Jump to content
Sign in to follow this  
moondrop14

Sunrise Serenade (warning: not yaoi)

Recommended Posts

สวัสดีค่า ชื่อมูนดรอปค่ะ

ปกติชอบเขียนฟิคเป็นงานอดิเรก

ถ้าอ่านเเล้วชอบใจไม่ชอบใจยินดีรับคำติชมนะคะ^ ^

----------------------------------------

Sunrise Serenade

Original: Saint Seiya

Background: Moonlight Serenade >>http://moon-drop.exteen.com/page-2

Character:Shaka x Mu (female version)

…หากแม้นต้องทนเห็นเจ้าร่ำไห้เพราะรักที่ไม่สมหวังมาครั้งแล้วครั้งเล่า

หากแม้นต้องปล่อยให้เจ้าเลือกหนทางผิด ด้วยการหลงรักอาจารย์ของตนเองเช่นนี้…

ข้า…

สู้ทำให้เจ้าเป็นของข้าเสียยังดีกว่า…

Depressed

“นิ่งเสียเถอะ”

เป็นอีกครั้งที่น้ำตาแห่งความอัดอั้นตันใจต้องหลั่งรินด้วยสุดจะหักห้ามไว้ได้ ชายหนุ่มทอดถอนใจพลางล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาส่งให้สหายรัก อารีเอส มู

มิใช่ว่าเขาเบื่อหน่าย มิใช่ว่ารำคาญ แต่เขาเริ่มจะทนไม่ได้แล้ว ถึงแม้เวอร์โก ชากะจะดำรงค์ตนอยู่ในหนทางของพระพุทธองค์มาตลอดแต่ก็เข้าใจถึงอารมณ์ความรู้สึกที่กำลังพลุ่งพล่านอยู่ในอกตนเองได้ดี.. เขามีเยื่อใยต่อมู ด้วยเหตุนี้ชากะไม่อยากจะเห็นน้ำตาของเพื่อนตัวน้อย สหายที่เคยร่าเริงแจ่มใสอยู่เป็นนิจซึ่งกลับกลายเป็นคนละคนในคืนที่มีอายุครบสิบเจ็ดปี

ทั้งหมดมีสาเหตุมาจากอาถรรพ์แห่งแสงจันทร์ของเผ่าพันธุ์ต้องสาป มันคือคำสาปโบราณซึ่งทำให้หลายต่อหลายชีวิตที่มีจุดสองจุดอยู่ที่หว่างคิ้วต้องพบกับหายนะไปชั่วนิรันดร์ บ้างรอดตัวไป บ้างเปลี่ยนร่างเป็นอสูรกายกระหายเลือดในคืนพระจันทร์เต็มดวง คืนที่มีอายุครบสิบเจ็ดปีบริบูรณ์ซึ่งถือว่าเป็นช่วงเวลาที่บรรลุสู่ความเป็นผู้ใหญ่ และต้องถูกคนในครอบครัวของตนเองสังหารทิ้งในที่สุด

แต่สำหรับมู... ซึ่งรอดชีวิตจากการถูกปลิดชีพด้วยน้ำมือของอาจารย์ผู้มีพระคุณมาได้ โชคชะตากลับเล่นตลกยิ่งกว่านั้นและพลิกผันโกลเซนต์หนุ่มผู้งามสง่าให้กลายเป็นสาวน้อยที่งามราวภาพฝัน ดุจดั่งแสงจันทร์งามพิสุทธิ์ที่กระชากหัวใจบุรุษทุกผู้ที่ได้ยลโฉมให้รวดร้าวถวิลหา ยังไม่พอ.. ดูราวกับชะตาเทพยังไม่สาแก่ใจ จึงสาปให้มูต้องหลงรักอาจารย์ของตนเองอย่างถอนตัวไม่ขึ้น

และคนผู้นั้นก็คือท่านอาริเอส ชิออน เคียวโกผู้เพียบพร้อมในทุกๆด้าน จักรพรรดิ์แห่งดินแดนศักดิสิทธิ์ผู้เปี่ยมทั้งรูปลักษณ์ที่งดงามและคงความหนุ่มแน่นแม้จะมีอายุถึงสองร้อยกว่าปีแล้วก็ตาม พร้อมทั้งความแข็งแกร่งและอ่อนโยนในขณะเดียวกัน เขาจึงไม่แปลกใจเลยถ้าหากท่านผู้นั้นจะเป็นที่ใฝ่หาของสตรี ยกเว้นเพียงเรื่องเดียว... มีเรื่องนี้เรื่องเดียวเท่านั้นที่เขามิอาจยอมรับได้ สตรีคนนั้นจะต้องมิใช่มูซึ่งเป็นศิษย์ที่ท่านผู้นั้นชุบเลี้ยงมาตั้งแต่ยังเป็นทารก เป็นศิษย์เพียงคนเดียวที่ท่านรักปานแก้วตาดวงใจ

มือใหญ่ชะงักค้างอยู่กลางครันอึดใจหนึ่งก่อนจะตกลงบนหน้าตัก เขาไม่ควรสัมผัสตัวอิสตรี... เป็นอีกครั้งที่ชากะลอบถอนใจ ด้วยแม้หวังจะปลอบโยนสักเพียงใดตนก็คงทำได้เพียงนั่งอยู่ข้างๆแล้วฟังมูระบายความรู้สึกที่มี เป็นเช่นนี้เสมอมา

“เจ้าจงตัดใจเสียเถิด.. ท่านผู้นั้นมิใช่ชายที่เจ้าควรถวิลหา” โกลเซนต์หนุ่มเอ่ยเสียงเนิบช้า

“ที่ใดมีรัก ที่นั่นก็ย่อมมีทุกข์ ถูกต้องดังที่พระพุทธองค์ทรงกล่าวไว้มิมีผิด

มูเอ๋ย... อย่าได้หลงอยู่ในวังวนของความผิดบาปด้วยการหลงรักผู้มีพระคุณของตนเองเลย”

“ข้ารู้...” น้ำเสียงสะอึกสะอื้นตอบแกมรำคาญ

มูเช็ดน้ำตาก่อนจะเบือนหน้าหนีสหายรัก แม้จะรู้ทั้งรู้ว่าชากะหวังดีแต่ยามนี้เขาแทบอยากจะหันไปเค้นคอเพื่อนนัก “ข้าเองก็มิได้อยากจะรักท่านอาจารย์ เจ้าก็รู้.. แล้วจะพูดทับถมหาอะไรอีก”

“นี่ท่านชิออนคงมิได้ตอบรับเจ้าหรอกนะ”

อา....

เขาไม่น่าถามออกไปเลย...

อารีเอส มูหันกลับมาค้อนตาเขียวปั้ดทันทีที่สิ้นเสียงพร้อมด้วยรังสีอาฆาตที่แผ่กระจายไปทั้งวิหารราศีกันต์ แววตาเชือดเฉือนของมูราวกับจะบอกให้เขาไสหัวไปตายเสีย.. อะไรทำนองนั้น ก่อนจะสะบัดหน้าหนี

อิสตรีนี้ช่างเอาใจยากเสียจริง... และหากว่าสาวน้อยที่นั่งซับน้ำตาอยู่ข้างๆเขามิใช่อารีเอส มูคนนี้ล่ะก็.. เห็นทีชากะคงจะหนีไปธุดงค์เสียนานแล้ว อีกครั้งที่โกลเซนต์หนุ่มถอนหายใจ.. ด้วยความที่คบหาสนิทสนมกันมาแต่เล็กแต่น้อย ทำให้เขามิอาจตัดใจไม่ดูดำดูดีเพื่อนรักในยามทุกข์ใจได้ลงคอ ทว่ามูคงไม่รู้ ว่าทุกหยดน้ำตาที่หลั่งรินออกมานั้นมันทำให้เขารู้สึกอย่างไร

...ข้าน่าจะเกิดมาเป็นผู้ชายธรรมดาๆ

จะได้สามารถ...

จู่ๆความคิดนั้นก็ผุดวาบขึ้นมาในสมองส่งผลให้เจ้าตัวถึงกับนิ่งงัน มือทั้งสองข้างที่ประสานกันอยู่บนหน้าตักพลันเย็นเฉียบ

นี่เขากำลังคิดอะไรอยู่...

แม้แต่เขา.. บุรุษผู้ได้ชื่อว่าใกล้เคียงพระเจ้าก็ยังไม่วายจมดิ่งลงสู่ห้วงเหวของกิเลสตัณหางั้นหรือนี่ และความรู้สึกผิดนั้นก็มีอำนาจมากพอที่จะทำให้เปลือกตาที่เคยปิดสนิทอยู่ตลอดเวลาเผยอขึ้นได้

และทันทีที่ลืมตาขึ้นชากะก็ต้องตระหนักว่าตนพลาดอย่างแรง ดวงหน้างามนองน้ำตาที่กำลังชะโงกเข้ามาใกล้ถึงกับทำให้ลมหายใจเขาสะดุด ปากคอแห้งผากโดยไม่รู้ตัว

“เป็นอะไรไป ชากะ.. ข้ามาทำให้เจ้าลำบากใจรึเปล่า” ดูเหมือนอารีเอส มู จะจับความผิดปกติได้ในที่สุด นัยน์ตากลมโตที่ยังคงเปียกชุ่มจ้องมองมาด้วยความกังวล ห่วงใยเพื่อนรักซึ่งกำลังคิดไม่ซื่อ ปลายนิ้วเรียวยาวยกขึ้นจะแตะบ่า

...เวลานี้เจ้าเป็นสตรี ไม่ควรถูกต้องตัวข้า..

ทว่าสายไปเสียแล้ว ประโยคนั้นยังคงติดอยู่ที่ปลายลิ้นขณะที่มูสัมผัสเขาอย่างแผ่วเบา และชากะรู้ดี... เขามีทางเลือกอยู่เพียงสองทางเท่านั้น

-------------------------

continue...

Edited by moondrop14

Share this post


Link to post
Share on other sites

Decision

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ชากะเริ่มคิดอะไรๆกับมู ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้มีโอกาสมากกว่าหนึ่งครั้งที่ทั้งคู่ได้อยู่ใกล้ชิดกันทว่ากลับไม่มีอาการใดที่ทำให้ให้ใจเต้นได้เท่าเวลานี้เลย เพียงแค่มูเอื้อมมือแตะบ่าเขาก็ถึงกับใจเต้นระรัวเสียแล้ว และถ้ายังเป็นเช่นนี้ต่อไปเห็นทีคงไม่ดีแน่ ชากะกระถดกายหนีสัมผัสของสหายรักก่อนจะขยับลุกขึ้นยืน

...หากไม่พุ่งเข้าชน ก็มีแต่ต้องหลีกให้ไกลเท่านั้น...

“ข้าไม่ได้เป็นอะไร อย่าได้กังวลเลย” โกลเซนต์หนุ่มเอ่ยเสียงเรียบพลางเบือนหน้าหนีไปอีกทาง บัดนี้คงถึงเวลาที่เขาควรวางมือจากมูแล้ว ด้วยมันขัดต่อวิถีทางของ..

“โกหก!”

“ข้ารู้ว่าเจ้ารำคาญข้า” มูยังคงนิ่ง ทว่าน้ำเสียงตัดพ้อนั้นแสดงออกถึงความน้อยใจที่แม้แต่เพื่อนที่สนิทที่สุดก็ยังผลักไสไล่ส่งตน นัยน์ตาสีมรกตพลันหม่นแสงลงยามเมื่อมองตามแผ่นหลังกว้างพลางคิดตำหนิตนเองที่รังแต่จะสร้างปัญหาให้กับผู้อื่นอยู่เรื่อยไป

“ข้าเสียใจที่ดีแต่นำเรื่องเดือดร้อนมาให้เจ้า แต่ข้าก็มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่เป็นที่พึ่งในเวลานี้”

ในเมื่อท่านอาจารย์ก็หมางเมิน ส่วนเซนต์คนอื่นๆต่างก็มองตนราวกับเป็นตัวประหลาด และเวลานี้แม้แต่เพื่อนที่รักที่สุดก็ยัง... มูกัดริมฝีปากแน่นอย่างพยายามที่จะระงับความเสียใจ พลางยันกายลุกขึ้นยืนก่อนจะหมุนร่างออกไปจากวิหาร ทว่าสหายหนุ่มกลับคว้าข้อมือไว้แน่น

ชากะพยายามสะกดความรู้สึกของตนเองเอาไว้ขณะที่จ้องมองดวงตาคู่งามที่เริ่มมีหยาดน้ำเอ่อคลออีกครั้ง ชายหนุ่มถอนหายใจ เขาไม่อาจทิ้งขว้าง.. ไม่อาจปล่อยให้มูเผชิญปัญหาทุกอย่างตามลำพังได้ แต่ถึงกระนั้นก็ไม่อาจเข้าใกล้มูได้มากกว่านี้ และถึงแม้จะดูโหดร้ายไปบ้าง ทว่ามันคงจำเป็นเสียแล้วที่จะต้องสั่งสอนเพื่อนให้รู้สำนึกถึงบาปกรรมที่จะได้รับ บางทีมูอาจกลัว อาจยอมถอดใจ...

“ข้าจะให้เจ้าได้เห็น ว่าบาปที่คิดเช่นนั้นอาจารย์ผู้มีพระคุณของตนเองนั้นหนักหนาสาหัสเพียงไหน และนรกขุมที่เจ้าจะต้องลงไปเพื่อชดใช้กรรมนั้นเป็นอย่างไร” โกลเซนต์เวอร์โกเงื้อมือขึ้นด้วยตั้งใจจะลงมือกับสหาย ทว่าภาพเบื้องหน้าส่งผลให้ชากะชะงักงัน มูไม่แม้แต่จะดิ้นรนขัดขืน มิได้คิดแม้แต่จะตอบโต้ ร่างน้อยหลับตาแน่นแล้วเกร็งร่างขึ้นรอรับการโจมตีจากเขา และมันทำให้ชากะต้องล้มเลิกความตั้งใจในที่สุด

“รออะไรอยู่ล่ะ.. รีบลงมือสิ “ มูลืมตาขึ้นมองเมื่อพบว่าอีกฝ่ายยั้งมือไว้

“ทุกวันนี้ข้าอยู่ในนรกเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นไม่ว่าเจ้าจะส่งข้าไปนรกขุมใดก็ไร้ความหมาย

เพราะสุดท้ายแม้แต่เจ้า.. เจ้าก็ยัง..”

“ปากดีจริงนะ” เสียงนุ่มเอ่ยแผ่วเบา

เขาคงต้องยอมแพ้คนปากดีเสียแล้วกระมัง หลังจากที่เห็นมูต้องทนรับปฏิกิริยาของใครต่อใครที่มีต่อรูปลักษณ์ใหม่จนส่งผลให้สูญเสียความเป็นอัตลักษณ์ของตนเองไป ยิ่งกว่านั้นความเชื่อมั่นทั้งหมดก็มีอันต้องพังทลายจนไม่เหลือชิ้นดี ..ช่างน่าเห็นใจนัก ชากะดึงร่างงามเข้ามาใกล้พลางประคองใบหน้าให้เงยขึ้นสบสายตา

“น้อยใจไม่เข้าท่า

ข้าไม่เคยนึกรำคาญเจ้าเลยแม้แต่ครั้งเดียว”

โกลเซนต์หนุ่มเอ่ยคำปลอบโยนพลางซับน้ำตาให้ด้วยสัมผัสอันแผ่วเบา ทั้งๆที่รู้อยู่เต็มอกว่าการกระทำของตนจะทำให้วิถีทางอันดีงามที่ปฏิบัติมาช้านานต้องขาดสะบั้นลง ..ทว่าไม่มีทางเลือกเสียแล้ว...

