Jump to content

Jkwon

Legend
  • Content Count

    1,553
  • Joined

  • Last visited

Everything posted by Jkwon

  1. ผมเห็นด้วย! ขอบคุณที่นำมาแบ่งปันจ้า :emo (68):
  2. Lenovo ผู้ที่ขาย Smartphone ในปี 2011 ได้ราวๆ 6 ล้านเครื่อง โดยตลาดหลักอยู่ที่ประเทศจีน ถือเป็นตัวเลขที่ไม่ค่อยสูงมากนัก แต่บริษัท Lenovo เองต้องการจะแข่งกับคู่แข่งชั้นนำอย่าง Samsung, Apple หรือ HTC และได้วางแผนใหญ่ไว้ในปีนี้ ตามรายงานของ Digitimes ได้บอกว่าทาง Lenovo เตรียมขน Smartphone ออกมาเปิดตัวกันในปีนี้ถึง 40 รุ่น และหวังยอดขายทั้งหมดไว้ที่ 18 ล้านเครื่องเรียกว่าเป็น 3 เท่าของปีที่แล้ว ตามรายงานบอกด้วยว่าพวกอุปกรณ์ใหม่ทั้งหลายพวกนี้จะเป็น Android ทั้งรุ่นเล็กๆยันรุ่นใหญ่ราคาถูกกว่า 180$ หรือถูกกว่า 5,500 บาท ยันระดับ High-end พวกที่ใช้ CPU Dual-Core ตามรายงานบอกด้วยว่าในเดือนเมษายนที่ผ่านมาทาง Lenovo กินตลาดประเทศจีนได้ราวๆ 10% ถือว่าเป็นผู้ผลิต Smartphone ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของประเทศจีน สำหรับ Smartphone ของ Lenovo รุ่นล่าสุดก็คือ Lephone K800 อย่างที่เก็นในภาพ โดยตัวเครื่องมาพร้อมกับ Android 2.3 Gingerbread, หน้าจอขนาดใหญ่ 4.5 นิ้วความละเอียดระดับ HD และใช้ CPU Single-Core จากทาง Intel Atom mี่ clocked 1.6GHz ----------------------------------------------------------------------- เป้าหมายช่างยิ่งใหญ่นัก! :emo (76): ที่มา : mxphone
  3. มาแล้วครับ กับแท็บเล็ตหน้าจอใหญ่ที่สุดในโลก ที่ก่อนหน้านี้ใช้ชื่อว่า Viewsonic Touch and Connect แต่ล่าสุดทาง Viewsonic ประกาศชื่ออย่างเป็นทางการมาแล้ว คือ Viewsonic VCD22 ซึ่งได้เปิดตัวตามนัดครับ ในงาน Computex 2012 พร้อมทั้งประกาศราคาออกมาแล้วด้วย คืออยู่ที่ $479 หรือประมาณ 14,370 บาท แต่ก็แล้วแต่คุณจะเรียกแหละครับ ว่าจะเรียกเจ้านี่เป็นแท็บเล็ต หรือเป็น desktop ก็ได้ โดย Viewsonic VCD22 จะมาพร้อมกับ CPU TI OMAP 4000 series Dual-Core, RAM 1GB, Android 4.0 ICS, หน้าจอขนาด 22 นิ้ว ความละเอียด 1920x1080 พิกเซล โดยทาง Viewsonic บอกว่าอาจจะให้ VCD22 ใช้ในการศึกษามากกว่า โดยจะมีการบรรจุแอพเกี่ยวกับการศึกษาเข้าไปครับ ถ้าเอาเจ้านี่มาแจกเด็ก ป.1 บ้านเราก็เท่ดีเหมือนกันนะครับเนี่ย เครื่องเดียวดูกันทั้งห้องเลย ---------------------------------------------------------------------- จะเรียก tablet ก็กระไรอยู่นะ :emo (68): ที่มา : techxcite
