Jump to content

AeleGis

Members
  • Content Count

    35
  • Joined

  • Last visited

About AeleGis

  • Rank
    Advanced Member

Profile Information

  • Gender
    Not Telling
  1. ถ้ากินตามเทคนิคของปู่ย่าตายายที่ตกทอดกันมา ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาล่ะก็รับรองผอมแน่ครับ! นั่นคือให้กินทุเรียนแบบถือว่าเป็นยาถ่ายพยาธิ ไม่ใช่กินเอาอร่อยอย่าที่เรากินๆ กัน ตื่นนอนให้เช้าๆ หน่อย สักประมาณตี 5 (เป็นเวลาที่ธาตุของเราเริ่มทำงาน) หลังจากแปรงฟันล้างหน้าแล้วก็ทานทุเรียนได้เลย จะเลือกพันธุ์ไหนก็ได้ตามรสนิยม ให้ทานได้ประมาณครึ่งลูก คนอ้วนจะทานได้มากกว่านี้นิดหน่อย หลังจากทานแล้วดื่มน้ำอุ่นๆ ตามลงไปด้วยหลังจากทานทุเรียนแล้ว ควรงดอาหารเช้าของวันนั้น ทานติดต่อกัน 2 วัน เส้นใยและความร้อนจากสารกำมะถัน ในทุเรียนจะไปชะล้างพยาธิและสิ่งสกปรกต่างๆ ในลำไส้ออกมาจนหมด ทำให้คุณผอมลง ร่างกายแข็งแรงสดชื่นด้วย ทุเรียนมีดีรอบด้าน ถึงกินแล้วจะร้อนในไปหน่อย แต่ความดีอย่างอื่นของทุเรียนก็ยังมี แถมมีตั่งแต่ต้นจรดรากซะด้วยสิ!… เนื้อ: เนื้อ ทุเรียนมีกำมะถันเป็นส่วนประกอบหลัก ทำให้ร้อน แต่ความร้อนนี้ล่ะจะช่วยแก้โรค ผิวหนังได้ ทำให้ฝีหนองแห้งเร็ว และมีฤทธิ์ขับพยาธิได้ด้วย เปลือก: ถ้าเอาเปลือกแหลมๆ ไปสับแช่ในน้ำปูนใส แล้วเอามาล้างแผลพุพอง แผลน้ำเหลืองเสีย แผลจะหายเร็ว หรือถ้าหากมีเด็กในบ้านเป็นคางทูม คนสมัยก่อนเขาก็จะเอาเปลือกทุเรียนไปเผาแล้วบดเป็นผง เอมาผสมกับน้ำมันงาหรือน้ำมันมะพร้าว แล้วเอามาพอกที่คาง คางทูมก็จะยุบ ใบทุเรียน: เอาใบทุเรียนไปต้มกับน้ำแล้วเอาน้ำนั้นมาอาบ ความร้อนจะช่วย ให้หายไข้และโรคดีซ่านได้ ราก: ตัดเป็นข้อๆ ใส่หม้อต้มให้เดือด นำมาดื่มบรรเทาอาการไข้และรักษาอาการท้องร่วงได้ดี แต่ที่สำคัญที่ขาด ไม่ได้สำหรับคุณผู้หญิงที่รักสวยรักงามแล้วละก็ คุณอาจจะไม่เคยคิดเลยว่า ทุเรียนจะสามารถทำให้คุณสวยได้ …. วิธีการ 1)นำ เนื้อทุเรียนสุกพอห่ามๆ ไม่ต้องสุกมาก มาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ สักกำมือหนึ่ง 2)ปั่นรวมกับดินสอพอง 1/4 ช้อนโต๊ะ จนเป็นเนื้อข้นๆ ทาไปเลยทั่วผิว เว้นรอบดวงตาและปาก หรือบริเวณที่เป็นสิว 3)ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที จึงล้างออก ธาตุกำมะถันในทุเรียนจะทำให้สิวแห้งเร็วขึ้น
  2. 1)ควรหวีผมก่อนสระทุกครั้ง ไม่ว่าคุณจะเป็นสาวผมเส้นเล็ก เส้นใหญ่ ผมมัน หรือผมแห้ง เพราะการหวีผมก่อนสระจะช่วยทำให้ผมไม่พันกันระหว่างสระผม ซึ่งจะช่วยลดการแตก หรือขาดของเส้นผมได้ และที่สำคัญการหวีผมก่อนสระจะช่วยลดปัญหาผมพันกันจนหวีออกไม่ได้หลังสระด้วย ค่ะ 2)ล้างผมเป็นเวลา 15 วินาทีก่อนลงแชมพูทุกครั้ง เพื่อช่วยชะล้างสิ่งสกปรกที่ติดอยู่บนเรือนผมออกไปก่อน จากนั้นค่อยใช้แชมพูเพื่อการทำความสะอาดอย่างล้ำลึกต่อไป 