พริบตานั้นชากะรู้สึกเย็นวาบไปทั้งร่าง เมื่อใจหนึ่งบอกว่ามิอาจถอนสายตาไปจากดวงหน้าหวานได้ ขณะที่จิตส่วนลึกพลันหยั่งรู้ถึงดวงแก้วแววใสที่เริ่มปริแยกทีละน้อย จากจุดเล็กๆ.. กลายเป็นรอยแตกร้าวที่ค่อยๆลุกลามมากขึ้นๆจนสิ้นหนทางจะเยียวยา สุดที่จะประคับประคองเอาไว้ได้ และแล้วมันก็แตกละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยแล้วร่วงกราวลงสู่ความมืดมิดโดยที่เขามิอาจไขว่คว้าเอาไว้ได้เลยแม้สักเสี้ยวเดียว อ้อมแขนแข็งแกร่งโอบกระชับรอบร่างมูเพื่อดึงเข้ามากอดแนบชิดแล้วก้มลงซบใบหน้าเข้ากับเรือนผมนุ่ม ยอมพ่ายให้แก่ความปรารถนาจากใจ ชากะเบียดกายเข้าหาสาวน้อยพลางสูดกลิ่นหอมอ่อนจางเข้าไปเต็มปอด

“ที่ผ่านมาเจ้าต้องแบกรับเรื่องต่างๆมากมายนัก นับตั้งแต่ถูกท่านผู้นั้นปฏิเสธหัวใจ แล้วยังถูกท่านซากะข่มเหงรังแก” เสียงทุ้มนุ่มกระซิบชิดริมหู ขณะที่มูตกตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก

“และทั้งที่ข้าเป็นคนช่วยเจ้าให้รอดพ้นจากเหตุการณ์ในคืนนั้น ทั้งที่ข้าคือผู้ที่เข้าเผชิญหน้ากับท่านซากะ.. โกลเซนต์ซึ่งได้ชื่อว่าแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาพวกเราทั้งสิบสองคน ทั้งหมดนี้เพื่อใครกัน... หากมิใช่เจ้า

แล้วข้าจะผลักไสเจ้าไปได้อย่างไร”

อารีเอส มูถึงกับตัวแข็งค้างเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ที่ตนไม่เคยคิดฝันมาก่อน ไม่เคยคิดเลยว่าโกลเซนต์เวอร์โกผู้ซึ่งแต่ไหนแต่ไรมาตั้งตนอยู่ในความสำรวมมิเคยบกพร่อง ยามนี้กลับโอบกอดตนแนบแน่น ใกล้ชิดกันเสียจนได้ยินเสียงหัวใจเต้นระรัว

“เจ้า... เจ้าดูแปลกๆไปนะชากะ” เป็นครั้งแรกที่มูได้ตระหนักอย่างแท้จริงว่าเพื่อนรักสูงใหญ่เพียงใด เมื่อสายตาของตนอยู่สูงเพียงระดับบ่าของชากะเท่านั้น ขณะเดียวกันอ้อมแขนที่โอบรัดอยู่ก็ช่างทรงพลังอย่างเหลือเชื่อ และมันก็ทำให้มูเริ่มหวาดกลัว ทั้งลมหายใจที่เป่ารดใบหน้า กลิ่นอายของบุรุษเพศ และไอร้อนจากเรือนกายที่เบียดชิดกันจนแทบละลายนี้ทำให้ฝันร้ายในคืนนั้นหวนกลับมาอีกครั้ง

“ปะ... ปล่อย”

“เจ้านี่ช่างเอาใจยากเสียจริง ยามที่ข้าเมินหนีเจ้าก็ตัดพ้อต่อว่า แล้วเมื่อข้าจะสนใจใยดีเจ้าก็ดิ้นรนผลักไส จะต้องให้ข้าทำอย่างไรจึงจะถูกใจเจ้า

เข้าใจบ้างรึไม่ ...ว่าข้าลำบากใจเพียงไร” น้ำเสียงยังคงเนิบนาบราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทว่าวงแขนนั้นกลับกอดรัดแน่นเข้าราวกับคาดโทษ

“มิใช่ว่าข้าไม่เห็นใจเจ้าที่ต้องผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ถึงอย่างไรก็ไม่อาจยอมรับความรักที่ผิดจารีตเช่นนี้ได้ ถึงแม้ท่านผู้นั้นจะมิใช่บิดาบังเกิดเกล้า แต่ก็เป็นผู้มีพระคุณที่โอบอุ้มเลี้ยงดูเจ้ามา

การกระทำเช่นนั้น.. ไม่เพียงแค่จะทำให้สังคมจะรุมประนามเจ้า แต่อาจารย์ที่เจ้ารักยังจะพลอยถูกตราหน้าไปด้วย”

“ดังนั้น.. จงมองผู้อื่นบ้างเถอะ หากแม้นเจ้าไม่ชอบท่านซากะจริงๆจะลองมองคนใกล้ตัวดูบ้างเป็นไร”

นัยน์ตาสีฟ้าใสคมกล้าประสานเข้ากับสีเขียวเข้มที่ฉายแววตระหนก และก่อนที่มูจะทันตั้งหลักได้ เวอร์โก ชากะก็คลายวงแขนออกก่อนจะยกหลังมือนุ่มขึ้นจุมพิตเนิ่นนาน บุรุษผู้ใกล้เคียงพระเจ้าปัดริมฝีปากผ่านผิวเนียนอีกครั้งแล้วจึงปล่อยมือในที่สุด

“ข้ากำลังขอให้เจ้าลองพิจารณาข้า ที่ผ่านมานั้นข้ามิอาจแตะเนื้อต้องตัวหรือทำสิ่งใดเพื่อให้ให้เจ้าคลายความทุกข์ได้เพราะอยู่ในเพศบรรพชิต ..ทว่าตอนนี้ไม่อีกแล้ว” ร่างสูงหยุดแต่เพียงเท่านั้นก่อนจะก้าวถอยหลังออกไป

“จากนี้ไปเจ้าสามารถใช้ข้าเป็นที่ระบายได้เสมอตราบเท่าที่เจ้าต้องการ ข้าจะไม่หนีอีกต่อไป

หรือหากแม้เจ้ามิได้เลือกข้า ก็ขอให้เป็นใครสักคนที่มิใช่ท่านอาจารย์ของเจ้าเถอะ”

...ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะไม่มีวันปล่อยให้มูเดินลงเหวอย่างแน่นอน

และหากถึงที่สุดแล้วล่ะก็.. เขา

เขาคงต้องเลือกใช้วิธีสุดท้าย...

-----------------------------

continue...

Edited by moondrop14

Share this post


Link to post
Share on other sites

Csardas

เรื่องหัวใจนั้นมิใช่สิ่งที่จะบงการได้

ในเมื่อข้ามีเจ้าเป็นเพื่อนรักตลอดมาจึงปรารถนาที่จะเป็นเช่นนั้นต่อไป

และปวงเทพเจ้าทรงทราบดีว่าข้าพยายามมากเหลือเกิน แต่ไม่ว่าจะตัดใจสักกี่ครั้งใบหน้าท่านก็ยังคงลอยวนเวียนอยู่ในห้วงคำนึง เสมอมา...

ท่านอาจารย์..

อารีเอส มูพลันรู้สึกตัวตื่นเมื่อผ้าห่มผืนบางคลุมลงมาบนบ่า สาวน้อยยืดกายขึ้นจากโต๊ะหินและหนังสือที่อ่านค้างอยู่อย่างตกใจที่เผลอหลับไปโดยไม่ทันรู้ตัว สิ่งแรกที่ได้เห็นคือแววห่วงหาอาทรในดวงตาสีฟ้าสด เช่นเดียวกับทุกครั้งที่ตนมาเยือนวิหารเวอร์โก ชากะยังคงนั่งอยู่เคียงข้างไม่หนีหายไปไหน พร้อมด้วยน้ำชาอุ่นๆและของขบเคี้ยวที่ตระเตรียมไว้ให้ ตะวันเริ่มคล้อยแล้ว.. มูถอนหายใจอย่างเสียดายเวลาเมื่อได้ตระหนักว่าตนนอนหลับไปนานโข

“เจ้าน่าจะปลุกข้า” เสียงนุ่มเอ่ยตัดพ้ออย่างไม่จริงจังนัก ทว่าคำตอบที่ได้รับกลับทำให้ดวงหน้างามแดงซ่าน สหายหนุ่มขยับเข้ามาใกล้ก่อนจะกุมทับหลังมือนุ่ม อุ้งมือใหญ่แข็งแรงเกาะกุมมืออีกฝ่ายไว้ไม่ยอมปล่อย

“การเฝ้ามองใบหน้ายามหลับใหลของเจ้าเป็นความสุขอย่างหนึ่งของข้า” บุรุษผู้ใกล้เคียงพระเจ้าเอ่ยเสียงเรียบราวกับกำลังพูดเรื่องดินฟ้าอากาศ

“ข้ารู้ว่าเจ้านอนไม่ค่อยหลับตอนกลางคืนจึงไม่อยากจะปลุก รู้สึกดีขึ้นหรือยัง” ไม่มีคำตอบจากสาวน้อย ใบหน้างามเบือนหนีไปอีกทางหนึ่ง พร้อมกับพยายามดึงมือตนให้หลุดจากการเกาะกุมซึ่งชากะก็ยินยอมปล่อยมือแต่โดยดี

...หากไม่ใช่ท่านผู้นั้นเจ้าคงไม่มีวันยอมสินะ...

ถึงแม้ว่ามูจะไม่ค่อยกล้าสบตาเขาตรงๆจนกระทั่งแลดูเหมือนเหินห่าง นับแต่วันที่ได้บอกความนัยให้รับรู้ ทว่าชากะไม่เคยนึกเสียใจกับการตัดสินใจของตนเอง.. มนุษย์เราเกิดมาครั้งหนึ่งย่อมต้องมีจุดมุ่งหมาย และจากนี้ไปจุดมุ่งหมายของเขานอกจากการปกป้ององค์เทวีและนครศักดิสิทธิ์แล้ว.. มิใช่การปฎิบัติตนเพื่อแสวงหาทางพ้นทุกข์แต่เพียงผู้เดียว หากแต่เป็นการร่วมแบ่งปันทุกข์สุขกับคนที่อยู่ตรงหน้านี้ และหากว่ามูยอมรับเขาได้ก็คงจะดี

“มิได้อยากเห็นเจ้าแสดงอาการเช่นนี้เลย” เวอร์โกเซนต์เอ่ยแผ่วเบาพลางปิดเปลือกตาลง “หากว่าเจ้าลำบากใจนักที่จะสบตาข้า ดังนั้นทำเช่นนี้คงจะดีกว่า”

“มิ.. มิได้” มูถึงกับใจหายเมื่อจับกระแสความน้อยใจได้จากน้ำเสียงเพื่อนรัก ร่างงามรีบขยับเข้าไปใกล้ก่อนจะวางมือลงบนท่อนแขนแข็งแกร่ง “ได้โปรดเถอะ อย่าเพิ่งผลักไสข้าอีกเลย ข้าเพียงแต่..”

พูดได้เท่านั้นก็ต้องกัดริมฝีปากแน่นด้วยไม่รู้จะร้อยเรียงถ้อยคำอย่างไรให้ถนอมน้ำใจคนฟังมากที่สุด “ข้าก็เพียงแต่..” สาวน้อยถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะรวบรวมกำลังใจเอ่ยวาจา “ข้ารักเจ้าดังเช่นเพื่อนคนหนึ่งเสมอมาและมิเคยคิดเป็นอื่น แต่หากมีเหตุร้ายแรงอันใดข้าก็พร้อมจะลุกขึ้นสู้เพื่อเจ้า แน่นอนยู่แล้ว”

รอยยิ้มบางๆซึ่งปรากฏบนเรียวปากชายหนุ่มเปรียบดังของรางวัลที่ทำให้อารีเอส มูถอนหายใจอย่างโล่งอก “ถ้าต้องให้ผู้หญิงมาปกป้อง ศักดิ์ศรีแห่งความเป็นบุรุษของข้าก็ไม่เหลือกันพอดีน่ะสิ

ดูท่าข้าควรเป็นฝ่ายปกป้องเจ้ามากกว่ากระมัง” เสียงทุ้มนุ่มมีแววขบขัน ก่อนจะแตะปลายนิ้วไล้แก้มเนียนแผ่วเบาแล้วขยับลุกขึ้น

“จงวางใจ.. หากมิใช่ความปรารถนาจากเจ้าแล้ว ชากะผู้นี้จะไม่มีวันกระทำการล่วงเกินอย่างเด็ดขาด อย่าได้หวาดกลัวไปเลย” เวอร์โกหนุ่มหายลับเข้าไปในห้องส่วนตัวครู่หนึ่งก่อนจะกลับออกมาพร้อมกล่องหนังทรงสี่เหลียมผืนผ้า

“เข้าใจแล้ว แต่ ..อะไรทำให้เจ้าเปลี่ยนไปได้ถึงเพียงนี้” มูยังอดสะท้านไม่ได้ยามเอ่ยถาม

..เจ้าไง...

ทว่าคำตอบที่ออกมาจากปากคือ “ข้าบอกเจ้าเมื่อวันนั้นแล้วมิใช่หรือ ว่าบัดนี้เวอร์โก ชากะผู้นี้มิใช่เพศบรรพชิตอีกแล้ว ดังนั้นย่อมหมายความว่าข้าพร้อมที่จะแหกกฎแห่งจักรวาลทุกข้อ ...เพื่อเจ้า”

“แต่เจ้าคือบุรุษผู้ใกล้เคียงพระเจ้านะ! ทำเช่นนี้..”

“สมญานามนั้นหรือจะสำคัญเทียบเท่าความสุขของเจ้า” สหายหนุ่มพูดหน้าตาเฉยราวกับคุณความดีที่สั่งสมมามิได้มีความหมายอันใด มือเรียวยาวขยับปลดล็อคทั้งซ้ายและขวาก่อนจะแง้มฝากล่องขึ้นแล้วบรรจงช้อนสิ่งที่อยู่ภายในออกมาอย่างทะนุถนอม อารีเอส มูถึงกับตาโตเมื่อได้เห็นไวโอลินตัวหนึ่งในมือชากะ และต้องยิ่งตกตะลึงมากกว่านั้นที่ของเช่นนี้อยู่ภายใต้การครอบครองของบุคคลซึ่งไม่เหมาะสมเป็นที่สุด ตัวเครื่องนั้นเก่าแก่เต็มทีทว่าก็ยังอยู่ในสภาพดี และเมื่อปัดฝุ่นออกไปความงามของลายเสือไม้ตลอดจนรูปทรงที่แลดูเย้ายวนตาก็ยิ่งปรากฏเด่นชัด

“เจ้ามีของแบบนี้เก็บไว้ได้อย่างไรกัน” โกลเซนต์สาวเอ่ยถามอย่างตระหนกระคนแปลกใจขณะเฝ้ามองสหายปรับคันชักให้พร้อมใช้งานก่อนจะนำไวโอลินขึ้นวางบนบ่าแล้วเริ่มตั้งเสียง ปลายนิ้วเรียวงามหมุนลูกบิดทั้งสี่พลางทดลองเสียงอยู่อีกเป็นครู่จึงหันมาตอบ

“การที่ข้ามิอาจเล่นดนตรีได้ ไม่ได้หมายความว่าข้าจะไม่สามารถเก็บหรือมีไว้ครอบครองได้

ดังนั้นเลิกทำตาโตเช่นนั้นได้แล้ว เพราะนี่จะเป็นครั้งแรกที่ข้าจะได้ทบทวนสิ่งที่ร่ำเรียนก่อนจะออกบวช”

“แต่ที่อินเดีย..”

“หยุดพูดสักที!” ชายหนุ่มขัดขึ้นมาทันควัน

“เหตุที่ทำให้ข้าต้องหยิบเครื่องดนตรีนี้ออกมาก็เพราะต้องการจะปลอบโยนเจ้าผู้ซึ่งไม่เคยต้องการสัมผัสจากมือข้า ดังนั้นจงฟัง.. Csárdás เพลงนี้ข้าเล่นเพื่อเจ้า

สำเนียงซึ่งชวนให้นึกถึงชนเผ่ายิปซีนั้นมีเสน่ห์นัก หวังว่าคงทำให้เจ้าคลายความเหงาได้บ้าง”

ชากะหยุดพูดพลางจรดปลายนิ้วชี้ลงบนสายต่ำสุด และนาทีนั้นสำเนียงแรกก็กังวานหวาน โน้ตตัว A จากโคนคันชักที่ลากยาวส่งผลให้มูต้องเงียบเสียงในบัดดล ปลายนิ้วซึ่งเเตะลงบนสายโลหะอย่างอ่อนโยนสลับกับบดขยี้รุนเเรงนั้นเปรียบดังพ่อมดที่ร่ายมนตร์สะกดให้ผู้ฟังหลงงงงัน ก่อให้เกิดเป็นท่วงทำนองอ่อนหวานเย้ายวนจนเคลิบเคลิ้ม ขณะเดียวกันก็แฝงอารมณ์เศร้าสร้อยอย่างลึกซึ้งจนสาวน้อยที่นั่งนิ่งไม่ไหวติงเผลอยกมือขึ้นทาบอกเมื่อรู้สึกว่าหัวใจบีบตัวอย่างร้าวราน

ทว่าจู่ๆเสียงของไวโอลินก็ขาดหายไปพร้อมอารมณ์หวานแกมเศร้า และยังมิทันตั้งตัวทำนองใหม่ที่ดุดันกว่าก็เริ่มขึ้น ความมืดมนหายไปประหนึ่งได้แสงตะวันจ้าที่ทำให้นัยน์ตาพร่ามัว ไวโอลินตัวเดิมกรีดเสียงเปล่งทำนองร้อนแรงราวกับเพลิง เร้าจังหวะการเต้นของหัวใจให้ระเริง ทั้งสดใสและอิ่มเอมในขณะเดียวกัน

อารีเอส มูไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเสียงดนตรีจะสามารถย้อมหัวใจคนได้ถึงเพียงนี้ เพียงแค่โน้ตแรกกังวานแว่วก็พร้อมที่เปลี่ยนหัวใจซึ่งแข็งกระด้างเย็นชาให้หลงใหลแล้วสดับตรับฟังเสียงนั้นอย่างลืมตัว บุรุษผู้ใกล้เคียงพระเจ้าปรากฏรอยยิ้มบนใบหน้าขณะลดเครื่องดนตรีในมือลงเมื่อเพลงจบ

“ข้ารู้ว่ายามนี้เจ้ามีแต่ความสงสัยเต็มไปหมด”เสียงนุ่มเอ่ยเนิบช้า “การที่ข้าออกบวช มิได้หมายความว่าจะต้องเป็นคนเถื่อนไร้อารยธรรม” โกลเซนต์หนุ่มเก็บไวโอลินในกล่องแล้วหันกลับมา

“ในเมื่อเจ้าได้ศึกษาศิลปะวิทยาจากผู้เป็นอาจารย์จนซาบซึ้งกับวรรณกรรมหลายต่อหลายเรื่อง ข้าเองก็มีสิ่งซึ่งประทับใจเช่นกัน”

“แต่น่าเสียดายนักที่ข้ามีเวลาฝึกฝนสิ่งนี้เพียงแค่สองปีก่อนจะก้าวสู่วิถีทางแห่งพระพุทธองค์ เพลงที่จะเล่นให้เจ้าฟังจึงมีเพียงแค่..”