  4. โดยปัญหาของโรคตาอาจส่งผลให้เกิดภาวะตาบอดหรือความบกพร่องในการมองเห็นได้ ซึ่งความพิการที่น่าสลดใจอย่าง ปัญหาตาบอดหรือสายตาเสีย ก็มักจะเกิดขึ้นในประเทศกำลังพัฒนา แต่ทั้งนี้ความพิการทางตาก็สามารถป้องกันและรักษาได้ โดยดร.สุจินต์ โตวิวิชญ์ เผยว่า โรคตาต่างๆ มีความเกี่ยวพันกับภาวะขาดสารอาหาร โดยสารอาหารที่มีข้อมูลสนับสนุนว่ามีความสัมพันธ์กับโรคตา คือ วิตามินเอ ธาตุสังกะสี วิตามินอี และวิตามินซี วิตามินเอ วิตามินเอเป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน แหล่งอาหารที่ให้ วิตามินเอสูง ได้แก่ ตับ ไข่แดง น้ำมันตับปลา นม ผักใบเขียวเข้ม มะละกอ ฟักทอง มะม่วงสุก ฯลฯ วิตามินเอมีความสำคัญต่อ ร่างกายในด้านการมองเห็นในแสงสลัว การบำรุงรักษาเซลล์บุผิว การเจริญเติบโต การทำงานเป็นปกติของระบบสืบพันธุ์ และ ระบบภูมิคุ้มกัน อาการทางตาของการขาดวิตามินเอ เริ่มจากอาการตาบอดกลางคืนในระยะแรก คือ อาการเยื่อบุตาขาวแห้ง เนื่องจาก การสร้างเมือกตามเยื่อบุต่าง ๆ ลดลง การสร้างน้ำตาเพื่อหล่อเลี้ยงตา ลดลง อย่างเห็นได้ชัด เมื่ออาการขาดรุนแรงขึ้น จะพบลักษณะที่เรียกว่า เกล็ดกระดี่ เป็นคล้ายรอยแผลที่เยื่อตาขาว มีลักษณะย่น เมื่อมีภาระขาดมากขึ้น เยื่อกระจกตาจะแห้งทำให้ตาบอดได้ สังกะสี ธาตุสังกะสีมีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตและการแบ่งเซลล์ การคงสภาพของผนังเซลล์ การมองเห็นในที่มืด การรับรส และระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายย อาหารที่ให้ธาตุสังกะสีในปริมาณสูงและมีการดูดซึมได้ดี คือ เนื้อสัตว์ อาหารทะเลจำพวกหอย ไข่ และผลิตภัณฑ์นม ในคนและสัตว์ถ้าขาดสังกะสีแล้วจะเจริญเติบโตช้า ผมร่วง ผิวหนังอักเสบและมีรอยโรค อุจจาระร่วง ภูมิคุ้มกันบกพร่อง ตาบอดกลางคืน การรับรสผิดปกติ แผลหายช้า มีนิสัยและพฤติกรรมผิดแปลก ธาตุสังกะสีเป็นองค์ประกอบของเอ็นไซม์ซึ่งมีบทบาท สำคัญ ในการ เปลี่ยนวิตามินเอให้อยู่ในรูปที่ร่างกายนำไปใช้ได้ และมีบทบาทในการขนถ่ายวิตามินเอจากตับไปสู่กระแสเลือด จึงได้ข้อเสนอแนะว่า การเสริมธาตุสังกะสีโดยเฉพาะ ในกรณีที่ ร่างกายมีธาตุสังกะสี ไม่เพียงพอ น่าจะเป็นประโยชน์ต่อภาวะการขาดวิตามินเอและการมองเห็นในที่มืด เป็นอย่างยิ่ง วิตามินอี