3)การล้างผมด้วยน้ำอุ่นจะช่วยชำระล้างสิ่งสกปรก และความมันออกจากเส้นผมได้ง่ายกว่าการล้างผมด้วยน้ำเย็น ดังนั้น หากเป็นไปได้ ควรใช้น้ำอุ่นล้างผมก่อนสระ และใช้น้ำเย็นล้างผมหลังสระ เพื่อไม่ให้ผมแห้งค่ะ 4)ชโลมแชมพูลงบนหนังศีรษะก่อน เสร็จแล้วค่อย ๆ นวดมาบริเวณปลายผม ไม่ควรชโลมแชมพูลงบนปลายผมโดยตรง เพราะจะทำให้ปลายผมแตก และอ่อนแอได้ง่าย ๆ 5)ไม่ควรเกาหนังศีรษะขณะสระผม เพราะนอกจากจะทำให้หนังศีรษะเป็นแผลแล้ว อาจเป็นการทำร้ายผมอย่างไม่รู้ตัวเลยก็ได้ 6)ควรสระผม 2 ครั้ง ครั้งแรกเป็นการทำความสะอาดสิ่งสกปรก ส่วนครั้งที่สองเป็นการบำรุงเส้นผม จากนั้นล้างผมให้สะอาด 7)หากใช้คอนดิชันเนอร์บำรุงผม หลังจากปล่อยทิ้งไว้ให้คอนดิชันเนอร์ซึมซาบลงสู่ผมแล้ว ให้ล้างออกด้วยน้ำสะอาดเป็นเวลาครึ่งนาทีขึ้นไป เพื่อไม่ให้คอนดิชันเนอร์หลงเหลืออยู่บนเรือนผมและหนังศีรษะ ซึ่งอาจทำให้ผมร่วงหรือแห้งแตกได้ 8)บีบผมเบา ๆ อย่าดึงหรือสะบัดผมแรง ๆ เพราะเส้นผมจะอ่อนแอที่สุดเมื่อมันเปียก การทำให้ผมแห้ง ให้ใช้ผ้าค่อย ๆ ซับผมให้พอหมาด แล้วปล่อยให้แห้งตามธรรมชาติ หรือใช้ลมเย็นหรือพัดลมค่อย ๆ เป่าผม อย่าใช้ไดร์เป่าผมร้อน ๆ ถ้าไม่จำเป็น *ไม่ควรหวีผมหลังสระผมเลย จนกว่าจะแน่ใจว่าผมแห้งแล้ว เพราะอาจจะขาดและหลุดร่วงได้ง่าย สระผมครั้งต่อไป ควรทำให้ถูกวิธีนะคะ เพื่อสุขภาพผมที่ดีของเราค่ะ
  3. ความรู้สึกหนึ่ง . . . ที่เกิดขึ้นได้กับทุกๆ คน เป็นความรู้สึกที่อาจมีใครหลายๆ คนไม่รู้เหตุและผล ว่าเป็นไปได้อย่างไร . . . เมื่อรู้ตัวก็เกิดขึ้นแล้ว ความคิดถึง . . . นี่คือสิ่งที่ใคร่อยากจะบอกให้รู้ บอกใครสักคนที่เรารู้สึกอย่างนั้นให้รับรู้ บางเวลา . . . อยากบอกด้วยคำพูด บางเวลา . . . อยากบอกด้วยสายตา บางเวลา . . . อยากบอกด้วยความรัก ทุกๆ เวลา . . . อยากให้รับรู้ว่า “คิดถึงนะ” แต่คุณรู้ไหมว่า . . .คำพูดเหล่านี้ จะไม่บังเกิดผลใดๆ ได้เลย หากเป็นเพียงแค่ ความคิดของคุณฝ่ายเดียว “ความหาญกล้า” ที่ไม่ใช่ว่า จะต้องแสดงอะไรมากมายนัก ไม่ต้องไปออกรบที่ไหน ไม่ต้องมีเหรียญกล้าหาญใดๆ ไม่ต้องได้รับคำยกย่องชมเชย จากนายพล นายพัน และไม่ต้องอีกมากมาย . . . เพียงแต่ คุณ ใช้ประการหนึ่ง . . . “คำพูด ความรู้สึก ที่ผสมผสาน ให้กลมกลืน” แล้วเปล่งวาจาออกไปจากปากของคุณเองว่า . . .”คิดถึงนะ” รู้ไหมว่า . . .หากคุณพูดคำเหล่านี้แล้ว โลกนี้ทั้งโลกของคุณ ก็จะสว่างใส ไม่หมองมัว อีกต่อไป ที่สำคัญใครคนนั้นของคุณ จะได้รับรู้บ้างว่าคุณคิดอย่างไร มันไม่สำคัญหรอกว่า . . . สิ่งที่จะตอบกลับมา จากเขาหรือเธอคนนั้น จะเป็นเช่นไร แต่มันสำคัญแค่ว่า . . .คุณได้บอกแล้ว และคุณก็ได้ให้สิ่งที่ดีที่สุด กับเขา เท่าที่คนๆ หนึ่ง พึงจะสามารถหามาให้คนอีกคนหนึ่งได้ พูดดูสิว่า . . . คิดถึง บางทีในไม่ช้า คุณอาจจะได้คำๆ นั้นกลับมาหาคุณก็ได้ . . .