“เพียงแค่นี้ก็ดีถมไปแล้ว ข้าซาบซึ้งในน้ำใจเจ้าจริงๆ ขอบใจนะ.. ชากะ

และวันหลังเจ้ายังจะเล่นให้ข้าฟังอีกได้ใช่หรือไม่”

คำถามซึ่งเต็มไปด้วยความมีชิวิตชีวานั้นยิ่งส่งผลให้ชากะต้องลืมตาขึ้นมอง ดวงหน้าหวาน.. ขึ้นสีระเรื่อราวเด็กน้อยที่พบเรื่องสนุกถูกใจนั้นส่งผลให้เขาต้องใจเต้นระรัว อยากจะยื่นมือออกไปสัมผัส อยากตระกองกอดไว้แนบอกทว่าก็จนปัญญา

“ตราบใดที่เจ้าไม่หลบหน้าข้าอีก ชากะผู้นี้ก็ยินดีจะทำทุกสิ่งเพื่อให้เจ้าสบายใจ”

-----------------------------

continue...

Edited by moondrop14

Share this post


Link to post
Share on other sites

Passionate

อาจเป็นเพราะจามิลคือดินแดนที่รกร้างห่างไกลจึงไร้ซึ่งเสียงขับกล่อม คืนวันที่ล่วงผ่านตั้งแต่เล็กจนโตจึงมักจบลงด้วยการอาบเหงื่อต่างน้ำหรือไม่ก็ยุ่งอยู่กับการดูแลบาดแผลจนหมดวัน นอกเหนือจากการฝึกฝนเพื่อเป็นเซนต์แล้ว มูได้เรียนศาสตร์แขนงต่างๆจากผู้เป็นอาจารย์ในยามว่าง หรือไม่ก็นั่งอ่านหนังสือตามลำพัง ทั้งดาราศาสตร์ การปกครอง ปรัชญา เรขาคณิต ภาษาศาสตร์ ตรรกศาสตร์ และดนตรี ท่านอาจารย์มิเคยดูดายความรู้เหล่านี้หากถ่ายทอดทุกสิ่งทุกอย่างให้จนหมดสิ้นภูมิ ทว่ามันก็อยู่เพียงแค่ในตำรา

เป็นครั้งแรกจริงๆที่มูได้สัมผัสอานุภาพแห่งเสียง ครั้งแรก.. กับความรู้สึกหลงใหลดั่งต้องมนตร์ แม้จะเคยรับรู้ผ่านทางตัวอักษรถึงศาสตร์ซึ่งเรียกว่า ‘ดนตรี’ ทว่าเพิ่งได้รู้เดี๋ยวนี้เองว่ามันทรงอำนาจเพียงใด วันแล้ววันเล่าที่ตนไปเยือนวิหารเวอร์โกแล้วขอร้องให้เพื่อนรักบรรเลงเพลงเก่าให้ฟังอย่างไม่รู้เบื่อ บ่อยครั้งจนกลัวเสียเองว่าคนถูกขอจะรำคาญ หากชากะกลับมีเพียงรอยยิ้มว่ายินดีที่จะปฎิบัติตามคำขอไม่ว่าจะกี่รอบก็ตาม

“ข้าเชื่อว่าเจ้าคงจำโน้ตได้ครบทุกตัวแล้วกระมัง”

เสียงนุ่มเอ่ยถามแผ่วเบายามที่เล่นจบเพลงพลางจ้องมองอีกฝ่ายอย่างขบขัน ด้วยมูมิได้หลบหน้าเขาอีกต่อไป เพราะนับจากวันนั้น.. สหายตัวน้อยก็มักจะแวะมาหาเพื่อขอฟังเพลงโปรดพร้อมด้วยสีหน้าตื่นตะลึงทุกครั้ง และครั้งนี้ก็เช่นกัน ที่นัยน์ตากลมโตเปล่งประกายพร่างพราวงดงามเสียจนเขาไม่อาจละสายตาได้

“ใครจะไปจำได้ เพลงยาวออกปานนี้” สาวน้อยทำปากยื่น แต่แล้วก็ดูเหมือนจะคิดอะไรได้.. จู่ๆมูก็มีท่าทีกระตือรือร้นพลางขยับเข้ามาใกล้อีกนิดพร้อมด้วยสีหน้าอยากรู้อยากเห็นจริงจัง

“จริงสิ.. เจ้าพอจะสอนข้าบ้างได้ไหม”

...................................................

“เอาละ.. เริ่มจากการยืน จากนั้นถือเครื่องไว้ในมือซ้ายอย่างนี้”

มือแกร่งกำกระชับรอบข้อเท้ากลมกลึงแล้วจับแยกออกจากกันเพื่อดูแลท่าทางการยืนให้ถูกต้อง ก่อนจะยืดร่างขึ้นเต็มความสูงเพรียวแล้วจัดตำแหน่งมือซ้ายที่ประคองไวโอลินให้เชิดขึ้นอีกเล็กน้อย

“ไม่ต้องเกร็งไหล่ ปล่อยตัวตามสบายได้แต่ต้องยืนให้มั่นคง”

มูเม้มริมฝีปากจนเป็นเส้นตรงเมื่อสหายจัดนิ้วมือให้โค้งจรดลงบนสายทั้งสี่ ถึงแม้ว่าความคมของสายโลหะภายใต้ปลายนิ้วจะมิใช่สิ่งที่คุ้นเคยกระทั่งทำให้รู้สึกเจ็บเมื่อออกแรงกด ทว่ามันก็ช่างทำให้รู้สึกแปลกเหลือเกินที่เครื่องดนตรีซึ่งทำด้วยไม้ชิ้นเล็กๆนี้สามารถสร้างสิ่งมหัศจรรย์ได้ถึงเพียงนั้น

“แขนซ้ายอย่าให้ตก” เสียงนุ่มกล่าวเตือนอีกระลอก ขณะเดียวกันก็ขยับมายืนซ้อนหลังพลางประคองแขนขวาของมูให้ยกขึ้นทำมุมเหมาะเจาะ มือที่ใหญ่กว่าเกาะกุมมือนุ่มพลางกดข้อมือลงเพื่อให้ส่วนหางม้าแตะสายโลหะ ลมหายใจร้อนผ่าวซึ่งเป่ารดใบหูและต้นคอขาวเนียนส่งผลให้สาวน้อยรู้สึกไม่สู้ดีนัก ทว่าก็พยายามแข็งใจตั้งสมาธิอยู่กับการเรียน

“ค่อยๆปล่อยนิ้วของเจ้าออกจากสายแล้วประคองเครื่องไว้นิ่งๆ เราจะเริ่มจากการสีสายเปล่า และดูให้ดี

คันชักในมือเจ้าควรจะทำมุมเช่นนี้”

เสียงG ถูกลากยาวไปจนสุดระยะของหางม้า ไปและกลับซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่อีกเป็นครู่ก่อนที่ชากะจะปล่อยมือจากลูกศิษย์ และยามที่ต้องควบคุมทุกสิ่งเองทั้งหมด มูกลับพบว่าตนเองลากคันชักไปบนสายอย่างลังเลจนเสียงที่ออกมาฟังดูกระท่อนกระแท่น ทั้งยังแหลมบาดหูเสียจนเจ้าตัวทำหน้าเหยเกและทำให้คนสอนอดขำมิได้

..แม้จะอยู่ในอาการไม่ได้ดั่งใจ ทว่าเจ้าก็ยังงามนัก..

“แปลกจัง ทำไมเสียงไม่เห็นเพราะเหมือนยามที่เจ้าเล่นเลย”

“เพิ่งหัดเล่นเป็นครั้งแรกจะเหมือนได้อย่างไร อย่าเพิ่งท้อไป..

ยามนี้เจ้ายังมิต้องกังวลเรื่องความไพเราะ แต่จงดูนี่” ชากะกดมือลงบนสายแล้วปาดละอองฝุ่นสีขาวติดฝ่ามือขึ้นมา

“ระวังอย่าให้มีคราบยางสนเลอะลงมาจนถึงบริเวณนี้ เพราะนั่นหมายความว่าการบังคับคันชักในมือขวาของเจ้ามีปัญหา” เวอร์โกเซนต์จบคำพร้อมกับแตะข้อศอกขวาของมูให้ยกขึ้น พลางถือโอกาสสูดกลิ่นหอมอ่อนๆจากเรือนผมนุ่มเข้าไปเก็บไว้เต็มปอด ขณะที่คนถูกเอาเปรียบมิได้รู้ตัวเลยสักนิด แต่แล้วฉับพลันชากะก็มีอันต้องชะงักงันเมื่อรู้สึกผิดปกติ

งูเห่าสีดำตัวหนึ่งปรากฏตัวขึ้นอย่างไม่คาดฝัน เจ้าแห่งอสรพิษร้ายเลื้อยตรงเข้ามาอย่างแช่มช้า ก่อนจะหยุดนิ่งอยู่เบื้องหน้าในระยะประชิดพลางชูหัวขึ้นแผ่แม่เบี้ยแล้วขู่ฟ่อ เผยคมเขี้ยววาววับซึ่งยาวไม่น้อยกว่าสามคืบ ทว่าเวอร์โกเซนต์ไม่มีความจำเป็นต้องหลบหนีหรือตอบโต้ในเมื่อตระหนักดีอยู่แก่ใจว่ามันเป็นเพียงภาพนิมิตของตนเอง แต่กระนั้นก็ใช่ว่าจะเพิกเฉยได้โดยง่าย ทั้งสองเผชิญหน้ากันด้วยอาการสงบนิ่ง ขณะที่ลำตัวใหญ่ยักษ์จนเกือบโอบไม่รอบซึ่งปกคลุมด้วยเกล็ดสีดำมันเงาส่ายไหวไปมาด้วยอาการไม่พอใจ นัยน์ตาแดงวาวโรจน์ดั่งทับทิมจ้องตรงมาอย่างมุ่งร้ายหมายขวัญ

...ทำอะไรไว้.... ทำอะไร

ทำอะไร...

เสียงลึกลับตะคอกถามอย่างเกรี้ยวกราดราวกับคาดโทษก่อนจะพุ่งเข้าฉก..

ชากะถึงกับสะดุ้งเฮือกเพราะความเจ็บปวดจนกระทั่งเข่าทั้งสองแทบทรุด นาทีนั้นโกลเซนต์หนุ่มกลั้นหายใจอย่างทรมาน เมื่ออาการแสบร้อนดังถูกไฟเผานั้นเกิดขึ้นจากจุดเล็กๆภายในร่างกายก่อนจะลุกลามไปตามแนวกระดูกสันหลัง ลำตัว แขนขา และสมอง ความเจ็บปวดที่แผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่างนั้นแทบสะกดอวัยวะทุกส่วนให้หยุดการเคลื่อนไหวขณะที่ปลายนิ้วมือนิ้วเท้าเย็นเฉียบ และต้องยิ่งหนาวยะเยือกยิ่งกว่านั้นเมื่อเขาได้ตระหนักอย่างเงียบงันว่ามันเริ่มขึ้นแล้ว บัดนี้สิ่งที่เขาหวั่นเกรงว่าจะหลีกไม่พ้นเกิดขึ้นแล้วจริงๆ

“เป็นอะไรไปหรือ” มูหยุดมือก่อนจะหันมามองเมื่อรู้สึกถึงการนิ่งเงียบของเพื่อนรักทว่าไม่มีคำตอบ ชากะยกมือขึ้นลูบหน้าเพื่อไล่ความมึนงง พลางส่ายศีรษะก่อนจะหมุนร่างเดินห่างออกมา

“ไม่มีอะไร.. ค่อยๆฝึกไปเถิด เจ้าเป็นคนใจเย็นและอดทนเป็นเลิศมิใช่หรือ

เมื่อรักที่จะทำแล้วจงอย่าล้มเลิกความตั้งใจง่ายๆ” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงแผ่วก่อนจะลงนั่ง มิใช่ในท่าขัดสมาธิดังที่เคยเห็นจนคุ้นตา แต่เป็นการนั่งเหยียดยาวเอนหลังพิงเสาหินในลักษณะชันเข่าขึ้นข้างหนึ่ง ใบหน้างามปานสลักเสลาบัดนี้ซีดขาวพร้อมด้วยหยดเหงื่อผุดพรายทว่าก็ยังคงปิดปากเงียบ ด้วยไม่คิดแพร่งพรายให้ใครรู้

“เจ้าแน่ใจนะว่ายังสบายดีทุกประการ” มูลดไวโอลินลงจากบ่าก่อนจะก้าวเข้ามาใกล้ ทว่าเพื่อนรักกลับโบกห้ามมือราวกับมิใช่เรื่องสลักสำคัญอันใด

“ก็แค่มึนศีรษะเล็กน้อยเพราะหิวข้าวเท่านั้น ฝึกต่อไปเถอะ” เสียงนุ่มเอ่ยเนิบช้าให้อีกฝ่ายหลงตายใจ

“หากเจ้าคิดจะเล่นเพลงที่หลงรักล่ะก็.. หนทางข้างหน้ายังอีกยาวไปอีกไกลนัก

ท่อนช้า Lassu นั้นนอกจากจะต้องใช้ทั้งความแม่นยำและเทคนิคแล้ว การใส่ความรู้สึกลงไปยิ่งสำคัญกว่า แล้วเล่นๆหยุดๆอย่างนี้น่ะหรือจะไปรอด”

ได้ผล.. เพื่อนตัวน้อยทำแก้มป่องแล้วยกเครื่องดนตรีขึ้นประทับบ่า ลำแขนกลมกลึงยกขึ้นแล้วจรดปลายคันชักลงบนสายก่อนจะเริ่มต้นสีอีกครั้ง เสียงจากสายเปล่าของมือใหม่หัดสียังคงดังบาดแก้วหู.. ซ้ำชวนให้เข็ดฟันยิ่งนัก ทว่าชากะกลับพิงศีรษะเข้ากับเสาหินด้านหลังอย่างอ่อนล้าพลางหลับตาลงแล้วนิ่งฟังโดยไม่ปริปากบ่นแม้แต่คำเดียว

Share this post


Link to post
Share on other sites

Repay

..ไม่ยอมหรอก

ไม่มีวันยอม..

สามวันต่อมา... ชากะนิ่วหน้าเมื่ออาการแสบร้อนที่เพิ่งทุเลาลงเกิดปะทุขึ้นมาอีก เป็นดังคาด.. ดูเหมือนระดับความรุนแรงจะเพิ่มขึ้นจากครั้งก่อน เวอร์โกเซนต์พยายามสะกดกลั้นอาการอย่างสุดความสามารถ ร่างสูงในชุดโกลครอธขยับเอนกายพิงฝาผนังพลางระงับอาการสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ไม่เพียงเท่านั้น.. มันยังบันดาลให้เกิดความรู้สึกคันยุบยิบไปทั่วร่างอีกทั้งยังกระวนกระวายจนแทบทนนิ่งเฉยมิได้ ส่งผลให้แขนทั้งสองยกขึ้นกอดตนเองแน่นขณะที่ใบหน้าซีดขาวแทบไม่แสดงความรู้สึกให้เห็น ซึ่งแม้ว่าต้องตายก็จะไม่มีวันทำให้มูระแคะระคายอย่างเด็ดขาด แต่นั่นยังมิใช่เรื่องที่เขากังวล

ชากะไม่รู้ว่าตนเองจะสามารถอดทนได้ถึงเมื่อไหร่ เมื่ออาการดังกล่าวนับวันยิ่งจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆจนในที่สุดเขาคงไม่อาจปิดบังไว้ได้จนกระทั่งมันคร่าชีวิตเข้าสักวัน ถึงแม้จะเตรียมใจรับผลของการที่ตนตัดขาดจากเพศพรหมจรรย์ไว้แล้วทว่าก็ยังอดหวั่นเกรงมิได้ยามที่มันมาเยือน หากยังมีสิ่งหนึ่งซึ่งเขาแน่ใจ.. การตัดสินใจครั้งนี้คุ้มค่าแล้วเมื่อมันทำให้รอยยิ้มกลับคืนสู่ใบหน้างาม คุ้มค่าเหลือเกินกับการที่ได้เห็นมูกลับมามีชีวิตจิตใจอีกครั้ง

...ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะอยู่กับเจ้านานๆ...

