่องที่เธอพูดด้วย!

“ได้โปรดใช้ข้าในการต่อสู้เถอะค่ะ” เลนเน่ชันเข่าทำความเคารพหญิงสาวทั้งๆ ที่ไม่มีใครเข้าใจเรื่องที่เธอพูดออกมาเลยแม้แต่น้อย

“เอ่อ...คือ...ฉันยังไม่ค่อยเข้าใจอะไรเท่าไหร่...”

“จริงสิ ข้าลืมไปเลยว่าท่านยังไม่เคยได้ใช้ข้ามาก่อน”

เอ่อ...จะพูดอะไรก็พูดมาเหอะ แต่ไอ้ใช้เนี่ย ยังไงก็ไม่เข้าใจเฟ้ย!!

“ท่านเรลเวียร์ถนัดซ้ายสินะคะ ถ้าเช่นนั้นแล้วข้าขอจับมือข้างที่ท่านถนัดสักหน่อย แล้วท่านจะเข้าใจทุกอย่างเองค่ะ”

“อ...เอ่อ...” เรลเวียร์อึกอักเล็กน้อย แต่ก็ยอมยื่นมือออกไปสัมผัสกับอีกฝ่าย ทันทีที่มือของทั้งสองประสานกัน ร่างของเลนเน่ก็ส่องแสงสว่างวาบขึ้นและหายไปภายในพริบตา เหลือเพียงแค่ดาบคาตานะเล่มงามในมือเท่านั้น หญิงสาวยกขึ้นมาพินิจอย่างใกล้ชิด ใบดาบสีเงินยวงเป็นประกายระยิบระยับยาวพอสมควร ด้ามดาบสีดำสนิทขนาดเหมาะมือเป็นอย่างยิ่ง ราวกับว่าดาบเล่มนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเธออย่างนั้นแหละ

“ไม่หรอกค่ะ ข้าก็แค่ปรับเปลี่ยนรูปร่างให้เหมาะสมกับผู้ใช้เท่านั้นเอง” หญิงสาวสะดุ้งเล็กน้อยที่ดาบพูดได้ แต่ก็จำได้ทันทีว่าเสียงนั้นคือใคร

“นี่เธออ่านใจได้ด้วยเหรอ?”

“เพราะพวกเราซิงโครกันอยู่ ความคิดของท่านจึงสื่อมาถึงข้าได้ค่ะ” ดาบในมือตอบกลับมา ผู้ถือดาบพยักหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงเข้าใจ ก่อนที่สัญชาติญาณจะสั่งให้หญิงสาวยกดาบขึ้นปัดบางสิ่งบางอย่างที่พุ่งเข้ามาหาด้วยความเร็วสูงได้อย่างทันท่วงที เรลเวียร์หันไปมองน้องสาวของตนที่ผิวกายดูซีดลงไปมาก แต่รอบๆ ตัวเธอยังคงมีป้อมปืนน้อยใหญ่คอยคุ้มกันอยู่ แม้จะลดลงไปมากแล้วก็ตาม

“แหล่งพลังงานฉุกเฉินทำงาน เหลือเวลาอีก 4 นาที 38 วินาทีก่อนพลังงานจะหมด” เด็กสาวผมม่วงหันมายิ้มให้กับเธออย่างเหนื่อยอ่อน “ถึงจะมีคนมาช่วยแต่หนูก็ไม่ยอมแพ้หรอกนะ ชัยชนะครั้งนี้เป็นของหนูแน่!”

พูดจบสาวน้อยก็สั่งให้ปืนทุกกระบอกระดมยิงทันที เป้าหมายกระโจนหลบไปด้านข้างแต่ก็ชะงักด้วยคำพูดของดาบในมืออีกครั้ง

“เดี๋ยวค่ะ! ไม่จำเป็นต้องหลบ”

“หา? ว่าไงนะ!?”

“กรุณายืนรวบรวมสมาธินิ่งๆ ก็พอค่ะ ที่เหลือเดี๋ยวข้าจัดการให้เอง” จัดการ? ยังไงกัน? โอ้ยช่างมัน ทำตามไปก่อนก็ได้!

เรลเวียร์จับดาบในมือมั่นแล้วหลับตาลงโดยไม่ขยับตัวหลบตามคำพูดของเลนเน่ มือซ้ายกำดาบคาตานาแน่น ก่อนจะขยับวาดเป็นวงกลม ตัดลูกกระสุนทุกลูกที่เข้ามาในรัศมีคมดาบจนหมดในคราเดียว!