  4. วิธีจัดอารมณ์โกรธ ด้วยตัวเอง 1)รู้อารมณ์โกรธที่เกิดขึ้น ร่างกายของคุณมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม หัวใจเต้นมากขึ้น รู้สึกร้อนๆ บริเวณใบหน้า การหายใจสั้นลง 2)ยอมรับความโกรธที่เกิดขึ้น ช่วยให้ความโกรธลดลงเพราะการยอมรับทำให้ความโกรธลดลงอันนี้ต้องลองทำกันดู หากเรายิ่งโทษสิ่งแวดล้อมแน่นอนว่ามีปัจจัยต่างๆที่ทำให้โกรธแต่เราอาจมี 3)หายใจเข้าออกลึก ๆ ผ่อนคลายตนเอง อาจเป็นการพูดคุยระบายกับคนที่คุณไว้ใจ หรือหากหาคนรู้ใจไม่ได้ ก็หาทำกิจกรรมที่ตนเองชอบ เช่น การอ่านหนังสือ ฟังเพลง ไปเที่ยว 4)หากรู้สึกควบคุมไม่ได้ ให้ออกมาจากสถานการณ์นั้นก่อน และควรขอตัวคู่สนทนา อาจบอกวันนี้ขอคุยเรื่องนี้เพียงเท่านี้ก่อน 5)ปรับเปลี่ยนความคิด คิดแบบใดก็ได้ที่ทำให้โกรธน้อยลงการขัดแย้งหลายครั้งก็นำไปสู่การ เปลี่ยนแปลงและสร้างสรรค์และการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ 6)หลีกเลี่ยงการนินทา เพราะนำไปสู่ความเข้าใจผิดและเกิดความขัดแย้งมากขึ้น คำแนะนำที่ง่ายที่สุด คือ ให้ปลีกตัวเอง ออกมาจากสถานที่หรือบริเวณ ที่ทำให้เกิดความโกรธ ให้มากที่สุด
  5. ช่วงยามเช้าหลังตื่นนอน หรือแม้กระทั่งก่อนนอน เพราะเป็นช่วงที่อารมณ์นิ่ง ยังไม่ฟุ้งซ่านคิดถึงสิ่งอื่น การอ่านกับไฟสลัวๆดวงตาจะทำงานหนัก เมื่อยล้าเร็ว จึงควรจัดแสงสว่างให้เพียงพอ นอกจากนั้นบรรยากาศที่สงบเงียบยังช่วยให้คิดได้เร็ว และมีสมาธิสูง การตั้งเวลาตื่นที่แน่นอนเป็นประจำ เมื่อร่างกายคุ้นเคยจะเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องพึ่งนาฬิกาปลุกอีกต่อไป ทั้งยังตื่นด้วยความรู้สึกเต็มอิ่มด้วย ซึ่งวิธีนี้ช่วยให้ง่ายต่อการจัดเวลาอ่านหนังสือ ดื่มน้ำเปล่า ทำสมองปลอดโปร่ง พร้อมเปิดรับข้อมูล แต่สำหรับใครที่ชอบน้ำสมุนไพร แนะนำน้ำขิงอุ่น จิบปลุกความสดชื่น เรียกความกระปรี้กระเปร่าได้ หรือกระตุ้นร่างกายให้ตื่น โดยยืดเส้นยืดสายกล้ามเนื้อบริเวณต้นคอ ไหล่ แขน และฝ่ามือ ประมาณ 5-10 นาที เท่านี้ก็นั่งหลังตรงทบทวนหนังสือกันได้เลย
  6. กาลหนึ่งนานมาแล้ว นานเท่าไหร่ไม่รู้ พ่อมักจะเริ่มต้นเรื่องอย่างนี้ทุกครั้ง มีเจ้าหญิงอยู่องค์หนึ่ง เจ้าหญิงคนนี้เป็นคนขยัน ทำอาหารเก่ง ชอบทำงานบ้านเสมอ ๆ เจ้าหญิงของพ่อมักจะเป็นคนที่ขยันเสมอ ๆ ... เจ้าหญิงได้พบกับชายแปลกหน้าคนหนึ่งในสวนดอกไม้ข้าง ๆ ปราสาท ในขณะที่เจ้าหญิงกำลังเก็บดอกไม้ ผมพิมพ์มาถึงตรงนี้ ก็ต้องกด Delete ลบข้อความนั้นทิ้งเสียหมด หลังจากที่ผมนั่งจ้องอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ร่วมครึ่งชั่วโมงแล้วมั้ง แต่งานเขียนของผมก็ยังอยู่เหมือนเดิม ไม่มีอะไรคืบหน้า ไม่มีอะไรขยับเขยื้อนไปสักอย่าง ทั้ง ๆ ที่ผมจะต้องส่งต้นฉบับในวันพรุ่งนี้แล้ว แย่จริง ๆ สมาธิหายไปไหนหมดนะ บรรยากาศ ภาพความหลังในวัยเด็กหายไปไหนหมดนะ - - นี่ผมคิดผิดหรือเปล่าหนอ? - - ที่รับงานเขียนเรื่องสั้นเกี่ยวกับพ่อมา ก็เพราะคำว่า พ่อ นี่แหละที่ทำให้ผมเขียนไม่ออก ไม่รู้จะเขียนอะไร เพราะพ่อไม่เคยอยู่ในความทรงจำของผม หรือเป็นฮีโร่เยี่ยงอย่างพ่อคนอื่น ๆ จนบางครั้งผมมีความรู้สึกราวกับว่า พ่อกับผมเป็นคนแปลกหน้าที่ต่างวัยและบังเอิญมาอาศัยอยู่ภายใต้ชายคาเดียวกัน พ่อยังเป็นคนทำลายครอบครัว ทำลายความรักที่แม่มีต่อพ่ออย่างหมดสิ้น จนแม่ทนไม่ไหวต้องหย่าร้างกันไปในที่สุด และพ่อยังจะทำลายความฝันของผมอีก ผมอยากเรียนหนังสือ ผมชอบงานเขียนหนังสือ ผมบอกกับพ่อในวันที่พ่อบอกให้ผมเลิกเรียนหนังสือ และออกมาช่วยกันทำงานที่โรงกลึงของตนเอง.. แกจะเรียนไปทำไมนักหนา กิจการของพ่อก็มี แล้วนายความฝันบ้า ๆ บอ ๆ ของแกอีก ผมทิ้งมันไม่ได้ ผมทิ้งความฝันของผมไม่ได้หรอกพ่อ ผมเถียง แต่แกต้องทิ้งมัน แกต้องมาช่วยฉันทำงาน พ่อขึ้นเสียงตอบกลับมา