“เป็นอะไรไป ไม่สบายรึเปล่า.. ชากะ”

อีกครั้งกับความสงสัย อารีเอส มูนิ่วหน้าขณะที่จับจ้องอาการผิดปกติของสหายอย่างไม่วางใจ นี่เป็นครั้งที่สองในรอบสัปดาห์ที่ชากะดูแปลกไป ทั้งที่กำลังคุยเล่นกันอยู่ตามปกติทว่าจู่ๆก็กลับหยุดชะงักไปพร้อมด้วยใบหน้าเผือดขาว และถ้าหากมูมิได้ตาฝาดไปล่ะก็ เขาแน่ใจว่าชากะกำลังสั่นสะท้านด้วยความทรมานจากอะไรสักอย่าง คราวนี้ไม่ว่าอีกฝ่ายจะปฏิเสธอย่างไรมูก็มิได้เชื่อฟังอีกแล้ว สาวน้อยขยับเข้าไปใกล้พลางแตะหลังมือเข้ากับหน้าผากชื้นเหงื่อแล้วเบิกตากว้าง

“เจ้ามีไข้นี่ เป็นมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”

“ไม่มีอะไรหรอก กลับไปฝึกซ้อมต่อเถอะ

ลองเล่นท่อนแรกให้ข้าฟังอีกทีสิ ดูเหมือนโน้ตบางตัวยังเพี้ยนอยู่นะ”

ชากะเบี่ยงประเด็นด้วยการเปลี่ยนเรื่อง เซนต์หนุ่มคว้าทั้งไวโอลินและคันชักมาจากมือน้อย ก่อนจะประทับเครื่องดนตรีลงบนบ่าแล้วเริ่มต้นพรมนิ้วลงบนสายโดยไม่เปิดโอกาสให้มูซักถามอะไรทั้งนั้น วินาทีที่สำเนียงแรกต้องโสตประสาท อารีเอส มูก็จำต้องเงียบเสียงแล้วนิ่งฟังดั่งต้องมนตร์ โดยเก็บงำความสงสัยระคนไม่สบายใจไว้ภายใน ช่างแปลกนัก.. มูแน่ใจว่าจะต้องมีความผิดปกติบางอย่างเกิดขึ้นกับเพื่อนรัก เพราะหากว่าร่างกายแข็งแรงดีแล้วเหตุใดจึงมีไข้ ทั้งยังมีอาการสะดุ้งเป็นพักๆ ซึ่งถ้าหากตนไม่รู้ดีถึงเพียงนี้.. ว่าคนอย่างเวอร์โก ชากะไม่มีทางถูกลอบโจมตีได้อย่างแน่นอน เห็นทีคงไม่พ้นลงความเห็นว่าสหายกำลังถูกใครบางคนลอบทำร้ายอยู่เป็นแน่

ทว่าสาวน้อยหารู้ไม่ว่าชากะกำลังจะแพ้ภัยตนเอง.. ด้วยเหตุผลแรกเริ่มในการตัดสินใจออกบวชของบุรุษผู้ใกล้เคียงพระเจ้าคือการชดใช้กรรมและอุทิศผลบุญทั้งหมดให้กับสตรีผู้หนึ่งตามที่ได้ให้สัญญาไว้ในอดีตชาติ แล้วจึงค่อยค้นพบวิถีทางแห่งพระพุทธองค์ซึ่งนำพาเขามาสู่ความเป็นเวอร์โกเซนต์ในเวลาต่อมา เมื่อหยุดประพฤติตนอยู่ในพรหมจรรย์ บาปที่เคยกระทำไว้ในอดีตภพก็สำแดงตัวติดตามมา เมื่อผิดคำสัญญา.. จึงต้องรับผลต่างๆนานาอันก่อให้เกิดความทุกข์ทรมาน เพราะเส้นทางที่ชากะตัดสินใจเดินเพื่อมูนั้นเรียกร้องสิ่งตอบแทนสูงนัก ซึ่งเจ้าตัวก็ไม่คิดจะแบ่งปันความลับดังกล่าวกับใคร ..โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะต้องไม่ใช่มู

เสียงไวลินเงียบหายไปเมื่อชากะยกปลายหางม้าขึ้นจากสายลวด นัยน์ตาสีฟ้าใสลืมขึ้นเมื่อสัมผัสได้ถึงความไม่สบายใจของคนที่อยู่ตรงหน้า ชายหนุ่มถอนหายใจแผ่วเบาก่อนจะส่งเครื่องดนตรีคืนให้

“ข้าก็เพียงแค่พักผ่อนไม่พอเท่านั้น อย่าได้กังวลไปเลย” เวอร์โกเซนต์เอ่ยเสียงเรียบ

“เห็นว่าเจ้าเป็นห่วง ดังนั้นข้าจะเข้าไปพักสักครู่ ถ้ายังไม่อยากจะกลับวิหารแต่หัววันเจ้าจะอยู่ซ้อมดนตรีที่นี่ต่อก็ได้ ระวังตัวBแฟลตให้ดีเพราะเจ้ามักจะเล่นเพี้ยนเสมอๆ วิธีแก้คือเจ้าต้องจำให้ได้ว่าจากโน้ตCไปBแฟลตจะต้องเลื่อนนิ้วลงแบบนี้”

ชากะแนะนำเทคนิคในการเล่นดนตรีอีกสองสามคำแล้วจึงทิ้งมูไว้ตามลำพังขณะที่กลับเข้าไปยังห้องพักส่วนตัว เข่าทั้งสองข้างทรุดลงกับพื้นทันทีที่ปิดประตูตามหลัง ความเจ็บปวดรวดร้าวที่ลุกลามมากขึ้นเรื่อยๆส่งผลให้เขาถึงกับทรงกายไว้ไม่ได้ ชายหนุ่มล้มลงบนพื้นห้อง แล้วพลิกร่างนอนตะแคงพร้อมทั้งกัดฟันสู้กับอาการแสบร้อนประหนึ่งเนื้อหนังถูกเผาไหม้เกรียมอยู่ท่ามกลางกองเพลิง กับความเจ็บปวดราวกับเส้นประสาทภายในร่างกายถูกฉีกกระชากออกมาพร้อมๆกัน เขาต้องบิดตัวอย่างทุรนทุรายอยู่อีกเป็นครู่ก่อนที่ความเจ็บปวดจะบรรเทาเบาบางลง

...นี่คือชะตากรรมที่สาสมกับเจ้าแล้ว...

เสียงลึกลับจากอดีตสะท้อนก้องอย่างเย้ยหยันอยู่ภายในห้วงสำนึก.. ชากะพลิกกายนอนหงายพร้อมทั้งปาดเหงื่อที่หน้าผากแล้วถอนหายใจเต็มแรง เขารู้ดีว่ามันยังไม่สิ้นสุด แต่เป็นเพียงการพักยก.. ให้เหยื่อได้พักหายใจเพื่อเตรียมรับการเริ่มต้นใหม่อีกครั้งที่รุนแรงกว่าเดิม ทารุณโหดร้ายกว่าเดิม กระนั้นชากะกลับไม่เคยคิดเปลี่ยนใจ.. เป็นเวลาสิบกว่าปีมาแล้วที่เขาชดใช้หนี้บาปให้กับนาง ดังนั้นหากเวลานี้จะขอทำเพื่อคนที่ตนอยากจะใส่ใจอย่างแท้จริงเป็นสิ่งผิดนักหรือ เสียงไวโอลินของมูดังแผ่วๆมาเข้าหูเป็นสำเนียงหวานแกมเศร้า ชวนให้เขานึกถึงความเจ็บช้ำจากชะตากรรมที่โกลเซนต์อารีเอสต้องแบกรับ ถึงแม้จะยังไม่ถึงขั้นไพเราะจับใจ แม้จะยังห่างไกลกับความเป็นCzardas ที่จำเป็นต้องมีกลิ่นอายของชนเผ่าเร่ร่อน ทว่าความรู้สึกที่ถ่ายทอดผ่านเสียงดนตรีนั้นประหนึ่งมูกำลังเปิดเปลือยหัวใจให้โลกรู้

ชายหนุ่มปรือตาขึ้นอย่างเหนื่อยอ่อน ถึงแม้มูจะต้องแบกรับความทุกข์ของตนเองสาหัสพออยู่แล้วทว่าก็ยังคงเผื่อแผ่ความห่วงใยมาถึงเขาเสมอมา ชากะรู้ดีว่ามูจะไม่ยอมกลับวิหารตนเองหากไม่ได้เห็นกับตาว่าเขาสบายดีจริงๆ นั่นจึงเป็นเหตุให้เขากัดฟันพยุงกายขึ้นจากพื้นพลางภาวนาให้ตนเองมีเวลามากพอก่อนที่ทัณฑ์ทรมานรอบต่อไปจะมาเยือน เวอร์โกเซนต์ใช้เวลาอึดใจหนึ่งในการปรับสีหน้าท่าทางให้เป็นปกติก่อนจะก้าวออกไปจากห้อง แสงอาทิตย์ยามเย็นสาดกระทบร่างน้อยพร้อมด้วยไวโอลินในมือดูงดงามราวกับภาพเขียน โกลครอธที่แนบกระชับไปกับสรีระผลิงามสะท้อนแสงอัสดงเป็นประกายระยิบระยับจับตา สาวน้อยหันกลับมา และวินาทีที่เห็นเขารอยยิ้มบางๆก็เลือนหายไปจากใบหน้า

“เจ้าดูไม่ดีเอาเสียเลย ชากะ” อารีเอส มูเอ่ยเชิงตัดพ้อก่อนจะวางเครื่องดนตรีลงแล้วขยับเข้ามาใกล้

“อันที่จริงเจ้าจะนอนพักนานกว่านี้ก็ได้นะ”

“ข้าอยากจะอยู่เป็นเพื่อนเจ้ามากกว่า” ชายหนุ่มตอบเสียงแผ่ว ก่อนจะต้องอัศจรรย์ใจเมื่อความเจ็บปวดดูจะเบาบางลงเมื่อได้สัมผัสจากมือเล็ก

สาวน้อยเขย่งกายขึ้นแตะหน้าผากอีกฝ่ายอย่างนุ่มนวลพร้อมกับทำหน้ายุ่ง เมื่อพบว่าชากะยังคงมีไข้และดูอาการแย่กว่าเมื่อตอนกลางวัน ขณะที่ชายหนุ่มหลับตาลงพลางจดจ่อสมาธิอยู่กับสัมผัสเย็นๆจากมือนุ่มที่ราวกับจะขับไล่ไอร้อนออกไปจากหัว

“ข้าอยู่คนเดียวได้ เจ้าไม่ต้องห่วงเรื่องนั้น แต่ว่า..” มูชักมือกลับพลางถอนหายใจอีกครั้ง

“เห็นเจ้าเป็นแบบนี้แล้วข้าไม่สบายใจเลย มีอะไรที่ข้าพอจะช่วยเจ้าได้บ้างรึเปล่า”

...แค่อยู่ข้างกายข้า อย่าหนีหายไปไหนและอย่าปล่อยมืออีก...

“ไม่มีอะไรหรอก

ใกล้ค่ำแล้ว.. เจ้ากลับวิหารไปก่อนเถอะ แล้วพรุ่งนี้ค่อยมาฝึกซ้อมใหม่” ชากะรู้ดีว่าไม่อาจเอ่ยถ้อยคำจากใจจึงทำได้เพียงไล่อีกฝ่ายกลับวิหารไป ขณะที่มูพยักหน้ารับอย่างจำยอม

“ก็ได้ ถ้าเช่นนั้นดูแลตัวเองแล้วพรุ่งนี้ข้าจะมาใหม่”

“ข้าจะรอ...”

เวอร์โกเซนต์เฝ้ามองสหายตัวน้อยจากไปก่อนจะหมุนร่างกลับเข้าไปข้างใน

...คืนนี้คงจะเป็นคืนหฤโหดอีกคืนอย่างไม่ต้องสงสัย แต่หากการมีข้าอยู่จะทำให้เจ้าสบายใจขึ้นและลืมท่านผู้นั้นได้

ข้าก็พร้อมที่จะอดทน... เพื่อเจ้า

Share this post


Link to post
Share on other sites

Aggravate

“เจ้าน่าจะลาพัก สารรูปเช่นนี้อย่าว่าแต่เฝ้าวิหารเลย

เพียงแค่ยืนเฉยๆก็ดูจะไม่ไหวแล้ว”

อารีเอส มูไม่มีทางที่จะเห็นด้วยมากไปกว่านี้อีกแล้ว ร่างน้อยเม้มริมฝีปากแน่นยามที่คุกเข่าลงกับพื้นเมื่อท่านเคียวโก.. อาจารย์ผู้มีพระคุณเข้ามาใกล้ แต่ชิออนไม่สนใจศิษย์ของตนหากกลับจ้องมองโกลเซนต์หนุ่มที่คุกเข่านิ่งอยู่ข้างมูอย่างสังเกตจริงจัง พร้อมกับลงความเห็นว่าสิ่งที่มูเล่าให้ฟังมิได้เกินเลยแม้แต่น้อย เคียวโกอารีเอสไม่เคยเห็นเวอร์โกเซนต์ผู้แข็งแกร่งมีสภาพร่อแร่ถึงเพียงนี้มาก่อน แต่ไหนแต่ไรบุรุษผู้ได้ชื่อว่าใกล้เคียงพระเจ้าไม่เคยแสดงอารมณ์ความรู้สึกให้ใครเห็น และยิ่งไม่เคยแสดงอาการยามเมื่อเจ็บป่วย เวอร์โก ชากะตั้งมั่นอยู่ในความสำรวมเสมอมาและไม่เคยแม้แต่ครั้งเดียว.. ที่จะร้องโอดโอยให้เห็น เป็นเช่นนั้นมาตั้งแต่เล็กจนโต ทว่าเวลานี้พักตร์ขาวซีดที่ก้มหน้านิ่งอยู่ในท่าคุกเข่าเคียงข้างมู กับสภาพน่าเวทนาที่เต็มไปด้วยหยาดเหงื่อไหลโทรมตลอดทั้งร่าง ทั้งยังสั่นระริกจนเห็นได้ชัดนั้นพาให้ชิออนหวั่นใจ

“ข้ามิได้..”

“อย่าเถียง” เสียงทุ้มกังวานตัดบท เคียวโกหนุ่มเอามือไขว้หลังพลางก้าวช้าๆวนรอบผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งสอง

“เซนต์ที่มีสภาพเช่นนี้ไม่อาจทำหน้าที่ได้ เจ้าเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจ

ข้าไม่สนใจว่าเจ้าจะต้องการลาพักรึไม่ และไม่สนว่าจะต้องใช้เวลาสักกี่วัน จงกลับไปอยู่ที่บ้านแล้วพักฟื้นจนกว่าจะหายดี นี่คือคำสั่ง”

“ข้าจะพาเจ้าไปส่งที่บ้านเอง ท่านอาจารย์.. ได้โปรดอนุญาตด้วยขอรับ” มูหันกลับมายังผู้เป็นอาจารย์ในตอนท้ายประโยค โกลเซนต์อารีเอสค้อมศีรษะลงต่ำเพื่อขออนุญาต ทว่าชิออนเพียงแต่รับคำอยู่ในลำคอก่อนจะเดินจากไป ปล่อยเซนต์ทั้งสองไว้ตามลำพัง

ชากะชำเลืองมองท่าทีอันแสนเย็นชาที่เจ้าเหนือหัวแสดงต่อศิษย์เพียงคนเดียวของท่าน ก่อนจะเลื่อนสายตามายังร่างน้อยที่กัดริมฝีปากแน่นพร้อมทั้งกำมือนิ่งอยู่ข้างกายตนพลางถอนใจ เห็นได้ชัดว่าท่านผู้นั้นมิได้ใส่ใจแม้แต่จะมองหน้าผู้เป็นศิษย์เลยด้วยซ้ำ ทว่าเขาไม่เคยคิดตำหนิการกระทำของท่านเคียวโกเพราะสมควรแล้ว.. ที่จะต้องตัดไฟแต่ต้นลมเมื่อรู้อยู่แก่ใจว่าศิษย์คิดกับท่านเช่นไร และถึงแม้มูจะน่าสงสารเพียงใดตนก็ไม่อาจปลอบประโลมได้ ในเมื่อความสัมพันธ์ต้องห้ามเช่นนี้มีเเต่จะทำให้ทั้งคู่จมดิ่งลงสู่ห้วงเหวนรกอเวจี ทั้งมู.. และท่านชิออน

ทว่ามูรีบหักห้ามความรู้สึกของตนเองด้วยรู้ดีว่าอาการของเพื่อนรักไม่อาจรอช้าได้ สาวน้อยรีบหันไปพยุงชากะให้ลุกขึ้น ก่อนที่เจ้าตัวจะทันเอ่ยปากทัดทานเรียวแขนนุ่มนิ่มก็สอดเข้ามาโอบประคองอยู่รอบเอวเสียแล้ว และเป็นอีกครั้งที่ชากะไม่เข้าใจ.. เหตุใดยามที่มือน้อยคู่นี้สัมผัสร่างกายความเจ็บปวดทรมานจึงทุเลาลงได้ ช่างประหลาดนัก.. เหตุใดไอร้อนและอาการไม่สบายตัวต่างๆดูจะเบาบางคงเมื่อได้สัมผัสจากมู

“ถ้าเดินไม่ไหวก็โอบบ่าข้าไว้ ข้าจะพาเจ้าไปส่งให้ถึงที่” เสียงเล็กบอกกล่าวอย่างนุ่มนวล อารีเอส มูมัวแต่สนใจอยู่กับการแบกรับน้ำหนักตัวคนป่วยเสียจนไม่ทันตระหนักว่ายามนี้ทั้งคู่อยู่ใกล้ชิดกันเพียงแค่ลมหายใจเป่ารดใบหน้า นัยน์ตาคู่งามทอดมองไปข้างหน้าอย่างมุ่งมั่นที่จะพาสหายออกไปจากแซงทัวรี่เพื่อพักฟื้น ขณะที่ในสมองคิดเตรียมการล่วงหน้า จะพาหมอจากที่ใดมารักษา.. จึงมิทันสังเกตถึงแววโหยหาที่จ้องมองมาไม่กระพริบตา ชายหนุ่มได้แต่ขบกรามแน่นพลางพยายามบังคับตนเองมิให้กระชับวงแขนข้างที่พาดอยู่บนบ่าเล็กบอบบาง บังคับสายตาให้เบือนไปทางอื่นด้วยรู้ดีว่ามูจะเคือง หากรู้ว่าถูกจ้องมองด้วยแววตาเช่นนี้

.....................................................