“หือ? เมื่อกี้เธอขยับเหรอเลนเน่” หญิงสาวถามด้วยความสงสัย

“ค่ะ ดังนั้นไม่ต้องห่วงเรื่องการป้องกัน ข้าจะคอยปัดป้องการโจมตีของอีกฝ่ายทั้งหมดเองค่ะ”

“อืม...” ฉันตอบกลับทั้งๆ ที่ยังหลับตาอยู่ น่าแปลกที่จู่ๆ ใจฉันก็สงบลงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ฉันรู้สึกได้ถึงความเคลื่อนไหวของเลนเน่ รู้สึกได้ถึงลมหายใจเข้าออก ความเหนื่อยล้า ความอยากเอาชนะของตนเอง

และแล้ว ฉันก็เริ่ม “เห็น”

ฉันเห็นเหล่าภูตที่ยืนลุ้นกันอยู่หลังม่านพลังอ่อนๆ เห็นลูกตะกั่วจำนวนมากที่วิลลายิงออกมาและวิถีกระสุนของมัน ซึ่งทั้งหมดก็ถูกปัดออกไปได้ด้วยคาตานะในมือเธอ หรือก็คือฝีมือของเลนเน่นั่นเอง

“พร้อมแล้วสินะคะท่านเรล” เสียงของหญิงสาวที่คุ้นเคยดังขึ้นภายในหัว เรลเวียร์ยิ้มน้อยๆ ก่อนจะตอบเสียงนั้นกลับไป

“อืม...”

“งั้นข้าจะหยุดควบคุมแขนซ้ายของท่านแล้วนะคะ” ทันทีที่จบประโยค แขนซ้ายก็กลับมาอยู่ในการควบคุมของเธออีกครั้งหนึ่ง ห่ากระสุนจำนวนมากของวิลลาพุ่งเข้าใส่เธออย่างรวดเร็ว น่าแปลกที่เธอกลับไม่รู้สึกหวั่นใจกับการโจมตีนี้เลย

ฟุ่บ!

ดาบในมือตวัดไปมาด้วยความรวดเร็ว ทำให้ลูกตะกั่วจำนวนหนึ่งถูกผ่าครึ่ง ผู้โจมตีถึงกับตะลึงค้างอยู่ชั่วครู่กับการเคลื่อนไหวที่แทบจะมองไม่ทันของอีกฝ่าย

“ชิ...กันได้แค่รอบเดียวเท่านั้นแหละน่า!” วิลลาตะโกนออกมาแล้วเริ่มระดมยิงอย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง แต่ก็ถูกพี่สาวของตนใช้ดาบในมือป้องกันได้จำนวนหนึ่งเสมอๆ ทำให้เด็กสาวเพิ่มจำนวนการโจมตีให้หนักขึ้นไปอีกเพื่อให้อีกฝ่ายตั้งรับไม่ทัน โดยหารู้ไม่เลยว่าที่อีกฝ่ายป้องกันการโจมตีของเธอได้ไม่ทั้งหมดนั้น ไม่ใช่เพราะทำได้แค่นั้น แต่เธอเพียงแค่ป้องกันเท่าที่จำเป็นต่างหาก! ดาบในมือขยับไปมาอย่างรวดเร็วไม่มีหยุด สองขาก้าวไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า เคลื่อนไหวโดยขยับกายให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ จนกระทั่งหญิงสาวมาหยุดยืนอยู่ด้านหน้าป้อมปราการน้อยๆ ของน้องสาว เธอสัมผัสได้ถึงกำแพงใสที่แข็งแรงกั้นอยู่ระหว่างเธอกับน้องซึ่งดูเหมือนว่าจะหนาขึ้นหลายเท่าเลยทีเดียว

“ฟันเลยค่ะ” ทันทีที่ได้ยินคำพูดของเลนเน่ ฉันก็ทำตามทันทีโดยไม่ลังเลยเลยแม้แต่นิดเดียว ดาบในมือถูกยกขึ้น ก่อนจะฟาดฟันใส่กำแพงนั้นอย่างรวดเร็ว!

เปรี้ยง! เพล้ง!!! ฉับ!!