พ่อ มันหมดสมัยที่พ่อจะบังคับลูกแล้วนะ “แต่ฉันจะบังคับแก” พ่อยืนคำขาด พรุ่งนี้แกต้องไปลาออก ผมเกลียดพ่อ ผมเกลียดความคิดโง่ ๆ ของพ่อ เกลียดการกระทำของพ่อ ที่วัน ๆ มัวแต่นั่งทำงานงก ๆ พ่อไม่เคยสนใจผม พ่อไม่เคยถามผมสักคำว่าผมต้องการอะไร เอ๊ะอะอะไรพ่อก็บังคับผม ผมเกลียดพ่อ ฝ่ามืออันหนักอึ่งของพ่อกระทบลงบนใบหน้าแก้มข้างขวาของผมอย่างจัง แกออกไปแกออกไปจากบ้านของฉันเดี๋ยวนี้นะ แกไม่ใช่ลูกฉัน ดูแลตัวเองดี ๆ นะ ผมหันมาบอกน้องชายที่ยืนอยู่ห่าง ๆ ก่อนที่ผมจะก้าวเดินออกจากบ้านหลังนั้นมา ด้วยความเครียดแค้นที่สุมรุมอยู่ในหัว นับจากวันนั้นมา ผมเลือกใช้ชีวิตอยู่ในห้องเช่าหลังหนึ่งตามลำพัง ยังดีที่มีเงินเหลืออยู่ในบัญชีเกือบหมื่น ซึ่งมันก็พอจะเป็นค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ได้บ้าง แต่ผมก็ยังเฝ้าหางานทำอยู่หลายที่ แต่มาตกอยู่กับการเป็นนักแสดงสมทบ หรือที่ใคร ๆ เรียกกันติดปากว่า “ตัวประกอบ” เพื่อแลกกับเงินเพียงไม่กี่ร้อย แต่ผมก็ยังไม่ละทิ้งความฝันที่อยากจะเป็นนักเขียนหรอก ผมเฝ้าฝึกฝีมืองานเขียนจนคิดว่าดีพอถึงได้ลองส่งไปลงยังนิตยสารฉบับหนึ่ง จนในที่สุดก็ได้รับการตีพิมพ์ ผมเริ่มมีความสุขกับการเขียนหนังสือมากขึ้น เมื่อความฝันของผมเป็นจริง หนังสือเล่มแรกในชีวิตของผมพิมพ์เสร็จเป็นรูปเล่มเรียบร้อยแล้ว ผมรับหนังสือจากพี่ใหม่มา เปิดออกดูทีละหน้า ๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่อยากเชื่อเลยว่าผมจะมีโอกาสแบบนี้จริง ๆ นี่มันสุดยอดความฝันของผมเลยครับพี่ ขอบคุณมากครับ เอ้า!นี่หนังสือของนัทเก้าเล่ม พี่ให้นัทเอาไว้แจกเพื่อน ๆ ถ้าไม่พอยังไงก็เข้ามาเอาใหม่ล่ะกัน พี่ใหม่หยิบห่อกระดาษยื่นให้ผม และนี่เช็คเงินสดค่าเรื่อง ขอบคุณมากครับ พี่ใหม่ ผมรับเช็คค่าความคิด ค่าน้ำหมึกของผมมาถือไว้ด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก แต่ที่แน่ ๆ มันเต็มเปี่ยมจนล้นไปด้วยความภาคภูมิ มาถึงตอนนี้ผมมั่นใจได้แล้วว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นความจริง ไม่ใช่ความฝัน ผมอยากให้พ่อรู้เหลือเกินว่าในที่สุดผมก็ทำความฝันของผมได้สำเร็จ ผมละภาพความหลังเก่า ๆ ละสายตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ด้วยการไปเดินเล่นที่ท่าน้ำ สายน้ำแห่งเจ้าพระยายังคงไหลเวียนไม่ขาดสาย ประกายแสงจากดวงอาทิตย์สะท้อนผืนน้ำระยิบระยับ เรือลำน้อย เรือลำใหญ่แล่นว่ายอย่างเช่นเคย ที่ตรงนี้ล่ะที่ทำให้ผมมีความสุข รู้สึกสบายอกสบายใจทุกครั้ง และมักจะได้คำตอบหรือแนวพล็อตเรื่องอยู่เสมอ ๆ วันนี้ผมก็หวังไว้เช่นนั้นเหมือนกัน เสียงเรียกเครื่องเพจเจอร์ทำลายความเงียบนั้นลง พ่อถูกรถชน พี่รีบมาด่วนนะ ผมกดข้อความจากน้องชายอ่านซ้ำไปมา ใจหนึ่งลังเลจะไปดีหรือไม่ดี แต่ขาน่ะสิรีบก้าวออกไปก่อนโดยไม่รอคำตอบ ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ล่ะ ผมถามน้องชายเมื่อไปถึงโรงพยาบาล ก็พ่อน่ะสิ ทำหนังสือหล่นกลางถนน เลยหยุดเก็บ ก็เลย น้องชายพูดเสียงสั่นเครือ แค่หนังสือเนี๊ยนะ เอามาแลกกับชีวิต พ่อนี่บ้าหรือเปล่า ผมยังไม่วายหยุดว่าพ่อ ถ้าไม่ใช่หนังสือของพี่ พ่อก็คงไม่เก็บหรอก คำพูดของน้องชายทำเอาผมอึ้งไปพูดไม่ออก หนังสือของผม เพราะหนังสือของผมเหรอ พอพ่อรู้ว่า หนังสือของพี่วางแผง พ่อก็รีบไปซื้อทันที พ่อบอกว่า…ไม่ซื้อไม่ได้… นี่ผลงานของลูก นี่ความฝันของลูก และพ่อยังบอกอีกว่าพ่อจะซื้อหนังสือของพี่ทุกเล่ม มาถึงตรงนี้หยาดน้ำตาก็เริ่มไหลเอ่อรื้นอยู่เต็มขอบตา พี่รู้ไหมพ่อคิดถึงพี่มากแค่ไหน พ่อคิดถึงพี่เสมอนะ พ่ออยากให้พี่กลับมาอยู่ด้วย พ่อยังบอกอีกว่า พ่อจะไม่บังคับอะไรลูก ๆ อีกแล้ว ชีวิตเป็นของลูก พ่ออยากให้ลูกเลือกเดินเอง แต่พ่อจะคอยอยู่ข้างหลังคอยเป็นกำลังใจให้ในยามที่ลูกเหนื่อยลูกท้อ พ่อยังบอกอีกว่าพ่อเชื่อว่าลูกสามารถทำความฝันของตนเองเป็นจริงขึ้นได้อย่างมั่นคง คำพูดของน้องชายทำเอาน้ำตาที่เต็มไหลอาบแก้มเมื่อครู่ไหลอาบแก้มอย่างไม่รู้ตัว ผมไม่เคยรู้สึกดีกับพ่อมาก่อนอย่างนี้ ผมไม่เคยรู้สึกรักพ่อมาก่อนเท่าครั้งนี้ ถึงเวลานี้ผมได้แต่นั่งรอเวลาที่ผมจะโผเข้าสวมกอดร่างของพ่ออีกครั้ง จะนานแค่ไหนไม่รู้ จะนานกี่ชั่วโมงไม่รู้ กว่าที่ประตูห้องฉุกเฉินนั่นจะเปิดออก แล้วผมจะกลับเข้าบ้านหลังนั้นอีกครั้ง กลับเข้าไปสู่อ้อมแขนของพ่ออีกครั้ง และครั้งนี้มันคงทำให้ผมเขียนเรื่องสั้นได้ทันส่งต้นฉบับวันพรุ่งนี้แน่นอน ผมตั้งชื่อเรื่องรอไว้ก่อนแล้วว่า ‘นิทานของพ่อ’ พ่อคนเดียวที่สอนให้ผมรู้จักตัวเอง ให้ผมเข้มแข็ง ให้ยืนหยัดได้ด้วยความฝัน สองแขนสองขาของตัวเอง ผมอยากบอกว่า ผมรัก รักมาก อย่างที่ไม่เคยรักมาก่อน และผมก็รักพ่อไม่น้อยกว่าที่รักแม่หรอก
  7. จะโดยเจตนาหรือไม่ก็ตามบ่อยครั้งเรามักดูถูกบางคนที่พูดอะไรโง่ ๆ หรือ ทำอะไรเปิ่น ๆ ใช่ไหมครับ? จะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตามเรามักมีปฏิกิริยาฉับพลันต่อผู้อื่นที่ด้อยกว่าเราในด้านฐานะ(ต่ำแหน่ง)สถานภาพ การศึกษา การแต่งตัว การกระทำหรือความสามารถ จนบางครั้งอาจถึงขั้นแสดงท่าทางเหยียดหยาม ถ้าคุณอยากรู้ว่าผู้ที่ได้รับปฏิกิริยาเช่นนี้จากคุณจะรู้สึกอย่างไร ก็ขอให้คุณลองจินตนาการดูว่า หากผู้อื่นกระทำต่อคุณเช่นนั้น คุณจะรู้สึกอย่างไร? นั่นแหละคือความรู้สึกของเขาที่เกิดขึ้นจากท่าทีของคุณ โดยธรรมชาติและวัฒนธรรมคนเราไม่ว่าเชื้อชาติภาษาใดมีทั้งภูมิใจและดูถูกคนอื่นที่กระทำบางสิ่งผิดวัฒนธรรมที่เรายึดถือปฏิบัติมา อย่าที่คนจีนเรียกคนต่างชาติว่า “ฮวนนั้ง” ที่แปลว่าคนป่าเถื่อน คนยิวเรียกคนที่ไม่ใช่ยิวว่า “คนต่างชาติ”(Gentile) พวกยุโรปหรืออเมริกาเรียกคนที่ไม่มีวัฒนธรรมอย่าพวกเขาว่า ”พวกอนารยชน” (Barbarians) บางทีคนในประเทศเดียวกันยังดูถูกกันเองผ่านท่าทีและคำพูด เช่นคนเมืองเรียกคนชนบทหรือคนต่างจังหวัดว่า “พวกบ้านนอก” (คอกนา) หากมาจากภาคอีสาน (ที่มีเชื้อสายมาจากฝั่งลาว) ก็จะถูกดูถูกว่าเป็น “พวกเสี่ยว” หรือบางทีคนมีฐานะและการศึกษาดีมีชาติตระกูล ก็อาจจะถูกชาวบ้านทั่วไป (แม้อยู่ในเมืองด้วยกัน)ว่า “พวกไร้การศึกษา” บางทีคุณมองดูคนบางคนที่อยู่ร่วมชุมชนหรือสังคมของคุณ และมีท่าทีที่ไม่ค่อยเป็นมิตรกับคนเหล่านั้นที่ไม่ได้ประพฤติปฏิบัติตามบรรทัดฐานของคุณ เพราะคุณรู้สึกว่าพวกคนเหล่านั้นแย่กว่าคุณ มีคุณค่าน้อยกว่าคุณ หรือไม่มีคุณค่าเลย ซึ่งหากคุณคิดเช่นนั้น คุณกำลังกระทำความผิดพลาดอย่างมหันต์ เพราะว่าองค์พระเป็นเจ้าไม่ได้ทรงสร้างผู้ใดให้ไร้ค่าเลยไม่ว่าเขาจะมีชนชั้นวรรณอะไรก็ตาม คุณค่าของตัวเขามิได้ด้อยกว่าผู้ใด แต่ทรงกำชับให้เรารักและให้เกียรติคนเหล่านั้น เหมือนที่เรารักและให้เกียรติตัวของเราเอง จงตระหนักเสมอว่า ไม่มีบุคคลใดที่จะสมบูรณ์หรือดีเลิศกว่าบุคคลอื่น ๆ ในทุกด้าน คุณอาจเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในอาชีพการงานของคุณ แต่ฝีมือการทำอาหารของคุณอาจจะแย่กว่า “คนไร้การศึกษา” ข้างบ้านของคุณ คุณอาจจะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างยิ่งด้านการศึกษา แต่การซ่อมส้วมหรือท่อประปาที่เสียในบ้านอาจจะแย่กว่า “พวกเสี่ยว” ที่เป็นช่างผู้เชี่ยวชาญ ฯลฯ ดังนั้น แทนที่คุณจะหลงผิดว่าคุณดีเลิศ และคนอื่นแย่ คุณควรมองดูคนอื่น (ที่แม้จะบกพร่องมีข้อน่าตำหนิ) ด้วยสายตาแห่งความเห็นใจ โดยสำนึกเสมอว่า คุณเองก็อาจมีจุดด้อยที่ผู้อื่นตำหนิหรือดูถูกได้เช่นกัน ดังนั้น วันนี้ ขอให้เรามาตั้งใจว่าเราจะไม่ดูถูกใครอีกเลยเพราะความรู้สึกถูกกระทำเช่นนั้นช่างเจ็บปวดเกินจะรับและไม่มีใครปรารถนา แม้แต่ตัวของคุณเอง จริงไหมครับ?