“เป็นไข้หวัดธรรมดา นอนพักสักสองสามวันก็คงทุเลา”

มูถอนหายใจด้วยความโล่งใจขณะที่กล่าวคำขอบคุณ ก่อนจะเดินไปส่งคุณหมอที่หน้าบ้านและปิดประตูตามหลังอย่างแผ่วเบาเพื่อมิให้เกิดเสียงดังรบกวนผู้ป่วยแล้วหมุนร่างกลับมา สาวน้อยประคองเหยือกน้ำไว้ในอ้อมแขนพลางกวาดสายตามองสำรวจไปทั่วอาณาจักรส่วนตัวของชากะพลางรำลึกถึงวัยเยาว์ของทั้งคู่ แทบจะนับครั้งได้ที่ตนมีโอกาสได้มาเยือนที่นี่ กระนั้นสิ่งที่ได้เห็นในเวลานี้ก็แทบมิได้เปลี่ยนไปจากภาพในความทรงจำเลย

บ้านน้อยขนาดกะทัดรัดบนยอดเนิน ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากตัวเมืองรอบนครศักดิ์สิทธิ์นี้ช่างดูเข้ากันกับบุคลิกของเจ้าของนัก ด้วยความที่ตัวบ้านสีขาวหลังนี้ปลูกติดริมผาสูงจึงทำให้ไม่มีเพื่อนบ้านข้างเคียงเลยแม้แต่หลังเดียว ขณะเดียวกันภายในบ้านซึ่งมีแสงสว่างเหลือเฟือกับเนื้อที่ใช้สอยเพียงเล็กน้อยกลับดูกว้างขวางอย่างเหลือเชื่อเพราะมีเครื่องเรือนอยู่เพียงไม่กี่ชิ้น มูกวาดสายตามองโต๊ะไม้เอนกประสงค์ตัวเล็กๆที่ตั้งอยู่ชิดผนังด้านที่มีหน้าต่างมองออกไปเห็นทะเลภายในห้องโถงแคบๆของบ้าน กับเก้าอี้ที่เข้าชุดกันอีกสองตัว ชั้นวางของเตี้ยๆที่มีผ้าลูกไม้คลุมมิดชิด และพรมขนสัตว์ลายดอกที่เก่าจนสีซีดบนพื้นหินสีขาว.. มีเพียงเท่านั้น ขณะที่ประตูไม้ที่เหลืออีกเพียงหนึ่งบานนอกเหนือจากประตูหน้าบ้าน เปิดตรงสู่ห้องนอนขนาดเล็กที่ไม่มีแม้แต่เตียงนอน

ถึงแม้ภายในบ้านจะคับแคบ และแทบไม่มีอะไรอยู่เลยทว่าความที่ทาฝาผนังด้วยสีขาวกับขอบประตูหน้าต่างเป็นสีน้ำเงินสดทำให้แลดูสะอาดสะอ้านและน่าอยู่ไม่น้อย และคงจะดูดีกว่านี้ถ้าหากจะมีแจกันดอกไม้วางตรงขอบหน้าต่างเหนือหัวนอนอีกสักหนึ่งรึสองแจกัน ซึ่งมูมีแผนจะออกไปสำรวจสวนสวยหน้าบ้านหลังจากที่แน่ใจว่าเพื่อนรักนอนหลับสนิทแล้ว โกลเซนต์อารีเอสเฝ้ามองชายหนุ่มที่นอนหลับตาพริ้มอยู่บนฟูกบางๆสีขาวซึ่งวางอยู่ชิดริมผนังด้านในสุดติดกันกับห้องน้ำแล้วเดินเข้าไปวางเหยือกน้ำลงบนพื้นข้างที่นอน

ดูเหมือนชากะจะกำลังหลับสนิทด้วยฤทธิ์ยา ตลอดทั้งร่างจึงแลดูผ่อนคลายอย่างที่มูไม่เคยเห็นมาก่อน แผ่นอกกว้างตึงแน่นขยับขึ้นลงอย่างแผ่วเบาตามจังหวะการหายใจ อาการสั่นสะท้านเป็นพักๆก็ดูจะทุเลาลงในเวลานี้ สาวน้อยปัดปอยผมสีบลอนด์ที่ปรกหน้าผากชายหนุ่มออกขณะที่ส่วนที่เหลือแผ่กระจายอยู่บนหมอนหนุน ก่อนจะห่มผ้าให้แล้วตั้งใจว่าจะปล่อยให้พักผ่อนเต็มที่ ทว่ายังไม่ทันที่มูจะออกไปจากห้องอาการเดิมก็กำเริบอีก ชากะหลุดเสียงอุทานอย่างเจ็บปวดออกมาในนาทีที่มันเริ่มต้น ร่างกายที่ถูกสะกดให้หลับลึกด้วยฤทธิ์ยาถูกฉุดกระชากให้ตื่นขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ไม่มีความทรมานแสบร้อนใดจะเทียบเท่ากับแรงบดขยี้ประหนึ่งเนื้อหนังและกระดูกถูกบดไปพร้อมๆกันจนแหลกเละ

“ชากะ! เป็นอะไรไป”

มูรีบถลาเข้าไปข้างที่นอนด้วยความกังวลทว่าดูเหมือนชากะจะไม่ได้ยินเสียงเรียก ในจิตส่วนลึกของเวอร์โกเซนต์ อสรพิษตัวเดิมปรากฏขึ้นอีกครั้ง ทว่าคราวนี้ไม่มีการขู่ฟ่อ.. ไม่มีการคาดโทษใดๆ มันรัดเขาแน่นด้วยลำตัวใหญ่ยักษ์ที่โอบไม่รอบแล้วรอให้เหยื่อขาดใจตายช้าๆ เสียงกระดูกลั่นกราวไปทั้งร่างดูจะเป็นความรื่นรมย์อย่างหนึ่งของมัน เมื่อความสาสมใจปรากฏขึ้นในตาแดงทอแสงจ้าที่มีขนาดใหญ่พอๆกับหน้าต่างห้อง

“ชากะ!!”

เขาไม่อาจตอบสนองเสียงเรียกนั้นได้ ชายหนุ่มดิ้นรนหอบหายใจอย่างยากลำบากผ่านทางหลอดลมช้ำๆที่ถูกบดขยี้ ขณะที่รู้สึกราวกับทั่วทั้งร่างถูกบีบจนแหลกเหลว เปลวไฟซึ่งไร้ที่มาปะทุขึ้นตามข้อพับแขนขา พวยพุ่งออกมาจากดวงตาทั้งสอง จากอวัยวะภายในที่แตกหักและเนื้อหนังที่ฉีกขาดยับเยินก่อนจะลามเลียเผาไหม้ไปทั่วร่าง ส่งผลให้เขาดิ้นพราดๆอย่างเจ็บปวดทรมาน และครั้งนี้ถึงกับได้รสเลือดของตนเอง ชากะเม้มริมฝีปากแน่นเพื่อสะกดกลั้นเสียงแผดร้องด้วยความเจ็บปวด ถึงแม้ครั้งนี้ร่างกายของเขาจะถูกทำลายจนไม่เหลือชิ้นดี ทว่าสติอีกส่วนหนึ่งที่ยังคงรับรู้ว่ามูนั้นยังอยู่เคียงข้างและเฝ้ามองความเป็นไปทั้งหมดด้วยความกังวลทำให้เขาไม่ยอมปริปาก.. ไม่ยอมให้มีเสียงแห่งความทุกข์ทรมานใดๆหลุดรอดออกไป แต่กระนั้นชากะก็ไม่อาจควบคุมอาการทางร่างกายได้ เขาได้แต่สมเพชตนเองที่ต้องดิ้นทุรนทุรายต่อหน้าสตรีที่จะเป็นคนสุดท้ายในโลกที่ตนอยากให้เห็น แต่แล้วจู่ๆความเจ็บปวดสิ้นหวัง และความทรมานทั้งหมดก็ดูจะมลายไป ในวินาทีเดียวกับที่เขารู้สึกว่ามูโถมร่างเข้าหา

มูได้แต่หันรีหันขวางอย่างทำอะไรไม่ถูก ทั้งที่เมื่อครู่นี้ชากะยังนอนหลับสนิทอยู่แท้ๆ แต่แล้วจู่ๆก็สะดุ้งเฮือกและดูราวกับกำลังทรมานแสนสาหัสเพราะอะไรบางอย่าง ช่างน่ากลัวนัก.. เมื่ออีกฝ่ายดิ้นรนฉีกทึ้งทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในรัศมีมือเอื้อมถึง สายเกินไปที่จะตามหมอมาดูอาการ และสาวน้อยก็ไม่กล้าปล่อยเขาไว้ตามลำพัง ในที่สุดเมื่อตะโกนเรียกซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็ไม่มีการตอบสนองและดูเหมือนจะขาดสติมากขึ้นทุกทีๆ มูจึงตัดสินใจผวาเข้ากอดเขาไว้เพราะไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว สาวน้อยโถมน้ำหนักตัวทั้งหมดลงบนร่างของชากะแล้วโอบแขนแน่นอยู่รอบลำคออีกฝ่ายเพื่อป้องกันไม่ให้เขาทำร้ายตนเองด้วยการฉีกทึ้งเนื้อหนังมากไปกว่านี้ ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับเพื่อนรักทว่าก็ไม่อาจทนดูสภาพอันน่าเวทนาเช่นนี้ได้

และยังต้องใช้เวลาอีกครู่ใหญ่กว่าเวอร์โกเซนต์จะตระหนักได้ว่าตนยังคงมีลมหายใจอยู่ ชากะลืมตาขึ้นเมื่อรู้สึกถึงร่างนุ่มนิ่มที่แนบสนิทอยู่กับตน เขาถอนหายใจเต็มแรงเมื่อร่างกายหยุดกระตุกพร้อมๆกับได้รับรู้ว่าอวัยวะทุกส่วนยังอยู่ครบถ้วนสมบูรณ์ดี และเป็นอีกครั้งที่ ‘นาง’ เปิดฉากเล่นงานเขาทางมโนภาพด้วยระดับความเหี้ยมโหดที่เพิ่มขึ้นจากครั้งก่อน มือใหญ่กำแน่นอยู่ข้างลำตัวก่อนจะยกขึ้นลูบศีรษะมูที่ซบแน่นอยู่กับบ่าเขาแล้วจึงเอ่ยถามแผ่วเบา

“ไม่กลัวข้าแล้วหรือ”

Share this post


Link to post
Share on other sites

Gleam

สัมผัสอ่อนโยนที่ลูบไล้แผ่วๆบนเรือนผมส่งผลให้มูค่อยๆเงยหน้าขึ้นจากอกกว้างชายของหนุ่ม ชากะเผยอรอยยิ้มเมื่อได้เห็นใบหน้าที่ซีดขาวด้วยความตกใจยิ่งกว่าตัวเขาเสียอีก ปอยผมรุงรังที่ตกลงมาปรกใบหน้าดูจะขับดวงหน้าหวานให้งามขึ้น อารีเอสเซนต์กระพริบตาถี่ๆก่อนจะคลายวงแขนออกช้าๆ และในสภาพที่ยังคงทาบทับอยู่บนร่างอีกฝ่าย.. นัยน์ตาสีเขียวเข้มของมูจับจ้องหาความจริงบนใบหน้าเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย

“เจ้าเป็นอะไรไป”

ทว่าชากะยังคงอ่อนเพลียกับโทษทัณฑ์ที่ได้รับเกินกว่าที่จะมีแรงอธิบายยืดยาว ไม่มีแรงแม้แต่จะผงกศีรษะขึ้นมอง กระนั้นวงแขนชื้นเหงื่อกลับขยับขึ้นโอบร่างน้อยไว้แนบกาย ชายหนุ่มหลับตาลงแล้วทิ้งน้ำหนักตัวลงบนพื้นพลางถอนหายใจยาว

“ชากะ”

สาวน้อยเริ่มใจเสียอีกครั้งเมื่อได้เห็นสภาพปางตายของสหาย เสื้อนอนสีขาวที่ฉีกขาดรุ่งริ่งแบะอ้าเผยให้เห็นเนื้อตัวเปล่าเปลือยที่เต็มไปด้วยรอยเขียวช้ำขนาดใหญ่ทั้งเก่าและใหม่ พวกมันมีลักษณะคล้ายเป็นรอยจากการถูกรัดอย่างรุนแรงแถมยังดูแปลกประหลาดเพราะไม่รู้ว่าเกิดจากอะไร นอกจากนั้นก็เป็นรอยข่วนตื้นๆพอให้เห็นเลือดจากน้ำมือตนเองยามที่บิดตัวดิ้นทุรนทุรายเมื่อครู่ มูเลื่อนสายตาจากแผ่นอกของชายหนุ่มไปยังใบหน้าที่ยังคงปราศจากสีเลือด ความสงสัยอัดแน่นอยู่ภายใน ขณะที่ชากะถอนหายใจอีกครั้งอย่างอ่อนแรง

“ข้ารู้ว่าเจ้าอยากถาม ..แต่รอก่อน..”

นัยน์ตาสีฟ้าใสลืมขึ้นอีกครั้งเพื่อสบประสานเข้ากับคนในอ้อมแขน ชากะแลเห็นความตระหนก กังวลใจ และห่วงใยผสมปนเปกันอยู่ในแววตาที่จ้องมองกลับมา มากเท่าๆกับที่รู้สึกถึงพิษบาดแผลจากการถูกโจมตีทางจิตอย่างต่อเนื่องซึ่งยังคงทิ้งร่องรอยหนักหนาสาหัสไว้ในร่างกายจนถึงบัดนี้ หากว่าเขาโชคดีพอ.. มันจะค่อยๆบรรเทาลงเองภายในสองถึงสี่ชั่วโมง แต่ถ้าไม่.. ก็เตรียมใจรับศึกครั้งใหม่ได้เลย

“เดี๋ยว.. ขออยู่อย่างนี้อีกสักพัก”

โกลเซนต์หนุ่มเอ่ยเสียงนุ่มพลางกระชับวงแขนแน่นขึ้นเมื่อพบว่าอีกฝ่ายพยายามจะตะกายลงจากร่าง อาการแสบร้อนที่ยังค้างคาอยู่ในร่างกายดูจะทุเลาลงมากเมื่อได้รับสัมผัสจากร่างนุ่มนิ่มนี้ ดังนั้นการที่มีมูแนบชิดอยู่เช่นนี้ช่วยได้มากจริงๆ เขาเองก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรและชากะก็รู้สึกคลื่นไส้วิงเวียนเกินกว่าที่จะคิดหาคำตอบในเวลานี้ อะไรบางอย่างที่มีรสขมปร่ากำลังดันตัวเองขึ้นมาจากลำคอทำให้เขารู้สึกพะอืดพะอมอย่างบอกไม่ถูก ชายหนุ่มขยับแขนขึ้นประคองศีรษะสวยได้รูปไว้ในฝ่ามือพลางโน้มใบหน้ามูลงมาหา

“ช่วย..”