เสียงของวัตถุแข็งกระทบกัน ก่อนจะตามด้วยเสียงแตกหักของบางสิ่งบางอย่าง และจบลงด้วยเสียงลงดาบ เรลเวียร์ค่อยๆ ลืมตาขึ้นเพื่อมองภาพตรงหน้าด้วยตาของตนเอง ภาพของป้อมปราการของน้องสาวที่ถูกฟันขาดเป็นสองท่อน กำแพงกระจกที่แตกเป็นเสี่ยงๆ และร่างบางของเด็กสาวที่ถูกฟันสะพายแล่งจนมีตัวเลขศูนย์กับหนึ่งกระจายออกมา เธอยื่นมือไปรับร่างของอีกฝ่ายที่ค่อยๆ ล้มลง และหลับไปภายในอ้อมกอดของเธอ

“ยินดีด้วยค่ะ” เลนเน่ที่คืนร่างมาเป็นคนเหมือนเดิมแล้วโค้งกายลงทำความเคารพผู้ชนะ แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่ค่อยพอใจสักเท่าไหร่

“คราวหน้าห้ามปลดปล่อยพลังมากเกินความจำเป็นแบบนี้อีกนะเลนเน่ ไม่งั้นฉันจะไม่ให้อภัยแน่” เธอพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย และค่อยๆ อุ้มสาวน้อยผมม่วงที่ร่างกายเริ่มซ่อมแซมตัวเองไปยังห้องพยาบาล

“ค่ะ” เลนเน่ลุกขึ้นยืนแล้วเดินตามเจ้าของออกไป โดยไม่เหลียวหลังกลับไปมองผลงานที่ตนเองได้กระทำเอาไว้ หญิงสาวเดินผ่านเหล่าภูตที่ยังคงยืนตาค้างอยู่กับที่ มองสภาพพื้นสนามประลองที่ราวกับจะแยกเป็นสองส่วน ลามไปถึงส่วนที่เคยเป็นกำแพงมาก่อน แต่บัดนี้เหลือเพียงซากดินซากหินเท่านั้น

ว่าแต่...ใครจะซ่อมล่ะ?

“เห จะรับเลนเน่เป็นน้องสาวงั้นเหรอคะ?” วิลลาในชุดลองเดรสสีชมพูอ่อนลุกขึ้นนั่งบนเตียงอย่างรวดเร็ว นัยน์ตาสีม่วงมองสลับกันไปมาระหว่างผู้มาเยี่ยมทั้งสอง

“อื้ม เพราะเลนเน่ยังปรับตัวเองให้เข้ากับที่นี่ได้ไม่มากนัก แล้วก็พูดแต่กับพี่คนเดียวด้วย พี่จึงต้องรับหน้าที่สั่งสอนเรื่องต่างๆ ให้ไปโดยปริยายน่ะ” เรลเวียร์ตบไหล่ของหญิงสาวที่เป็นหัวข้อสนทนาเบาๆ เป็นการกระตุ้นให้ทักทาย

“ค่ะ...สวัสดีค่ะท่านวิลลา”

“ไม่ได้ๆ ต้องเรียกพี่วิลลาต่างหาก”

“อ...เอ่อ...พี่วิลลา”

“ไม่เอา!” เสียงหวานตวาดลั่นไปทั่วห้อง ส่งผลให้สองสาวที่เหลือชะงักไปเล็กน้อย

“หนูไม่อยากมีน้องสาวอ่ะ ถ้าจะให้เป็นน้องของพี่ก็เป็นไป แต่เลนเน่ต้องเป็นพี่สาวของหนู โอเคไหม?” คนฟังแทบอยากจะตบหัวตัวเองตายกับความเอาแต่ใจของน้องสาวตัวเองที่นับวันจะยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ

“ได้ที่ไหนกันเล่า! วิลลาเกิดก่อนเลนเน่ไม่ใช่หรือไง เลนเน่ก็ต้องเป็นน้องวิลลาอยู่แล้ว”

“ก็หนูไม่เอาอ่ะ หนูอยากเป็นน้องเล็กสุด ไม่งั้นไม่ยอมด้วยอ่ะ” เด็กสาวดิ้นไปมาบนเตียงของตนเองราวกับเด็กๆ จนคนพี่ถึงกับกุมขมับ เอาไงดีฟะ!?

“ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลยนี่คะ แค่เรื่องลำดับพี่น้องเท่านั้นเอง” แล้วไหงเธอไปเห็นด้วยกับความคิดเพี้ยนๆ อย่างนี้เล่า!!

