Jump to content

Shine

Members
  • Content Count

    29
  • Joined

  • Last visited

About Shine

  • Rank
    Member

Profile Information

  • Gender
    Not Telling
  1. เคล็ดลับแรก คือ ต้องแต่งหน้าในแสงธรรมชาติ ถ้าอยู่ในอาคารให้หลีกเลี่ยงการแต่งหน้าในห้องที่มีไฟสีเหลืองนวล เพราะจะทำให้สีเพี้ยนหรือแต่งหน้าหนาเหมือนงิ้วได้ง่ายๆ ทางที่ดีควรจะแต่งหน้าในแสงจากหลอดฟลูออเรสเซนต์ สำหรับขั้นตอนพื้นฐานง่ายๆ คือ ทาแป้งฝุ่น เมื่อถ่ายรูปแล้วเปิดแฟลช หน้าจะได้ไม่มันเงา ใช้แปรงหัวใหญ่ขนแปรงนุ่มปัดบางๆ บริเวณที่จะถูกแสงกระทบมากที่สุดคือ จมูก แก้ม และหน้าผาก โดยอาจต้องเติมแป้งเป็นระยะเมื่อเห็นว่าแป้งเริ่มหลุดหรือหน้าเริ่มมัน ถ้าให้ช่างมืออาชีพช่วยแต่งหน้า ควรให้มีการเทสแต่งหน้าดูก่อนว่าชอบหรือไม่ และลองถ่ายรูปทั้งในแสงธรรมชาติและเปิดแฟลชด้วยว่าออกมาพอดีหรือไม่ เพราะบางทีการแต่งหน้าที่ดูไม่ค่อยสวย เมื่อถ่ายรูปออกมาแล้วอาจดูสวยเป็นธรรมชาติมากกว่าการแต่งหน้าแบบที่แต่งในชีวิตประจำวัน ถ้าเป็นงานที่ยาวนานตั้งแต่เช้าจรดค่ำ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือรองพื้นดีๆ ที่จะไม่ไหลเป็นคราบเมื่อถูกเหงื่อ และไม่เปลี่ยนสีหรือไหลเยิ้มเมื่อเจอความร้อน และเมคอัพ 3 อย่างที่ต้องมีติดตัว คือ ดินสอเขียนขอบตา ชิมเมอร์อายแชโดว์ และลิปกลอสสีสวยๆ เพื่อจะได้เติมหน้าให้ดูสวยสดใสอยู่เสมอ ข้อควรระวังคือ อย่าแต่งหน้าอินเทรนด์เกินไป เช่นลากอายไลเนอร์ยาวเฟื้อย แต่งตาแบบสโมคกี้อาย หรือปัดแก้มแดงแจ๋ เพราะเมื่อเวลาผ่านไปแล้วกลับมาดูรูปอีกครั้งคุณจะดูเชย ทางทีดีควรแต่งหน้าแบบคลาสสิคในโทนนู้ดจะได้ดูเป็นธรรมชาติ สำหรับผู้หญิงอายุ 40 ขึ้นไป สามารถแต่งหน้าให้ดูสดใสโดยใช้เมคอัพโทนสว่างที่จะสะท้อนแสงทำให้หน้าดูมี น้ำมีนวล แต่ต้องกลมกลืนกับโทนสีผิวด้วยจะได้ดูไม่หลอกตา และทาชิมเมอร์บางๆ ลงบนโหนกแก้มเพื่อเพิ่มประกายสดใสให้ใบหน้า ปิดท้ายด้วยเคล็ดลับการดูแลผมสำหรับวันพิเศษสักเล็กน้อย เพราะถ้าหน้าเด้งแต่ผมแห้งกรอบก็จะทำให้ความสวยลดลงกว่าครึ่ง อยากให้ผมสวยสุขภาพดีควรหมักผมสัปดาห์ละหนึ่งครั้งหรืออย่างน้อยสองสัปดาห์ ครั้งอย่างน้อย 3 เดือนก่อนวันงาน และหากต้องการตัดผมควรตัดผมก่อนวันสำคัญประมาณ 2-3 สัปดาห์ เพราะหากมีข้อผิดพลาดจะได้แก้ไขทัน
  2. มาทำสวย...ด้วยผลมะกรูด สาวๆ women.mthai อย่างเราสามารถเลือกหยิบเอาเจ้าสมุนไพรใกล้ตัวนานาชนิด มาสร้างสรรค์เนรมิตความสวยได้อย่างง่ายๆ หลากหลายวิธี ที่ดีต่อสุขภาพ มะกรูด...นอกจากจะนำมะกรูดมาปรุงอาหารแล้วนั้น มะกรูดยังสามารถเสกสรรความงามให้กับสาวๆ ผู้หลงใหลในการบำรุงความงามด้วยวิธีธรรมชาติได้เป็นอย่างดี การบำรุงเส้นผม ให้เงางามสลวย...ด้วยผลมะกรูด เคล็ดลับของการบำรุงเส้นผมอย่างสมบูรณ์แบบ ยิ่งกว่าทรีทเม้นท์แฮร์สปาแพงๆ ก็คือ มะกรูดนั่นเอง ซึ่งสาวๆ ทั่วไปที่ลองใช้แล้วก็ติดใจและยอมรับว่าเมื่อนำมะกรูดมาบำรุงเส้นผมเป็น ประจำแล้ว จะทำให้เส้นผมสะอาด มีกลิ่นหอมสดชื่น นุ่มลื่น เงางาม แข็งแรง ไม่หลุดร่วงง่าย ขจัดรังแค ช่วยฟื้นฟูสภาพเส้นผมที่ผ่านการทำเคมีต่างๆ ได้เป็นอย่างดี ด้วยวิธีง่ายๆ สไตล์สบายอารมณ์ วิธีแรก * ใช้มะกรูดผ่าเป็น 2 ซีก แล้วนำไปชโลมเส้นผมหลังจากสระด้วยแชมพู หมักผมทิ้งไว้ประมาณ 5 – 10 นาที แล้วล้างออกให้สะอาด เส้นผมจะคืนสภาพความเงางาม นุ่มสลวยอย่างเห็นได้ชัด วิธีที่สอง * นำมะกรูดสดไปเผาไฟให้นิ่ม ผ่าเป็น 2 ซีก แล้วคั้นเอาเฉพาะน้ำมะกรูดมาใช้สระผม แล้วล้างออกให้สะอาด จะช่วยขจัดรังแค ล้างสารเคมีที่สะสมอยู่ในเส้นผมได้อย่างสะอาดหมดจด ช่วยให้เส้นผมดกดำเงางาม หวีง่าย และไม่หลุดร่วงอีกด้วย การใช้ผลมะกรูด...ดูแลสุขภาพ มะกรูด เป็นพืชที่มีรสเปรี้ยว จึงมีสรรพคุณช่วยกัดฟอก เช่น ฟอกโลหิตและบำรุงโลหิต ขับเสมหะ ขับลม สามารถนำมาทำยาดมแก้วิงเวียน อีกทั้งยังสามารถนำไปเป็นส่วนผสมกับเข้ายากับสมุนไพรอื่นๆ เพื่อเสริมการขับลมและบำรุงหัวใจ สาวๆ มาลองดูสูตรในการนำมะกรูดมาดูแลสุขภาพได้อย่างง่ายๆ ด้วยตนเองกันเลยดีกว่าค่ะ * การขับลม...ให้นำผลมะกรูดสดฝานเอาแต่เปลือกไปบดให้ ละเอียด หรือปั่นให้ละเอียด ชงกับน้ำร้อนคนให้ตัวยาละลาย เติมการบูรหรือพิมเสนเล็กน้อย ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที นำมากรองเอาแต่น้ำมะกรูด แล้วดื่ม จะสามารถช่วยขับลมและแก๊สในกระเพาะอาหาร และแก้ลมวิงเวียนศีรษะ * แก้อาการไอ...ดื่มน้ำมะกรูด 5 – 6 หยด ทุกๆ 5 – 10 นาทีจะช่วยลดอาการไอ และชุ่มคอมากขึ้น * การฟอกโลหิต...ให้นำผลมะกรูดสด มาผ่าเป็น 2 ซีก แล้วนำไปดองกับเกลือ หรือน้ำผึ้งประมาณ 1 เดือน แล้วรินเอาแต่น้ำมะกรูดดื่ม จะสามารถฟอกโลหิตและขับเสมหะได้เป็นอย่างดี
  3. คุณสาว ๆ จ๋า รู้ไหมว่า รองเท้าส้นสูงคู่สวยที่คุณใส่กันอยู่ทุกวันนั้น นำมาซึ่งอาการต่าง ๆ ที่เท้าของคุณ ดังต่อไปนี้ เล็บขบ เป็นปัญหาที่พบบ่อยโดยเฉพาะผู้หญิง บางรายเป็นเรื้อรัง บางรายก็เป็นแบบเฉียบพลันและก่อให้เกิดความเจ็บปวดมาก นิ้วที่พบบ่อยคือนิ้วหัวแม่เท้า สาเหตุมักมาจากได้รับอุบัติเหตุที่เล็บ การตัดเล็บที่ไม่ถูกวิธีโดยเฉพาะคนทำเล็บที่ร้านเสริมสวย ซึ่งจะตัดถึงมุมเล็บทำให้เล็บงอกออกมาแล้วแทงเนื้อ หรือรองเท้าแคบและสั้นเกินไป อาการ จะเป็นมากเมื่อใส่รองเท้าที่คับและสั้นเกินไป คนที่เป็นแบบเฉียบพลันจะมีอาการปวดมาก ส่วนคนที่เป็นเรื้อรังจะมีอาการปวดเวลาเดินด้วยรองเท้า การป้องกัน ถ้าเล็บขบด้านเดียว การตัดเล็บออกบางส่วนจะช่วยให้อาการดีขึ้นได้ แต่ถ้าขบ 2 ด้าน