  8. เชื่อว่าหลายคนคงต้องเคยผ่านเหตุการณ์การทะเลาะกับคนรอบข้างมาบ้างแล้ว ไม่ว่าจะเป็นกับเพื่อน คนในครอบครัว หรือคนรัก คุณมีวิธีการรับมือกับเหตุการณ์นั้นอย่างไรกันบ้างครับ วันนี้เรามีเทคนิคง่ายๆ มาฝากกันครับ 1. รับฟังและไม่ขัดจังหวะ เชื่อเถอะว่าไม่มีใครชอบที่จะถูกขัดจังหวะในขณะที่เขาพูดหรอก ลองเปลี่ยนบทบาทเป็นฝ่ายนั่งฟังเขาพูดตั้งแต่ต้นจนจบๆ ดูสิ นอกจากเขาจะรู้สึกที่ดีที่คุณรับฟังแล้วยังจะช่วยลดอารมณ์ร้อนในตัวเขาให้เย็นลงได้อีกด้วยนะ 2. ทำความเข้าใจในสิ่งที่เขาพูด นอกจากการรับฟังแล้วสิ่งที่คุณควรทำต่อมา คือ พยายามทำความเข้าใจในสิ่งที่เขาพูด แม้ว่ามันจะดูไม่มีเหตุผลก็ตาม แต่เชื่อเถอะว่าถ้าเขารู้สึกว่าคุณเข้าใจเขา การทะเลาะก็ย่อมจะจบลงเร็วกว่าที่คุณคิดไว้แน่นอน 3.เก็บถ้อยคำอันร้ายกาจไว้ บ่อยครั้งในยามโมโหเรามักจะลืมตัวหลุดถ้อยคำที่ไม่ทันคิดออกไป แล้วก็ต้องมานั่งเสียใจภายหลัง อย่าปล่อยให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นกับคุณเชียว เพราะเมื่อพูดไปแล้วมันก็เป็นการยากที่จะเรียกคำนั้นกลับคืนมา ทำใจเย็นๆ และเตือนสติตัวเองทุกครั้งก่อนที่จะปล่อยถ้อยคำรุนแรงออกไป เรื่องที่ว่าแย่ จะได้ไม่ดูแย่ไปกว่านี้ไงล่ะครับ 4. ลืมอดีตซะบ้าง อดีตก็คืออดีต ปล่อยมันทิ้งไปซะ เพราะหากว่าคุณยังจมอยู่กับเรื่องราวความผิดพลาดในครั้งก่อนๆ แล้วหยิบมาโต้แย้งในยามที่ทะเลาะกัน นอกจากจะทำให้คุณไม่สามารถแก้ปัญหาของคุณกับเขาได้แล้วยังจะทำให้การทะเลาะบานปลายขึ้นไปอีกให้นึกซะว่าไม่มีใครที่ไม่เคยทำผิดพลาด ให้โอกาสเขาได้ปรับปรุงตัวและทำลืมๆ ที่จะพูดถึงมันย่อมจะดีกว่านะ 5. เรียนรู้ที่จะประนีประนอม ลองเปลี่ยนมาใช้วิธีการประนีประนอมแทนการพยายามที่จะเอาชนะกันดู แล้วคุณจะพบว่าความขัดแย้งนั้นลดน้อยลงอย่างไม่น่าเชื่อ แต่ถ้ายังมีบางสิ่งที่ยังไง๊ยังไงคุณก็ไม่เห็นด้วย ก็ให้ลองใช้วิธีพบกันครึ่งทาง คงไม่ทำให้คุณเสียศักดิ์ศรีเท่าไรหรอก 6. รับฟังความคิดเห็นของอีกฝ่าย การโต้เถียงกันส่วนใหญ่มักเป็นการโต้เถียงที่ต้องการให้อีกฝ่ายเห็นด้วยกับความคิดของตน ซึ่งก็คงเป็นไปไม่ได้ที่คนอื่นจะมีความคิดเห็นเหมือนกับคุณซะทุกเรื่องไป แม้ว่าคุณจะพยายามแล้วพยายามอีกที่จะอธิบายให้เขาคล้อยตามไปกับคุณ ในทางกลับกันถ้าคุณลองเปลี่ยนมาเป็นฝ่ายรับเอาความคิดเห็นของเขามาทำความเข้าใจ นอกจากคุณจะได้แสดงให้เขาเห็นถึงการรับฟังความคิดเห็นของคนอื่นของคุณแล้ว ยังจะทำให้ลดปัญหาที่จะนำไปสู่การทะเลาะเบาะแว้งได้อีกต่างหาก 7. นึกถึงความสัมพันธ์อันดีเข้าไว้ บางครั้งอารมณ์ในยามทะเลาะกันมักทำให้คุณลืมเลือนความสัมพันธ์ของอีกฝ่ายทิ้งไปชั่วขณะ โดยมุ่งแต่จะสรรหาถ้อยคำดุเด็ดเผ็ดร้อนมาโต้ตอบกันแทน ลองเปลี่ยนเป็นนำความสัมพันธ์อันดีที่เคยมีระหว่างเขากับคุณมานึกถึงเป็นอันดับแรกในยามที่ทะเลาะกันดูสิคะ ถึงจะดูเหมือนคุณต้องเป็นฝ่ายยอมเขาแต่มันก็จะดูมีค่ากว่าการต้องมานั่งทำร้ายจิตใจของกันและกันนะ อ่านแล้วก็ลองนำไปใช้กันดูนะครับ ตอนนี้คุณอาจจะมองว่าไม่จำเป็นหรอก ก็ยังไม่ได้ทะเลาะกับใครนี่นา แต่เชื่อเถอะว่ามนุษย์เราก็ต้องมีซักครั้งที่จะต้องขัดใจกับคนรอบตัว ซึ่งอาจจะไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไร แต่ถ้าเรารู้วิธีที่จะรับมือกับเหตุการณ์นั้นแล้ว ต่อให้เหตุการณ์ร้ายแรงขนาดไหน คุณก็ย่อมจะผ่านไปได้อย่างสบายๆ เลยแหล่ะ