“เห็นไหมๆ พี่เลนเน่โอเคแล้ว ดังนั้นเอาตามนี้นะพี่เรล” พูดจบวิลลาก็พุ่งเข้าไปกอดพี่สาวคนใหม่ทันที ส่วนคนถูกกอดก็ส่งสายตามามองพี่ใหญ่สุดเป็นประมาณว่า “เอาไงดี?” จนเรลเวียร์ต้องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

“เออๆ เอาอย่างนั้นก็ได้”

แถม

fallfail.jpg

สนับสนุนภาพโดย npcpepper จากโมเอะบอร์ด~

Edited by falconzero

Share this post


Link to post
Share on other sites

“ว่าอะไรนะคะ?” หญิงสาวถามอีกฝ่ายกลับอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง

“ผม อยากจะปรับร่างกายให้ใหม่ คืนนี้ไปที่ห้องกำเนิดกับผมได้ไหม?” ชายหนุ่มพูดทวนประโยคของตนเองอีกครั้ง ทำให้ผู้ฟังใจเต้นไม่เป็นจังหวะด้วยความตื่นเต้น ใบหน้าแย้มยิ้มออกมาอย่างเก็บอาการดีใจไว้ไม่มิด ในหัวพลันนึกภาพร่างกายใหม่ของเธอที่งามวิจิตร รูปร่างสูง หุ่นดีเพรียวบาง ขาเรียวยาวราวกับนางแบบชั้นนำ ผิวสีขาวนวลเป็นประกาย และหน้าอกที่ใครๆ เห็นแล้วต้องอิจฉาตาร้อนกันไปเป็นแถบๆ

อา...ในที่สุดฉันก็จะได้บอกลาร่างกายเล็กๆ อกแบนนี่เสียที... เมื่อไหร่จะถึงคืนนี้กันหนอ...

“เคลิ้มเชียวนะเรล มันน่าดีใจขนาดนั้นเลยเหรอ?”

“แน่นอนอยู่แล้ว!!” เธอตอบกลับอย่างหนักแน่น ก่อนจะหันกลับไปเพ้อกับจินตนาการของตนเองต่อ ก่อนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

“จริงสิ! ท่าน ฟอล เดี๋ยวฉันไปบอกข่าวดีนี้ให้กับคนอื่นๆ ก่อนนะคะ” พูดจบร่างบางก็วิ่งออกไปจากห้องโดยไม่รอฟังคำตอบจากเจ้าของห้องที่นั่งถอน หายใจออกมาด้วยความเหนื่อยอ่อน

เอาเหอะ...จะทำอะไรก็ทำไปละกัน

“พี่ ว่าอะไรนะคะ?” หญิงสาวเจ้าของเรือนผมสีม่วงเพียงคนเดียวในบ้านหลังนี้ละสายตาออกจากจอ คอมพิวเตอร์เมื่อได้ฟังข่าวดี นัยน์ตาสีเดียวกันมองพี่สาวอย่างแปลกใจ

“เดี๋ยวฟอลจะเปลี่ยนรูปร่างให้พี่แหละ” คิ้วเรียวบางขมวดเข้าหากันเมื่อได้ฟังข่าวดีอีกรอบหนึ่ง

“พี่เปลี่ยนรูปร่างตัวเองไม่ได้เหรอ?”

“บ้าเหรอ ใครจะทำแบบนั้นได้กัน”

“ก็ หนูนี่ไง เดี๋ยวดูนะ” พูดจบร่างของวิลลาก็เรืองแสงขึ้น ก่อนที่ร่างเด็กจะค่อยๆ แปรเปลี่ยนไปเป็น หญิงสาวร่างสูง รูปร่างอวบอึ๋ม ผมสีม่วงยาวเหลือเพียงซอยสั้นระต้นคอเท่านั้น นัยน์ตาสีม่วงเรียวเล็กและคมแบบผู้ใหญ่หันมาสบกับนัยน์ตาสีทองของผู้เป็นพี่ ที่ตอนนี้ยืนตะลึงค้าง

“น...นี่วิลลาเปลี่ยนรูปร่างตัวเองได้งั้นเหรอ?”