เขาเอ่ยกระท่อนกระแท่นได้เพียงเท่านั้น เมื่อริมฝีปากทั้งสองสัมผัสกันชากะก็สะท้านไปทั้งร่าง เซนต์หนุ่มพลันรับรู้ถึงการระเบิดอย่างรุนแรงจากภายใน ความร้อนใหม่เริ่มก่อตัวขึ้นในอก จากจุดเล็กๆ..แล้วแพร่กระจายไปทั่วร่างก่อนจะขับไล่ความคลื่นเหียนออกไปจนหมด เสียงหัวใจที่สูบฉีดอย่างมีชีวิตชีวาสะท้อนก้องอยู่ในหู และวินาทีนั้นความทุกข์ทรมานที่แผดเผาร่างกายรวมทั้งอาการแสบร้อนที่กัดกินเขามานานร่วมสัปดาห์ก็มีอันมลายไป เป็นครั้งแรกในรอบสัปดาห์อีกเช่นกันที่เขารู้สึกว่าร่างกายเบาหวิว รู้สึกว่าอยู่ห่างไกลจากเงื้อมเงาแห่งอดีตที่คอยตามล่าล้างผลาญจนกว่าเขาจะสิ้นลม ชายหนุ่มกระชับร่างงามในอ้อมอกแน่นขึ้นพลางเอียงศีรษะเพื่อให้ตนเองสัมผัสความหวานละมุนได้ลึกซึ้งกว่าเดิม ซึมซับกลิ่นหอมจางๆจากเรือนกายสะพรั่งให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

ท่วงทำนองหวานของCsardasพลันแว่วเข้ามาในโสตประสาทพร้อมด้วยภาพชากะที่ยืนซ้อนหลังมูและประคองข้อมือสอนให้จับไวโอลินเป็นครั้งแรก มูไม่เข้าใจว่าเหตุใดภาพเหล่านั้นจึงสว่างวาบขึ้นมาในเวลานี้.. เวลาที่ตนควรทำอะไรบางอย่างเพื่อให้หลุดพ้นจากสถานการณ์น่าอึดอัดใจ ร่างงามพยายามดิ้นรน.. อีกครั้ง และอีกครั้ง ทว่าทั้งที่ยังอ่อนเปลี้ยหมดเรี่ยวแรงหากชากะกลับทรงพลังอย่างเหลือเชื่อเช่นเดียวกับตอนนั้น.. ตอนที่ปลายนิ้วเรียวยาวแตะลงบนสายโลหะอย่างแผ่วเบาเป็นครั้งแรก แต่เสียงที่เปล่งออกมากลับสะท้านสะเทือนถึงหัวใจ แต่ถึงแม้ริมฝีปากที่ขยับรุกแนบชิดตนจะปราศจากความกระด้างรุนแรงและเต็มไปด้วยความอ่อนหวานเพียงใด ทว่าต้องหยุดมันเสียที..

“เพี๊ยะ!”

เวอรโกเซนต์ถึงกับไถลไปติดข้างฝาเมื่ออีกฝ่ายยกแขนฟาดเต็มแรง ชากะรู้สึกว่าซีกหน้าข้างขวาของตนที่สะบัดไปตามแรงมือนั้นชาจนหมดความรู้สึก และคงจะปรากฏรอยแดงอยู่อีกพักใหญ่ๆเป็นแน่ ทว่าเวลานี้เขาไม่ใส่ใจ ภาพสาวน้อยที่ยกมือปิดปากตนเองแน่นพร้อมด้วยใบหน้าแดงก่ำทำให้เขารู้สึกผิดมากเกินกว่าจะมัวสนใจเรื่องอื่น แววกล่าวโทษในดวงตาของมูทำให้ชายหนุ่มได้คิด เขาไม่น่าทำอย่างนั้นเลย.. ถึงแม้มันจะทำให้หายทรมาน แต่เขาก็ฉวยโอกาส ..ใช้ความห่วงใยที่อีกฝ่ายมีให้เพื่อตอบสนองความพึงพอใจของตนเอง ทั้งๆที่รู้ว่ามูหวาดกลัวเรื่องเช่นนี้เพราะน้ำมือของบุรุษคนอื่นมาก่อน ทว่าก็ยังกระทำซ้ำสอง

“มู.. ข้า”

โกลเซนต์สาวไม่รอฟังคำขอโทษ ทันทีที่ลุกขึ้นได้มูก็เทเลพอร์ทหายออกไปจากบ้าน และชากะก็ไม่มีแรงเหลือพอที่จะติดตามไป ชายหนุ่มพยุงกายขึ้นนั่งพลางก้มลงมองสารรูปตนเอง ..ช่างยับเยินสิ้นดี และทั้งที่เป็นเช่นนี้ทว่ามูก็ยังใส่ใจดูแลเขาและเป็นห่วงเป็นใยราวกับเป็นเรื่องของตนเอง ทว่าต่อไปนี้คงไม่มีอีกแล้ว ในเมื่อการกระทำเมื่อครู่นี้เป็นตัวการขับไล่ไสส่งให้มูถอยห่างออกไป

โทษใครไม่ได้จริงๆ.. นอกจากตัวเอง

...............................................

...คนบ้า.....

บ้าที่สุด....

โกลเซนต์อารีเอสหนีกลับมายังวิหารของตนเองในสภาพใบหน้าแดงก่ำและโกรธจัด ทั้งผิดหวัง เสียใจและคิดไม่ถึงว่าเพื่อนที่รักที่สุดจะทำเรื่องเช่นนี้ได้ เวอร์โก ชากะคนนั้น.. บุรุษผู้ใกล้เคียงพระเจ้าในเวลานี้กลายเป็นอะไรไปแล้ว คนเพียงคนเดียวที่ช่วยให้ตนรอดพ้นจากการถูกข่มเหงรังแก คนเดียวที่อยู่เคียงข้างยามที่เสียน้ำตา เวลานี้กลับกลายเป็นคนที่ต้องคอยระวังและหนีห่างเช่นเดียวกับคนอื่นๆงั้นหรือ สาวน้อยเม้มริมฝีปากแน่นพลางหวนนึกถึงคำพูดที่คนพูดไว้

..บุรุษนั้นก็ดีแต่ฉวยโอกาส..

มูถอนหายใจ.. หากเป็นคนอื่นก็คงใช่ ทว่าชากะไม่ใช่คนเช่นนั้น ถึงแม้ยังคิดหาคำตอบไม่ได้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่มีสาเหตุจากอะไรและยังไม่หายโกรธ หากมิตรภาพสิบกว่าปีที่ผ่านมาทำให้มูมิอาจตัดใจทอดทิ้งเพื่อนรักได้ แม้จะยังเคืองขุ่นแต่อาการของชากะก็ยังไม่น่าไว้วางใจ ดังนั้นถึงแม้จะถูกจู่โจมแบบเมื่อครู่อีกก็จะต้องเข้มแข็งและมูก็ไม่คิดจะเสียน้ำตาให้กับเรื่องพรรค์นี้อีก สาวน้อยหยุดยืนคิดอยู่อีกพักใหญ่ก่อนจะหายลับเข้าไปในห้องนอนของตนเองแล้วกลับออกมาพร้อมด้วยเสื้อผ้าสำหรับผลัดเปลี่ยนและกล่องไวโอลิน พร้อมด้วยความตั้งใจที่จะให้โอกาสชากะอีกสักครั้ง

“ตะวันใกล้ตกดินแล้ว จะออกไปไหนหรือ” มูยังไม่ทันจะออกไปพ้นเขตวิหารตนเอง น้ำเสียงแหบห้าวของใครบางคนก็รั้งตัวเอาไว้เสียก่อน

ที่ทางออกวิหารด้านที่มาจากฝั่งทอรัส บุรุษร่างสูงในชุดเกราะสีทองสะท้อนแสงอาทิตย์เป็นประกายพร้อมด้วยผ้าคลุมสีขาวสะอาดปรากฏกายขึ้น เซนต์หนุ่มซึ่งมาใหม่สะบัดเรือนผมยาวสีน้ำเงินไปเบื้องหลัง ก่อนจะเผยรอยยิ้มชวนมอง

“ข้างนอกมันอันตรายนัก

ไม่ทราบว่าต้องการให้บอดี้การ์ดอย่างข้า.. เจมินี่ ซากะผู้นี้ไปเป็นเพื่อนรึไม่”

Share this post


Link to post
Share on other sites

Ravel

“ข้าไม่ต้องการบอดี้การ์ดอย่างท่าน มีท่านไปด้วยดูจะอันตรายมากกว่า” สาวน้อยตอบอย่างเย็นชาก่อนจะสะบัดหน้าหนี ความผิดที่เซนต์เจมินี่แอบเข้ามาหาถึงวิหารตอนกลางดึก แล้วจู่โจมเสียจนมูเกือบต้องเสียท่าและตกเป็นของเขายังเป็นภาพติดตาที่น่าหวาดหวั่นจนถึงทุกวันนี้ มูไม่สนใจเซนต์หนุ่มที่เดินยิ้มเข้ามาใกล้ โกลเซนต์อารีเอสหมุนร่างวิ่งลงไปจากวิหารของตนเองทว่าอีกฝ่ายก็ยังไม่ละความพยายาม ซากะหัวเราะเสียงพร่าพลางตวัดผ้าคลุมด้านหลังขึ้นมาคลุมกายก่อนจะวิ่งเหยาะๆลงบันไดตามมูไป

“อย่าตามมานะ!”

“อะไรกัน.. ข้าไม่ปล้ำเจ้าทั้งๆที่อยู่กลางถนนอย่างนี้หรอกน่า” เสียงทุ้มยังคงหัวเราะแผ่วๆอย่างยั่วเย้า ทว่ากลับชวนให้หงุดหงิดใจนัก

“ที่ไหนก็ไม่ได้ทั้งนั้น ในเมื่อท่านให้สัญญาแล้ว”

มูไม่อยากจะชวนคุยให้มากความ เพราะขนาดในวันที่อารมณ์ดีๆเจมินี่ ซากะก็ยังเป็นตัวอันตรายอย่างคิดไม่ถึง และอาจทำตัวร้ายกาจที่สุดได้ในวันปกติดังนั้นจึงไม่น่าลองเสี่ยงเลยแม้แต่น้อย และหลังจากที่ได้ทดลองแล้วว่าการเทเลพอร์ทหนีใช้กับคนผู้นี้ไม่ได้ผล สาวน้อยจึงก้มหน้าก้มตาเดินด้วยหวังจะไปให้ถึงที่พักของชากะก่อนพลบค่ำ คนที่ติดตามมาด้วยจะได้เลิกล้มความตั้งใจเสียที

“เจ้ายังไม่ได้ตอบคำถามข้าเลย เย็นป่านนี้แล้วจะไปไหนหรือ”

“ชากะไม่สบาย” มูตอบสั้นๆโดยที่มิได้หันกลับมา ขณะที่อีกฝ่ายเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ

“อ้อ.. งั้นข่าวลือที่ว่าเจ้าหนูวิหารที่หกเจ็บป่วยเป็นเหมือนคนอื่นๆมันก็เรื่องจริงน่ะสิ

แล้วถ้าข้าไม่สบายบ้างเจ้าจะมาอยู่ดูแลแบบนี้บ้างไหม”

ไม่มีคำตอบ ทว่าเจมินี่เซนต์กลับไม่มีความคิดที่จะถอดใจอยู่ในสมอง

“ข้าคิดถึงเจ้าใจแทบขาดแล้วนะ.. ใจคอจะไม่หันมาคุยกันหน่อยหรือ”

ซากะยังคงตามหลังมูไปห่างๆ พลางลอบชื่นชมสรีระอันผลิงามภายใต้ภูษาสีเทาแบบเรียบๆของสาวน้อยที่เร่งฝีเท้าขึ้นเนินโดยไม่เหลียวหลัง ชายหนุ่มมองเห็นบ้านน้อยหลังหนึ่งโดดเดี่ยวเดียวดายอยู่ที่ริมผาโดยมีท้องฟ้าสีชมพูอมส้มเป็นฉากหลัง ก่อนจะหันเหความสนใจมาจับจ้องน่องเรียวขาวที่โผล่พ้นชายกระโปรงออกมาแล้วจึงเลื่อนสายตาขึ้นมองสะโพกผายที่มีเสน่ห์ยากจะห้ามใจ เอวเล็กๆน่ากอด และแผ่นหลังที่ปกคลุมด้วยเรือนผมนุ่มสีม่วงอ่อน พลางจินตนาการถึงการมีมูอยู่ในอ้อมแขนในสภาพเปลือยเกลี้ยงเกลา

“ข้าไม่มีอะไรจะคุยกับท่าน”

“ช่างใจดำเสียจริง..” โกลเซนต์หนุ่มตัดพ้ออย่างไม่จริงจังนักก่อนจะดึงแขนมูให้หยุดเดินก่อนถึงทางเข้าบ้าน สาวน้อยไม่ทันระวังตัว เมื่อถูกดึงให้หมุนกลับมาอย่างกะทันหันจึงมีอันถูกรวบตัวเข้าสู่อ้อมแขนอีกฝ่ายอย่างง่ายดาย

“ปล่อยข้านะ!”

“ไม่เอาน่า.. ข้าคิดถึงเจ้าแทบคลั่งแล้ว เจ้าจะไม่คิดถึงข้าก็ไม่เป็นไร แต่อย่างน้อยจะไม่หันมายิ้มให้ข้าบ้างเชียวหรือ” ซากะประคองใบหน้างามให้เงยขึ้น พลางเป่าลมหายใจผ่าวร้อนรดผ่านซอกคอ

“หรือถ้าจะให้ดีกว่านั้น มอบริมฝีปากของเจ้าให้ข้าชื่นใจเป็นรางวัลความคิดถึง”

ทว่าซากะยังไม่ทันได้ลิ้มรสริมฝีปากสาวน้อยก็มีอันต้องสะดุด เมื่ออะไรบางอย่างที่พุ่งเฉียดปลายจมูกไปเป็นการขัดจังหวะอย่างแรง พริบตานั้นเจมินี่เซนต์เหยียดยิ้มก่อนจะปล่อยมือแล้วดีดตัวขึ้นสู่เบื้องบน แรงอัดกระแทกที่มองไม่เห็นยังคงไล่ตามติดไม่ลดละและดูจะเพิ่มความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ โกลเซนต์หนุ่มพลิกกายพลิ้วอยู่กลางอากาศเพื่อหลบเลี่ยงการโจมตีในเสี้ยววินาทีพร้อมด้วยเสียงหัวเราะแผ่วๆขณะที่มูยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมด้วยอาการสงบนิ่ง เมื่อตระหนักว่ามันคือสายลมที่คมกริบดุจใบมีดซึ่งจะเป็นอันตราย.. กับเฉพาะซากะเท่านั้น

“ขอบใจนะ”

สาวน้อยเอ่ยเบาๆพลางชำเลืองมองไปยังตัวบ้าน ประตูหน้าต่างทุกบานยังคงปิดสนิท.. มีเพียงผ้าม่านบางเบาที่กระพือไหว แม้จะยังไร้สุ้มเสียงจากเจ้าของบ้าน ทว่ากระแสลมที่พุ่งผ่านออกมาทางช่องหน้าต่างนั้นก็สำแดงความเกรี้ยวกราดได้อย่างน่าขนลุกและประกาศชัดถึงเจตนาปกป้องคุ้มครอง ทว่าเจมินี่ ซากะกลับเห็นเป็นเรื่องขัน เซนต์หนุ่มยอมรามือให้แต่โดยดีด้วยยังไม่ปรารถนาจะประมือด้วย ร่างในชุดโกลครอธม้วนตัวลงสู่พื้นห่างจากจุดเกิดเหตุไปพอสมควร

“ยังคงทำตัวเป็นพระเอกขี่ม้าขาวได้น่ารำคาญเหมือนเดิมนะ แต่เอาเถอะ.. อย่างน้อยข้าก็แน่ใจว่าอยู่กับเจ้าหนูนั่นเจ้าคงปลอดภัยหายห่วง” ซากะโบกมือพลางส่งจูบให้ ก่อนจะหมุนกายเดินจากไปขณะที่มูถอนหายใจอย่างโล่งอก สาวน้อยก้มลงเก็บสัมภาระที่พื้นแล้วผลักบานประตูเข้าไปในบ้าน

“ข้าจะไม่ปล่อยให้เขาแตะต้องเจ้า”

เสียงทุ้มนุ่มดังแผ่วๆออกมาจากห้องนอน อารีเอส มูวางห่อเสื้อผ้าของตนลงบนโต๊ะแล้วเข้าไปในห้องพร้อมด้วยกล่องไวโอลิน

“เพียงเพราะเจ้าช่วยข้ามิได้หมายความว่าข้าจะยกโทษให้” สาวน้อยเปิดฉากด้วยน้ำเสียงเย็นชาพลางสบสายตากับคนที่เอนหลังอยู่บนฟูก ห้องนอนที่ยุ่งเหยิงกับผ้าปูที่นอนที่ฉีกขาดเป็นริ้วๆเพราะการอาละวาดเมื่อช่วงบ่ายกลับคืนสู่สภาพปกติอีกครั้ง เห็นได้ชัดว่าเวอร์โกเซนต์อาการดีขึ้นมากพอที่จะลุกขึ้นจัดการกับความรกรุงรังภายในห้องได้ และนั่นก็ทำให้มูรู้สึกโล่งใจขึ้น