วิตามินอีเป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน ทำหน้าที่เป็น สารแอนติออกซิแดนต์ วิตามินอีมีอยู่ในแหล่งอาหารทั่วไป เช่น น้ำมันพืช ถั่วเปลือกแข็ง ถั่วเมล็ดแห้ง ธัญพืชต่าง ๆ จมูกข้าวสาลี วิตามินอีมีบทบาทสำคัญในการป้องกันโรคตาในทารกคลอดก่อนกำหนด วิตามินซี วิตามินซีเป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ มีคุณสมบัติเป็น แอนติออกซิแดนต์ เช่นเดียวกับวิตามินอี หากขาดวิตามินซี ผิวหนังจะผิดปกติ แผลหายช้า การสร้างฟันผิดปกติ หลอดเลือดฝอยแตกง่าย โรคเลือดออกตามไรฟัน วิตามินซีมีอยู่มากในผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว มะเขือเทศ ผักต่าง ๆ เช่น กะหล่ำปลี ดอกกะหล่ำ บรอคโคลี่ และผักใบเขียวหลายชนิด วิตามินซีและวิตามินอีกับต้อกระจก ต้อกระจก เป็นสาเหตุประการหนึ่ง ที่ส่งผลให้เกิดความบกพร่องในการมองเห็น และปัญหาตาบอดในผู้สูงอายุ เนื่องจาก วิตามินอี และวิตามินซีเป็นสารแอนติ ออกซิแดนต์ จากการศึกษาในสัตว์ทดลอง พบว่า วิตามินอีและวิตามินซีมีผลในการป้องกันการเกิดต้อกระจกและผู้วิจัยได้เสนอแนะว่า การได้รับวิตามินอีและวิตามินซีเสริมนี้ สามารถลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดต้อกระจกลงได้ครึ่งหนึ่ง ดังนั้นจึงพอสรุปได้ว่า วิตามินเอเป็นสารอาหารที่สำคัญ ในการรักษาลักษณะทางกายภาพและการทำงานของตาให้เป็นปกติ ภาวะการขาด วิตามินเอจะส่งผลให้เกิดความผิดปกติต่างๆ เริ่มจากอาการตาบอด กลางคืน เยื่อบุตาขาวแห้ง ย่น เป็นแผล ตามมาด้วยกระจกตาแห้ง ขรุขระ อ่อนเหลว และท้ายสุด หากไม่ได้รับการรักษาทันท่วงทีตาอาจบอดได้ ส่วนธาตุสังกะสี จะทำงานร่วมกับวิตามินเอในกระบวนการทางเคมี ให้เกิดการมองเห็นในที่มืด นอกจากนี้ ยังช่วยให้มีการสร้างโปรตีนตัวพาของวิตามินเอ ในตับ เพื่อจะได้ลำเลียงวิตามินเอไปยังเนื้อเยื่อที่ต้องการได้อีกด้วย มีการศึกษาที่แสดงว่าการให้สังกะสีเสริมในผู้ป่วยโรคตับ จากพิษสุราเรื้อรัง และ ในเด็กวัยเรียนช่วยให้การมองเห็นภาพ ในที่มืดดีขึ้น สำหรับวิตามินอี ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นสาร แอนติออกซิแดนต์นั้น มีรายงานว่า ช่วยลดอุบัติการณ์ และความรุนแรงของโรคตาในทารกคลอดก่อนกำหนดได้ และท้ายสุดนี้ คือการเสนอแนะว่า วิตามินอีและวิตามินซี ซึ่งมีฤทธิ์เป็นแอนติออกซิแดนต์ สามารถลดอัตราเสี่ยง ของการเกิดต้อกระจก ในกลุ่ม ผู้สูงอายุ ซึ่งข้อเสนอแนะนี้ ยังต้องการการศึกษาเพิ่มเติม เพื่อหาข้อสรุปที่ชัดเจนต่อไป -----------------------------------------------------------------------