“แน่นอนสิ ก็ร่างของหนูมันเป็นโปรแกรมนี่นา แต่เปลี่ยนสีผมกับสีตาไม่ได้อ่ะ ไม่รู้ทำไม”

“ง...งั้นเหรอ...” เรลเวียร์ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง สงสัยจะมาบอกข่าวดีผิดคนเสียแล้วสิ

“จริงสิ รู้สึกว่าพวกพี่ฟิลด์เองก็จะเปลี่ยนรูปร่างตัวเองได้เหมือนกันนะ”

“ว่าไงนะ!!?”

“ใช่ ค่ะ พวกเราเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ภายนอกได้ไม่จำกัดว่าต้องเป็นร่างมนุษย์ รวมไปถึงเพศด้วย” ฟิลด์ตอบเสียงเรียบก่อนจะหันกลับไปอ่านหนังสือในมือเช่นเดิม เรลเวียร์แทบจะทรุดลงทันทีที่ได้ฟังคำตอบ

อา...สรุปแล้วมีฉันคนเดียวที่เปลี่ยนรูปร่างตัวเองไม่ได้สินะ

“อ๊ะ! แต่พวกเราเปลี่ยนธาตุ สีผม และสีตาไม่ได้นะคะ”

เอ่อ...แค่นั้นมันไม่ช่วยอะไรหรอกจ้ะฟิลด์...

“ว่าแต่มีอะไรเหรอคะ? จู่ๆ ก็มาถามถึงเรื่องเปลี่ยนรูปร่าง”

“ไม่มีอะไรหรอก แค่อยากรู้เฉยๆ น่ะ” พูดจบหญิงสาวก็เดินออกจากห้องไปในสภาพหดหู่ จนเจ้าของห้องขมวดคิ้วด้วยความสงสัย

ไม่มีอะไรแน่เรอะ?

“เฮ่อ... นี่ทุกคนเปลี่ยนร่างของตัวเองได้หมดเลยเหรอเนี่ย...” หญิงสาวผมสีทองยาวสลวยนั่งเอาคอพาดขอบโต๊ะและกลิ้งหัวไปมาอย่างเบื่อหน่าย ก่อนจะหันไปมองหญิงสาวอีกคนหนึ่งที่นั่ง “จ้อง” ปกหนังสืออยู่ร่วมครึ่งชั่วโมงแล้ว

“นี่ เลนเน่ก็เปลี่ยนรูปร่างของตัวเองได้สินะ” ผู้ถูกเรียกเงยหน้าขึ้นจากหนังสือในมือ

“ไม่ ได้ค่ะ” เธอตอบอย่างหนักแน่น ก่อนจะหันกลับไปจดจ่อกับปกหนังสือต่อ เรลเวียร์ถอนหายใจออกมาเล็กน้อย งั้นเหรอ...เลนเน่ก็เปลี่ยนร่างไม่ได้สินะ...

ปึง!

“ว่าไงนะ!!” จู่ๆ หญิงสาวก็ลุกพรวดแล้วตบโต๊ะเสียงดังพอๆ กับเสียงอุทานของตนเอง จนเลนเน่สะดุ้งเล็กน้อย

“ข...ข้าเปลี่ยนร่างแบบคนอื่นๆ ไม่ได้หรอกค่ะ” หญิงสาวผมสีเงินตอบเสียงสั่น ก่อนจะสะดุ้งอีกครั้งเมื่อถูกพี่สาวโผเข้ากอดเสียเต็มรัก

“โอ้น้องรักของพี่~” เรลเวียร์พูดเสียงหวานจนคนฟังรู้สึกเสียวสันหลังวาบ เพราะบทลงโทษเมื่อเร็วๆ นี้ยังคงตราตรึงอยู่ในความทรงจำไม่หาย

“ว่าแต่เลนเน่ทำอะไรอยู่เหรอ?”

“อ...อ่านหนังสือค่ะ!” เลนเน่ชูหนังสือในมือของตนให้อีกฝ่ายดู

“อ้อ ที่ทำนั่นคืออ่านหนังสือเหรอ?”