“ถ้าเช่นนั้นเจ้ากลับมาทำไม”

“ฟังข้าพูดให้จบก่อนสิ” อารีเอสเซนต์วางกล่องไวโอลินลงข้างที่นอนก่อนจะหย่อนกายลงนั่งเคียงข้าง

“เห็นแก่ความเป็นเพื่อนของเราครั้งนี้จะยกโทษให้ก็ได้ แต่หากมีครั้งที่สองอีกข้าจะอัดเจ้าให้น่วม และจะไม่กลับมาดูแลเจ้าอีกเลย” มูจบคำด้วยหางเสียงที่อ่อนลงพร้อมกับกับยื่นมือเข้าไปตรงหน้าชายหนุ่ม ชากะก้มลงมองมือน้อยที่ยื่นมาให้ก่อนจะรับไมตรีไว้แต่โดยดี นัยน์ตาสีฟ้าคมกล้าจ้องมองรอยยิ้มงามดั่งกุหลาบแรกแย้มที่แตะแต้มบนเรียวปากสาวน้อยแล้วขบกรามแน่น

“ขอโทษสำหรับเรื่องเมื่อตอนบ่าย”

มูไม่สนใจคำขอโทษจากเพื่อนรัก สาวน้อยขยับตัวเข้าไปใกล้พลางจ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างจริงจัง

“ทีนี้เล่ามาเสียดีๆ เจ้าเป็นอะไรกันแน่”

“ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าควรรู้” ชากะเบือนหน้าไปอีกทางหนึ่งพลางถอนหายใจ ขณะที่เพื่อนตัวน้อยทำแก้มป่องอย่างไม่พอใจ มูหันไปเปิดกล่องไวโอลินแล้วช้อนมันขึ้นมาไว้ในอ้อมแขน

“ก็ได้! งั้นข้าจะไม่พูดกับเจ้าอีกเลย และเจ้าก็ต้องทนฟังเสียงบาดแก้วหูของข้าไปจนกว่าจะหายดีด้วย”

เวอร์โกเซนต์หันหน้ากลับมาพลางยิ้มขัน

“ข้าไม่เคยรังเกียจทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของเจ้า เล่นสิ.. ข้าอยากฟัง ตรงกลางเพลงที่ยังไม่ค่อยคล่องดีขึ้นบ้างหรือยัง”

ปลายนิ้วเรียวยาวปรับตั้งเสียงให้เข้าที่ก่อนจะวางเครื่องดนตรีลงบนบ่า ชายหนุ่มเอนหลังพิงฝาผนังพลางนิ่งฟังทำนองคุ้นเคยที่เป็นผลจากการพร่ำสอนของตนเอง จนถึงตอนนี้แม้ว่ามูจะยังไม่เก่งนักทว่าก็พอฟังเป็นเพลงบ้างแล้ว เมื่อได้รับรู้ถึงความตั้งใจจริง และยิ่งได้เห็นสีหน้ายามที่เจ้าตัวถ่ายทอดอารมณ์ออกมาแล้วชากะก็ยิ่งรู้สึกว่าคิดถูกเหลือเกินที่ยอมแหกกฏทุกอย่างแล้วเล่นไวโอลินให้มูฟังในวันนั้น ถึงแม้ว่าการลงทัณฑ์ที่เขาได้รับจะไม่มีวันจบสิ้นก็ตาม แต่จะเป็นไรไป.. ถ้านั่นจะทำให้มูกลับมายิ้มได้

..เพียงได้เห็นรอยยิ้มของเจ้า ไม่ว่าจะต้องแลกกับอะไรก็คุ้มค่าทั้งนั้น...

ทว่าชากะไม่มีเวลาเก็บภาพรอยยิ้มอันงดงามไว้ในความทรงจำนานนัก เมื่อความเจ็บปวดที่มากกว่าเก่าปะทุขึ้นอีกครั้งอย่างรุนแรง

“ชากะ!”

อารีเอสเซนต์ทิ้งไวโอลินในมือลงก่อนจะถลาเข้าไปประคองชายหนุ่ม สาวน้อยถึงกับหน้าเสียเมื่อพบว่าชากะสะท้านอย่างรุนแรงและสะบัดมือตนออกราวกับว่าไม่รู้สึกตัวเสียจนต้องออกแรงยึดตัวไว้ให้แน่น และเมื่อไม่อาจสู้แรงบุรุษไหวมูก็ตัดสินใจโถมเข้าใส่ทั้งตัวอย่างที่เคยทำ

เป็นอีกครั้งที่มันได้ผล.. อาการบ้าคลั่งสงบลงได้อย่างน่าประหลาด ชากะถอนหายใจเต็มแรงหลังจากได้สติพลางบังคับร่างกายตนเองให้หยุดสั่นสะท้านเสียที ด้วยอับอายนัก.. ที่ต้องแสดงความอ่อนแอออกมาให้มูเห็น ชายหนุ่มขบกรามแน่นขณะที่ดันร่างงามให้ถอยห่าง เพราะให้สัญญาแล้ว ดังนั้นครั้งนี้เขาจะไม่ยอมใช้ความห่วงหาอาทรที่อีกฝ่ายมีให้เพื่อตนเองอีก

“เจ้าควรกลับวิหารไปเสีย เพราะสัมผัสของเจ้าช่วยให้ข้าไม่ต้องเจ็บปวด ดังนั้นทุกครั้งที่ข้าเป็นเช่นนี้ อ้อมแขนของเจ้าคือสิ่งเดียวที่ช่วยได้”

“หมายความว่ายังไง”

...ก็หมายความว่าเขาเป็นของข้าน่ะสิ!

Share this post


Link to post
Share on other sites

โอ้วเนื้อเรื่องเยอะมากครับ ขอตอบก่อนค่อยอ่านวันหลัง

วันนี้อ่านไปเล้กน้อย เอาไปลงเด็กดี

เพื่อมีแมวมองเอาไปลงหนังสือนะครับลองดูสิครับ

Share this post


Link to post
Share on other sites

ขอบคุณค่ะ

ที่จริงในเด็กดีก็เคยเอาไปลงเเล้ว ถึงตอนจบเลยด้วย

เเต่ว่ามันเป็นเเฟนฟิคค่ะ เลยไม่สามารถนำไปตีพิมพ์ได้เหมือนนิยาย

เเต่ก็ขอบคุณสำหรับคำเเนะนำดีๆนะคะ

Share this post


Link to post
Share on other sites

Truth

กลุ่มหมอกสีดำปรากฏขึ้นที่มุมห้องด้านที่ไกลที่สุด มันเบาบางและลอยคว้างอย่างอ้อยอิ่งอยู่ใกล้เพดานห้องในตอนแรก ก่อนจะค่อยๆรวมตัวหนาขึ้นๆจนเริ่มปรากฏเป็นรูปร่าง และในที่สุดก็พอจะมองออกว่ามันคือโครงร่างของสตรีนางหนึ่ง ดวงพักตร์ซึ่งซ่อนมิดชิดอยู่ภายใต้ผ้าคลุมศีรษะสีดำนั้นก้มลงมองมา.. แลเห็นเพียงประกายตาคมวาว ..กับความอาฆาตแค้นที่เข้มข้นเสียจนสัมผัสได้ ตลอดทั้งร่างมองไม่ออกว่าสวมอาภรณ์ชนิดใดเนื่องจากแลเห็นได้เพียงเงาเลือนลางเท่านั้น ชากะจับจ้องความทรงจำในอดีตชาติของตนเองนิ่งงัน ก่อนจะกางแขนออกแล้วขยับเข้ามาบังมูเอาไว้

“พอได้แล้ว เจ้าจงไปเสียเถิด” เวอร์โกเซนต์เอ่ยเสียงเรียบ ทว่าเงาลึกลับยังคงนิ่งเงียบอยู่เช่นนั้นอีกเป็นครู่ก่อนจะเลือนหายไป กระนั้นความพยาบาทก็ยังคงตกค้างอยู่มากเสียจนอณูอากาศรอบตัวทั้งคู่สั่นไหวจนส่งเสียงดังหึ่งๆ พาให้มูรู้สึกอึดอัดและคลื่นเหียนเสียจนแทบทนไม่ได้ เมื่อจู่ๆความหดหู่ ความอาฆาตพยาบาทรุนแรงที่โอบล้อมเข้ามาอย่างไม่ทันตั้งตัวนั้นส่งผลให้หายใจไม่ออก โกลเซนต์อารีเอสพยายามสูดอากาศเข้าปอดทว่ากลับทำไม่ได้ ราวกับมีบางสิ่งบางอย่างรัดคอไว้แน่น จนในที่สุดสติสัมปชัญญะก็ดับวูบ

...คนผิดสัญญา..

“มู!”

ข้าไม่ยอมหรอก.. ไม่มีวัน

“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับนาง เจ้าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้!”

ชากะประคองร่างน้อยไว้ในอ้อมแขนพลางเงยหน้าแล้วตวาดกร้าว ก่อนจะก้มลงดูอาการอีกฝ่ายด้วยความเป็นห่วง ทว่าเพียงครู่เดียวก็ได้สติ มูกระพริบตาปริบๆอยู่สองสามครั้งก่อนจะลืมตาขึ้นพร้อมด้วยความงุนงง ไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนเอง

“นาง.. เป็นอะไรกับเจ้า”

ชายหนุ่มคลายวงแขนออกแล้วพยุงอีกฝ่ายให้ลุกขึ้นนั่ง ประกายตาคมกล้าสบประสานเข้ากับแววสงสัยในดวงตาของมูอย่างชั่งใจแล้วจึงตัดสินใจเปิดปากเล่า เพราะนอกจากมูจะถูกดึงเข้ามาเกี่ยวพันกับเหตุทั้งหมดแล้ว เขารู้ดีว่าสหายตัวน้อยจะไม่มีวันเลิกราหากไม่ได้รู้ความจริง

“ข้ากับนางเคยเป็นสามีภรรยากันมาก่อน”

.............................................

“ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่.. ข้าก็จะไม่อธิบายให้ยืดยาวว่าเคยเวียนว่ายตายเกิดมาแล้วกี่ยุคสมัย เพราะนั่นไม่ใช่เรื่องที่ควรจะพูดถึง แต่มีอยู่สมัยหนึ่งที่ข้าได้พบนาง... เราเป็นชาวบ้านแถบชายขอบซึ่งมีพื้นที่เชื่อมต่อระหว่างสองดินแดนซึ่งเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน มีการสู้รบประปรายอยู่เสมอ ความอดอยากหิวโหย การปล้นและแย่งชิงอาหารเกิดขึ้นจนกลายเป็นเรื่องชินชา

ข้า.. และเมียข้า ครอบครัวของเราเป็นเพียงคนเลี้ยงสัตว์ที่ถึงแม้จะยากจนอดมื้อกินมื้อ แต่เราก็ใช้ชีวิตของเราไปตามประสา

วันนั้น.. ขณะที่นางกำลังมีครรภ์แก่ ข้าได้ต้อนฝูงสัตว์จำนวนหนึ่งเข้าไปขายในเมืองตามปกติ ด้วยหวังจะได้ทองคำเต็มถุงกลับมาให้เมียข้าดีใจและเก็บหอมรอบริบบางส่วนเอาไว้เลี้ยงดูลูกที่กำลังจะเกิด ทว่าระหว่างทางกลับบ้านเกิดพายุฝนกระหน่ำเสียจนไม่อาจเดินทางต่อได้ทำให้ข้ากลับถึงบ้านช้ากว่าปกติ และสิ่งที่รอข้าอยู่ในบ้านไม่ใช่รอยยิ้มกับอาหารเย็นเหมือนเช่นทุกครั้ง แต่เป็นร่างอันปราศจากวิญญาณของเมียข้า..

พวกโจรลักลอบปล้นชิงแถบชายแดนบุกเข้ามาในบ้านข้า พวกมันผลัดกันย่ำยีและฆ่าปาดคอนางอย่างเหี้ยมโหดจากนั้นก็เเขวนศพเอาไว้กับขื่อกลางบ้าน พร้อมทั้งแหวะท้องนำทารกออกมาแล้วโยนให้สุนัขกินเพื่อความสนุกสนาน”

เวอร์โกเซนต์หยุดเล่าเมื่อสังเกตเห็นใบหน้าซีดเผือดของมู สาวน้อยถึงกับยกมือขึ้นปิดปากตนเองแน่นด้วยรู้สึกพะอืดพะอมกับสิ่งที่ได้รับรู้ มือใหญ่ที่เอื้อมเข้าไปหวังจะลูบศีรษะปลอบโยนพลันชะงักกลางครัน ชากะกำมือแน่นพลางถอนหายใจ

..เขาไม่ควรแตะต้องมูอีก ในเมื่อมันจะเป็นการนำความเดือดร้อนมาให้...

“ข้าไม่ควรเล่าเลย ขอโทษที่ทำให้เจ้ารู้สึกไม่ดี” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงแผ่วพลางขยับถอยห่าง หากสาวน้อยกลับเงยหน้าขึ้นมองแล้วเอ่ยปากคัดค้าน

“ไม่.. เล่าต่อเถอะ ข้าจะฟัง” แม้ว่าใบหน้าจะยังซีดเผือด ทว่าประกายมุ่งมั่นในแววตาและมือน้อยที่เลื่อนมากุมทับหลังมือตนแล้วบีบกระชับอย่างให้กำลังใจเป็นแรงผลักดันให้เขาตัดสินใจเล่าต่อ

“หลังจากที่ความเศร้าเสียใจทุเลาลง ข้าอุ้มนางไปฝังที่โคนต้นไม้ในบริเวณบ้าน พร้อมกันนั้น.. ข้าได้ให้คำสัญญากับนาง ว่าจะอยู่และตาย และอยู่.. และตาย เพื่อชดใช้ความผิดที่มิได้อยู่ปกป้องนางในวันนั้น ข้าจะมีชีวิตอยู่ในเพศพรหมจรรย์และอุทิศคุณงามความดีทั้งหมดให้นาง จนกว่าจะถึงวันที่ตัวตนของข้าดับสูญไปจากจักรวาลนี้”

โกลเซนต์อารีเอสพอจะเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดจากสิ่งที่ได้ฟัง สาวน้อยเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนรักด้วยนัยน์ตากลมโตที่เบิกกว้างด้วยความตกใจสุดขีด เมื่อตระหนักได้ว่าสิ่งที่ชากะบอกตนเมื่อหลายวันก่อนคือจุดเริ่มต้นของเรื่องทั้งหมด และเขาพูด.. ทั้งๆที่รู้ ว่ามันคือการเปิดประตูสู่หายนะของตนเอง

..ข้ากำลังขอให้เจ้าลองพิจารณาข้า ที่ผ่านมานั้นข้ามิอาจแตะเนื้อต้องตัวหรือทำสิ่งใดเพื่อให้ให้เจ้าคลายความทุกข์ได้เพราะอยู่ในเพศบรรพชิต ..ทว่าตอนนี้ไม่อีกแล้ว

ไม่อีกแล้ว...

“ถ้าเช่นนั้น.. แล้วเจ้าก็สละเพศพรหมจรรย์เพื่อข้า! ทำไมถึงทำอะไรอย่างนี้!!”

คำต่อว่าต่อขานจากมูนั้นสะท้อนความวิตกกังวลออกมาจากส่วนลึกของจิตใจ แต่ถึงแม้จะเอ่ยด้วยน้ำเสียงกระด้างเพียงใดทว่าชากะก็รู้ดีเสมอมา ไม่ว่าอย่างไรมูก็เป็นคนที่เปิดเผยจริงใจไม่เคยเปลี่ยน เป็นเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว

“อย่าห่วงไปเลย” ชายหนุ่มส่ายหน้าน้อยๆ สีหน้าเรียบเฉยของชากะยิ่งทำให้สาวน้อยใจไม่ดี ทว่าคำพูดทั้งหมดกลับติดอยู่ที่ปลายลิ้นเมื่ออีกฝ่ายยกมือห้าม

“นี่เป็นเรื่องของข้า และข้าก็ได้ตัดสินใจไปแล้ว” เขาบอก พลางแกะมือเล็กๆออกจากมือของตน

วินาทีนั้น.. ชากะเปิดเปลือกตาขึ้นพร้อมกับเปลือยหัวใจพูดอย่างตรงไปตรงมา

“จะมีประโยชน์ตรงไหนกัน ที่ข้าจะอยู่ดีมีสุขแต่ต้องทนเห็นเจ้าทุกข์ใจอยู่ไม่เว้นวัน

ข้าจึงตัดสินใจ.. คิดเข้าข้างตนเองว่าหากเจ้าหันมามองข้าแทนอาจารย์ของตนเอง ก็คงจะทำให้เจ้ามีความสุขมากขึ้น เพราะอย่างน้อยข้าก็มั่นใจว่าพร้อมที่จะให้ความสุขกับเจ้าได้ไม่แพ้บุรุษหน้าไหน”

แววตาที่มุ่งมั่นจริงจังสบประสานเข้ากับสาวน้อยที่อยู่ในอาการตะลึงงัน มูถึงกับจนด้วยคำพูดเพราะไม่คิดว่าจะได้ยินถ้อยคำนี้จากปากเพื่อนรัก โกลเซนต์สาวจึงได้แต่นั่งนิ่งพร้อมด้วยใบหน้าแดงก่ำอย่างทำอะไรไม่ถูก

“แต่อย่าได้คิดโทษตนเองไปเลย การที่เจ้าไม่ได้เลือกข้าไม่ได้ทำให้..”