  5. อย่างกลิ่นปากนี่แหละที่เป็นปัญหาใหญ่ในการพูดคุยกับคนรอบข้าง และพบปะพูดคุยกับผู้คนมากมายในสังคม จะรู้ได้อย่างไรว่าเรามีกลิ่นปากหรือไม่ ? วิธีง่ายที่สุดคือการถามคนใกล้ชิด ย แต่ถ้าไม่กล้า ก็สามารถทดสอบได้ด้วยตัวเอง ย เอามือป้องปากไว้ทั้ง 2 มือ อ้าปาก แล้วหายใจออกแรง ๆ ใส่มือตัวเอง แล้วสูดหายใจลึกๆ ทันที กลิ่นปากเกิดขึ้นได้อย่างไร ? สาเหตุของกลิ่นปากมีอยู่ 2 ปัจจัย คือ 1. ปัจจัยภายในช่องปาก ซึ่งอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น ฟันผุ เกิดจากการที่เชื้อโรคสเตรปโตคอคไค (Streptococcus) ที่อาศัยอยู่บนแผ่นคราบจุลินทรีย์ที่ติดบนตัวฟันย่อยสลายอาหารจำพวกแป้ง และน้ำตาล ส่งผลให้เกิดกรดแลคติก และอื่น ๆ ที่ทำลายเนื้อฟัน และผิวฟัน ทำให้เกิดเป็นหลุม และร่องลึก ถ้าฟันผุมาก ๆ ถึงขั้นทะลุโพรงประสาทฟัน ซึ่งทำให้เกิดการตายของเนื้อเยื่อโพรงประสาทด้านใน จะส่งผลให้มีกลิ่นปาก ทั้งจากเนื้อฟันที่ตาย และอาหารที่บูดหมักสะสมอยู่เป็นเวลานานในโพรงที่ฟันผุ เหงือกอักเสบ สาเหตุใหญ่มาจากคราบจุลินทรีย์ที่สะสมอยู่ตามร่องเหงือก พอสะสมนาน ๆ น้ำลายซึ่งมีแร่ธาตุต่าง ๆ จะตกตะกอนทับลงไปบนบริเวณที่มีคราบจุลินทรีย์อยู่เดิม และจะเปลี่ยนเป็นหินปุน ยิ่งทิ้งไว้นานเหงือกจะอักเสบมากยิ่งขึ้น ย เนื่องจากเหงือกจะมีเม็ดเลือดขาว หรือเซลล์ที่ต่อต้านการอักเสบออกจากบริเวณร่องเหงือก ทำการต่อต้านคราบจุลินทรีย์ ยิ่งทิ้งไว้นาน ย อาการอักเสบก็จะรุนแรงขึ้นเร่ือย ๆ จนทำลายถึงกระดูกรองรับฟัน ซึ่งจะสังเกตได้จากเหงือกร่น และจะเห็นฟันซี่ยาวขึ้น มีอาการปวดตื้อ ๆ ที่เหงือก เคี้ยวอาหารแล้วจะรู้สึกปวดและฟันโยก แปรงฟันไม่สะอาด ทำให้เกิดการตกค้างของเศษอาหาร เมื่อมีการบูดเน่าทำให้เกิดกลื่นขึ้นมาได้ การสูบบุหรี่ ทำให้มีคราบนิโคตินจับเกาะอยู่บนคราบหินปูนบนเคลือบฟัน มีเศษอาหารตกค้างและเกิดการบูดเน่าในบริเวณที่มีฟันผุเป็นรูกว้าง การใส่ฟันปลอมที่หลวมไม่พอดีกับเหงือก หรือนอนโดยที่ไม่ถอดฟันปลอมออกมาแช่อาจทำให้เกิดกลิ่นจากเศษอาหารเล็ก ๆ และจากการที่เชื้อจุลินทรีย์สะสมอยู่บริเวณผิวฟันปลอม เกิดจากอาหารทานอาหารที่มีกลิ่น เช่น กระเทียม กะปิ สะตอ ฯลฯ มีแผลในช่องปาก