  9. เรื่อง คนขายสุนัข และ ลูกสุนัข 7 ตัว มีร้านค้าแห่งหนึ่ง ติดประกาศขายลูกสุนัข 7 ตัว เมื่อรู้ข่าว ก็มีเด็กๆ แวะเวียนเข้ามาเล่น มาชมลูกสุนัขทุกวัน แต่ก็ยังไม่มีใครตกลงใจซื้อ เพราะเป็นสุนัขพันธุ์ดี มีราคาค่อนข้างแพง วันหนึ่ง ขณะที่เจ้าของร้านกำลังยุ่งอยู่กับการขายของอื่นๆ ให้แก่ลูกค้าในร้าน เด็กชายหน้าตาน่าเอ็นดูคนหนึ่ง ก็มากระตุกชายเสื้อเขา เขาก้มลงมอง และถามว่ามีอะไรให้ช่วยหรือไม่ เพื่อนของผมบอกว่า ที่ร้านของคุณอามีลูกหมาขาย ผมอยากเลี้ยงลูกหมาสักตัว พ่อแม่ก็อนุญาตแล้ว ขอผมดูลูกหมาของคุณอาหน่อยได้ไหมครับ? เด็กบอกอย่างสุภาพ อ๋อ ได้สิหนู พวกมันกำลังนอนเล่นอยู่หลังร้านน่ะ เจ้าของร้านกล่าวอย่างยินดี แล้วผิวปากเรียกสุนักทั้งเจ็ดออกมา เด็กชายยิ้มร่าเมื่อเห็นลูกสุนัขวิ่งตุ้ยนุ้ยออกมา ทีละตัว เขานับ…แต่ก็มีแค่หกตัวเท่านั้น ไหนว่ามีเจ็ดต ัว มีคนซื้อไปตัวหนึ่งแล้วหรือครับ? เด็กชายถาม เจ้าของร้านตอบว่า อ๋อ เปล่าหรอกหนู ยังไม่มีใครซื้อไปเลยสักตัว เพียงแต่ตัวสุดท้ายขาหลังเขาไม่ดี มันก็เลยต้องคลานออกมา วิ่งมาพร้อมกับพี่ๆ ของมันไม่ได้ สิ้นคำเจ้าของร้าน ลูกสุนัขตัวที่เจ็ดก็คลานออกมา ขาหลังทั้งคู่ของมันลีบเหลือนิดเดียว มันต้องใช้ขาหน้าลากพาร่างกายออกมาจากหลังร้าน ลูกสุนัขมองมาทางเด็กชายแล้วครางงี้ดๆ เห็นได้ชัดว่า มันพยายามคลานมาหาเขา หางของมันกระดิกดุ๊กดิ๊กๆ อยู่ตลอดเวลา มันคลานเข้าไปเลียรองเท้าของเด็กชาย ท่าทางจะชอบเขามาก เด็กชายหัวเราะแล้วอุ้มมันขึ้นมา ก่อนจะถามเจ้าของร้านว่า หมาตัวนี้ราคาเท่าไรครับ? ปกติ อาบอกขายอยู่ตัวละสองพันบาทนะ เจ้าของร้านตอบ เด็กชายนิ่งอึ้งไป ก่อนจะล้วงกระเป๋าหยิบเงินออกมานับ เขามีเงินอยู่เพียงสี่ร้อยห้าสิบบาทเท่านั้น ผมมีเงินไม่พอซื้อหมาตัวนี้ เด็กชายพึมพำอย่างเศร้าใจ เจ้าของร้านรีบบอกทันทีว่า โอ๊ะ! หนู ถ้าหนูอยากได้หมาตัวนี้ไปก็เอาไปเถอะ ไม่ต้องจ่ายเงินหรอก อายกให้หนูฟรีๆ ไปเลย เด็กชายฟังเจ้าของร้านแล้วชะงักไป ก่อนจะถามกลับไปอย่างไม่พอใจว่า ทำไมครับ ทำไมถึงบอกว่าไม่ต้องจ่ายเงินถ้าจะซื้อหมาตัวนี้? ก็อย่างที่หนูเห็นอย่างไรล่ะ ลูกหมาตัวนี้มันติดมาพร้อมๆ พี่ๆ น้องๆ ของมัน และอาก็ไม่คิดว่าจะขายมันอยู่แล้ว เพราะมันพิการ วิ่งก็ไม่ได้ กระโดดก็ไม่ได้ ความจริง อาไม่อยากให้หนูได้ของมีตำหนิอย่างนี้ไปนะ ลองดูตัวอื่นดีไหม? เด็กชายเม้มปากแน่นก่อนจะพูดว่า คุณอาดูอะไรนี่สิครับ ว่าแล้วเขาก็ดึงขากางเกงทั้งสองข้างขึ้น เจ้าของร้านจึงได้เห็นว่า ขาของเด็กชายคนนี้ เล็กลีบ เช่นเดียวกับขาหลังของลูกสุนัข แต่ที่ทำให้เขายืนอยู่ได้ ก็เพราะมีขาเทียมช่วยพยุงเอาไว้ คุณอาครับ ขาของผมก็ลีบใช้การอะไรไม่ได้เหมือนกัน ผมเดินช้ากว่าเพื่อนคนอื่นๆ วิ่งก็ไม่ได้ กระโดดก็ไม่ได้ อย่างนี้ผมก็เป็นคนไร้คุณค่าหรือเปล่าครับ? เจ้าของร้านนิ่งอึ้งไป ความรู้สึกผิดแล่นปราดเข้าสู่หัวใจของเขา เด็กชายปล่อยขากางเกงลงแล้วพูดต่อว่า ผมจะซื้อสุนัขตัวนี้ ในราคาสองพันบาท เท่ากับลูกหมาตัวอื่นๆ แต่ว่าผมมีเงินไม่พอ ถ้าผมจะอ้อนวอนคุณอา ขอผ่อนราคาของลูกหมาตัวนี้ เดือนละหนึ่งร้อยบาททุกเดือน จนครบสองพันบาท คุณอาจะว่าอย่างไรครับ? เจ้าของร้านน้ำตาไหลริน ทรุดตัวลงตรงหน้าเด็กชายและกอดเขาไว้ด้วยความประทับใจ พลางกล่าวขอโทษขอโพย ในสิ่งที่ตนได้ทำผิดพลาดไป เขาบอกว่าไม่ขัดข้อง ที่จะให้เด็กชายผ่อนค่าตัวของลูกสุนัขตัวนี้ และกล่าวว่าถ้าสุนัขทุกตัวมีเจ้านายที่จิตใจดีอย่างเด็กชาย พวกมันก็คงจะมีชีวิตที่เป็นสุขอย่างมาก ……………….. นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อย่าตัดสินคุณค่า จากรูปลักษณ์ภายนอก
  10. บทความนี้เขียนขึ้นโดย จอร์จ คอลลิน ซึ่งเป็นดาราตลกที่โด่งดัง เขาเขียนขึ้นในวันที่ 11 กันยายน (ตึกเวิรด์เทรดถล่ม) หลังจากที่ทราบว่าภรรยาของเขาเสียชีวิตในตึกนั้นด้วย.. ทำ..ในสิ่งที่อยากจะทำ อยากให้ทุกคนได้อ่าน ข้อความนี้ มีความหมายดีนะ ทุกวันนี้เรามีตึกสูงขึ้น มีถนนกว้างขึ้นแต่ความอดกลั้นน้อยลง เรามีบ้านใหญ่ขึ้น แต่ครอบครัวของเรากลับเล็กลง เรามียาใหม่ ๆ มากขึ้น แต่สุขภาพกลับแย่ลง เรามีความรักน้อยลง แต่มีความเกลียดมากขึ้น เราไปถึงโลกพระจันทร์มาแล้ว แต่เรากลับพบว่า แค่การข้ามถนนไปทักทายเพื่อนบ้านกลับยากเย็น………… เราพิชิตห้วงอวกาศมาแล้ว แต่แค่ห้วงในหัวใจกลับไม่อาจสัมผัสถึง เรามีรายได้สูงขึ้น แต่ศีลธรรมกลับตกต่ำลง เรามีอาหารดี ๆ มากขึ้นแต่สุขภาพแย่ลง ทุกวันนี้ทุกบ้านมีคนหารายได้ได้ถึง 2 คน แต่การหย่าร้างกลับเพิ่มมากขึ้น ดังนั้น……จากนี้ไป……ขอให้พวกเรา อย่าเก็บของดี ๆ ไว้โดยอ้างว่าเพื่อโอกาสพิเศษ เพราะทุกวันที่เรายังมีชีวิตอยู่คือ ……โอกาสที่พิเศษสุด……แล้ว จงแสวงหา การหยั่งรู้ จงนั่งตรงระเบียงบ้านเพื่อชื่นชมกับการมีชีวิตอยู่ โดยไม่ใส่ใจกับความ…..อยาก… จงใช้เวลากับครอบครัว เพื่อนฝูงคนที่รักให้มากขึ้น……. กินอาหารให้อร่อย ไปเที่ยวในที่ที่อยากจะไป ชีวิตคือโซ่ห่วงของนาทีแห่งความสุขไม่ใช่เพียงแค่การอยู่ให้รอด เอาแก้วเจียระไนที่มีอยู่มาใช้เสีย น้ำหอมดี ๆ ที่ชอบ จงหยิบมาใช้เมื่ออยากจะใช้ เอาคำพูดที่ว่า…….สักวันหนึ่ง……..ออกไปเสียจากพจนานุกรม บอกคนที่เรารักทุกคนว่าเรารักพวกเขาเหล่านั้นแค่ไหน อย่าผลัดวันประกันพรุ่ง ที่จะทำอะไรก็ตามที่ทำให้เรามีความสุขเพิ่มขึ้น ทุกวัน ทุกชั่วโมง ทุกนาที มีความหมาย เราไม่รู้เลยว่าเมื่อไรมันจะสิ้นสุดลง และเวลานี้…. ถ้าคุณคิดว่าคุณไม่มีเวลาที่จะ copy ข้อความนี้ไปให้คนที่คุณรักอ่าน…… แล้วคิดว่า….สักวันหนึ่ง………..ค่อยส่ง.. จงอย่าลืมคิดว่า….สักวันหนึ่ง…..วันนั้น คุณอาจไม่มีโอกาสมานั่งตรงนี้เพื่อทำอย่างที่คุณต้องการอีกก็ได้
×
×
  • Create New...