“ค่ะ!” เลนเน่ตอบเสียงหนักแน่น คนเป็นพี่ยิ้มเล็กน้อยกับท่าทีลุกลี้ลุกลนของน้องสาว ก่อนจะเริ่มอธิบาย

“นี่เลนเน่ หนังสือน่ะ เขาต้องเปิดออกมาแบบนี้ก่อนแล้วค่อยอ่านนะ”

“งั้นเหรอคะ”

“อื้ม เวลาอ่านก็ต้องเริ่มอ่านตั้งแต่หน้าแรกสุดของหนังสือไปจนจบหน้าสุดท้าย ไล่อ่านจากบรรทัดบนสุดไปจนถึงล่างสุด และต้องอ่านจากซ้ายไปขวาด้วยจ้ะ”

“อ๋อ” หญิงสาวผมสีเงินพยักหน้าอย่างเข้าใจและเริ่มต้นอ่านหนังสือจริงๆ สักที

“อย่าง นั้นแหละ งั้นพี่ไปก่อนนะ อ่านหนังสือให้สนุกล่ะ” เรลเวียร์กล่าวลาน้องสาวอย่างร่าเริง และเดินฮัมเพลงออกจากห้องหนังสือไปอย่างอารมณ์ดี เมื่ออีกฝ่ายออกไปแล้ว คนที่ยังเหลืออยู่ในห้องเพียงคนเดียวจึงลอบถอนหายใจออกมา

เฮ่อ...นึกว่าจะโดนอะไรเสียอีก...

“ดูอารมณ์ดีจังนะ มีอะไรงั้นเหรอ?” ชายหนุ่มถามหญิงสาวที่ยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ภายในหลอดแก้วใสที่เขาเตรียมเอาไว้ให้

“ไม่มีอะไรหรอกน่า” เรลเวียร์ปฏิเสธ แต่ภายในใจกลับตื่นเต้นเป็นอย่างมาก

คืนนี้...เธอจะได้เปลี่ยนเป็นคนใหม่แล้ว ร่างใหม่ของเธอจะเป็นอย่างไรกันนะ

“พร้อมรึยัง?”

“พร้อม แล้วค่า” เมื่อหญิงสาวตอบรับ ฟอลคอนก็เริ่มกดแป้นควบคุมทันที ของเหลวสีใสไหลลงมาจากทางด้านบน ทันทีที่มันสัมผัสร่าง เธอก็รู้สึกอ่อนแรงลงและเริ่มที่จะเพลีย ในไม่ช้า หญิงสาวก็หลับสนิทอยู่ภายในหลอดแก้วที่เต็มไปด้วยของเหลวสีใสนั้น ไม่รับรู้เรื่องราวภายนอกใดๆ อีก ชายหนุ่มยิ้มออกมาเล็กน้อย

“เอาล่ะ เริ่มกันดีกว่า”

อืม...หนาวจัง...

ที่นี่มันที่ไหนกันนะ...

ฉัน ค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ และพบว่าเบื้องหน้าของฉันเต็มไปด้วยของเหลวสีใสจำนวนมาก โดยมีกระจกใสกั้นอยู่ระหว่างฉันกับโลกภายนอก เมื่อมองสำรวจรอบๆ ตัวดูก็พบว่าความจริงฉันถูกขังอยู่ในหลอดแก้วนี้ ภายในห้องอันแสนจะคุ้นเคย ในไม่ช้า ภาพต่างๆ ในอดีตก็พลันสว่างวาบเข้ามาภายในหัวของฉัน และนั่นก็ทำให้ฉันจำได้หมดทุกอย่าง

จริงสิ...ฟอลจะเปลี่ยนร่างให้เรานี่นา แล้วตอนนั้นเราก็หลับไป ว่าแต่นี่ฟอลหายไปไหนกันนะ?

ทันที ที่มือบางสัมผัสกับกระจก ของเหลวในหลอดก็ค่อยๆ ลดระดับลงไปจนหมด กำแพงใสที่เคยล้อมรอบตัวอยู่ก็หายไปด้วยเช่นกัน ฉันค่อยๆ ก้าวลงมาและเริ่มมองหาไปทั่วห้อง และพบกับโต๊ะเหล็กตัวหนึ่งที่มุมห้อง ข้างๆ กันนั้นมีกระจกบานใหญ่ที่พอจะส่องให้เห็นได้ทั้งตัวอยู่ ด้วยความอยากเห็นร่างกายใหม่ของตน ฉันจึงรีบเดินไปที่กระจกบานนั้นทันที และฉันก็ต้องยกมือขึ้นปิดปากด้วยอาการตกใจ