ทำให้ไม่สามารถทำความสะอาดฟันได้สะอาด ฟันซ้อน เก หรือฟันคุด ทำให้ทำความสะอาดฟันได้อย่างไม่ทั่วถึง การจัดฟัน ซึ่งทำให้ไม่สามารถทำความสะอาดฟันได้อย่างสะอาดทั่วถึง การครอบฟันที่ไม่พอดี อาจทำให้เกิดการตกค้างของเศษอาหาร ผู้ที่เพิ่งถอนฟัน ทำให้ทำความสะอาดฟันได้อย่างไม่ทั่วถึงและแบคทีเรียที่อยู่ในปากมาย่อยสลายลิ่มเลือดทำให้เกิดกลิ่นได้ 2.สาเหตุภายนอกช่องปาก เกิดได้จากหลากหลายสาเหตุเช่นกัน เช่น โรคไซนัสอักเสบ โรคในระบบทางเดินอาหาร หวัด ท้องผูก โรคกระเพาะอาหาร ฯลฯ ถ้ามีปัญหาเรื่องช่องปากควรจะทำอย่างไรดี ? ที่พูดถึงกันบ่อย ๆ ในตอนนี้คือเรื่องกลิ่นปากในตอนเช้า คนส่วนใหญ่ตื่นมาตอนเช้ามักจะมีกลิ่นปากเป็นเรื่องปกติ เนื่องจากขณะที่เรานอนหลับ เราไม่รับประทานอาหาร ดื่มน้ำ ไม่ได้พูด กลิ่นปากที่มาก หรือน้อยนั้นขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำลาย ถ้าคนที่มีน้ำลายมาก ใส จะมีกลิ่นปากน้อย แต่ถ้าน้ำลายน้อย ข้น และเหนียว จะมีกลิ่นปากมากกว่า ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ ไม่ควรใช้ยาสีฟัน หรือน้ำยาบ้วนปากอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน เนื่องจากอาจจะไปทำลายเชื้อโรคตัวอื่น ๆ ที่ดีในช่องปาก และอาจส่งผลให้เกิดปัญหาอื่น ๆ ตามมา ถ้าพบว่าเรามีกลิ่นปาก ควรแก้ปัญหาด้วยตัวเองก่อน เช่น 1. แปรงฟันให้สะอาดอย่างถูกวิธี ถ้ารู้สึกว่ามีปัญหาควรแปรงฟันหลังอาหารทุกมื้อ การแปรงฟันเป็นการทำความสะอาดฟันที่ดีที่สุด หลายคนเข้าใจผิดว่า ควรแปรงแรง ๆ เพื่อลดกลิ่นปาก ซึ่งเป็นวิธีที่ไม่ถูกต้องเพราะทำให้ฟันสึกได้ 2. ใช้ไหมขัดฟัน ควรใช้ไหมขัดฟันเป็นอย่างยิ่ง เพราะการแปรงฟันปกติไม่สามารถทำความสะอาดเศษอาหารที่ติดอยู่ระหว่างซอกฟันได้ ย หลายคนบ่นว่าใช้ไหมขัดฟันแล้วมีเลือดออก เป็นเพราะใช้ไหมขัดฟันผิดท่า ทำให้บาดเหงือก หรือถ้าใช้อย่างปกติแล้วมีเลือกออกแสดงว่าเป็นโรคเหงือกอักเสบ ควรพบทันตแพทย์ 3. การแปรงลิ้น ช่วยลดปัญหาเรื่องกลิ่นปากได้ เนื่องจากด้านบนของลิ้นผิวไม่เรียบ ซึ่งบริเวณนี้จะเกิดการสะสมของกลิ่นได้ง่าย การแปรงสามารถใช้แปรงสีฟันกวาดเบา ๆ จากด้านในออกมาด้านนอก 2-3 ครั้ง จะช่วยลดจำนวนคราบจุลินทรีย์ซึ่งเป็นสาเหตุของกลิ่นปากได้ 4. ถ้ารู้สึกปากแห้ง น้ำลายน้อย เหนียว ข้น ควรดื่มน้ำบ่อย ๆ หลายคนเลือกใช้วิธีแก้ปัญหาด้วยการใช้น้ำยาบ้วนปาก ทานเม็ดอม หรือหมากฝรั่งดับกลิ่นปาก