“แล้วเรื่องนี้จะจบลงตรงไหน” อารีเอส มูขัดขึ้นด้วยความหวาดหวั่น ความรู้สึกเขินอายเมื่อครู่พลันมลายไปเมื่อลองคิดถึงอนาคตข้างหน้า สตรีนางนั้น.. ภรรยาในอดีตผู้ตามติดไม่เลิกราของชากะจะยอมปล่อยวางงั้นหรือ มูไม่คิดเช่นนั้น.. เป็นไปได้มากทีเดียวว่านางจะจองเวรล้างผลาญเขาไปชั่วนิรันดร์ แล้วชากะจะเป็นอย่างไร

“ข้าก็จะตาย” เซนต์หนุ่มเอ่ยเสียงเรียบ “ความโหดร้ายของนางเกิดจากการที่ข้าผิดคำสัญญา ดังนั้นเมื่อมันถึงที่สุด เดาว่านางคงจะกลืนกินข้าจนไม่เหลือแม้แต่กระดูก”

“บ้าที่สุด!! เหตุใดเจ้าถึงพูดเรื่องตายออกมาได้หน้าตาเฉยนักนะ”

“เพราะเราคือเซนต์” ชากะบอกด้วยน้ำเสียงเนิบนาบราวกับมิได้กำลังพูดถึงเรื่องสลักสำคัญอันใด “ความตายกับพวกเราเป็นมิตรแท้ต่อกันเสมอมามิใช่หรือ”

“ดังนั้น.. ขอเพียงแค่เห็นเจ้ามีรอยยิ้มกลับคืนมา แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆข้าก็พอใจแล้ว”

“แต่ถ้าต้องเห็นเจ้าเป็นแบบนี้แล้วข้าจะมีรอยยิ้มได้อย่างไร!”

...ข้าไม่ยอมหรอก

เขาเป็นของข้า ของข้า

ของข้า!

พริบตานั้นบรรยากาศรอบกายชากะและมูพลันเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบ ตะเกียงเพียงดวงเดียวที่ให้แสงสว่างภายในห้องก็ถูกลมพัดจนดับวูบ ทว่าทั้งคู่ก็ยังแลเห็นอสรพิษขนาดยักษ์ที่ขดกายอยู่ตรงมุมห้องท่ามกลางความสลัวลาง นัยน์ตาแดงลุกวาวจับจ้องแต่เพียงชากะเท่านั้น และคงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก..

“ข้าผิดสัญญากับเจ้า.. ดังนั้นเก็บความแค้นของเจ้ามาลงที่ข้าเพียงคนเดียวก็พอ”

Share this post


Link to post
Share on other sites

Seize

..ถึงไม่บอกข้าก็ตั้งใจจะทำอยู่แล้ว..

เวอร์โกเซนต์ยังคงสงบนิ่ง ถึงแม้ตนได้กระทำตามสัญญาไม่เคยบิดพลิ้วตลอดหลายภพชาติที่ผ่านมา ทว่าก็ไม่เคยคิดจะนำมาเป็นข้ออ้าง ด้วยรู้สึกสงสารจับใจ.. สตรีนางนี้ยึดติดอยู่กับเขามากเสียจนไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเพียงใดก็ไม่ยอมปล่อยวาง บางทีความผิดส่วนหนึ่งอาจอยู่ที่ตัวเขาเองที่ให้คำมั่นสัญญาเช่นนั้น แต่ในเมื่อตนเป็นฝ่ายผิดสัญญาก่อนแล้วจะคิดแก้ตัวไปใย ทำได้เพียงยืดอกรับ ให้สม.. กับที่เป็นลูกผู้ชายอกสามศอก ขอเพียงอย่างเดียวเท่านั้น อย่าให้มูต้องเข้ามาเกี่ยวข้อง

ชากะขยับเข้ามาบังสาวน้อยไว้แล้วเชิดหน้ารับชะตากรรมของตน นาทีนั้นสำเนียงหวานแกมเศร้าของCsardas.. ความสุขเพียงอย่างเดียวที่เคยมีร่วมกันพลันแว่วมาให้ได้ยินเป็นครั้งสุดท้าย ชวนให้คิดถึงช่วงเวลาที่ได้อยู่เคียงข้างมู แม้ในยามที่มันผิดเพี้ยนแปร่งหูและแปรเปลี่ยนเป็นท่วงทำนองแห่งอสูรกายที่พากันเดินขบวนขึ้นมาจากอบายภูมิเพื่อทวงหาดวงวิญญาณมนุษย์ และจังหวะดนตรีที่เคยลื่นไหลกลับกระชากกระชั้นก่อให้เกิดเป็นกระบวนเพลงใหม่ที่น่าสยดสยองก็ตาม

อาการปกป้องคุ้มครองอีกฝ่ายอย่างออกนอกหน้าทำให้วิญญาณร้ายยิ่งเคืองแค้น และส่งผลให้โกลเซนต์หนุ่มเดือดร้อนมากขึ้น เป็นอีกครั้งที่ชากะต้องบิดตัวด้วยความทุรนทุรายเมื่ออสรพิษยักษ์ตรงเข้าเล่นงาน เขาไม่อาจขัดขืน.. ไม่อาจมองเห็นการเข้าโจมตีของสิ่งที่ไม่มีตัวตนทว่ากลับสร้างความเสียหายได้อย่างหลีกไม่พ้น จังหวะชีวิตของเขากระชั้นมากขึ้นทุกที ...ขบวนแห่ของปีศาจดูจะใกล้เข้ามาเรื่อยๆขณะที่ไฟชีวิตกลับมอดดับ ลำตัวที่ปกคลุมด้วยเกล็ดแข็งแลเห็นเป็นเงาจางๆโอบรัดรอบร่างด้วยหมายชีวิต ชายหนุ่มแผดร้องด้วยความเจ็บปวดเมื่อนางเจาะคมเขี้ยวทะลุหน้าอก ขณะที่มูทะยานเข้าสู้และพยายามดึงเขากลับมา ..สรรพสำเนียงแผดก้องอยู่ในโสตประสาท พวกมันมาถึงแล้ว..

“ปล่อยนะ! ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าทำร้ายเขาอีก”

...เขาเป็นของข้า...

วงแขนเรียวบางโอบกระชับแน่นรอบร่างชายหนุ่ม ทว่าเวอร์โกเซนต์ตกอยู่ในสภาพครึ่งเป็นครึ่งตายเสียแล้ว มูจ้องมองนัยน์ตาที่เบิกค้างโดยปราศจากการรับรู้อย่างใจหาย กระนั้นก็ยังคงกอดเขาไว้ไม่ยอมปล่อย แม้ว่าเงาดำของงูยักษ์จะโอบพันรอบร่างตนด้วยก็ตาม โกลเซนต์สาวขบกรามแน่นด้วยคาดว่าตนจะต้องมีสภาพทุกข์ทรมานเช่นเดียวกับชากะแต่กลับไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไรเลย แสดงให้เห็นว่าการจู่โจมดังกล่าวไม่มีผลกับตน และความจริงที่ได้รับรู้ก็ทำให้มูมีกำลังขึ้นอีกมาก

“ไม่! เขาไม่ใช่ของเจ้า”

สาวน้อยตวาดลั่นขณะที่กดศีรษะชายหนุ่มให้ซบแนบบ่าทั้งๆที่ไม่แน่ใจว่าสัมผัสของตนจะช่วยชีวิตเพื่อนรักได้อย่างไร ทว่าเวลานี้ก็จำต้องเชื่อเช่นนั้น เมื่อได้เห็นกับตาตนเองถึงสองครั้งสองคราว่าอ้อมแขนทั้งสองข้างนี้สามารถสยบความบ้าคลั่งจากน้ำมือนางได้ วิญญาณร้ายกรีดร้องอย่างเดือดดาลเมื่อไม่สามารถคร่าชีวิตเวอร์โกเซนต์ได้อย่างที่ตั้งใจ แต่กระนั้นก็ยังไม่ยอมรามือ

..ปล่อยนะ! เขาเป็นของข้า...

เจ้าจะกอดเขาไว้ไม่ได้...

บรรยากาศโดยรอบพลันเย็นยะเยือกขึ้นอีกหลายเท่าตัว เมื่อนางยังคงพยายามต่อไปด้วยการฝังคมเขี้ยวลงบนร่างกายของชากะซ้ำสอง มูหลับตาแน่นเพื่อต่อสู้กับเสียงอื้ออึงในสมอง ไม่รู้เพราะเหตุใด.. สาวน้อยสัมผัสได้ถึงเสียงฝีเท้าจำนวนมากราวกับมีกองทหารที่มองไม่เห็นเดินวนอยู่รอบกาย พร้อมด้วยสรรพสำเนียงแห่งความสยดสยองที่มิอาจระบุที่มา กระนั้นท่อนแขนก็ยังคงกอดรัดชายหนุ่มแนบแน่นก่อนจะต้องลืมตาขึ้นมอง.. เมื่อรู้สึกถึงการขยับตัวของคนในอ้อมแขน ชากะขบกรามแน่นขณะที่ตระหนักว่าตนมีสติเหลืออยู่เพียงครึ่งๆกลางๆเท่านั้น และมันค่อยๆเลือนหายไปทุกทีที่คมเขี้ยวเจาะทะลุเนื้อหนังลงมา วงแขนข้างหนึ่งโอบกอดมูไว้แนบกายพลางกระซิบปลอบโยน

“ไม่ต้องกลัว.. พวกมันทำอะไรเจ้าไม่ได้ แค่ปล่อยมันไป ..และอย่าไปท้าทายนางอีก”

“พูดอะไรน่ะ! คิดหรือว่าหลังจากที่เจ้าทำเรื่องทั้งหมดนี่เพื่อข้าแล้วข้าจะยอมให้นางฆ่าเจ้า

บอกมา!! ..ว่าข้าต้องทำอย่างไรถึงจะช่วยเจ้าได้”

ชากะสะดุ้งเฮือกเมื่อความเจ็บปวดแล่นเข้าสู่หัวใจส่งผลให้ตลอดทั้งร่างกระตุกอย่างรุนแรงเสียจนใบหน้าผงะหงายไปด้านหลัง กระนั้นชายหนุ่มก็ยังคงยึดร่างงามไว้แน่นที่สุดเท่าที่จะมีกำลัง โดยไม่แยแสมือจำนวนมากที่พยายามยื้อยุดฉุดตน ไม่สนใจเสียงกรีดร้องโหยหวนที่มิได้มีความไพเราะอีกต่อไป

..หยุดนะ.. แยกจากกันเดี๋ยวนี้!

“ที่ข้ายังมีลมหายใจอยู่ เพราะได้ไออุ่นจากคนที่ข้ารัก ..ก็คือเจ้า เมื่อมีเจ้าอยู่นางก็ไม่อาจทำอะไรได้มากไปกว่าการทรมานข้า

ทว่าหากเกินเลยกว่านี้.. เราจะไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขอะไรได้อีกเลย ดังนั้น..”

..แยก..เดี๋ยว..นี้!!

สาวน้อยไม่สนใจเสียงกรีดร้องลั่นของนาง มูเม้มริมฝีปากแน่นเมื่อเข้าใจ พริบตานั้น.. ใบหน้าของอาจารย์ผู้มีพระคุณปรากฏขึ้นในห้วงคำนึง ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความทรงจำในวัยเยาว์ระหว่างตนกับชากะ ทุกการกระทำปรากฏเป็นภาพซ้อนขึ้นในสมองพร้อมด้วยเสียงไวโอลิน นับแต่ครั้งที่ชากะเอาตัวเองเข้าปกป้องตนจากเจมินี่เซนต์ ช่วงเวลาแห่งการอยู่เคียงข้างกันยามที่เสียน้ำตา จวบจนวันที่เพื่อนรักยอมเดินออกห่างจากวิถีทางแห่งพระพุทธองค์ และทุกสิ่งทุกอย่าง... ซึ่งล้วนแต่ทำเพื่ออารีเอส มู ..เท่านั้น

..ไม่.. ข้าจะไม่ยอมเสียเจ้าไป...

อภัยให้ข้าด้วย.. ท่านอาจารย์

“ที่เจ้าทำให้กับข้า.. มันมากเกินกว่าที่ข้าจะสามารถทดแทนได้หมด

ดังนั้นข้าจะไม่ลังเลใจอีกต่อไปแล้ว”

อารีเอส มูกระพริบไล่หยาดน้ำตาพลางประคองศีรษะที่ซบอยู่บนบ่าตนอย่างไร้เรี่ยวแรงให้เงยขึ้น แล้วบรรจงแนบริมฝีปากเข้าหาอย่างนุ่มนวล แขนข้างที่ว่างอยู่โอบกอดร่างกายที่หนาและหนักกว่าตนเกือบเท่าตัวไว้แนบชิด ก่อนจะค่อยๆประคองชายหนุ่มให้นอนลง และเมื่อมือที่สั่นระริกเอื้อมไปปลดกระดุมเสื้อตนเองออกชากะก็ยึดข้อมือไว้แน่น สาวน้อยสั่นสะท้านไปทั้งร่างเมื่อได้เห็นแววตำหนิติเตียนอย่างรุนแรงที่สะท้อนออกมาทางแววตา

“เจ้าบ้าไปแล้วหรือไร นี่คิดจะทำอะไร”

“ข้าคิดดีแล้ว ถ้าเพื่อเจ้าแล้วล่ะก็.. เพียงแค่นี้ไม่เป็นไรหรอก” มูสะบัดมือชากะออกด้วยความมุ่งมั่นแรงกล้าก่อนจะหันไปจัดการกับสิ่งที่ค้างคาอยู่ อารีเอสเซนต์กัดริมฝีปากแน่นอย่างขัดเคืองใจเมื่อพบว่าเวลานี้แม้แต่จะปลดกระดุมเสื้อก็ยังทำไม่ได้ สาวน้อยพยายามบังคับมือตนเองให้หยุดสั่น ทว่ายิ่งรีบร้อนทุกอย่างก็ยิ่งแย่ลง

“ไม่! ..เจ้าไม่ได้คิด”

มือใหญ่รวบข้อมือทั้งสองไว้แน่น แม้จะอ่อนแรงนักทว่าชากะก็ยังพยายามยันกายขึ้นจากที่นอน ขณะที่หัวใจเต้นเร็วแรงเมื่อได้เห็นสารรูปที่เปิดเผยจนเกินงาม ท่ามกลางความมืดสลัว.. กระดุมเสื้อที่หลุดไปแล้วสองเม็ดเผยให้เห็นเนินอกขาวผ่องที่เบียดตัวชิดอยู่ในเสื้อชั้นในตัวจิ๋ว ร้อนจนถึงกับทำให้เขาต้องเอื้อมมือเข้าไปติดกระดุมให้ พลางจ้องดวงหน้าหวานด้วยความโมโห

“นี่เจ้าเห็นข้าเป็นอะไร..” เซนต์หนุ่มถามเสียงกระด้างอย่างไม่พอใจ

“พอข้าแตะต้องเจ้าเมื่อตอนกลางวันก็ถูกปฏิเสธกลับมาอย่างรุนแรง ข้าก็เข้าใจ.. และยอมรับว่าเป็นความผิดของตนเองที่ไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ แล้วตอนนี้จะมาเสนอตัวให้ข้างั้นหรือ..

ข้ารู้ดีว่าเจ้าไม่ได้รักข้า และก็คงอยากจะเก็บความบริสุทธิ์ผุดผ่องเอาไว้เพื่อคนที่สำคัญจริงๆ

ดังนั้นเวลานี้ข้าไม่ต้องการ..”

“แต่เจ้าคือคนที่สำคัญที่สุดสำหรับข้า! และข้าต้องการเจ้า..

เวอร์โก ชากะ เจ้า.. เพียงคนเดียวเท่านั้น”

Share this post


Link to post
Share on other sites

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

Guest
Reply to this topic...

×   Pasted as rich text.   Paste as plain text instead

  Only 75 emoji are allowed.

×   Your link has been automatically embedded.   Display as a link instead

×   Your previous content has been restored.   Clear editor

×   You cannot paste images directly. Upload or insert images from URL.

Loading...
Sign in to follow this  

×
×
  • Create New...