ภาพ ในกระจกนั้นสะท้อนให้เห็นร่างของสตรีที่งดงามมากนางหนึ่ง เธอมีเรือนผมสีทองยาวสลวยเรียบเป็นทรง นัยน์ตาสีทองเรียวเล็กดูสมกับเป็นผู้ใหญ่ ใบหน้าเรียวยาวได้รูปสวย ริมฝีปากอวบอิ่มสีกุหลาบดูน่าลิ้มลอง ใบหูที่เคยเรียวยาวกับกลายเป็นกลมมนแบบคนทั่วๆ ไป รูปร่างสมส่วน รอบอกที่มีขนาดเพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ผิวสีขาวอมชมพูดูสดใสน่าสัมผัสเข้ากันกับชุดลองเดรสสีครีมที่สวมอยู่ ขาเรียวยาวราวกับนางแบบชั้นนำ แต่สิ่งที่โดดเด่นมากที่สุดกลับเป็นปีกสีขาวนวลน่าสัมผัสหนึ่งคู่ที่ติดอยู่ กลางหลังของหญิงสาว เธอขยับมันมาข้างหน้าเล็กน้อยเพื่อมองมันชัดๆ ปีกนกสีขาวสะอาดขนาดใหญ่ที่เพียงแค่ข้างเดียวก็ปกปิดร่างของเธอได้อย่าง มิดชิด มือบางเอื้อมไปสัมผัสมันอย่างช้าๆ มันให้ความรู้สึกนุ่มและอ่อนโยนจากสัมผัสนั้นจนเธออดไม่ได้ที่จะลูบไล้ไปมา

“อรุณสวัสดิ์ค่ะ ท่านเรลเวียร์”

“ว้าย!!” หญิงสาวอุทานออกมาเสียงดังด้วยความตกใจ และก็ต้องถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อพบว่าต้นเสียงนั้นเป็นใคร

“สวัสดีจ๊ะ เลนเน่” ผู้ถูกเรียกไม่ตอบ แต่ยื่นกระดาษมาให้เธอหนึ่งแผ่น หญิงสาวขมวดคิ้วทีหนึ่ง ก่อนจะรับมาอ่านอย่างว่าง่าย

สวัสดี เรลเวียร์ การที่เธอได้อ่านจดหมายนี้แสดงว่าเธอคงตื่นแล้วสินะ คิดว่าเธอคงอยากจะเห็นร่างใหม่ของตัวเอง ผมก็เลยตั้งกระจกเอาไว้ให้ คิดว่าเธอน่าจะพอใจกับร่างใหม่นะ

เอา ล่ะ เข้าเรื่องกันดีกว่า ผมใช้เวลาปีครึ่งในการปรับปรุงแก้ไขร่างกายแทบทุกส่วนของเธอทั้งหมด(คิดเสีย ว่าเป็นร่างใหม่เลยก็ได้) แต่ผมไม่สามารถอยู่ดูตอนที่เธอตื่นขึ้นมาได้เพราะมีธุระกับทางโลกภายนอก ผมจึงต้องออกเดินทางอีกครั้งหนึ่ง แต่ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวผมจะกลับไปเมื่อเสร็จเรื่องแน่นอน

อีก เรื่องหนึ่งก็คือ ผมได้ส่งข้อความติดต่อไปยังคนที่ถูกสร้างด้วยฝีมือผมอีกหลายๆ คนเรียบร้อยแล้ว พวกเขาอาศัยอยู่ที่ดินแดนเบื้องล่างนี่เอง และเดี๋ยวก็คงจะกลับมาบ้านในไม่ช้า มันคงจะเป็นการพบเจอกันครั้งแรกระหว่างพวกเธอแน่ๆ ขอให้ญาติดีกันไว้ก่อนล่ะ

ปล. ผมได้ฝากอาวุธและข้อมูลเกี่ยวกับเธอไว้ที่เลนเน่หมดแล้วนะ สงสัยอะไรก็ถามเอาละกัน

เรลเวียร์ยืนนิ่งเมื่ออ่านจดหมายจบ ก่อนจะค่อยๆ เอ่ยคำถามแรกออกมา

“เลนเน่ พี่หลับไปนานเท่าไหร่?”

“รวมเวลาหลังจากท่านฟอลออกเดินทางก็สองปีค่ะ”

“แล้วข้อมูลเกี่ยวกับพี่นี่คือ?”