ซึ่งช่วยแก้ปัญหาได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น ไม่ควรใช้น้ำยาบ้วนปากเป็นประจำเนื่องจากทำให้สมดุลของเชื้อแบคทีเรีย และเชื้อราในช่องปากเสียไป และไม่ควรใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอลล์ และควรจะไปพบทันตแพทย์ทุก 6 เดือน เนื่องจากแพทย์จะทำการตรวจสุขภาพในช่องปาก และแก้ปัญหาให้ก่อนที่จะลุกลามไป เช่น กำจัดคราบหินปูนก่อนที่จะเกิดฟันผุ รักษาฟันที่ผุก่อนจะเกิดการลุกลามมากยิ่งขึ้น โดยทันตแพทย์จะขัดทำความสะอาดฟัน เพื่อตรวจดูแนวเหงือก และคอฟัน ย ถ้าพบว่ามีปัญหาเรื่องฟันผุมาก แพทย์อาจทำการเอ็กซเรย์เพื่อตรวจดูในระดับรากฟัน ----------------------------------------------------------------------
  6. การดื่มของมึนเมาจะก่อให้เกิดโทษหลายประการ จนเป็นที่มาของสโลแกน ให้เหล้า เท่ากับแช่ง ที่คณะกรรมการสร้างเสริมสุขภาพแห่งชาติ (สสส.) ใช้ในการโฆษณาทางโทรทัศน์ช่วงที่ผ่านมา ซึ่งผลของการดื่มแอลกอฮอล์ปริมาณมากนั้นทราบกันดีว่าเป็นอันตรายต่อร่างกาย โดยเฉพาะผลต่อตับและสมอง รวมถึงการเกิดอุบัติเหตุด้วย แต่ก็มีคนไข้หลายคนที่แอบถามหมอว่า ขอดื่มสักนิดหนึ่งจะได้ไหม คำตอบของหมอก็คือ ได้ แต่ดื่มได้ปริมาณแค่ไหนนั้น ต้องพิจารณากันให้ดี ซึ่งวันนี้อีแมกกาซีนจะมาแนะนำวิธีดื่มเพื่อสุขภาพให้กับคอทองแดงทั้งหลาย งานนี้ นพ.สิรวิชญ์ เดชธรรม จากโรงพยาบาลสมิติเวช ศรีราชา เผยว่า ถ้าใครมีปัญหาเรื่องการทำงานของตับผิดปกติ เป็นโรคตับเรื้อรัง หรือเป็นพาหะของไวรัสตับอักเสบ ที่หมอก็คงต้องบอกว่า ไม่คุ้มเลยกับความสนุกชั่วครู่ในการดื่มแอลกอฮอล์ เพราะนั่นจะยิ่งทำให้ตับของเรามีปัญหามากขึ้นไปอีก ในผู้ป่วยที่มีปัญหาเรื่องสมองหรือระบบประสาท เช่น เคยประสบอุบัติเหตุได้รับกระทบกระเทือนทางสมอง เคยผ่าตัดกะโหลกศีรษะ เป็นโรคลมชัก ก็ไม่ควรดื่มแอลกอฮอล์เช่นกัน เพราะจะเป็นการกระตุ้นให้อาการแสดงทางระบบประสาทเป็นมากขึ้น คนที่ตรวจพบว่ามีไขมัน ไตรกลีเซอร์ไรด์ (Triglyceride) ในกระแสเลือดสูงก็ควรจะหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ด้วยเช่นกัน เพราะเสี่ยงต่อการอักเสบของ ตับอ่อน (pancreas) และแน่นอน สำหรับคนที่เป็นโรคหัวใจและโรคความดันโลหิตสูงการดื่มแอลกอฮอล์จะทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น เพราะกระตุ้นให้หัวใจบีบตัวแรงขึ้น ส่วนคนที่เป็นเบาหวาน