จนทำให้มีอาการเจ็บปวดไม่สามารถลงน้ำหนักได้ การถอดเล็บจะทำให้ปัญหาเหล่านี้หมดไป แต่ทางที่ดีป้องกันด้วยการตัดเล็บเป็นเส้นตรง ไม่ตัดมุมเล็บและไม่ตัดติดหนัง หลีกเลี่ยงรองเท้าที่คับและสั้นเกินไป หากมีอาการปวดแช่ด้วยน้ำเกลืออุ่น ๆ สัก 10 นาที เพียงเท่านี้ก็ไม่ต้องทรมานกับความเจ็บปวดด้วยอาการเล็บขบ ข้อเท้าแพลง ข้อเท้าแพลงเป็นภาวะที่มีการบาดเจ็บของเอ็นรอบข้อเท้า ไม่ว่าจะเป็นด้านในหรือด้านนอก เกิดจากการที่มีการบิดอย่างรุนแรงของข้อเท้า มีโอกาสเกิดขึ้นได้บ่อย สำหรับผู้หญิงสาเหตุของข้อเท้าแพลงที่พบบ่อยมากคือ จะเกิดจากการตกส้นรองเท้าเวลาใส่รองเท้าส้นสูง หรือเกิดจากการลงขั้นบันไดผิดจังหวะ ซึ่งจะทำให้ข้อเท้าพลิกแล้วเกิดอาการเจ็บได้ อาการ ปวด บวม แดง ร้อน เวลาลงน้ำหนักจะเสียว เจ็บด้านที่มีการบาดเจ็บ การรักษา หยุดการใช้งานของข้อเท้า แล้วเดินให้น้อยที่สุด และอาจใช้น้ำแข็งประคบบริเวณที่มีอาการปวดบวม หรือใช้ผ้ายืดดามและพัน เพื่อลดการเคลื่อนไหวของข้อเท้า ให้เอ็นได้มีการพักมากขึ้น หรืออาจจะต้องเข้าเฝือกค่ะ
  4. หากช่วงไหนสาว ๆ รู้สึกว่าทานอาหารมากเป็นพิเศษ คิดไปคิดมาแล้วแต่ละอย่างก็ให้แคลอรีที่สูงปริ๊ดทั้งนั้น ก็ไม่ต้องกังวลไปนะคะ เพราะต่อไปนี้คือ 10 วิธีการที่จะมาช่วยกำจัดแคลอรีส่วนเกินในมื้อต่อไปแบบหายห่วงมาฝากกันค่ะ 1.เวลาจะเลือกทานไข่เจียว แนะนำให้ใส่ผักอย่างหัวหอม มะเขือเทศ เห็ด ลงไปด้วย และทอดด้วยน้ำเปล่าแทนการใช้น้ำมัน ก็จะช่วยทำให้อิ่มท้องเร็ว อีกทั้งยังช่วยตัดไขมันที่ได้จากน้ำมันออกไปได้ด้วยค่ะ 2.เปลี่ยนการทานข้าวขาวมาทานเป็นข้าวกล้องแทน แล้วก็จากขนมปังขาวก็เปลี่ยนมาเป็นขนมปังโฮลวีทแทน เพราะจะได้เส้นใยอาหารมากขึ้น ช่วยลดน้ำหนักได้ 3.การไม่ทาเนยบนขนมปังจะช่วยลดแคลอรีลงได้ถึง 75 แคลอรีต่อขนมปัง 1 แผ่น 4.ถ้าทานข้าวลดลง 1 ทัพพี สามารถลดแคลอรีลงได้ 80 แคลอรี ถ้าทำได้ทั้ง 3 มื้อ ก็จะสามารถลดแคลอรีลงได้ถึง 240 แคลอรีต่อวัน 5.เปลี่ยนปริมาณของการดื่มน้ำผลไม้จาก 250 ซีซี มาเป็น 200 ซีซี แทน 6.เปลี่ยนการใช้น้ำตาลมาเป็นสารให้ความหวานแทนในถ้วยเครื่องดื่มและแก้ว จะช่วยลดแคลอรีลงได้ 32 แคลอรี 7.ใช้นมพร่องมันเนยแทนครีมเทียมในเครื่องดื่ม 8.เวลาทานสลัดให้ลดปริมาณน้ำสลัดลง 1 ช้อนโต๊ะ จะช่วยลดแคลอรีลงได้ 60 แคลอรี ส่วนถ้าเป็นแบบน้ำใสก็จะช่วยลดได้ 45 แคลอรี 9.เปลี่ยนอาหารเช้ามาเป็นอาหารแบบให้พลังงานต่ำ เช่น แกงจืดเต้าหู้ หรือผัดผักใส่เนื้อไม่ติดมัน และใน 1 มื้อ อนุญาตให้มีเมนูทอดได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น 10. หากไม่สามารถหลีกเลี่ยงน้ำตาลได้ ก็สามารถลดปริมาณลดได้ โดยถ้าลดจากการใส่น้ำตาล 2 ช้อนชา (2ก้อน) เป็น 1 ช้อนชา (1ก้อน) จะช่วยลดได้ 15 แคลอรี
×
×
  • Create New...