“พี่เรลเป็นเผ่าแองเจิล ได้รับฉายาว่า Angel Of Hope หรือก็คือเทพธิดาแห่งความหวังค่ะ มีความสามารถทำให้ความหวังของคนอื่นๆ เป็นจริงได้ตามแต่ที่พี่จะต้องการ”

เรลเวียร์ยืนอึ้งกับข้อมูลของตนเองที่เพิ่งได้รับทราบมาหมาดๆ แต่ก็พยายามเก็บอาการเอาไว้ภายใน

นี่เธอเป็นแองเจิลแล้วสินะ... แล้วก็เป็นเทพธิดาแห่งความหวัง...

“ว่าแต่คนอื่นๆ ล่ะ?”

“พวก เฟลมได้ขอท่านฟอลลงไปโลกเบื้องล่างตั้งแต่เมื่อหนึ่งปีก่อนแล้วค่ะ วิลลาตอนนี้ยังหลับอยู่ ส่วนคนอื่นๆ ในจดหมายนั่นยังไม่มีใครมาสักคนเลยค่ะ”

“แล้ว เรื่องอาวุธของพี่นี่...” เลนเน่ยื่นของสิ่งหนึ่งมาให้ ซึ่งมันก็คืออาวุธนั่นเอง ดาบคาตานะเล่มยาวเป็นพิเศษนอนทอดอยู่บนมือทั้งสองของอีกฝ่าย เรลเวียร์หยิบมันขึ้นมาพิจารณา ด้ามดาบเป็นสีทองเงาวับ ปลอกดาบเป็นสีขาวสะอาดสลักลวดลายสีทอง เมื่อเธอชักมันออกจากฝักก็พบกับใบดาบสีเงินสวยเป็นประกายที่ดูบางเป็นพิเศษ แต่กลับสามารถคงรูปอยู่ได้โดยไม่งอ หญิงสาวชูมันขึ้นด้วยมือขวาข้างถนัด และเริ่มมองมันอย่างละเอียดถี่ถ้วน

“ดาบนี่...”

“ดาบ คาตานะยาวสองเมตร ใบดาบมีความบางและความคมมาก ตัวดาบมีน้ำหนักเบา...” เลนเน่เริ่มอธิบายคุณลักษณะของดาบ แต่ก็ถูกเรลเวียร์ขัดขึ้นด้วยคำถามที่คาดไม่ถึง

“ชื่ออะไร?”

“คะ?” หญิงสาวผมเงินชะงักทันทีที่ได้ยินคำถามจากพี่สาว

“ดาบนี่ชื่ออะไรเหรอ เลนเน่” คนถามเอ่ยขึ้นอีกครั้งหนึ่ง

“ไม่มีค่ะ มันเป็นดาบไร้นาม”

“งั้นเหรอ งั้นถ้าพี่จะตั้งชื่อให้มันก็ไม่เป็นไรสินะ?” เป็นอีกครั้งที่คนถูกถามชะงัก แต่ก็ตอบกลับไปอย่างว่าง่าย

“ไม่เป็นไรค่ะ”

เรลเวียร์พยักหน้าให้กับคำตอบนั้น ก่อนจะค่อยๆ คิดทบทวนเรื่องราวทั้งหมดพร้อมๆ กับจ้องมองดาบยาวในมือไปด้วย

ฉันคือเรลเวียร์ เป็นเทพธิดาแห่งความหวัง เป็นผู้ที่มอบความหวังให้กับคนอื่นๆ ตามแต่ที่ใจฉันจะต้องการ...

“ชื่อของเธอคือ โฮป(Hope) ความหวังที่อยู่ภายในมือของฉัน”

Share this post


Link to post
Share on other sites

โอ้วๆๆๆ สนุกดีนิครับ ผมจาติดตามเรื่อยๆละกันนะครับ

ปล.เป็นกำลังใจนะครับ

Share this post


Link to post
Share on other sites

สนุกดีครับ แต่ตัวอักษรเล็กไปนิด ถ้าใช้ Font แนวการ์ตูน และ Size ใหญ่กว่านี้ ก้อ เจ๋งเลย

Share this post


Link to post
Share on other sites

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

Guest
Reply to this topic...

×   Pasted as rich text.   Paste as plain text instead

  Only 75 emoji are allowed.

×   Your link has been automatically embedded.   Display as a link instead

×   Your previous content has been restored.   Clear editor

×   You cannot paste images directly. Upload or insert images from URL.

Loading...
Sign in to follow this  

×
×
  • Create New...