แอลกอฮอล์ก็จะทำให้ระดับน้ำตาลในกระแสเลือดสูงขึ้นด้วยเช่นกัน เพราะแอลกอฮอล์ไปขัดขวางกระบวนการเมตาบอลิสซึม ของน้ำตาล และในแอลกอฮอล์บางชนิดเช่น ไวน์ เบียร์ ก็ยังมีน้ำตาลอยู่ด้วย หมออาจจะสรุปได้ว่า คนที่มีโรคประจำตัวอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่ควรดื่มแอลกอฮอล์ รวมถึงโรคที่ไม่ได้กล่าวถึงข้างต้นด้วย มีเหตุผลอธิบายได้ ซึ่งท่านสามารถถามจากแพทย์ประจำตัวได้ และคนที่จำเป็นต้องรับประทานยาไม่ควรดื่มแอลกอฮอล์เนื่องจากปฏิกริยาระหว่างยากับแอลกอฮอล์จะให้ผลที่ไม่พึงประสงค์ ดังที่เราเคยได้ทราบข่าวเรื่องมีผู้เสียชีวิตจากการดื่มแอลกอฮอล์ร่วมกับใช้ยานอนหลับ หรือพบผู้ป่วยตับอักเสบจากการดื่มแอลกอฮอล์ร่วมกับการใช้ยาฆ่าเชื้อโรค แต่สำหรับคนที่ไม่มีโรคประจำตัว อาจจะดื่มแอลกอฮอล์ได้ในปริมาณเล็กน้อยต่อวัน ซึ่งมีการวิจัยหลายการวิจัยในช่วงสิบปีที่ผ่านมาที่ระบุว่า ถ้าดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณที่กำหนดนั้น เป็นผลดีต่อร่างกายในการลดไขมันคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดีที่ชื่อ LDL-Cholesterol ซึ่งไขมันชนิดนี้มักจะทำให้หลอดเลือดมีภาวะอุดตัน Standard drink ทั้งนี้ ได้มีการกำหนดปริมาตรการดื่มที่เรียกว่า Standard drink สำหรับแอลกอฮอล์แต่ละประเภท ดังนี้ -วิสกี้หรือสุราที่มีแอลกอฮอล์ 40 ดีกรี 1 standard drink คือ 43 ซีซี หรือประมาณ 1.5 ออนซ์ -เบียร์ที่มีแอลกอฮอล์ 5 เปอร์เซ็นต์ 1 standard drink คือ 341 ซีซี หรือ 12 ออนซ์ (ประมาณ 1 กระป๋องเล็ก) แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า เบียร์ในเมืองไทยนั้นมีความเข้มข้นสูงกว่าที่ระบุไว้คือประมาณ 6-10 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้นปริมาตรเบียร์ 1 standard drink สำหรับบ้านเราคือประมาณน้อยกว่า 1 กระป๋องนั่นเอง -ไวน์ ที่เป็น table wine ซึ่งมีแอลกอฮอล์ประมาณ 8-12 เปอร์เซ็นต์นั้น กำหนดให้ 1 standard drink เท่ากับ ประมาณ 142 ซีซีหรือ 5 ออนซ์ ในขณะที่ fortified wine ไวน์หวาน หรือ port wine ซึ่งมีแอลกกอฮอล์ถึง 18 เปอร์เซ็นต์ 1 standard drink เท่ากับ 85 ซีซี หรือ 3 ออนซ์ สำหรับเพศชายนั้นไม่ควรดื่มเกิน 2 standard drinks ในขณะที่เพศหญิงไม่ควรดื่มเกิน 1 standard drink โดยที่ใน 1 สัปดาห์ไม่ควรดื่มเกิน 3-4 ครั้ง, ไม่ควรดื่มต่อเนื่องกันทุกวัน และควรเป็นการจิบระหว่างการรับประทานอาหารมื้อใหญ่ อย่างไรก็ตาม การที่เราจะไม่ดื่มของมึนเมานับว่าดีที่สุด เพราะเมื่อเริ่มต้นดื่มแล้ว ความสารมารถในการควบคุมตัวเองจะลดลงทำให้การควบคุมปริมาณการบริโภคไม่ให้เกินที่กำหนดนั้นเป็นเรื่องยาก และต้องไม่ลืมว่า หากต้องขับขี่ยานพาหนะการไม่ดื่มแอลกอฮอล์ถือเป็นความรับผิดชอบต่อชีวิตของตนเองและต่อสังคมอีกด้วย ----------------------------------------------------------------------
  7. ข่าวร้อนๆ ของ iPhone 5 ที่คราวนี้มาพร้อมกับคลิปวีดีโอหน้าจอของ iPhone 5 แบบชัดๆ พร้อมกับเปรียบเทียบกับ iPhone 4S ตัวฮ็อตในปัจจุบันด้วย ว่าแล้วก็ไปชมคลิปหลุดที่ว่านี้กันเลยครับ รีบไปดูก่อนโดนลบนะครับ คลิปวีดีโอ หน้าจอ iPhone 5 นี้ ถูกโพสต์โดยเว็บไซต์ญี่ปุ่นชื่อว่า Macotakara โดยในวีดีโอเป็นการแสดงชิ้นส่วนของ New iPhone คือ หน้าจอนั่นเอง ซึ่งความกว้างนั้นจะเท่ากับ iPhone 4S แต่ความยาวจะมากกว่า ซึ่งคลิปนี้ก็ไปในทิศทางเดียวกับข่าวเก่าก่อนหน้านี้ ที่บอกว่าหน้าจอของ iPhone 5 จะใหญ่ขึ้นกว่าเดิม นอกจากนี้จากคลิปที่เห็น Apple จะย้ายตำแหน่งของกล้องไปไว้บนช่องหูฟังแทนการเอาไว้ที่ด้านข้างเหมือน Gen ก่อนหน้าครับ อย่างไรก็ตามแนวโน้มที่ว่า iPhone ตัวใหม่จะมีหน้าจอที่ใหญ่ขึ้นดูเหมือนจะเป็นความจริง แต่จะเป็นอย่างในคลิปหรือเปล่า ปลายปีนี้รู้กันครับ ---------------------------------------------------------------------- เยอะเหมือนกันแฮะ! ที่มา : techxcite
  8. ของเค้าไม่ธรรมดาจริง ๆ 55 :emo (70):
  9. เหอ ๆ คุณภาพอันยิ่งใหญ่ มาพร้อมความหนักใจในราคาที่ใหญ่ยิ่ง :emo (68):
  10. มีแต่ เมโลดี้สินะ - -* 45 วิก็พอร่ะ :emo (68):
  11. อ๊า น่ากินอ๊า มีไฮบอลไม่อั้นด้วย :emo (00): ตุลาวันเกิดพอดีเลย ไม่รุจะได้ไปมั๊ย >"< :emo (68):
  12. มันเป็นอย่างนี้นี่เอง :emo (44):
  13. คนคิด คนทำ ก็เข้าท่า แต่เสียงมันน่ารำคาญไปมั๊ยถ้าเอามาใช้กับชีวิตจริง?
  14. เดิม ๆ มันน่าจะดีที่สุดแล้วรึเปล่า ดัดแปลง แก้ไขมันก็คงจะไม่ค่อยดีนะ แบตหมดไวก็หาแบตสำรอง อุ่นใจกว่ามั๊ย? :emo (68):
  15. มีดมันใบหยัก ๆ ขนาดนั้น ทำไมมันหั่นออกมาเรียบเนียนจังอ๊า :emo (68):
  16. ถ้าไม่มีอาวุธขนาดนี้คงไม่ใช้เครื่องบินรบล่ะ เป็นเครื่องส่วนตัวของเศรษฐฐีธรรมดา ๆ นี่เอง :emo (68):
  17. เวลาเดินไม่เคยหยุด แล้วไม่เคยรอใครทั้งนั้น...

×
×
  • Create New...